Switch
ฉันหลงคุณ ฉันรักคุณ และฉันอยากจะเจอคุณเหลือเกิน
ผมรักคุณ แต่ผมทำให้คุณเกลียด ผมอยากจะรักคุณ แต่ผมทำไม่ได้ ผมบอกคุณไม่ได้ว่าคนคนนั้นคือผมเอง
ผมได้แต่มองพวกคุณจากตรงนี้ แต่ผมช่วยใครไม่ได้ ผมยื่นมือออกไปไม่ได้ ผมอยากจะทำ แต่ตัวผมเป็นได้แค่เงา
ผมรักคุณ แต่ผมทำให้คุณเกลียด ผมอยากจะรักคุณ แต่ผมทำไม่ได้ ผมบอกคุณไม่ได้ว่าคนคนนั้นคือผมเอง
ผมได้แต่มองพวกคุณจากตรงนี้ แต่ผมช่วยใครไม่ได้ ผมยื่นมือออกไปไม่ได้ ผมอยากจะทำ แต่ตัวผมเป็นได้แค่เงา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 1 ก้าวแรกสู่เบื้องหลัง
หนึ่งเดือนถัดมาจากการล้มป่วยและได้คนแปลกหน้าช่วยไว้ เด็กหญิงก็ได้เข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งของโรงเรียนมัธยมใกล้บ้าน การเรียนการสอนของที่นี่นั้นจะมีการแบ่งสายการเรียนตั้งแต่เทอมสองเป็นต้นไปเพื่อปูพื้นฐานสำหรับการเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งทุกคนจะพยายามเรียนให้ได้คะแนนอยู่ในอันดับต้นๆของระดับไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีโอกาสในการเรียนต่อสายวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ได้เลย
นีรกานต์ เด็กหญิงที่เข้าได้ในคะแนนท้ายๆของระดับ เธอต้องพัฒนาตัวเองอีกมากถึงจะสามารถเรียนในสายวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ของโรงเรียนได้เช่นคนอื่นๆ แม่ของเธอทำงานที่ร้านขายของชำเมื่อเลิกเรียนเด็กหญิงจึงต้องไปช่วยแม่ของเธอขายของจนถึงดึกกว่าจะได้กลับเข้าบ้านก็เป็นเวลาสามทุ่ม โอกาสทบทวนหนังสือนั้นแทบไม่มีเลย ช่วงเวลาที่มีลูกค้าไม่มากเธอจะอ่านหนังสือที่หน้าร้านจึงทำให้โดนดุบ่อยเพราะคนที่เดินผ่านไปมาจะไม่รู้ว่าเป็นร้านขายของชำ
“ต่อจากนี้ไปช่วงเวลาพักเที่ยงครูจะเรียกนักเรียนเข้าพบทุกวันเพื่อวางแผนการเรียนในอนาคตนะ กรุณามาให้ตรงตามวันและเวลาของตัวเองด้วย” อาจารย์ประจำชั้นพูดขึ้นในเช้าของการเรียนในสัปดาห์ที่สอง
อนาคต...อย่างนั้นหรือ จะเรียนต่ออะไรดีล่ะ ผลการเรียนอยู่ระดับปานกลางมาตั้งแต่ประถม แถมยังไม่เก่งทางด้านภาษาอีก จะได้เรียนต่อระดับมัธยมปลายหรือเปล่าก็ไม่รู้ เงินที่บ้านไม่น่าจะมีพอส่งด้วยซ้ำ ถ้าทำงานช่วยที่บ้านที่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเท่าไหร่อยู่แล้วคงไม่ได้เงินเพิ่มแน่ๆ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ
การเรียนการสอนผ่านไปหนึ่งวันเพื่อนๆสามคนในห้องได้เข้าไปคุยกับอาจารย์เรียบร้อยแล้ว เธอได้แต่ถอนหายใจระหว่างเดินทางกลับบ้านอย่างเช่นทุกวันที่ผ่านมา
ระหว่างทางมีทั้งโรงแรมโรงเรียน ร้านขายของธรรมดารวมถึงห้างสรรพสินค้า จะมีที่ไหนที่มีงานพิเศษให้คนอย่างเราทำบ้างนะ วุฒิการศึกษาแบบนี้ก็คงสมัครที่ไหนไม่ได้ด้วย
“นี่แกถ้าจะทำงานชุ่ยๆแบบนี้ละก็นะลาออกไปเลยดีกว่า” เสียงตะโกนดังมาจากร้านหนึ่งซึ่งประตูกระจกเปิดอยู่
“คุณคิดว่าจะหาคนที่เก่งกว่าผมได้หรือไง” ชายอีกคนตะโกนตอบ เขาเป็นคนที่เปิด
ประตูค้างเอาไว้
“ความสามารถอย่างแกหาได้ง่ายจะตายไป ตามข้างทางคนเก่งกว่าแกยังมีอีกตั้งเยอะ” เสียงตะโกนที่ยังคงไม่เห็นผู้พูดดังออกมาจากร้านนั้นเธอตัดสินใจจะเดินต่อและละความสนใจจากเสียงนั้น
