กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....

Tags: โรแมนติก,พาฝัน

ตอน: ตอนที่ 1

“ลาออก อีกแล้ว ! ”
ธารธาราพูดเต็มเสียง จ้องเพื่อนสาวตาไม่กะพริบ สวนทางกับควันจางๆลอยจากแก้วกาแฟในมือส่งกลิ่นหอมกรุ่น

“ใช่…” พิมพ์นาราตอบพลางถอนใจเบาๆ ทอดสายตามองร้านกาแฟทาสีชมพูอ่อนรับกับเก้าอี้บุผ้าสีครีมพิมพ์ลายดอกไม้จัดวางรอบโต๊ะกลม เธอมองผ่านหน้าต่างกระจกใสประดับผ้าม่านลูกไม้ผืนบางให้แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านรำไร เห็นกลีบดอกลิลลี่สีแดงเจือขาวบานสะพรั่งในกระถางหลายใบวางเรียงรอบชิงชาหวาย ทำให้มุมสวนด้านนอกสดใสมีชีวิตชีวา แตกต่างกับสถานการณ์หม่นหมองของเธอ

“ครั้งที่สองแล้ว…ทำไมครั้งนี้ถึงลาออกเร็วนัก มันไม่ใช่ทำสถิติวิ่งแข่งนะถึงได้ทำเวลาสั้นลงแบบนี้” เสียงบ่นของธารธาราทำให้เธอหลุบตามองมือตนเองซึ่งประสานกันแน่นบนโต๊ะ

ใช่…เวลาเพียงสามเดือนในการทำงานครั้งที่สอง ช่างสั้นกว่าครั้งแรกจริงๆ
การทำงานครั้งแรกในเวลาสี่เดือนฟังดูไม่แตกต่างจากครั้งที่สอง แต่สำหรับพิมพ์นาราแล้ว ทุกวันช่างยาวนานและทรมานยิ่งนัก เมื่อต้องทนรับอารมณ์ของหัวหน้าแผนกจัดซื้อที่มักจะใช้คำพูดรุนแรงกับลูกน้องเวลาไม่ได้ดั่งใจ หลายคนทนไม่ได้จึงพากันลาออก

แต่นั้นไม่ใช่เหตุผลของเธอ…สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ การรับเงินใต้โต๊ะของหัวหน้าแล้วสั่งให้ซื้อสินค้าราคาแพงกว่าอีกรายที่เปรียบเทียบราคามาให้ซึ่งขัดกับนิสัยรักความยุติธรรมยิ่งนัก ความเด็ดเดี่ยวที่หลอมรวมเป็นตัวตนของพิมพ์นาราทำให้การตัดสินใจลาออกเกิดขึ้นทันที

“คราวนี้เรื่องมันเป็นยังไง ไหนลองเล่ามา” ธารธาราพูดเสียงแผ่วแล้วจิบกาแฟในมือ

พิมพ์นาราถอนใจเฮือกใหญ่ เบนสายตามองการตกแต่งที่สวยงามของร้านกาแฟอีกครั้ง แต่ในใจครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า เหตุการณ์วุ่นวายเริ่มจากการปล่อยหมัดข้างขวาไปตรงดั้งจมูกเกือบโด่งของหัวหน้าโรคจิต เธอยืนมองผู้ชายร่างใหญ่ แต่ ใจแคบร้องเสียงหลงด้วยความสะใจ ท่ามกลางเสียงตะโกนโหวกเหวกของเพื่อนร่วมงานซึ่งตกใจกับเหตุการณ์วิวาท ก่อนจะเก็บของใช้ส่วนตัวลงในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ เดินออกมาทันทีโดยไม่คิดกลับไปอีก

“ที่ล่าสุดฉันเจอหัวหน้าผู้ชายโรคจิตชอบหลีหญิง วันๆ ชวนแต่ไปกินข้าวฟังเพลงตอนเย็น พอฉันปฏิเสธบ่อยๆ พี่แกก็เคืองใส่ร้ายฉันกับผู้บริหารว่าทำงานมีปัญหา แล้วยื่นข้อเสนอ ถ้ายอมมีอะไรกับมันจะช่วยเรื่องตำแหน่งงานทุกอย่าง…ฉันเลยต่อยมันไปหมัดหนึ่ง” เธอเล่าเสียงดุดัน แต่แฝงไปด้วยความหวั่นไหว

พิมพ์นาราจ้องมองนัยน์ตายาวรีแบบคนไทยเชื้อสายจีนของธารธาราพองโตขึ้น ก่อนจะสังเกตเห็นผิวหน้าขาวจัดซีดเผือดจากเหตุการณ์ระทึกขวัญที่ได้ยิน

