Switch
ฉันหลงคุณ ฉันรักคุณ และฉันอยากจะเจอคุณเหลือเกิน

ผมรักคุณ แต่ผมทำให้คุณเกลียด ผมอยากจะรักคุณ แต่ผมทำไม่ได้ ผมบอกคุณไม่ได้ว่าคนคนนั้นคือผมเอง

ผมได้แต่มองพวกคุณจากตรงนี้ แต่ผมช่วยใครไม่ได้ ผมยื่นมือออกไปไม่ได้ ผมอยากจะทำ แต่ตัวผมเป็นได้แค่เงา

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2 เปิดม่านการแสดง

เช้าวันรุ่งขึ้นสดใสกว่าวันที่ผ่านมาในความคิดของเด็กหญิง เธอลุกจากที่นอนแต่เช้าโดยที่แม่ไม่ต้องมาปลุก เมื่อตรวจดูการบ้านที่ต้องส่งวันนี้เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะยังไม่ได้ทำเลยแม้แต่นิดเดียว

นีรกานต์มองนาฬิกาที่ผนังห้องเมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาตื่นปกติของตนก็เร่งทำการบ้านในทันที
เมื่อทำการบ้านเรียบร้อยในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเด็กหญิงก็เก็บของลงกระเป๋าแล้วหยิบลงมาด้านล่าง

"อ้าวตื่นแล้วหรอ แม่กำลังจะขึ้นไปปลุกเลย” เธอหันไปหาแม่ที่กำลังจัดโต๊ะอยู่ “มากินข้าวมา เมื่อวานคงจะหิวแย่ไม่ได้กินก่อนไปโรงเรียน”

“ไม่หรอกค่ะแม่ ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มรับก่อนจะทานอาหาร ข้าวกล่องถูกจัดวางเอาไว้ข้างกระเป๋านักเรียน เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จเด็กหญิงก็เดินเข้าไปขอบคุณแม่และขอตัวไปเรียนหนังสือ

เธอไม่ได้ช่วยงานที่ร้านมาสามวันแล้วเพราะไปที่โรงละครตลอด วันนี้คงแค่แวะไปขอบัตรให้อาจารย์กับแม่แล้วกลับเท่านั้น แต่จะขอได้หรือเปล่านี่เธอเองยังไม่มั่นใจเลย

คาบเรียนคาบที่สี่ก่อนพักเที่ยงเป็นวิชาคณิตศาสตร์ นีรกานต์ได้แต่จ้องมองกระดานพลางถอนหายใจพลางก่อนจะหยิบดินสอมาขีดๆเขียนๆลงไปในกระดาษ เธอวาดรูปเล่นบ้างลองจัดแสงไฟบนเวทีดูบ้างโดยไม่อาศัยบทละคร แต่เพียงครู่เดียวอาจารย์ก็ตะโกนเรียกชื่อเธอ

“นีรกานต์ ตั้งใจเรียนอยู่หรือเปล่า” เด็กหญิงสะดุ้งทันที

“ค่ะ” เธอตอบอาจารย์ไปทั้งๆที่เรียนไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว

“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบโจทย์บนกระดานมา” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ถ้าบวกลบคูณหารหรือเทียบบัญญัติไตรยางศ์ยังพอว่า แต่ขึ้นพหุนามแล้วเธอช็อกคาที่เลยทีเดียว

“เอ่อ เป็นสองเอกซ์กำลังสองบวกเจ็ดเอกซ์...คือ” เธอเงียบอย่างไปต่อไม่ถูก

“นั่งลง ณัฐนันท์ตอบซิ” อาจารย์เรียกเพื่อร่วมห้องอีกคนหนึ่งมาแทน

“จะได้สองเอกซ์บวกหนึ่งกับเอกซ์บวกสาม ดังนั้นค่าเอกซ์จึงมีสองค่าคือ ลบสามกับลบหนึ่งส่วนสองค่ะ” ณัฐนันท์ตอบรวดเดียวจบเล่นเอาทั้งห้องอึ้งไปตามๆกัน เธอแอบมองอีกฝ่ายที่ไม่ได้สวมแว่นหนาอะไร ท่าทางก็ไม่ใช่เด็กเรียนมาก แต่ทำไมถึงเก่งคณิตศาสตร์นัก

“เก่งมาก หลังเลิกเรียนวันนี้ณัฐนันท์กับนีรกานต์มาพบครูด้วยเข้าใจไหม” อาจารย์เรียกเธอทั้งสองคน อีกฝ่ายตอบรับในทันทีส่วนเธอได้แต่ขานรับเสียงอ่อย

นีรกานต์ถอนหายใจเมื่อผ่านพ้นคาบเรียนนี้ไปได้ เพื่อนร่วมห้องสองคนที่รู้สึกเห็นใจเธอจึงมาทานข้าวร่วมกัน เธอตอบรับอย่างยินดี

“ฉันคิดว่าก็คงไปสอนพิเศษเพิ่มละมั้ง” ณัฐสุดา สาวหัวปานกลางที่ไม่ได้เก่งอะไรเป็นพิเศษแต่ก็ไม่ได้เรียนแย่แม้แต่วิชาเดียว

“แต่ว่าทำไมต้องเรียกณัฐนันท์ไปด้วยล่ะ” เธอเอ่ยถามขึ้น

“ครูอาจจะให้มินช่วยสอนเธอก็ได้” วัชราภรณ์ต่อ “ก็ดีนะเพราะมินเก่งเลขออกถึงจะไม่ใช่ท็อปคลาสแต่ก็อยู่ระดับต้นๆล่ะ”

“นั่นสินะ...ช่างเถอะ” สุดท้ายเด็กหญิงก็ปล่อยวางเรื่องทั้งหมดแล้วทานอาหารเที่ยงต่ออย่างรวดเร็วแล้วกลับเข้าห้องเรียน


“นีรกานต์ ผลการเรียนระดับประถมของเธอที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือคณิตศาสตร์” อาจารย์เริ่มต้นอ้างอิงถึงผลการเรียนที่ผ่านมาทันทีที่เธอเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะอาจารย์พร้อมกับณัฐนันท์ “ส่วนณัฐนันท์ ผลการเรียนปานกลาง ความสามารถคงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ฝากสอนเพื่อนด้วยนะ”