“ถ้างั้นก็ลองดูไหมละครับ...นี่แม่หนูคนนั้นน่ะ ที่ใส่ชุดนักเรียนเดินไปทางตะวันตกมานี่หน่อยสิ” เด็กหญิงชะงักและหันมองรอบตัว...ไม่มีใครนอกจากตัวเธอเอง “เธอนั่นแหละ”
นีรกานต์มองตามเข้าไปในร้านที่เธอเข้าใจว่าเป็นร้านขายของในทีแรกแต่พอได้เดินเข้าไปด้านในแล้วเธอจึงรู้ว่ามันไม่ใช่เลย ที่นี่ไม่ใช่ร้านขายของแต่มันเป็นโรงละครต่างหาก
“เรียกหนู...หรือคะ” เธอเอ่ยถามพลางมองชายที่สวมแว่นสายตาในมือถือปึกกระดาษปึกใหญ่และหน้าตาไม่สบอารมณ์มองผู้ชายอีกคนในชุดเสื้อยืดธรรมดาที่เปิดประตูเรียกเธอเข้ามา
“ใช่แล้ว...ว่าไงครับ คุณพร้อมจะลองเสี่ยงไหมล่ะ” ท้ายประโยคชายคนนั้นหันไปพูดกับคนที่ทำหน้าบึ้งอยู่ อีกฝ่ายยิ้มที่มุมปากและหันมามองเธอ
“เอาสิ” ชายคนนั้นเดินเข้ามาหาเธอและหยุดห่างในระยะสองก้าว “ฉันชื่อวิณัฐพัชร์ เป็นผู้กำกับและตอนนี้กำลังอยากจะไล่ช่างจัดแสงไฟออกคนหนึ่ง คุณหนูจะมาทำหน้าที่นี่แทนได้ไหมครับ” เธอมองเขาอย่างอึ้งๆ
“เอ่อ...คือหนูเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นนะคะ”
“เพราะเป็นเด็กนักเรียนไงล่ะฉันถึงได้มั่นใจว่าเธอจะทำหน้าที่นี้แทนหมอนั่นได้ จากสายตาที่เธอมองรอบตัวตลอดน่ะ ฉันมั่นใจในระดับหนึ่ง” วิณัฐพัชร์ก้มตัวลงมาจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับเธอ “ไม่ลองก็ไม่รู้นะ สนใจไหม” รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นแสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่การจัดไฟอะไรนี่เธอก็ไม่เคยทำเสียด้วยสิ แล้วมันจะออกมาดีหรือทำให้งานของเขาเละกันแน่นะ
“แต่หนูไม่เคยทำงาน...นะคะ” เธอถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่มั่นใจแต่ได้รับการลูบผมเป็นคำตอบ
“ฉันเชื่อในสายตาของฉัน...ฉันเชื่อในสายตาของเธอ” คำตอบนั้นทำให้เธอนึกอยากจะลองขึ้นมา
เอาสิเด็กชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งนี่แหละ เด็กหัวปานกลางอย่างเธอจะลองมาจับงานเป็นชิ้นเป็นอัน ใครเขาจะเชื่อ แต่ถ้าทำสำเร็จก็จะได้เงินกลับบ้านด้วยไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เสียหายอะไร...ลองดูสิ ในเมื่อผู้กำกับก็พูดเองว่าเขาเชื่อในสายตาของเธอ เมื่อเขาเชื่อเราก็ต้องไม่ทำให้เขาผิดหวังไม่ใช่หรือ
“ตกลงค่ะ”
“เอาล่ะ ถ้างั้นเรามาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้วกันนะ ฉันวิณัฐพัชร์ ไชยวรวงศ์ ตอนนี้กำลังเป็นผู้กำกับละครเรื่องใหม่ถึงจะไม่ใช่มือใหม่ก็เถอะ ส่วนคนที่เรียกเธอมาชื่อมนภาส ซึ่งไม่ต้องไปสนใจมันหรอกเพราะฉันกำลังจะไล่เขาออกอยู่แล้ว” คุณผู้กำกับยืดตัวเต็มความสูงมือข้างที่ถือบทนั้นท้าวเอวด้วยท่วงท่าสบายๆ “คุณหนูล่ะครับชื่ออะไร”
“นีรกานต์ พฤษศิริสมบัติค่ะ” เด็กหญิงก้มศีรษะลงและพนมมือทำความเคารพอีกฝ่าย
“ยอดเยี่ยม ถ้าอย่างนั้นก็ตามมาทางนี้เลย” ทางที่ชายหนุ่มนำเธอไปเป็นโรงละครที่จะใช้แสดงจริงในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า “อันนี้เป็นแบบแปลนคร่าวๆสำหรับการแสดงให้รู้ว่าต้องใช้ไฟส่องที่นักแสดงตอนไหนเพื่อเพิ่มอารมณ์ในฉาก แต่ฉันคิดว่ามันยังไม่ดีพอ ก็อย่างที่บอกละนะว่าฉันตั้งใจจะไล่มนภาสออก”