ครอบครัวของธารธาราทำธุรกิจทัวร์ต่างประเทศ มีหุ้นส่วนกับโรงแรมชื่อดังในประเทศแถบยุโรป ส่วนครอบครัวของพิมพ์นาราทำธุรกิจสายการบิน เฟริส์แอร์ไลน์ และโรงแรมระดับห้าดาวทางภาคใต้อีกหลายจังหวัด ทั้งสองครอบครัวจึงเกื้อกูลเป็นคู่ค้ากันมานาน

จนถึงรุ่นลูก หญิงสาวทั้งสองเรียนจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากประเทศอังกฤษและกลับมาประเทศไทยเมื่อต้นปี ครอบครัวของพิมพ์นาราต้องการให้เธอมาเรียนรู้งานที่บริษัท เฟริส์แอร์ไลน์ เพื่อสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารสายการบิน แต่…เหตุการณ์ไม่ง่ายนัก เมื่อเธอไม่อยากทำงานที่ผู้บังเกิดเกล้าหาตำแหน่งรอไว้ให้ด้วยเหตุผลคือ ไม่ชอบกรุงเทพฯเพราะมีแต่การแข่งขันกันเกือบทุกเรื่อง จึงขอไปทำงานโรงแรมทางภาคใต้ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหลและผู้คนต่างจังหวัดแลดูมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

หญิงสาวหนักใจ เมื่อพ่อและแม่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการครั้งนี้ แม้จะรับรู้ได้ว่าเกิดจากความห่วงใย แต่ ความต้องการในใจกลับเรียกร้องดังกว่า เธอจึงยืนยันขอไปดูแลกิจการโรงแรมไม่เปลี่ยนแปลงและสังเกตเห็นท่าทีเงียบขรึมของพ่อราวกับคิดไม่ตกกับเรื่องนี้อยู่หลายวัน

จนมาวันหนึ่ง พ่อจึงยื่นข้อเสนอให้พิมพ์นาราหางานทำจากบริษัทอื่นในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี โดยไม่ใช้เส้นสายของครอบครัวจึงจะยกโรงแรมในภาคใต้ให้ทั้งหมด หากไม่สามารถทำได้ เธอต้องกลับมาทำงานที่บริษัท เฟริส์แอร์ไลน์ ตามความตั้งใจแต่แรกของครอบครัว

“ฉันว่า…พิมกลับไปทำงานที่ บริษัท เฟริส์แอร์ไลน์ ตามความต้องการของคุณอาดีกว่า” ธารธาราพูดเสียงจริงจังแล้ววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ
“อย่างนั้น…เท่ากับฉันยอมแพ้นะสิ” พิมพ์นารากล่าวเสียงสั่น น้ำตาเริ่มกลิ้งไหวคลอหน่วย
“ใจเย็น อย่าเพิ่งร้องไห้นะ ถ้าอย่างนั้นพิมจะทำอย่างไรต่อ” ธารธาราเอื้อมจับแขนอีกฝ่าย
“ฉันเห็นบริษัทหนึ่งประกาศรับสมัครงาน เจ้าหน้าที่การตลาดสองตำแหน่ง ตามที่อ่านเจอในอินเตอร์เน็ตให้เข้ามาเขียนใบสมัครและสัมภาษณ์เลย เริ่มพรุ่งนี้วันแรก” เธอกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไปทางเดิม
“ไปซี…สัมภาษณ์เลยก็ดีนะ” ธารธาราบีบแขนเพื่อนเบาๆให้กำลังใจ
“จริงหรือ! ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ เจ็ดโมงเช้าฉันไปรับน้ำที่บ้านนะ”
“ได้…ว่าแต่จะไปรับฉันทำไม” ธารธาราขมวดคิ้วมุ่น
“ก็เขารับ…สองตำแหน่งไง” เธอพูดจบ อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นทันที
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”

พิมพ์นาราเห็นเพื่อนหรี่ตามองอย่างจับผิดจึงเริ่มส่งสายตาเว้าวอน

“ไปทำงานเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ…ปีเดียวเอง” หญิงสาวตั้งใจขอร้องเพราะไตร่ตรองดูแล้วว่า หากมีธารธาราไปทำงานเป็นเพื่อน โอกาสที่ข้อตกลงระหว่างเธอกับพ่อจะสำเร็จเป็นไปได้สูง อย่างน้อย นิสัยสุขุม รอบคอบของเพื่อนรักคงช่วยเตือนสติ บรรเทาความใจร้อนซึ่งเป็นข้อเสียของเธอลงได้บ้าง แม้ว่า โอกาสจะได้งานทำทั้งคู่เป็นไปได้ยาก แต่เธอเชื่อว่าความเฉลียวฉลาดของอีกฝ่าย หากใครได้สัมผัสย่อมต้องการร่วมงานด้วย