“รับทราบค่ะอาจารย์” เธอมองเพื่อนร่วมห้องที่รับปากอาจารย์เรียบร้อยในขณะที่ตัวเองได้แต่ยืนค้าง นี่เธอต้องเรียนเพิ่มเติมเลขจริงๆหรอเนี่ย

“รับทราบค่ะ” เธอเอ่ยรับเสียงอ่อย

“ขอให้เธอเรียนตามเพื่อนทันก่อนจะถึงเวลาสอบย่อยนะ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อการเลือกสาย” อาจารย์สำทับมาอีกทีก่อนจะก้มไปใต้โต๊ะครู่หนึ่งแล้วหยิบปึกกระดาษมาให้ “เอาอันนี้ไปทำให้หมดภายในอาทิตย์นี้ด้วยนะ” นีรกานต์รับชีทมาถือไว้ในขณะที่ปากอ้าน้อยๆ คนข้างๆอาสาช่วยถือให้แต่เธอก็แอบเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ซึ่งไม่อาจตีความได้ว่าเป็นรอยยิ้มเห็นใจหรือยิ้มขำกันแน่

เมื่อออกมาจากห้องพักครู ณัฐนันท์ก็ชวนเธอไปนั่งที่ส่วนหย่อมข้างโรงเรียนเพื่อดูชีทที่อาจารย์เอามาให้ทำ เธอวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะก่อนจะวางชีทไว้ข้างกันแล้วนำมาดูแผ่นหนึ่งและแทบจะวางกลับไปในทันที

“เป็นอะไรไป” มินหันมาถามอย่างแปลกใจ

“ไม่อ๊าว นี่มันอะไรเนี่ย” เธอแทบจะลุกหนีไปในทันทีแต่กลับถูกดึงมือเอาไว้ก่อน

“นั่งสิ เดี๋ยวช่วยสอนให้ ยังไงฉันก็ไม่เก่งเหมือนกันอย่างที่อาจารย์ว่านั่นแหละ ถ้าเอาคนความสามารถใกล้กันมาสอนน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า” เธอมองตามอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตา คนที่ความสามารถเรื่องเลขติดลบอย่างเธอมันจะไปได้ไกลสักกี่น้ำ

“แต่ฉันไม่เคยเรียนรู้เรื่องมาก่อนเลยนะ” นีรกานต์บอกตามตรงเพราะตั้งแต่ประถมถ้าขึ้นเรื่องที่ยากหน่อยก็ทำไม่ได้แล้ว

“ถ้าประถมฉันก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่ถ้าของตอนนี้ฉันสอนได้แน่ๆ” เธอได้แต่หัวเราะออกมาแห้งๆระหว่างนั่งเรียนกับเพื่อนร่วมห้องเกือบๆสามชั่วโมง ชีทที่อาจารย์เอามาให้ทำนั้นเสร็จไปราวๆสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกือบทั้งหมดที่เสร็จนั้นก็มาจากการสอนของมินนั่นแหละ เธอทำเองแค่นิดเดียวเท่านั้นแถมยังไม่ค่อยจะถูกเสียเท่าไหร่

“พอก่อนได้ไหมสมองจะระเบิดแล้ว” เธอร้องอวดครวญ มินหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“ก็ดีเหมือนกัน ถ้ากลับเย็นกว่านี้เดี๋ยวจะโดนแม่ว่า” เมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูดเธอก็หัวเราะออกมา

“เหมือนกันเลย” ทั้งสองหัวเราะไปด้วยกันก่อนเธอจะยืนรอรถประจำทางเป็นเพื่อนณัฐนันท์ เมื่อรถมาแล้วและเพื่อนจากไปเธอก็ได้แต่เดินกลับบ้านคนเดียวท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัว

เด็กหญิงมองผ่านเข้าไปในโรงละครเมื่อเดินผ่าน ด้านในยังคงเปิดไฟสว่าง เธอเดินเข้าไปด้านในก่อนจะขอซื้อบัตรละครเรื่องที่เธอทำงานซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผู้กำกับเดินออกมาพอดี

“อ้าวคุณหนู ไม่ต้องซื้อหรอกน่า ฉันให้เลย จะเอาที่นั่งตรงไหนดีล่ะ แล้วจะเอากี่ใบ” วิณัฐพัชร์ ก้มตัวลงมาหาก่อนจะคุยกับพนักงานขาย

“ตรงไหนก็ได้ค่ะ เอ่อ...ขอสองใบแล้วกันค่ะ” เธอยิ้มที่ริมฝีปากเมื่อนึกอยากจะให้แม่มานั่งดูละครเรื่องนี้เช่นกัน ทางด้านชายหนุ่มเมื่อได้คำตอบก็ดูตำแหน่งที่นั่งที่ว่างอยู่ก่อนจะเลือกมาสองที่ซึ่งติดกันแล้วส่งบัตรมาให้เธอ

“นี่ครับ รอบแรกยังมีที่ว่างพอดี” เธอเอ่ยขอบคุณเขาก่อนจะรับบัตรนั้นมาเก็บใส่กระเป๋า “นี่ก็เย็นมากแล้วนะ ทำไมเพิ่งมาล่ะ” เมื่อได้ยินคำถามเด็กหญิงก็ยิ้มเจื่อนๆบนริมฝีปากก่อนจะตอบอ้อมแอ้มออกไปเบาๆ

“ต้องเรียนเพิ่มเติมเลขค่ะ” ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมานิดหนึ่งก่อนจะรีบปิดปาก

“ขอโทษๆ คือ... โอ๊ยแปบนะ” เขารีบเดินหนีไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับมาพร้อมรอยหยดน้ำที่ขอบตาแสดงถึงการกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่

“ไม่ตลกนะคะผู้กำกับ” เธอจ้องเขาพร้อมกับหน้าบึ้งน้อยๆ อีกฝ่ายตบบ่าเธอเบาๆ

“ขอโทษครับ ขอโทษ” ถึงเขาจะพูดขอโทษแต่ก็ยังเห็นอาการไหวไหล่น้อยๆ “ทำไมล่ะมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ”

“ก็...ค่ะ” เธอตอบไม่เต็มเสียงพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น

“เอาเถอะ ยังมีเวลาเรียนรู้อีกนานครับ เดี๋ยวก็เก่งเองนั่นแหละ” เขาขยี้ผมเธอ “กลับบ้านเถอะ วันนี้เลิกกองแล้ว”