เธอมองตามแผนงานร่างนั้นและทำความเข้าใจควบคู่ไปกับบทละครที่ผู้กำกับนำมาให้เธออ่านเพื่อวางแผนงาน ทำให้ดี ทำให้สวย เน้นในสิ่งที่ควรเน้น...ในแต่ละฉากเธอควรจะเน้นอะไรดีนะ
“คือว่า...หนูขอเอางานนี้กลับไปทำที่บ้านได้ไหมคะ แล้วพรุ่งนี้จะนำมาเสนอค่ะ” เธอมองผู้กำกับที่กำลังจัดท่าทางของนักแสดง
“ฉันให้เวลาเธอสี่วันเลยตามสบาย พร้อมเมื่อไหร่ก็มาที่นี่ได้” ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบกระดาษสีขาวแข็งๆออกมาใบหนึ่ง “นี่นามบัตรของฉัน ถ้ามาแล้วไม่เจอโทรหาได้ แต่ยังไงช่วงนี้ก็เจอแหละเพราะใกล้แสดงแล้ว โชคดีนะคุณหนู ฉันคาดหวังใน
ฝีมืออันยอดเยี่ยมของเธออยู่”
นีรกานต์เดินออกจากโรงละครแห่งนี้พร้อมกับเอกสารที่ถูกนำเก็บลงกระเป๋า กว่าจะกลับถึงบ้านก็ช้ากว่าปกติไปถึงสองชั่วโมง เธอโดนบ่นจนหูชาแต่ก็ยอมรับว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเธอเองที่เถลไถล แต่คงจะไม่สามารถบอกแม่ได้ว่าเธอรับงานมาทำ
"ทำไมคุณถึงกล้าให้เด็กคนนั้นทำงานล่ะครับ" นักแสดงนำชายเอ่ยถามผู้กำกับที่นั่งยิ้มอยู่หน้าจอมอนิเตอร์
"มุมมองของเด็กมันไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ บางทีเราอาจคาดหวังงานที่แตกต่างได้” เขาลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนสั่งนักแสดงที่ผิดคิวก่อนจะหันกลับมาพูดกับชายหนุ่ม อีกครั้ง “อีกอย่างฉันคุ้นหน้าเด็กคนนั้น ไม่แน่อาจจะเป็นคนรู้จักกันมาก่อนในวงการนี้ก็ได้”
“คนในวงการหรือครับ” นักแสดงเอ่ยอย่างแปลกใจ
“ใช่ นักจัดแสดงอัจฉริยะที่หายไปจากวงการเมื่อสามปีก่อนไงล่ะ”
“เอ...Jo’s Boysอย่างนั้นเหรอ” เด็กหญิงอ่านเนื้อเรื่องนั้นซ้ำอยู่หลายครั้งก่อนจะค่อยๆจัดช่วงอารมณ์ในแต่ละตอนของละครออกมาตั้งแต่ความรักต้องห้าม ความสิ้นหวังไปจนถึงการฆาตกรรม ตัวละครต่างๆในเรื่องนี้มีหลายจุดที่ควรเน้น หลายจุดที่ไม่ควรเน้น...แล้วจะจัดแสงไฟอย่างไรให้เข้ากับเนื้อหาเหล่านี้ดี
ไฟในห้องนอนของเธอยังคงเปิดสว่างตลอดคืนโดยที่คนเป็นแม่ไม่มีโอกาสได้รู้เพราะเด็กหญิงได้เอาหมอนของตนมาปิดช่องด้านล่างของประตูเอาไว้เพื่อกันแสงลอดออกไป
“จัดแสง...ถ้าเน้นไปที่กลางเวทีอย่างเดียวแล้วจัดให้ส่วนที่คนแสดงมืดลงจะเป็นยังไงนะ...ไม่ได้สิ เอาแค่พอสลัวให้เห็นถึงโศกนาฏกรรม อืม...” เด็กหญิงลำดับการจัดแสงใส่กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าในฉากเดิมๆเธอคิดวิธีเปลี่ยนมันถึงห้าหกครั้ง การเปลี่ยนจุดเน้นของไฟทำให้เกิดได้ทั้งอารมณ์ร่วมและการตัดอารมณ์ ถ้าทำผิดพลาดแม้เพียงนิดละก็การแสดงนั้นๆจะไม่ได้รับความสนใจอย่างเต็มที่ นักแสดงที่มีฝีมือ ถ้าไม่ได้แสดงท่ามกลางแสงสว่างก็จะไม่มีใครเห็นค่าของความสามารถนั้น นักจัดแสงถึงแม้จะเป็นเบื้องหลัง แต่หากไม่มีเขาเหล่านั้นการแสดงก็ไม่อาจถูกเปิดเผยต่อผู้ชมได้
“เอาล่ะ คิดว่าอย่างนี้น่าจะใช้ได้แล้ว เหลือก็แต่ลองจริงเท่านั้น” เธอยิ้มอย่างยินดีก่อนจะเก็บกระดาษและบทละครทั้งหมดใส่ลงกระเป๋านักเรียนและดึงหมอนออกจากช่องประตูก่อนจะปิดไฟล้มตัวลงนอน
“พรุ่งนี้...งานแรกนะ อย่าให้พลาดล่ะ” เธอเฝ้าบอกกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งหลับไป