ส่วนตัวเธอนั้นไม่น่าหวั่นใจเท่าไรเพราะเริ่มชำนาญในการตอบคำถามสัมภาษณ์งาน พอจะจับแนวทางของผู้สัมภาษณ์ได้ไม่ยาก…เรื่องจะผ่านขั้นตอนนี้และได้รับเลือกเข้าทำงานจึงมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง…หากจะติดปัญหาก็มีเพียงเรื่องเดียวคือ อยู่ทำงานได้ไม่นาน

“จะบ้าหรือ…ไปทำงานนะไม่ใช่ชอปปิ้งจะได้ไปเป็นเพื่อน อีกอย่างฉันก็บอกที่บ้านว่า ขออนุญาตอยู่อิสระ เป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อจะลงเรียนทำอาหาร” ธารธาราส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะดึงมือกลับมากอดอก

“นั่นไง! เป็นอันว่า น้ำมีเวลาว่างหนึ่งปี…ถือว่าช่วยฉันหน่อยนะ ถ้ามีน้ำไปทำงานเป็นเพื่อน ฉันอาจจะอยู่ได้หนึ่งปีตามข้อตกลงของพ่อ”
พิมพ์นาราจ้องมองเพื่อนนิ่งงันไปพักใหญ่ราวกับคิดไม่ตก

“ฉันไม่เคยขออะไรน้ำเลยนะ ครั้งนี้ครั้งเดียวจริงๆ”

ธารธาราขมวดคิ้วมุ่น ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ย

“ตกลงก็ได้ แต่ ถ้าสัมภาษณ์แล้วฉันไม่ได้งานนี้ พิมต้องไปทำคนเดียวและอยู่ให้ครบหนึ่งปีด้วย”

พิมพ์นารายิ้มกว้าง ไม่ทันสังเกตน้ำเสียงอีกฝ่ายที่ตอบอย่างฝืนใจ

“ขอบใจมากนะน้ำ คือ…ฉันลืมบอกไปว่า พรุ่งนี้เอกสารวุฒิการศึกษาที่จะนำไปสมัคร… ” เธอตั้งใจเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่ยังไม่ครบให้ธารธาราฟัง แต่ เสียงใสของเพื่อนดังขึ้นมาก่อน

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะเตรียมเอกสารที่เราจบจากอังกฤษไว้ให้พร้อม”
“ขอบใจอีกครั้งนะ แต่… ” เสียงเธอแผ่วลงราวกับพึมพำอยู่ในลำคอ
“อย่าบอกนะว่า เริ่มเกรงใจกันบ้างแล้ว ” อีกฝ่ายชำเลืองมองด้วยแววขุ่นเคือง
“ใช่ฉันเกรงใจจริงๆ…แต่ที่อยากบอก คือ…น้ำต้องเตรียมวุฒิปริญญาตรีไปไม่ใช่ปริญญาโท! ” เธอกัดฟันพูดสิ่งที่กังวลออกมา
“เฮ้ย ! ” ธารธาราจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ
“คือว่า…ทุกตำแหน่งที่บริษัทนี้เปิดรับสมัคร มีแต่วุฒิปริญญาตรี ถ้าฉันรอตามวุฒิปริญญาโทของเราเกรงว่าจะหางานไม่ได้ง่ายๆนะสิ” พิมพ์นาราเอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เฮ้อ ! แม่คุณหนูไฮโซ เราต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือ” ธารธาราถอนใจอีกครั้ง ยกแขนขึ้นเท้าคาง
“ไม่แค่นี้นะ ฉันอยากให้เราปิดเรื่องธุรกิจที่บ้านเป็นความลับด้วย” หญิงสาวมองเพื่อนรักด้วยแววจริงจัง
“ทำไมล่ะ”
“ฉันกลัวว่า ถ้าเขารู้ฐานะและการศึกษาระดับนี้ของเรา อาจไม่รับเราเข้าทำงานก็ได้” เธอจ้องมองสีหน้าเพื่อนผ่อนคลายลงราวกับเริ่มปลงตก
“ก็ได้…ฉันจะปิดทุกอย่างเป็นความลับ”
“ขอบใจมากนะ…ถ้าอย่างนั้นเจอกันพรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้า” พิมพ์นาราส่งยิ้มหวานให้เพื่อน เธอเห็นธารธาราคลี่ยิ้มจางๆ คล้ายยิงฟันมากกว่าและได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

รถมินิออสตินสีแดงรุ่นปี ค.ศ.๑๙๙๙ กระโปงหน้าคาดแถบสีขาวสองแถบกำลังเลี้ยวเข้ารั้ว บริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ พิมพ์นาราปลดเกียร์ลงตรงตำแหน่งจอด ดับเครื่องยนต์แล้วตรวจสอบความเรียบร้อยของเอกสารสมัครงานในแฟ้มพลาสติกใส ก่อนก้าวลงจากรถคันจิ๋วพร้อมกับธารธารา