“แหม...ถ้าอย่างนั้นผมก็มาทันพอดีสิเนี่ย” เสียงของผู้ชายที่เธอคุ้นหูดังมาจากประตูทางเข้าโรงละคร ทั้งเด็กหญิงและผู้กำกับมองไปทางผู้มาใหม่พอดี “สวัสดีครับ”

“มาทำไมอีกล่ะครับคุณปกรณ์ คุณว่างนักหรือไง” วิณัฐพัชร์เอามือออกจากผมของเด็กหญิงก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูง

“ประมาณนั้นละมั้งครับ ผมก็แค่อยากจะมาจองบัตรชมละครของคุณเท่านั้นเอง” ปกรณ์เดินเข้ามาแล้วก้มลงมองเธอนิดหนึ่งก่อนจะผงะไป “อ้าวเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ” นีรกานต์กำลังจะตอบแต่ถูกผู้กำกับตอบไปเสียก่อน

“ก็แค่มาซื้อบัตร” ชายหนุ่มสองคนจ้องมองกันครู่หนึ่งก่อนผู้มาใหม่จะถอนหายใจออกมา

“อย่างนั้นหรอ”

“เชิญกลับได้เลยนะครับถ้าคุณซื้อบัตรเสร็จแล้ว” ผู้กำกับค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะดันหลังเธอให้เดินออกไปด้วยกัน “เธอเองก็กลับได้แล้ว”

เมื่อเดินออกมาด้านนอกโรงละครเธอก็หันไปหาวิณัฐพัชร์พร้อมถามอย่างแปลกใจ

“คุณรู้จักกับเขาด้วยหรือคะ” ชายหนุ่มก้มลงมามองก่อนจะยิ้มที่มุมปาก

“จะว่ารู้จักไหม ก็ใช่ล่ะนะ แต่ก็ไม่อยากจะรู้จักเท่าไหร่หรอกครับ ผู้ชายแบบนั้นน่ะ” เขาดึงมือเธอเดินไปทางที่จอดรถด้วยกัน

“เอ่อ คือ...” เธอดึงมือนิดหนึ่ง แต่เขาเพียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“เดี๋ยวไปส่ง” สุดท้ายเด็กหญิงก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินขึ้นรถฝั่งด้านข้างคนขับ ชายหนุ่มจอดอยู่ที่เดียวกันกับเมื่อคืน “ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ ฉันเชื่อว่าเธอทำได้” เขาพูดก่อนที่เธอจะลงจากรถ

นีรกานต์กลับมาถึงบ้านแม่ก็ถามเธออีกว่าทำไมถึงได้กลับบ้านเย็นบ่อยนักช่วงนี้ เด็กหญิงจึงต้องบอกแม่ไปว่าเธอต้องเรียนเพิ่มเติมวิชาคณิตศาสตร์

“จริงสิ แม่คะหนูได้บัตรชมละครมาค่ะ แม่สนใจไหมคะ” เธอเอ่ยถามพร้อมกับชูบัตรสองใบในมือ

“ไม่ล่ะ แม่ไม่ว่าง” เด็กหญิงกำบัตรเอาไว้ในมือก่อนจะยิ้มตอบ

“อย่างนั้นหรือคะ” สุดท้ายแล้วเธอก็ได้แต่เดินกลับไปที่ห้องของตนเองวางบัตรสองใบเอาไว้บนโต๊ะ ใบหนึ่งจะให้อาจารย์ประจำชั้นแน่ๆ แต่อีกใบจะให้ใครล่ะ

เด็กหญิงนั่งคิดไปพลางทำการบ้านไปพลางเมื่อเสร็จหมดทุกอย่างก็เก็บลงกระเป๋าก่อนจะหยิบสมุดพกเล่มเล็กๆที่เธอทำเป็นปฏิทินออกมา

นับถอยหลังอีกห้าวันจะเป็นวันแสดงรอบปฐมทัศน์ และนับต่อไปอีกสิบสี่วันจะเป็นรอบสุดท้าย แต่วันที่สำคัญที่สุดคือวันแรกเพราะส่วนมากคนในวงการมักจะมากันวันแรกเสมอ ซึ่งถ้าเธอพลาดก็จบแน่นอน จะไม่มีทางมีงานครั้งต่อไปอีกเด็ดขาด ดังนั้นเธอจะต้องพยายามให้เต็มที่

นีรกานต์ทิ้งตัวลงบนเตียง เงยหน้าขึ้นมองหลอดไฟที่สว่างจ้าบาดตาพลางคิดถึงการแสดงที่ใกล้จะเกิดขึ้น เธอเห็นการซ้อมครั้งล่าสุดที่ยังคงติดตา เรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเธอหลับไป


ในวันถัดมาเด็กหญิงก็นำบัตรไปให้อาจารย์ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์ที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ให้ห้องเธอเดินเข้ามาพอดี อาจารย์ทั้งสองคนจึงจะไปดูการแสดงในครั้งนี้ โดยที่อาจารย์ประจำชั้นพูดขึ้นมาเลยว่าเธอสามารถหาที่นั่งดีขนาดนี้ได้อย่างไร เด็กหญิงจึงขออาจารย์ดูบัตรจึงเห็นว่าที่นั่งนั้นเป็นแถวเอส เธอจึงบอกอาจารย์ไปว่าผู้กำกับเป็นคนเลือกที่นั่งให้ นีรกานต์ขอตัวออกจากห้องพักครูก่อนที่อาจารย์คณิตศาสตร์จะนึกอยากถามเกี่ยวกับเรื่องการเรียนเพิ่มกับณัฐนันท์

เวลาในช่วงเย็นที่เหลือเธอเอามาเรียนเพิ่มคณิตศาสตร์ทุกวันเพื่อที่จะได้ทำชีทที่อาจารย์ให้มาได้ ซึ่งเมื่อเลิกเรียนทุกวันเวลาก็ผ่านไปกว่าสามชั่วโมง เมื่อไปถึงโรงละครก็เป็นเวลาที่เลิกแสดงแล้วทุกครั้ง เพราะนักแสดงซ้อมกันตั้งแต่เช้า