“กานต์ลูกตื่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก” เสียงเรียกดังอยู่ข้างๆหูพร้อมกับ
แรงเขย่า
“ฮื่อ อีกแปบ” เด็กหญิงส่งเสียงบอกก่อนจะพลิกตัวไปอีกด้าน
“ถ้าไม่ลุกตอนนี้ไม่ต้องกินข้าว!” เสียงประกาศิตที่ดังขึ้นทำให้เธอต้องลุกขึ้นมาในทันทีก่อนจะจัดการตัวเองให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
“อ๊า...สายแล้วๆ ไปก่อนนะคะแม่” นีรกานต์รีบวิ่งออกจากบ้านโดยที่ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าเลยแม้แต่คำเดียว เธอไปถึงโรงเรียนด้วยเวลาที่เกือบจะสาย ในห้องเรียนนั้นมีเสียงพูดคุยดังตลอดเวลาจนกระทั่งเพลงเรียกแถวดังขึ้น นักเรียนค่อยๆทยอยกันออกจากห้องไปเข้าแถวที่หน้าเสาธง
เมื่อเข้าแถวเรียบร้อยก็ถึงเวลาเรียนวิชาแรก ซึ่งวันนี้เป็นวิชาประวัติศาสตร์ อาจารย์ผู้สอนคืออาจารย์ประจำชั้นของเธอ
“วันนี้ครูจะเรียกอีกสามคนนะ เริ่มจากนีรกานต์ ทศพล และมุนินธร ไปพบที่ห้องพักครูในคาบพักเที่ยงนะ” เมื่ออาจารย์พูดจบก็เริ่มสอนต่อในทันที เธอจดสิ่งที่อาจารย์สอนพร้อมวาดรูปแผนที่ประกอบเมื่ออาจารย์ฉายภาพขึ้นบนกระดาน
เวลาพักเที่ยงมาถึงไวจนเด็กหญิงอดถอนหายใจไม่ได้ แม้ว่าอาหารเช้าจะยังไม่ได้
ทาน แต่ว่าเที่ยงนี้เธอจำเป็นที่จะต้องเข้าพบอาจารย์เป็นคนแรก
“ขออนุญาตค่ะ” นีรกานต์เอ่ยขึ้นยามที่เปิดประตูห้องพักครู อาจารย์เอ่ยรับเธอจึงก้าวเข้าไปด้านใน ที่โต๊ะตัวซ้ายสุดหลังห้องติดกับหน้าต่างเป็นโต๊ะของอาจารย์ประจำชั้นของเธอ
“นั่งลงสิ บนเก้าอี้นี่แหละ” อาจารย์เอ่ยสำทับเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะนั่งลงกับพื้น เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ประจำชั้นและไม่ปริปากพูดอะไร ท่านยิ้มขึ้นก่อนจะวางกระดาษตรงหน้าเธอปึกหนึ่ง “อยากจะเรียนอะไรต่อล่ะนีรกานต์ ถ้าดูตามผลการเรียนครูว่าน่าจะไปทางด้านสังคมศาสตร์นะ”
“หนูยังไม่ทราบค่ะว่าจะเรียนอะไรต่อดี แต่ว่าหนูได้งานมาทำงานหนึ่ง...”เด็กหญิงเงียบไป ก่อนจะกระชับมือของตนเองบนตัก “คือ ถ้ามันออกมาดี หนูจะได้ทำงานนี้ต่อ อาจารย์คะถ้าจะไม่รบกวนจนเกินไป หนูอยากให้อาจารย์มาดูผลงานของหนูค่ะ”
“หืม? งานหรอ” อาจารย์มองมาอย่างแปลกใจ นีรกานต์หยิบของออกมาจากกระเป๋าที่นำติดเข้ามาด้วยและยื่นให้อาจารย์
“นี่ค่ะ” เธอนั่งมองอาจารย์ครู่หนึ่ง “เป็นงานเบื้องหลังของโรงละคร หนูทำหน้าที่จัดไฟค่ะ” ความเงียบโรยตัวลงมา เด็กหญิงเริ่มเหงื่อออกเล็กน้อยบนใบหน้า เธอกังวลอย่างประหลาดทั้งๆที่ไม่ได้มีอะไรควรให้กังวล
“ครูดูงานแบบนี้ไม่เป็นหรอกนะ แต่ถ้าในวันแสดงจริงคงบอกได้ ไว้รอวันงานนั้นผ่านไปก่อนแล้วครูจะเรียกเธอมาคุยอีกครั้งแล้วกันนะ ว่าแต่แสดงวันไหนล่ะ” อาจารย์เอ่ยถาม
“อีกหกวัน รอบหกโมงครึ่งค่ะ เดี๋ยวหนูจะเอาบัตรมาให้วันหลังนะคะ” เด็กหญิงบอกกับอาจารย์ด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวครูจะไปดูนะ เอาล่ะ วันนี้ไปทานข้าวได้” เธอประนมมือทำความเคารพอาจารย์และลุกจากเก้าอี้ “อ้อ เอาอันนี้ไปทำด้วยเป็นแบบสอบถาม เผื่อจะได้รู้ตัวตนของเธอ