เธอหรี่ตามองประกายแดดวิบวับ บนกระจกสีน้ำเงินเข้มเรียงต่อกันรอบอาคารสามชั้น ราวกับกระจกเงาบานใหญ่ เมื่อเดินมาถึงทางเข้า ประตูกระจกเลื่อนเปิดอัตโนมัติ เบื้องหน้าเป็นเคาน์เตอร์หินอ่อน มีสาวสวยประชาสัมพันธ์ส่งยิ้มหวานต้อนรับผู้มาเยือน ทั้งคู่สอบถามเรื่องการสมัครงานและได้รับคำแนะนำให้ขึ้นไปห้องทรัพยากรบุคคลบนชั้นสอง

สองสาวขึ้นมาถึงชั้นสองของอาคารสำนักงาน สังเกตเห็นโต๊ะไม้ตัวยาวมีแจกันใส่ดอกกุหลาบหลากสีพร้อม ชา กาแฟและขนมปัง หลายสิบชุด วางไว้หน้าห้องที่มีป้ายระบุว่า ‘ห้องประชุม’ ถัดมาจะพบห้องกระจกติดป้ายทองเหลืองระบุตัวอักษรสีน้ำเงินว่า ‘ทรัพยากรบุคคล’ พิมพ์นาราหันมาพยักหน้าให้เพื่อน ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปขอสมัครงานตามประกาศในอินเตอร์เน็ต พร้อมรับใบสมัครจากเจ้าหน้าที่บุคคลมากรอกประวัติส่วนตัว

“เขียนเสร็จหรือยังคะ” เจ้าหน้าที่บุคคลเอ่ยถามหลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่
“เสร็จแล้วค่ะ” พิมพ์นารายื่นเอกสารของตนและธารธาราไปยังอีกฝ่าย
“เดี๋ยวรอสักครู่นะคะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงท่านผู้บริหารจะมาสัมภาษณ์งาน”
พิมพ์นาราใจเต้นรัว… แน่ละครั้งนี้เธอจะพลาดไม่ได้เพื่อประสบการณ์ทำงานเป็นเวลาหนึ่งปี ยิ่งมีความหวังจะได้เพื่อนรักเป็นผู้ร่วมงานแล้วการสัมภาษณ์ครั้งนี้จึงสำคัญมาก
“ฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ” เธอหันไปบอกธารธาราซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์

พิมพ์นาราเดินผ่านกลุ่มคนจำนวนมาก ออกมาจากห้องประชุม ยืนรับประทานอาหารว่างอยู่รอบโต๊ะไม้ตัวยาว เธอเลื่อนสายตาขึ้นมองป้ายบอกทางไปห้องน้ำบนผนังสีขาวข้างทางเดิน แล้วเร่งฝีเท้าไปยังจุดหมาย

เมื่อมาถึงห้องน้ำจึงสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกาย ผ่านกระจกใสที่ปรากฏภาพหญิงสาวผมยาวเหยียดตรงสีดำขลับ ใบหน้าเรียวแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆ ดูสง่าและสดใส จมูกเล็กโด่งรับกับริมฝีปากอวบอิ่ม ดวงตากลมใสราวกับตากวางกำลังสำรวจชุดสูทสีครีมกับกระโปรงยาวคลุมเข่าสีขาว ด้วยแววมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว

หญิงสาวขยับเสื้อสูทให้เข้าที่ ส่งยิ้มให้กำลังใจตนเองในกระจกแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องน้ำด้วยความมั่นใจพลางนึกถึงคำถามและคำตอบที่ต้องเตรียมตัว ระหว่างเดินกลับจึงมีเพียงมโนภาพการสัมภาษณ์งาน ทำให้ไม่ได้สนใจมองผู้คนพลุกพล่านรอบโต๊ะอาหารว่าง

“ว้าย ! ”
พิมพ์นาราชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งหมุนตัวออกมาจากโต๊ะอาหารจนล้มลงข้างทางเดิน ตามด้วยถ้วยกาแฟหล่นกระทบพื้นเกิดเสียงดังลั่น หญิงสาวรู้สึกอุ่นๆที่สะโพกเลยไปถึงต้นขา
“ตายละ! กระโปรงฉัน” เธอเบิกตากว้าง เมื่อกาแฟสีดำเข้มเลอะกระโปรงไหลย้อยถึงหัวเข่า
“เป็นอะไรไหมคุณ” ต้นเหตุคราบกาแฟบนกระโปรงรุดเข้ามาช่วยเหลือ