วันสุดท้ายก่อนรอบปฐมทัศน์นีรกานต์ขอตัวจากเพื่อนร่วมชั้นเร็วกว่าปกติเพื่อที่จะได้ไปทันการซ้อม เด็กหญิงวิ่งมาจนถึงหน้าโรงละครแล้วเปิดประตูด้วยมาดของเด็กเรียบร้อย เธอเดินเข้าไปใกล้ห้องซ้อมแต่กลับได้ยินเสียงเถียงดังลอดออกมาจากห้องหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นเธอจำได้ว่าเป็นเสียงของผู้กำกับ

“มันจะไม่มากไปหน่อยหรือครับที่คุณทำแบบนี้” เสียงวิณัฐพัชร์ตะโกนลอดออกมาจากห้อง ในขณะที่อีกเสียงหนึ่งนั้นเบากว่ามาก แต่น้ำเสียงนั้นก็ยียวนไม่หยอก

“คุณก็รู้จักผมดีไม่ใช่หรือครับ” อีกเสียงหัวเราะตบท้าย

“คุณเลิกไม่ได้เลยหรอ กับชีวิตคนอื่นไม่ใช่ชีวิตคุณนะ”

“ก็แล้วเมื่อไหร่คุณจะมาทำงานให้เราล่ะครับ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” เธอจำเสียงนี้ได้ แต่ทุกครั้งไม่เคยได้ยินเจ้าของเสียงนี้พูดทำนองนี้มาก่อน

“คุณปกรณ์!” เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับเสียงทุบโต๊ะ

“พรุ่งนี้ผมจะรอชมละครของคุณ” ทั้งห้องเงียบไปครู่หนึ่งเด็กหญิงจึงแนบใบหน้าเข้ากับช่องประตูเพื่อฟังเสียง “แล้วคุณจะรู้ว่าคนอย่างผมทำอะไรได้บ้าง”

เด็กหญิงได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเธอจึงเดินถอยหลังออกไปแล้วรีบเร่งฝีเท้าผ่านห้องนั้นไป เพียงครู่เดียวเท่านั้นร่างของรองประธานบริษัทการละครก็เดินออกมา

ชายหนุ่มหันไปมองทางซ้ายเพราะเมื่อครู่ตอนที่กำลังบิดลูกบิดประตูเขาได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งผ่านหน้าห้องไปทางซ้าย แต่เขาจะไม่ใส่ใจเลยถ้าเสียงนั้นจะไม่ได้เริ่มดังขึ้นจากหน้าห้องนี้ ไม่ใช่ทางขวาอย่างที่ควรจะเป็น แสดงว่าจะต้องมีใครสักคนที่แอบฟังเสียงการสนทนาเมื่อครู่ แต่ว่าเป็นใครกัน

ปกรณ์เดินไปทางด้านซ้ายมือโดยมีผู้กำกับเดินตามมาอย่างอารมณ์เสีย เขาเลี้ยวเข้าห้องแสดงที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้ แต่ยังไม่ทันที่จะผลักประตูเข้าไปแขนของเขาก็ถูกคนด้านหลังดึงเอาไว้

“ผมไม่รู้ว่าคุณจะเดินเข้ามาทำไม แต่เราให้คุณเข้าไม่ได้จนกว่าจะถึงการแสดงวันพรุ่งนี้” วิณัฐพัชร์จ้องมองเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายที่แข็งกร้าว

“ผมไม่ได้อยากจะเข้าหรอกนะ แต่จะบอกอะไรให้ว่าเมื่อครู่มีคนแอบฟังเราคุยกันเท่านั้นแหละ” ชายหนุ่มสะบัดแขนออกก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไป ผู้กำกับมองตามหลังปกรณ์มือค้างอยู่ในท่าที่ถูกอีกฝ่ายสะบัดออก

“ใครกัน...”



ทางด้านชายหนุ่มที่เดินออกไปก็ขึ้นรถที่คนขับมาจอดรออยู่ที่ด้านหน้าโรงละคร เขาคว้าเอกสารขึ้นมาอ่านต่อก่อนจะหยิบสมุดจดตารางงานขึ้นมาดู

“อีกหนึ่งชั่วโมงมีประชุมที่บริษัทดังนั้นแวะไปที่ใต้สะพานข้ามแม่น้ำด้วย” เขาสั่งคนขับรถในขณะที่อ่านเอกสารต่อไป เมื่อรถหยุดชายหนุ่มจึงก้าวลงโดยทิ้งเอกสารเอาไว้บนรถ

“ผมกำลังรอคุณอยู่เลยครับคุณปกรณ์” ชายหนุ่มที่แสกผมด้านซ้ายแล้วปิดบังใบหน้าซีกขวาทั้งหมดเดินออกมาจากใต้เงาของสะพาน “นี่เป็นเอกสารการประชุมครั้งก่อนของบริษัททีเจครับ” เขายื่นมือไปรับซองเอกสารจากอีกฝ่าย

“ไม่มีใครรู้ใช่ไหมจิง”

“ครับ” ชายหนุ่มที่ชื่อจิงตอบรับ “ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“เชิญ” ปกรณ์เดินหันหลังให้เงาของตนและกลับไปขึ้นรถ เขาสั่งให้คนขับขับกลับบริษัทในทันที


จิงเดินหันหลังให้นายของตนเพียงสามก้าวก็หันกลับมาและมองรถคันนั้นจนลับสายตา เขาทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหญ้ามือข้างขวาเด็ดดอกหญ้าขึ้นมาถือไว้พลางส่องมันกับแสงแดดแล้วปล่อยให้มันลอยหลุดมือไป สายตาของเขาจับจ้องจนมันลอยขึ้นไปสูงเกินเอื้อมและกลืนไปกับแสงที่ส่องลงมา

“ไม่ว่าเมื่อไหร่...สิ่งนั้นก็มักจะไกลเกินเอื้อมเสมอ”


นีรกานต์ที่หนีพ้นยืนหอบอยู่ด้านหลังของบานประตู อีกแค่เพียงนิดเดียวบานประตูจะถูกฝั่งตรงข้ามเปิดออก แต่เท่าที่เธอยืนนิ่งมานี้ก็ผ่านมาเกือบห้านาทีได้แล้ว คนคนนั้นคงไม่คิดที่จะเปิดประตูเข้ามา เด็กหญิงลอบยิ้มกับตนเองก่อนจะเดินผ่านเหล่านักแสดงขึ้นไปยังด้านบนเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนแสดงจริงในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่มีเรื่องในวันแรกที่เธอมา พี่ๆก็ใจดีกับเธอมาตลอด อาจจะเป็นเพราะผู้กำกับที่คาดโทษไว้ หรือพวกเขายอมรับเธอก็ไม่อาจทราบได้