เองมากขึ้น” อาจารย์ยื่นปึกกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะเมื่อครู่มาให้ เธอก้มศีรษะและรับเอกสารก่อนจะเดินออกจากห้องพักอาจารย์ไป
อาจารย์วางเอกสารงานของเธอไว้บนสุดของปึกกระดาษนี้ เด็กหญิงเลื่อนมันไปไว้ล่างสุดระหว่างเดินไปโรงอาหาร แบบทดสอบที่อาจารย์เอามาให้ทำนั้นเป็นคำถามที่ละเอียดมากทีเดียว เธออ่านไปได้ครู่หนึ่งก็เก็บลงกระเป๋าและเดินไปซื้ออาหาร
สิ่งที่เด็กหญิงรอคอยในวันนี้ไม่ใช่เวลาอาหารเที่ยง ไม่ใช่วิชาเรียนภาคบ่าย แต่เป็นเวลาเลิกเรียนที่เธอจะเดินทางไปยังโรงละครแห่งนั้นเพื่อทำงานต่างหาก
“คุณวิณัฐพัชร์มีคนมาขอพบครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งวิ่งเข้ามายังประตูห้องซ้อม
“ใครกันได้แจ้งไว้ไหม” เจ้าของชื่อเอ่ยถามกลับพลางสั่งให้นักแสดงซ้อมกันต่อไปก่อน
“คุณปกรณ์จากคณะศิลปินครับ” ชายหนุ่มยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะตะโกนตอบกลับไป เขาวางบทละครเอาไว้ที่เก้าอี้ซึ่งตนนั่งอยู่เมื่อครู่และเดินไปยังห้องรับรองที่สองซึ่งมีแขก
มารออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับ ไม่ได้เจอกันนานเหมือนกันนะครับเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเปิดประตูเข้าไป อีกฝ่ายมีบอดี้การ์ดสองคนยืนประกบอยู่ด้านหลัง “มีธุระอะไรกันครับถึงได้มาที่นี่ได้”
“ไม่คิดว่าผมจะบังเอิญเดินผ่านมาบ้างเลยหรอ” อีกฝ่ายยิ้มที่มุมปากอย่างเป็นเอกลักษณ์
“ล้อเล่นน่ะ พาบอดี้การ์ดมาด้วยสองคนอย่างนี้น่ะนะ” วิณัฐพัชร์นั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม พนักงานนำน้ำมาเสิร์ฟให้เขาและคนตรงหน้า “เข้าเรื่องกันดีกว่าครับว่าคุณมาทำอะไรที่นี่”
“ผมเคยแจ้งความจำนงกับคุณหลายครั้งแล้วแต่คุณก็ปฏิเสธผมมาตลอด” ปกรณ์ยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ “ผมอยากได้ตัวคุณไปทำงานกับคณะของเรา”
“คำตอบที่ผ่านมาของผมเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นครับ ผมรักงานอิสระมากกว่างานที่ผูกมัดนะครับ”
“จนกว่าจะไม่มีที่ให้คุณสร้างสรรค์ผลงานสินะครับ” ชายหนุ่มวางแก้วลงบนโต๊ะและจ้องประสานสายตากับอีกฝ่าย “จะต้องโดนผมบีบแค่ไหนคุณถึงจะยอม”
“ตลอดชีวิตนี้ผมจะไม่ร่วมงานกับคุณเด็ดขาด” วิณัฐพัชร์ลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตู แต่ก่อนที่จะได้ก้าวออกไปจากห้องอีกฝ่ายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็น
“แล้วผมจะคอยดูวันที่คุณต้องมาทำงานกับผม”
“มันจะไม่มีวันนั้น” เขาตอบกลับด้วยเสียงเย็นพอกันแล้วปิดประตู
“จะดีหรือครับที่ปล่อยเขาไว้แบบนี้คุณปกรณ์” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ดีแล้วล่ะ อีกไม่นานก็จะไม่มีที่ให้เขาได้ทำงานอีกแล้ว ยิ่งเราบีบเขามากเท่าไหร่ เขาก็ต้องหนีมากเท่านั้น ถ้าจนปัญญาจริงๆยังไงเขาก็ต้องมาพึ่งเรา” ปกรณ์ลุกขึ้นจากโซฟา
แล้วเดินไปทางประตู “กลับกันได้เราหมดธุระที่นี่แล้ว” ชายหนุ่มเดินออกจากห้องไปในขณะที่ลูกน้องยังคงยืนนิ่ง
“ทำไมนายของเราถึงได้เลือดเย็นอย่างนี้นะ” อีกคนบ่นพลางถอนหายใจ ซึ่งสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้แต่มองหน้ากันก่อนจะเดินตามนายของตนออกไป