เธอเงยหน้าขึ้น พบชายหนุ่มผิวขาวสะอาดรูปร่างสูงกว่าชายไทยโดยเฉลี่ย ไหล่กว้างแลดูทะมัดทะแมงคล้ายนักกีฬา วงหน้ารูปไข่ถูกเสริมให้คมคายด้วยนัยน์ตาเรียวยาวรับกับคิ้วหนา จมูกโด่งเข้ากับริมฝีปากหยักได้รูป

ทว่า เวลานี้ความหล่อเหลาปานเทพบุตรกรีกของเขาไม่ได้ประทับใจพิมพ์นาราเลย

“เดินระวังหน่อยซิคุณ”

น้ำเสียงขุ่นเคืองของเธอทำให้ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ก่อนจะพยุงหญิงสาวลุกขึ้นยืน

“โอ๊ย! ” เธอเปล่งเสียงลั่นเพราะข้อเท้าเจ็บแปลบดั่งเข็มจำนวนมากทิ่มแทง
“บาดเจ็บหรือคุณ”
“เจ็บที่ข้อเท้า…สงสัยเท้าจะแพลง”
“ราคาเท่าไหร่ล่ะ แพงมากไหม”

พิมพ์นาราปัดมืออีกฝ่ายออกทันที หันไปพิงผนังอาคาร สีหน้าบึ้งตึงด้วยอารมณ์โกรธ

“เอาละ คุณ…ให้ผมพาไปห้องน้ำดีกว่า สายตาหลายคู่กำลังมองมาที่เรานะ”

เธออยากปฏิเสธความช่วยเหลือจากผู้ชายไร้มารยาทคนนี้ใจจะขาด แต่เมื่อตั้งสติได้ก็นึกถึงการสัมภาษณ์งานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า มิหนำซ้ำตอนนี้ กระโปรงสีขาวกลายเป็นสองสีไปแล้ว ต้องรีบไปห้องน้ำเพื่อล้างคราบกาแฟ แต่ ขาที่เจ็บคงต้องพึ่งพาหมอนี่ประคองเดินไป

คราบกาแฟสีดำบนกระโปรงสีขาวจางลงเล็กน้อย หลังจากพิมพ์นาราพยายามเช็ดอยู่หลายครั้งจึงตัดสินใจเดินกะเผลกออกจากห้องน้ำด้วยเกรงว่าจะไม่ทันสัมภาษณ์งาน เธอประหลาดใจ เมื่อเปิดประตูมาพบคู่ปรับยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ ตอนกำลังเช็ดคราบกาแฟ หญิงสาวแอบคิดว่าเขาคงกลับไปแล้ว ในใจยังขุ่นเคือง แต่ ดีกว่าต้องออกไปเจอหน้ากันอีกครั้ง คนอะไรรูปร่างหน้าตาดี ทว่า ไร้มารยาทจนป่านนี้ยังไม่ขอโทษเธอสักคำ !

“คุณมาทำอะไรที่นี่…ผมไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“มาสัมภาษณ์งานค่ะ” เธอเบือนหน้าหนีแอบเบ้ปาก จำใจตอบไปตามมารยาท
“ตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดใช่ไหม”
“คุณรู้ได้อย่างไร ว่าฉันมาสมัครตำแหน่งนี้” หญิงสาวหันกลับมามองเขา
“ก็ดูจากรูปร่างคุณบอบบางอย่างนี้…คงทำอย่างอื่นไม่ดีแน่”
“อะไรนะ! ” พิมพ์นาราส่งสายตาเขียวปัด
“คุณนี่…ไร้มารยาทจัง ผิดกับหน้าตา”
“คุณจะชมผม หน้าตาดีว่างั้น”
“นอกจากจะไร้มารยาทแล้วสติยังไม่ดี ฟังภาษา…ไม่รู้เรื่องด้วย” เธอตั้งใจเว้นคำว่า ‘คน’ ไว้เพื่อยียวน
“ผมก็ว่า…คุณกำลังชมผมหน้าตาดีนะ หรือจะเป็นคุณที่ไม่เข้าใจภาษาพูดของตัวเอง หรือสติไม่ดีน้อ”
“อีตาบ้า ! ”

เมื่อทบทวนคำพูดแล้ว เธอเห็นว่าจริงอยู่ที่คล้ายชมเขาว่า ‘หน้าตาดี’ จึงเจ็บใจตนเองนักเลยสะบัดมือชายหนุ่มออก ประจวบกับถึงหน้าห้องฝ่ายทรัพยากรบุคคลพอดี