วิณัฐพัชร์เดินเข้ามาหลังจากนีรกานต์ขึ้นไปด้านบนแล้ว เขาเดินไปหานักแสดงและเรียกรวมเพื่อคุยเกี่ยวกับการแสดงในวันรุ่งขึ้นและให้กำลังใจนักแสดงหน้าใหม่บางคน ถึงแม้จะไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการบันเทิงแต่เป็นหน้าใหม่สำหรับการละคร

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผู้กำกับจึงส่งนักแสดงคนหนึ่งขึ้นไปด้านบนเพื่อให้ซ้อมเหมือนวันจริง โดยเริ่มจากนับเวลาถอยหลังและเปิดม่านการแสดง

ชายหนุ่มนั่งลงที่แถวหลังสุดของโรงละครเพื่อฟังเสียงของนักแสดงว่าสามารถได้ยินชัดเจนหรือไม่ เขาเปลี่ยนที่นั่งกว่ายี่สิบครั้งไปรอบๆโรงละครเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีจุดบอดเรื่องเสียง

หลังการแสดงจบผู้กำกับก็สั่งเลิกกองและให้แยกย้ายกันกลับได้ ส่วนตัวเขาก็เดินไปตรวจสอบความเรียบร้อยทั่วโรงละคร
เด็กหญิงก้าวลงมาจากด้านบนพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกสองคน เมื่อเห็นผู้กำกับกำลังตรวจสภาพ รุ่นพี่ทั้งคู่ก็รีบปรี่ไปหาทันที เธอจึงต้องอาสาไปช่วยเพราะมันคงดูไม่ดีถ้าเด็กเพียงคนเดียวจะหนีกลับก่อนในขณะที่คนอื่นๆยังคงทำงานกันอยู่

การตรวจความเรียบร้อยผ่านไปด้วยดี อุปกรณ์ทุกอย่างอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน วิณัฐพัชร์ยิ้มอย่างพอใจแล้วตัดสินใจลากคนที่เหลือไปทานข้าเย็นด้วยกัน แต่ร้านคราวนี้ไม่ใช่ร้านเดียวกับที่เคยพานีรกานต์มา เมื่อทานอาหารเย็นเรียบร้อยชายหนุ่มก็ขับรถไปส่งทั้งสามคนโดยเริ่มที่เด็กหญิงก่อน

เมื่อเธอแยกตัวจากคนอื่นๆมาก็เดินกลับบ้านอย่างช้าๆ พรุ่งนี้เป็นการแสดงรอบแรก เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านบนที่เป็นสีส้มแดงก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

นีรกานต์ถอนสายตาจากท้องฟ้าก่อนจะเดินเข้าบ้านไปช่วยแม่ขายของ แต่เพียงครู่เดียวก็ขอตัวเข้าหลังร้านไปทำการบ้านต่อ


รุ่งเช้ามาถึงเด็กหญิงตื่นเร็วเป็นพิเศษและรีบออกจากบ้านแต่เช้า เธอมาถึงโรงเรียนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อดูเวลาแล้วว่ายังเหลืออีกมาก เด็กหญิงจึงหยิบชีทที่อาจารย์คณิตศาสตร์ให้ทำมานั่งทำต่อ กว่าจะผ่านไปได้แต่ละข้อก็ต้องเปิดย้อนกลับไปดูของเก่าๆบ้างบางข้อ บางข้อก็ข้ามไปเพราะไม่รู้เรื่องจริงๆ

เมื่อแสงแดดส่องผ่านกระจกห้องเรียนเข้ามาเธอจึงเริ่มรู้สึกว่าในห้องเรียนไม่ได้มีเพียงเธอคนเดียวอีกต่อไป เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เด็กหญิงไม่สนใจรอบข้างจนกระทั่งได้ยินเสียงลากเก้าอี้เข้ามาใกล้

“มาแต่เช้าเลยนะ ทั้งๆที่ฉันว่าฉันตื่นเช้าแล้วนะเนี่ย” ณัฐนันท์ส่งยิ้มมาให้ก่อนจะถือวิสาสะหยิบชีทที่เธอข้ามไปมาดู “อะไรกันข้ามขนาดนี้เลยหรอ อย่าข้ามสิ ยิ่งเราทำไม่ได้เราก็ต้องทำจนกว่าจะทำได้” เธอได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆให้เพื่อนที่เริ่มการเรียนการสอนต่อจากครั้งที่แล้วในเวลาก่อนเข้าแถวที่เหลืออีกไม่กี่นาทีนี่แหละ

เมื่อเสียงเรียกแถวดังขึ้นทั้งห้องก็เริ่มเก็บของและทยอยออกไปที่สนาม เธอเองก็รีบตามไปเช่นกัน เมื่อพิธีการหน้าเสาธงเสร็จนักเรียนก็เร่งรีบเดินขึ้นห้องเรียนในทันที ซึ่งผิดกับเธอที่ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งร้อนจนกระทั่งมีอาจารย์เดินสวนมาแล้วสั่งให้เธอรีบเข้าห้องเรียนได้แล้ว

ทันทีที่ออดบอกเวลาหมดคาบเรียนคาบสุดท้ายดังขึ้นนีรกานต์ก็จัดการเก็บกระเป๋าอย่างรวดเร็วแล้วก้าวออกไปจากห้องตามหลังอาจารย์ผู้สอนไปติดๆ เมื่ออาจารย์เลี้ยวเข้าห้องพักครูเธอก็รีบวิ่งลงอาคารในทันทีและไปต่อแถวออกนอกโรงเรียน

เด็กหญิงไปถึงโรงละครที่เริ่มมีผู้คนมารอชมกันมากมาย เธอขอทางเพื่อเข้าไปด้านในจนเกือบโดนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกันตัวเอาไว้ถ้าไม่ใช่ว่าผู้กำกับเดินออกมารับด้วยตนเอง เขาให้เหตุผลว่าถ้าเธอมาในชุดนักเรียนคงไม่แคล้วโดนกักตัวไว้ด้านนอก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นคงเริ่มแสดงไม่ได้แน่ๆวิณัฐพัชร์ที่คิดอย่างนั้นจึงตัดสินใจเดินออกมารอซึ่งบังเอิญเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เธอเดินเข้ามาพอดี