“บ่ายสามสิบนาที จะเลิกกองกันหรือยังนะ” เด็กหญิงมองนาฬิกาที่อาคารก่อนจะรีบวิ่งไปต่อแถวเพื่อออกจากโรงเรียน เมื่อพ้นเขตโรงเรียนออกมาแล้วอัตราการก้าวเดินของเธอก็เร็วกว่าปกติ เพียงยี่สิบนาทีเธอก็ไปถึงโรงละครและแจ้งความจำนงต่อเจ้าหน้าที่ด้านหน้า อีกฝ่ายส่งคนเข้าไปที่ห้องแสดง เพียงไม่นานคนที่เธอต้องการพบก็เดินออกมา
“ตามที่บอกไว้เลยนะ” วิณัฐพัชร์ยิ้มก่อนจะก้มตัวลงและดึงมือเธอให้เดินตาม “เรามาดูของจริงกันดีกว่า” สองข้างทางมีทั้งนักแสดงและเจ้าหน้าที่ ทั้งหมดมองตรงมาที่เธอซึ่งเดินอยู่กับผู้กำกับ เสียงพูดคุยดังขึ้นอย่างน่าประหลาดเพราะก่อนหน้านี้เธอยังไม่ได้ยินเสียงพูดคุยดังเท่านี้เลยตอนที่ยืนรอผู้กำกับ
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในโรงแสดงที่มีการซ้อมใหญ่กันอยู่นักแสดงแต่ละคนก็หันมามองเธอกับผู้กำกับที่ก้าวเข้ามาใหม่
“ไปด้านบนสิ ฝ่ายแสงรอเธออยู่แล้ว ถ้าพร้อมแล้วให้บอกได้เลย นักแสดงจะได้ซ้อมจริงเหมือนกัน” ชายหนุ่มเดินไปคุยกับนักแสดงพร้อมกำชับเรื่องคิวการพูดในขณะที่เด็กสาวก็เดินขึ้นเวที ไปยังด้านหลังแล้วก้าวขึ้นบันได้สู่ชั้นบน ฝ่ายจัดแสงนั้นมีราวๆห้าคน หนึ่งในนั้นมีมนภาสยืนดูอยู่ห่างๆ อีกสี่คนที่เหลือคุยเรื่องแผนจัดแสดงกับเธอจนเข้าใจกันดี สองคนเดินลงไปด้านล่างเพื่อจัดตำแหน่งไฟข้างเวที
“สาวน้อยดูเธอมั่นใจเหลือเกินนะ” มนภาสยืนพิงกำแพงสบายๆมองมาทางเธอที่มีรอย
ยิ้มประดับอยู่
“เหมือนอย่างนั้นหรอคะ หนูว่าตัวหนูน่ะสั่นไปหมดเลย ครั้งแรกก็อย่างนี้แหละค่ะ” เธอก้มศีรษะให้เขาเมื่อทีมงานสองคนเดินขึ้นมาด้านบน เด็กหญิงบอกให้ผู้กำกับรับทราบ เสียงตะโกนจากเบื้องล่างดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแสดง
เมื่อถึงเวลาแสดงจริงๆ นักจัดแสงอีกสี่คนกลับยืนคุยกับมนภาสอยู่มุมห้องปล่อยให้เธอรับหน้าที่จัดการสับสวิตช์เพียงคนเดียว นีรกานต์มองตามการแสดงเบื้องล่างพร้อมกับเลื่อนแสงสปอร์ตไลท์ตามนักแสดงนำหญิง ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นจังหวะที่เธอต้องเปลี่ยนแสงจากสีฟ้าเป็นสีเขียว ทว่ามือของเธอเอื้อมไปไม่ถึง เด็กหญิงปล่อยมือจากสปอร์ตไลท์ไปสับสวิตช์เปลี่ยนแสง
ที่ด้านล่างนักแสดงหญิงเดินออกจากจุดที่สปอร์ตไลท์ส่องอยู่ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองด้านบนตามบทบาทที่ต้องแสดง แสงที่เพิ่งกลายเป็นสีเขียวช่างขัดกับบรรยากาศที่กำลังแสดง เธอขมวดคิ้วกับคิวแสงที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าของช่างจัดแสงคนเก่าเสียอีก
เด็กหญิงวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างสปอร์ตไลท์สามตัวกับแผงสวิตช์ไฟ การจัดเรียงนั้นมั่วไปหมด ผิดจากที่เธอตั้งใจไว้ทุกอย่าง การแสดงหนึ่งชั่วโมงสี่สิบห้านาทีแสดงถึงความผิดพลาดทั้งหมด
“นี่มันอะไรน่ะห๊า” วิณัฐพัชร์ตบบทละครกับเก้าอี้ผู้ชมที่ตนนั่งอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนที่ฝ่ายจัดแสง “นีรกานต์ กรุณาลงมาหาผมเดี๋ยวนี้”
เด็กหญิงเดินลงมาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าของเธอ ในมือของเธอถือแผนงานเอาไว้ เมื่อลงมาถึงด้านล่างและยืนต่อหน้าผู้กำกับตัวเธอก็เหมือนเล็กลงยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