“เดี๋ยว…คุณจะไปไม่ลาเลยหรือไง” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะยังตามมายียวน
“จำเป็นด้วยที่ต้องลา…” พิมพ์นาราจับลูกบิดประตูเตรียมผลักเข้าไป แต่ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากข้างหลัง
“เดี๋ยวก่อน คือ…อุบัติเหตุเมื่อสักครู่ ที่ทำกระโปรงคุณเลอะ ผมขอโทษด้วย”
“ไม่รอขอโทษพรุ่งนี้เลยล่ะ”
“ผมก็คิดอยู่นะ แต่กลัวคุณสัมภาษณ์งานไม่ผ่านแล้วจะไม่ได้เจอกันอีกนะสิ…โชคดีนะคุณ” ใบหน้าคมเข้มยักคิ้วแล้วส่งยิ้มให้ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนหน้างอด้วยความโมโห
“อีตาโรคจิต ! ” เธอบ่นพลางผลักประตูเข้าไปในห้อง
“พิม! ทำไมไปห้องน้ำนานจัง ฉันกำลังจะลุกไปตามอยู่แล้ว”
“เขาเรียกสัมภาษณ์หรือยัง” เธอมองเพื่อนด้วยความตื่นเต้น
“ฉันเข้าไปสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว…ระหว่างพิมไปห้องน้ำ มีอีกคนมาเขียนใบสมัคร เจ้าหน้าที่บุคคลก็เลยลัดคิวให้เข้าไปสัมภาษณ์ก่อน”
“เพราะอีตาโรคจิตคนเดียวเลย…คอยดูนะถ้าฉันไม่ได้งานนี้ แม่จะเผาพริกเผาเกลือแช่งเลย” เธอขมวดคิ้วมุ่นหันมองทางประตูหวังจะได้เห็นหน้าต้นเหตุอีกครั้ง
“พูดถึงใคร…ว่าแต่กระโปรง ทำไมมีสภาพอย่างนี้” ธารธาราจ้องมองคราบสีน้ำตาลจางๆ เป็นทางยาวจากสะโพกถึงปลายกระโปรง
“ฝีมืออีตาโรคจิตนั่นไง…” พิมพ์นาราถอนใจยาว กะพริบตาปริบๆ คล้ายยอมรับชะตากรรม
“เอานี่ผ้าพันคอของฉัน…หันมาเดี๋ยวจัดการให้”

ธารธาราหยิบผ้าไหมสีน้ำเงินผืนมันวาวออกจากกระเป๋า พับเป็นรูปสามเหลี่ยมนำมาพันบริเวณเอวของเพื่อนโดยปล่อยชายผ้าให้ยาวจากสะโพกมาถึงปลายกระโปง เพื่อปกปิดคราบกาแฟ จากนั้นขยับสูทสีครีมให้พอดีกับผ้าพันคอซึ่งทำหน้าที่เป็นเข็มขัดกู้วิกฤตชั่วคราว

“เอาละ…สวยเชียว” ธารธารายิ้มให้กับผลงานตนเอง
“ขอบใจมากนะ ถ้าไม่ได้น้ำฉันแย่แน่ๆ ” เธอก้มมองคราบกาแฟที่ถูกปกปิด
“เชิญคุณพิมพ์นาราเข้าสัมภาษณ์งานค่ะ”

เจ้าของชื่อหันมองตามเสียงเรียกแล้วสบตาเพื่อนรัก ซึ่งพยักหน้าให้เข้าไปสัมภาษณ์ด้วยความมั่นใจ พิมพ์นาราข่มความรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกมาเบาๆ เรียกสติและสมาธิก่อนเข้าไปในห้อง
ภายในห้องสัมภาษณ์งาน มีผ้าลูกไม้ขอบทองปูรอบโต๊ะซึ่งเรียงเป็นรูปตัวยู พิมพ์นาราพนมมือไหว้กล่าวสวัสดีคณะกรรมการสามคน นั่งอยู่ฟากตรงข้ามกับเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้สมัคร หญิงสาวเอ่ยแนะนำตนเองตามคำสั่งของคณะกรรมการ จากนั้นคำถามต่างๆ ไล่เรียงตั้งแต่การศึกษา ประสบการณ์ทำงาน ประวัติครอบครัว ที่พักอาศัยและกิจกรรมยามว่างถูกถามขึ้นเป็นลำดับ…เธอตอบคำถามอย่างฉะฉาน บ่งบอกความมั่นใจทำให้การสัมภาษณ์งานผ่านไปด้วยความประทับใจจากทุกฝ่าย

เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงดังขึ้น พิมพ์นารายังคงหลับตาพริ้ม แต่ สติสัมปชัญญะบางส่วนเริ่มฟื้นคืน มือเรียวควานหาที่มาของเสียงเพื่อกดรับสาย ระหว่างสนทนาเธอประมวลผลการรับรู้อยู่ครู่หนึ่ง พลัน ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อปลายสาย เอ่ยยินดีถึงผลการสัมภาษณ์งานและนัดหมายให้เข้ามาทำงานในสัปดาห์หน้า