เด็กหญิงขึ้นไปประจำที่ของตนก่อนจะทดสอบไฟทุกดวงว่าติดหรือไม่เพื่อทำการแก้ไขในครั้งสุดท้ายก่อนเปิดม่านการแสดง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เธอทำสัญญาณให้ผู้กำกับว่าข้างบนเรียบร้อย สามารถเปิดม่านได้ทุกเมื่อ คนควบคุมฉากอยู่ประจำที่เรียบร้อย รุ่นพี่คนหนึ่งเดินขึ้นมาด้านบนก่อนจะยื่นไมค์ส่งมาให้

“ใส่เอาไว้ครับเผื่อมีเหตุฉุกเฉินผู้กำกับจะได้ติดต่อมาได้” เด็กหญิงรับมาสวมไว้ที่ศีรษะก่อนจะเดินลงไปด้านล่างและแอบแหวกม่านดูเล็กน้อย ตอนนี้ผู้ชมมากันเกือบเต็มโรงละครแล้ว และที่นั่งที่มอบให้อาจารย์ทั้งสองท่านก็ไม่ได้ว่างอีกต่อไป เธอลอบยิ้มกับตนเองก่อนจะเดินขึ้นไปด้านบน ตรวจสอบแผนงานอีกครั้งและวางนาฬิกาจับเวลาเอาไว้ข้างกายเพื่อจะได้ไม่ผิดเพี้ยน

เธอเงยหน้ามองนาฬิกาจนกระทั่งถึงเวลาเริ่มการแสดงผู้กำกับส่งสัญญาณผ่านไมค์ให้เธอเตรียมพร้อม คนควบคุมฉากเปิดม่านการแสดงออก เด็กหญิงสับสวิตช์ไฟทันที

รุ่นพี่อีกสามคนกระจายกันยืนสามตำแหน่ง เด็กหญิงรับหน้าที่ควบคุมแผงสวิตช์ไฟเท่านั้น เมื่อฉากที่หนึ่งองก์ที่สามจบก็เป็นเวลาพักครึ่งเรื่องพอดี

นีรกานต์วิ่งลงไปด้านล่างเพื่อทำหน้าที่สต๊าฟเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง เธอรู้ดีว่าช่วงเวลานี้นักแสดงเหนื่อยหอบ บางคนก็แทบไม่มีเสียงแล้ว เด็กหญิงนำแก้วน้ำมาเสิร์ฟให้นักแสดงทุกคนรวมถึงผู้กำกับที่ยืนยิ้มอยู่ข้างเวที

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เธอเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเขาเหม่อไปนานและไม่ได้รับน้ำไปดื่ม

“โอ๊ะ ขอโทษที พอดีว่ากำลังชื่นชมกับงานครึ่งแรกนี่อยู่ ขอบใจสำหรับน้ำ” วิณัฐพัชร์รับแก้วน้ำมาดื่มรวดเดียวหมด “ขอให้ครึ่งหลังดีแบบนี้ต่อไปนะ”

“ค่ะ” เด็กหญิงเอ่ยตอบรับก่อนจะขอตัวกลับขึ้นไปด้านบนพร้อมขวดน้ำสามขวดให้พี่ๆ เมื่อทุกคนทานน้ำเรียบร้อยและพร้อมแสดงผู้กำกับก็สั่งให้เปิดม่านการแสดงฉากที่สององก์ที่หนึ่ง


เมื่อการแสดงจบลงเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั้งโรงละคร เด็กหญิงยิ้มอย่างยินดีที่ด้านบนก่อนจะเริ่มฉายไฟไล่นักแสดงทีละคนที่ออกมายืนอยู่หน้าม่านอีกครั้ง

ผู้ชมเริ่มทยอยเดินออกไปด้านนอกโรงละคร เธอก็เดินลงไปด้านล่างเพื่อสมทบกับนักแสดงและผู้กำกับที่ยืนพูดคุยกันถึงเรื่องการแสดงวันนี้

“เรย์ เธอพูดเร็วไปในฉากที่สององก์ที่หนึ่ง พรุ่งนี้ขอให้ช้ากว่านี้ได้ไหม” วิณัฐพัชร์เริ่มพูดถึงจุดบกพร่องในการแสดง

“ค่ะ”

“กลุ่มแมค เจ แล้วก็ข้าวฟ่าง เธอจะรีบปิดม่านเปลี่ยนฉากกันไปไหน ผู้ชมเขาไม่หนีไปหรอกนะ”

“ขอโทษครับ/ค่ะ” เมื่อผู้กำกับสาธยายความผิดพลาดทีเกิดขึ้นทั้งหมดเรียบร้อยนักแสดงและทีมงานก็แยกย้ายกันออกไป แต่เด็กหญิงยังคงยืนมองผู้กำกับอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมทีมหนูผู้กำกับไม่พูดอะไรเลยล่ะคะ” เมื่อเธอเอ่ยถามชายหนุ่มจึงส่งรอยยิ้มตอบกลับมา
“ก็เพราะมันไม่ผิดพลาดน่ะสิ แล้วจะให้ฉันหาจุดผิดที่ไหนมาติพวกเธอกัน” คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้เธออดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาขยี้ผมเธอเล็กน้อย “เดี๋ยวจะมีเลี้ยงฉลองที่ลอบบี้ เราลงไปกันเถอะ”

“หนูด้วยหรือคะ” นีรกานต์ถามอย่างแปลกใจ

“ใช่สิ ไม่ได้บอกว่าสำหรับนักแสดงอย่างเดียวเสียหน่อย” แต่เมื่อเธอเดินออกไปข้างนอกกลับพบอาจารย์ทั้งสองท่านรออยู่ก่อนแล้วผู้กำกับจึงขอตัวไปที่งานเลี้ยงก่อนเพราะไม่รู้ว่านักแสดงจะเปลี่ยนชุดกันเรียบร้อยแล้วหรือยัง

“วันนี้ครูแปลกใจจริงๆนะ” อาจารย์ประจำชั้นกล่าว

“มันแปลกหรือคะอาจารย์อุไร” เด็กหญิงมีสีหน้าเจื่อนลงเพราะไม่รู้ว่าที่ผู้กำกับพูดนั่นเพียงเพื่อปลอบใจเธอที่งานผิดพลาดหรือเปล่า