“นี่มันอะไร เกิดอะไรขึ้น” เขาถามเธอด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“คือ...” นีรกานต์กำแผนงานในมือแน่นไม่กล้าพูดออกไป ใครจะเชื่อเธออย่างนั้นหรอ ผู้ใหญ่ห้าคนกับเด็กเพียงคนเดียวที่เพิ่งก้าวเข้ามาที่นี่ไม่นาน
“บอกมาสิ เกิดอะไรขึ้น” เขาคาดคั้นยิ่งขึ้น สายตาไล่มองอุปกรณ์ด้านบนที่แสงไฟยังคงเปิดค้างเอาไว้ “ถ้าเธอคิดว่างานนี้มันเล่นๆละก็เชิญกลับไปได้เลย ถือว่าที่ฉันเคยให้เธอมาทำงานที่นี่เป็นแค่ฝันตื่นหนึ่งก็แล้วกัน” ชายหนุ่มหันหลังและสั่งให้นักแสดงไปนั่งพัก ตัวเขานั่งลงบนเก้าอี้ผู้ชมตัวหนึ่งหน้าเวทีสองมือกำเข้าหากันแน่น
“ขอโทษค่ะ” เด็กหญิงเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้กำกับ “หนูไม่ได้ต้องการจะให้มันเป็นแบบนี้”
“แล้วแบบไหนล่ะที่เธอต้องการ” เขาถามกลับไปพร้อมกับจ้องอีกฝ่าย
นีรกานต์เดินตัวลีบเข้าไปหาผู้กำกับพร้อมกับแผนงาน มือของเธอสั่นน้อยๆตอนที่ยืนมันให้กับอีกฝ่าย ชายหนุ่มรับมันมาแล้วเปิดผ่านไปเรื่อยๆ เธออธิบายทุกอย่างในรายละเอียดของแต่ละหน้าที่เขาหยุดพิจารณา เมื่อเขาเปิดถึงหน้าสุดท้ายและเธออธิบาย
จบเขาก็นิ่งไป
“แล้วทำไมการแสดงเมื่อครู่ถึงไม่ได้เป็นแบบนี้กันล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเธอพร้อมกับยื่นแผนงานคืนมาให้ “บอกเหตุผลมาสิ”
เธอรับแผนงานมาก่อนจะก้มหน้ามองมือของตนเองที่ประสานเอาไว้ด้านหน้า “หนูไม่ได้รับความร่วมมือจากพวกพี่ๆค่ะ” นีรกานต์เงยหน้าขึ้นมานิดหนึ่งแล้วมองปฏิกิริยาของผู้กำกับที่ยังคงนิ่งสนิทไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา “ตอนแรกก็เหมือนพวกพี่เขาจะคอยช่วยเหลือหนูอย่างดี แต่พอเริ่มแสดงแล้วมันไม่ใช่”
“ที่ว่าไม่ใช่นี่หมายถึงอะไร” เขาลุกขึ้นมายืนกอดอกยิ่งทำให้เด็กหญิงประหม่ายิ่งกว่าเดิม
“ตอนแรกพี่เขาก็มาดูแผนงานด้วยกัน ทั้งสี่คนน่ะค่ะ แล้วพี่สองคนก็อาสาลงมาช่วยจัดด้านล่างนี่ให้ แต่พอหนูบอกคุณว่าพร้อมแล้ว พวกพี่เขากลับเดินไปอยู่ที่มุมห้องแล้วคุยกันปล่อยให้หนูคุมแสงอยู่คนเดียว”
“อย่างนั้นหรอ...” ชายหนุ่มพึมพำขึ้นมา
“คะ?” เธอเอ่ย
“เหตุการณ์เป็นแบบนี้แน่นะ” เขาเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง
“ค่ะ” พูดได้เพียงเท่านั้นวิณัฐพัชร์ก็เดินออกไปจากห้องและทิ้งให้เธอยืนอยู่คนเดียว ไม่นานนักเสียงตะโกนโวยวายก็ดังออกมาจากด้านนอก
“นี่มันอะไรกัน! ตกลงว่านี่พวกคุณเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่า” เด็กหญิงสะดุ้งกับเสียงของผู้กำกับที่ดังลอดเข้ามาทั้งๆที่ห้องแสดงนี้เป็นห้องเก็บเสียง “ใช้ได้ที่ไหน ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย พวกคุณอยากโดนไล่ออกแบบมนภาสใช่ไหม”
“ถ้าอย่างนั้นหวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีกนะ กลับเข้าไปข้างในแล้วขอโทษเธอซะ” ประตูห้องแสดงถูกเปิดขึ้นอีกครั้งโดยผู้กำกับ ชายสี่คนเดินเรียงกันเข้ามาด้านใน “เอ้าขอโทษได้แล้ว” เมื่อทั้งสี่ยืนประจันหน้ากับเธอรวมถึงชายหนุ่มที่เดินมาสมทบ