สายสนทนาถูกวางลงแล้ว แต่อาการดีใจยังคงอยู่ ตามมาด้วยความสงสัยว่าธารธารา…จะได้งานนี้ไหม
เธอไม่รอให้คำถามเกิดขึ้นในใจมากนักจึงโทรศัพท์หาเพื่อนทันที

“ว่าไง… พิม” ธารธารารับสายเสียงห้วน
“ฉันได้งานที่ไปสัมภาษณ์เมื่อวานแล้ว…น้ำล่ะ ได้ไหม”
“เฮ้อ! ฉันก็ได้ด้วย” เสียงถอนหายใจนำ ตามมาด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว
“อย่างนี้ต้องฉลอง”
“ฉลองอะไรกัน…เย็นวันนี้บ้านพิมและบ้านฉันต้องไปงานเลี้ยงวันเกิด คุณลุงภาคภูมิ แม่เธอเพิ่งโทรมานัดเวลากับแม่ฉันเมื่อกี้เอง…” น้ำเสียงอีกฝ่ายคล้ายหงุดหงิด
“จริงด้วย! ลืมพี่ภูมิไปเลย...ถ้าอย่างนั้นเจอกันในงานเย็นนี้นะ” พิมพ์นาราตาพองโต เมื่อนึกถึง ภูมิมินทร์ผู้ที่คอยดูแลห่วงใยตนเอง ตั้งแต่เป็นนักศึกษาจอมแก่นจนเข้าสู่วัยทำงาน หญิงสาวปรึกษาเขาได้แทบทุกเรื่องรองจากธารธาราและด้วยความเป็นลูกสาวคนเดียว ชายหนุ่มจึงเติมเต็มคำว่า ‘พี่ชาย’ ให้แก่เธอตลอดมา…

ดอกกุหลาบแดงแซมด้วยดอกยิบโซถูกประดับเป็นช่อระย้าบนกำแพงสีอิฐเรียงยาวถึงบ่อน้ำพุราวกับม่านมูลี่ ถัดมาคือสนามหญ้าแผ่เป็นพรมสีเขียวสดผืนนุ่ม จัดวางโต๊ะกลมพร้อมเก้าอี้ซึ่งถูกตกแต่งด้วยผ้าคลุมขาวผ่องจับจีบสีทองอร่ามจำนวนห้าสิบชุด

งานเลี้ยงวันเกิดของภาคภูมิเริ่มขึ้น เมื่อขอบฟ้าสีครามเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ จากแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ พิมพ์นาราเดินเคียงคู่มากับ ชายหนุ่มร่างโปร่งเพรียวหลังตรงดูผึ่งผาย ในกรอบหน้าเรียวนั้น เรือนคิ้วหนาส่งให้นัยน์ตาดำขลับดูมีเสน่ห์ จมูกขึ้นสันปลายแหลม เขาสวมเสื้อแขนยาวสีขาวสุภาพกับกางเกงสีครีม แม้ไม่ใช่ผู้ชายรูปหล่ออย่างนายแบบ แต่บุคลิกตามแบบฉบับนักธุรกิจหนุ่ม ดูน่าสนใจกว่าผู้ชายหล่อเหลาอีกหลายคน

ภูมิมินทร์ทายาทคนเดียวของหุ้นส่วนรายใหญ่ในธุรกิจสายการบิน ‘เฟริสแอร์ไลน์’ และเจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังหลายสาขาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ด้วยวัยเพียงสามสิบปีแต่พกพาความสามารถมากมาย
เขาหยุดเดินกลางสนามหญ้า ยืนมองบริกรคอยอำนวยความสะดวกตามโต๊ะจัดเลี้ยงแก่แขกในงาน ก่อนจะหันมามองพิมพ์นารา

“ได้ยินน้ำเล่าให้ฟังว่า พิมกับน้ำ ได้งานทำที่เดียวกันเป็นบริษัทเกี่ยวกับอะไรหรือ”
“บริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ ผลิตอาหารแปรรูปค่ะ หลักๆจะผลิตเนื้อหมูสดและผักผลไม้” เธอตอบพลางสำรวจรอบบริเวณเพื่อช่วยภูมิมินทร์ตรวจสอบความเรียบร้อยของงานเลี้ยง
“ทำไม…พิมไม่มาทำงานที่ เฟริสแอร์ไลน์ ล่ะ”
“พิมไม่ชอบการแข่งขันในเมือง อยากไปทำงานโรงแรมในภาคใต้ แต่…คุณพ่อไม่ยอมเลยต้องทำตามข้อเสนอ” น้ำเสียงของเธอฟังดูเศร้า แต่ แฝงไว้ด้วยความไม่ย่อท้อ

คำว่าข้อเสนอ ทำให้ภูมิมินทร์ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ย