“มันเยี่ยมมากต่างหากล่ะ ตอนนี้ครูพอจะรู้แล้วว่าจะให้เธอเรียนสายไหนดี” อาจารย์อุไรยิ้ม

“ครูเองก็คิดว่าควรจะปลงกับการเรียนคณิตศาสตร์ของเธอเหมือนกัน” อาจารย์นิตยาหัวเราะ “ความสามารถของเธอครูคงต้องยอมรับว่ามันไปกับวิชาครูไม่ได้จริงๆ”

“หนูจะพยายามค่ะอาจารย์” เด็กหญิงส่งยิ้ม “อาจารย์คะไปที่ลอบบี้กันเถอะค่ะ ที่นั่นมีงานเลี้ยงค่ะ” เธอเอ่ยเชิญอาจารย์พร้อมกับดึงมือคนทั้งคู่

“ไม่ดีกว่าเธอไปเถอะ” อาจารย์อุไรว่า “เดี๋ยวคนอื่นจะรอนาน”

“ค่ะ” เด็กหญิงเอ่ยรับก่อนจะขอตัวจากอาจารย์ไปที่ลอบบี้



ปกรณ์เดินออกมาด้านนอกห้องแสดงและไปซื้อบัตรเอาไว้อีกใบหนึ่งเป็นรอบของวันพรุ่งนี้ เขามองนาฬิกาข้อมือก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาต่อสายถึงคนสนิทที่ทำหน้าที่เป็นเงาให้กับตน

“จิง ไปสืบมาทีว่าใครเป็นคนทำหน้าที่จัดแสงไฟในละครของวิณัฐพัชร์ครั้งนี้ ฉันขอชื่อ...ด่วน!” ชายหนุ่มวางสายก่อนจะหันกลับไปมองด้านในของโรงละครที่คนเริ่มออกมากันเรื่อยๆและตัดสินใจเดินไปที่ลอบบี้



นีรกานต์เดินเข้ามาในงานเลี้ยงช่วงที่ผู้กำกับกำลังพูดเปิดงานพอดี เธอมองซ้ายมองขวาไม่รู้ว่าตนเองจะไปอยู่จุดไหนของงานดี จนสุดท้ายก็หาที่ยืนข้างๆเสาต้นหนึ่งซึ่งใกล้กันนั้นเป็นโต๊ะวางอาหาร เด็กหญิงมองเวลาที่ผนังก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงตก

...วันนี้ก็คงไม่แคล้วโดนบ่นตามเคย...

หลังจากกล่าวเปิดจบวิณัฐพัชร์ก็ลงมาจากเวทีที่ทำขึ้นชั่วคราวแล้วเริ่มมาพูดคุยกับคนสำคัญต่างๆในวงการที่มาร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้ เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่หัวข้อในการสนทนากลับโยงเข้ามาหาเธอ

“การจัดแสงวันนี้แปลกไปจากทุกทีนะ” เด็กหญิงได้ยินเสียงการพูดคุยไม่ไกลนักซึ่งคู่สนทนาอีกคนหนึ่งเธอไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ เธอเห็นแล้วว่าคนที่กำลังคุยอยู่กับชายคนนั้นคือผู้กำกับนั่นเอง

“อย่างนั้นหรือครับ” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ “เป็นอย่างไรบ้างล่ะครับ”

“ยอดเยี่ยมผิดไปจากทุกทีที่เคยเห็นมาเลยล่ะ” ชายคนนั้นกล่าว “ได้ใครมาทำให้ล่ะ กมลวัชร์หรือพิชัย ไม่สิ งานของสองคนนั้นถึงจะยอดเยี่ยมแต่แนวก็ไม่ใช่แบบนี้นี่”

“ก็ไม่ใช่ทั้งคู่นั่นแหละครับ” เขาตอบ

“ใครกันล่ะ” เธอเห็นสีหน้าของผู้กำกับลำบากใจที่จะเอ่ยชื่อของเธอออกไป

“นั่นสิคุณวิณัฐพัชร์ คนคนนั้นเป็นใครกันล่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผู้กำกับ และในเวลาไม่นานรอบๆตัวเขาก็ไม่เหลือที่ว่างอีกต่อไป เด็กหญิงยิ่งแอบไปใกล้เสามากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะรู้ดีว่าตัวเองในตอนนี้ไม่ได้เป็นที่สนใจมากเท่าใดก็ตาม แต่หากผู้กำกับบอกชื่อเธอออกไปแล้วล่ะก็ คนที่สนใจจะต้องตามหาตัวเธอในงานนี้แน่ แล้วอย่าหวังเลยว่าจะได้ออกจากงานนี้ไปง่ายๆ

“ผมให้สิทธิ์ส่วนตัวกับเธอนะครับ” ชายหนุ่มรีบตอบออกมาทันที

“อะไรกัน ยิ่งคุณบอกพวกเรา คนคนนั้นก็จะมีงานทำไม่ใช่หรือคะ คุณจะใจร้ายกับอนาคตของคนอื่นได้เชียวหรอ” เสียงรบเร้ายังคงดังไม่หยุด

“ผมไม่ได้อยากใจร้ายหรอกนะครับ แต่ถ้าบอกออกไปจะเป็นการทำร้ายเธอมากกว่า” วิณัฐพัชร์ส่งสายตามาทางเธอ เด็กหญิงมองอย่างไม่เข้าใจ เขาตบหน้าผากตัวเอง

“ถ้าบอกแล้วทำไมถึงเป็นการทำร้ายล่ะครับ แบบนี้มันเป็นการส่งเสริมมากกว่าไม่ใช่หรือ” ชายคนแรกที่เข้ามาคุยกับผู้กำกับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“สำหรับคนอื่น คุณพูดไม่ผิดหรอกครับว่าเป็นการส่งเสริม แต่สำหรับเธอคนนี้ ผมไม่รู้ว่าจะอยู่ข่ายไหน นี่เป็นงานแรกของเธอ และแทบไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเธอทำงานนี้ครับ”

“เธอ...ผู้หญิงหรอ” ผู้กำกับหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาอ้าปากเหมือนจะพูดแต่สุดท้ายก็ปิดลงไป

“คุณวิณัฐพัชร์ คุณยังจะปิดอะไรอีกนะ” ชายคนหนึ่งที่อยู่ในวงล้อมพูดขึ้น “ผู้หญิงในนี้ก็ไม่เยอะนะครับ ส่วนมากพวกเราก็รู้จักหน้าอยู่แล้ว คุณแทบจะปิดอะไรไม่ได้แล้วนะครับที่จริง”

“ต่อให้เธออยู่ต่อหน้าพวกคุณ ผมก็จะไม่เอ่ยชื่อ” วิณัฐพัชร์ยังคงยืนยันซึ่งนั่นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ใครบางคนเดินเข้ามาทักเธอ

“เธอ...ทำไมถึงมาอยู่ในงานนี้ได้ล่ะ” ปกรณ์เอ่ยถามเด็กหญิงในชุดนักเรียนอย่างแปลกใจ เขาเห็นเธอที่โรงละครแห่งนี้สองครั้งแล้ว “ชื่ออะไรนะกานต์ ใช่ไหม”

“ค่ะ” เธอตอบรับประโยคหลัง แต่คำถามแรกยังคิดไม่ตกว่าจะตอบเช่นไร

“ตกลงว่าทำไมหนูกานต์ถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง นีรกานต์ตัวเริ่มสั่นน้อยๆ

“คนรู้จักของผม ผมชวนเธอเข้ามาเอง” วิณัฐพัชร์ฝ่าวงล้อมออกมาได้และยืนอยู่ด้านหลังรองประธานหนุ่ม “คงไม่ผิดอะไรเพราะนี่ก็งานของผม”

“ครับ” ปกรณ์ตอบรับอย่างขอไปที “ถึงอย่างนั้นก็เถอะนะแม่ตัวน้อย ไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่บ้างหรือไง ท่ามกลางพวกเราน่ะ”

“คุณไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งกับเธอ” ผู้กำกับเดินเข้ามาขวางระหว่างเด็กหญิงกับชายหนุ่ม

“กางปีกปกป้องเชียวนะ เด็กในสังกัดคุณหรือไง”

“หยุดดูถูกคนอื่นได้แล้วค่ะ” เธอตะโกนออกไป เสียงพูดคุยทั้งงานเลี้ยงเงียบไปในทันที

“ว่าไงแม่ตัวน้อย มีอะไรจะพูดล่ะ” สายตาของอีกฝ่ายกดต่ำลงมา

“คุณคงไม่มีทางสนใจฉันจริงหรอกใช่ไหมคะ”

“อย่าตั้งป้อมอย่างนั้นสิ ถ้าไม่สนแล้วจะช่วยเธอไว้ทำไมล่ะ” เขาตอบด้วยท่าทางสบายกว่าก่อนหน้า

“ถ้าตอนนั้นคุณช่วยฉันเพราะความสมเพชละก็ช่วยลืมไปด้วยเถอะคะ แล้วฉันกับคุณจะไม่เกี่ยวกันอีก” เธอจ้องตาเขากลับอย่างไม่คิดหลบ

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ” ปกรณ์ถอนหายใจ “แต่คำพูดก่อนหน้านี้ฉันไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะว่าฉันขอโทษใครไม่เป็น” สายตาของชายหนุ่มตวัดกลับไปหาผู้กำกับ

“คุณเองก็ไม่ควรดูถูกผม เพราะว่าคะแนนคุณมันจะยิ่งติดลบ” วิณัฐพัชร์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระชากนิดๆ

“หึ ผมไม่กลัว” ชายหนุ่มยกยิ้มที่ริมฝีปาก “อีกไม่นานหรอกครับ คุณวิณัฐพัชร์”

“คุณฝันไปหรือเปล่าครับที่ว่าอีกไม่นานนั่นน่ะ” ผู้กำกับหัวเราะเล็กน้อย

“มันเป็นความจริงที่จะเกิดขึ้นหลังจากผ่านพ้นวันนี้ไปครับ” ปกรณ์ตอบอย่างสบายอารมณ์ “แล้วก็แม่ตัวน้อย แก้ความเข้าใจผิดหน่อยนะ ฉันไม่ได้สมเพช แต่ฉันสงสารต่างหาก ใครจะปล่อยเด็กที่เป็นหวัดอยู่แบบนั้นได้กัน” พูดจบชายหนุ่มก็ขอตัวและเดินออกจากงานเลี้ยงทันที

“ตกลงว่าเธอรู้จักเขาสินะครับคุณหนู” วิณัฐพัชร์ก้มตัวลงมาเล็กน้อย

“ค่ะ” เธอถอนหายใจ “เขาเคยช่วยหนูไว้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรนะครับ” เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะลูบผมเธอเบาๆ “ต่อจากนี้ไปก็อยู่ห่างๆชายคนนั้นหน่อยนะครับ ผมเป็นห่วง”

“จากเหตุการณ์ในวันนี้หนูก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาเป็นคนที่ช่วยหนูเอาไว้” นีรกานต์เงยหน้ามองผู้กำกับ “เขาเปลี่ยนไปจากวันนั้นมากจริงๆค่ะ”

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆอย่างขบขัน “เขาไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกครับ ที่คุณเห็นวันนี้คือตัวจริงของเขาต่างหาก วันนั้นคงเป็นเพราะสงสารคุณอย่างที่เขาว่ามั้งครับ”

“ตัวจริงแบบนี้หนูไม่อยากรู้จักเลยค่ะ”

“ทำใจเถอะครับ ภาพเทพบุตรใจดี คุณคงไม่มีทางได้เห็นอีกแล้ว” วิณัฐพัชร์ ยืดตัวขึ้น “ลืมเรื่องเมื่อครู่เถอะครับ ขอให้รู้สึกว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นแล้วสนุกกับงานเลี้ยงตอนนี้นะครับ”

“เอ๊ะ” เธอมองเขาอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มก้มลงมากระซิบที่ข้างหู

“งานนี้ผมจัดให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกคนนะครับ ถึงไม่มีใครรู้ แต่คุณหนูก็เป็นหนึ่งในทีมงาน” ชายหนุ่มดึงมือเธอให้ออกห่างจากเสา “จบงานนี้แล้วเดี๋ยวไปส่งที่บ้าน...นะครับ”



Netisia
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ธ.ค. 2556, 11:58:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ธ.ค. 2556, 11:58:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1081





<< บทที่ 1 ก้าวแรกสู่เบื้องหลัง   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account