“มีอะไรให้พี่ช่วย บอกมาได้นะ”
“ขอบคุณค่ะ แต่ พิมเกรงใจพี่ภูมิไหนจะน้ำอีกที่ครั้งนี้ต้องไปทำงานเป็นเพื่อนด้วย…พูดจบก็เดินมาโน่นแล้ว”
“คุณพ่อพี่ภูมิให้มาตามค่ะ อาหารเริ่มทยอยกันมาเสิร์ฟแล้ว” ธารธาราเอ่ย พลางจูงมือเพื่อน
เดินไปที่โต๊ะจัดเลี้ยง
ภูมิมินทร์มองพิมพ์นาราด้วยความรู้สึกเดียวกับวันแรกที่เจอกัน หลังจากเรียนจบกลับมา
จากอเมริกา วันเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เขาไม่เคยนับ…รู้เพียงแต่ เธอไม่เคยสังเกตแววตาที่เฝ้ามอง…ว่ามีมากกว่าความห่วงใยที่มอบให้น้องสาว…

บรรยากาศที่โต๊ะจัดเลี้ยง เสียงสนทนาจากทั้งสามครอบครัว มีเนื้อหาวนเวียนอยู่กับเรื่องธุรกิจซึ่งต้องแข่งขันกันตลอดเวลา พิมพ์นารารับฟังอย่างเงียบๆ พยักหน้าร่วมบางครั้งตามมารยาท แต่ในใจกลับกังวลเรื่องข้อตกลงระหว่างเธอกับพ่อ ช่วงท้ายของการสนทนาค่อยน่าฟังขึ้นบ้าง เมื่อกล่าวถึงการท่องเที่ยวพักผ่อนประจำปี น้ำเสียงของแต่ละคนฟังดูครื้นเครงมีความสุขกว่าช่วงแรก คลอด้วยเสียงดนตรีขับกล่อมเพลงสากลทำนองเบาสบาย สลับกับการแสดงรำอวยพรบนเวทีด้านหน้าสนามหญ้า จนใกล้เวลางานเลี้ยงเลิกทั้งสามครอบครัวจึงกล่าวอำลา แยกย้ายกันเดินทางกลับบ้าน โดยมีเจ้าของงานตามมาส่งที่รถ ต่างโบกมือส่งรอยยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่น

รถยนต์ยุโรปราคาเกินหลักล้าน จอดหน้าคฤหาสน์ซึ่งเป็นบันไดสองสามขั้นลาดขึ้นสู่ระเบียงหินอ่อน พิมพ์นาราก้าวลงจากรถช้าๆ สายตาเริ่มพร่ามัวจนต้องยกมือขยี้ตาเบาๆ หวังทำลายความง่วงที่ก่อตัวอยู่ ก่อนจะยืนโงนเงนเพราะไม่ได้ผลจึงโผเข้ากอดและหอมแก้มแม่ ก่อนจะหันไปทำแบบเดียวกันกับผู้เป็นพ่อแล้วเดินลับตาขึ้นห้องนอน

“คุณคะ ฉันเป็นห่วงลูก ถ้าเขาอยากบริหารงานโรงแรมในภาคใต้ เราตามใจเขาดีกว่าไหม ยังไงธุรกิจตรงนั้นก็สำคัญสำหรับครอบครัวเราเหมือนกัน ฉัน…ไม่อยากให้ลูกไปลำบากทำงานข้างนอก” นาราวดีในชุดเสื้อกระโปรงผ้าไหมสีน้ำเงินมันวาว ดูสวยสง่าแม้วัยจะล่วงเข้าสู่กลางคน เพราะรักษารูปร่างเป็นอย่างดี เอ่ยออกมาด้วยแววกังวล พลางสบตากับสามีที่ยืนนิ่งอยู่ข้างกาย

ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม แลดูภูมิฐานในมาดนักธุรกิจใหญ่ ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะเอ่ย

“ถ้าจะให้พิมไปบริหารงานโรงแรมทางภาคใต้ ลูกเราต้องเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งกว่านี้ ทุกธุรกิจต้องการผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เข้มแข็งไม่ไหวเอนต่ออุปสรรคต่างๆ พิมต้องค้นหาความจริงในสังคมปัจจุบันให้เจอ และปรับมันเข้ากับนิสัยส่วนตัวให้ได้ อย่าห่วงเลย พ่อคอยเฝ้าดูลูกอยู่ห่างๆสบายใจได้” ไพฑรูย์โอบกอดภรรยาให้คลายความกังวล



พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ธ.ค. 2556, 01:12:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ธ.ค. 2556, 16:32:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1264





   ตอนที่ 2 >>
phugan 5 ธ.ค. 2556, 16:26:15 น.
มาให้กำลังใจค่ะ...


พราวชมพู 5 ธ.ค. 2556, 22:25:19 น.
ขอบคุณ คุณ phugan มากค่ะ สำหรับกำลังใจครั้งนี้ ^ ^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account