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูไม่ได้คิดอะไร” เธอรีบเอ่ยห้ามทันทีเพราะมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ถ้าให้ผู้ใหญ่มาขอโทษแบบนี้
“ต่อให้ไม่คิด พวกเขาก็สมควรจะต้องขอโทษเพราะการกระทำที่ไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่แบบนั้น” วิณัฐพัชร์ยังคงยืนยันคำเดิม เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆเด็กหญิงแล้วกอดอกมองทั้งสี่คนด้วยแววตาเชือดเฉือน
“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ” เธอหันไปมองผู้กำกับที่ยังคงทำหน้าบอกบุญไม่รับ “หนูไม่คิดอะไรหรอกค่ะ การทำงานมันก็ต้องมีอะไรแบบนี้บ้างไม่ใช่หรือคะ” ชายหนุ่มถอนหายใจ
“มันก็ใช่อยู่หรอก” เขาคลายมือออก “เอาเถอะถือว่าครั้งนี้ยกประโยชน์ให้จำเลยก็ได้” ถึงปากจะพูดเช่นนั้นแต่แววตาของเขาก็ยังคงคาดโทษทั้งสี่คนอยู่
เด็กหญิงยิ้มให้กำลังใจทั้งสี่คนที่ถูกผู้กำกับหนุ่มคาดโทษ เธอมองดูความเงียบที่โรยตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นคนทำลายความเงียบนั้น
“คราวนี้ฉันจะให้พวกนายแก้ตัว อย่าให้เหมือนที่ผ่านมาอีกล่ะ” วิณัฐพัชร์เอ่ยขึ้นก่อนจะตะโกน “นักแสดงเข้าที่!”
“จะเริ่มใหม่หรือคะ” เธอเอ่ยถามชายหนุ่มที่จับจ้องไปทางเวที
“ใช่สิ แล้วคราวนี้เธอจะได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงเสียที” เขาหันมายิ้มให้กับเธอ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย “เธอเองก็ไปเตรียมตัวเถอะ ถ้าพร้อมแล้วก็บอกได้เลย”
“ค่ะ” เธอยิ้มรับก่อนจะรีบเดินขึ้นไปด้านบนพร้อมๆกับเจ้าหน้าที่อีกสี่คน เด็กหญิงบอกผู้กำกับด้านล่างเมื่อเธอพร้อมแล้ว
นีรกานต์ดูการแสดงพร้อมๆกับปรับตำแหน่งไฟทุกอย่างให้เป็นไปตามที่เธอจัดวางเอาไว้ในแบบแปลน ทีมงานอีกสามคนคอยช่วยกดสวิตช์ไฟต่างๆเพื่อเปลี่ยนไฟอย่างพร้อมเพรียง
วิณัฐพัชร์ยิ้มเล็กน้อยเมื่อละครดำเนินไปได้ครึ่งเรื่อง เขาเอนตัวนั่งสบายๆบนเก้าอี้ของผู้ชมแถวเอส แสงไฟถูกปรับจากของเดิมแทบทุกฉาก แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นที่พอใจของชายหนุ่มซึ่งนั่งชมการแสดงราวกับว่านี่เป็นรอบปฐมทัศน์
เมื่อการแสดงจบลงไฟทั้งเวทีดับพร้อมกันหมดก่อนแสงสีแดงจะฉายไล้ตัวละครทั้งหมดทีละคนแล้วเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวที่ส่องไปยังนักแสดงนำ ชายหนุ่มปรบมือสามครั้งเป็นสัญญาณเลิก ทีมงานด้านบนดึงตัวเด็กหญิงให้ก้าวลงมาและไปพบผู้กำกับรวมถึงนักแสดงคนอื่นๆเบื้องล่าง
“สายตาของฉันมองไม่พลาดเสียด้วยสิ” วิณัฐพัชร์ยิ้มกว้างกว่าตอนที่นั่งชมการแสดง
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ถึงเวลาไล่ออกอย่างเป็นทางการแล้วนะ มนภาส” ชายเจ้าของชื่อกำมือแน่นก่อนจะหมุนตัวเดินหนีออกไป
“เป็นแบบนี้จะดีหรือคะ” นีรกานต์มองตามด้วยสายตาเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างหมอนั่นแค่ทระนงตน ต่อจากนี้ไปก็คงจะยืนขึ้นได้เองนั่นล่ะ” ชายหนุ่มมองตามหลังอดีตทีมงาน “วันนี้พอแค่นี้ก่อนกลับบ้านได้”
“อาจารย์ครับกินยาเขย่าขวดหรือเปล่า” เสียงถามดังขึ้นทันทีที่ผู้กำกับพูดจบประโยค
“เดี๋ยวเถอะจะให้ซ้อมจนถึงวันแสดงเลย” ชายหนุ่มขู่เสียงดังจนเหล่านักแสดงวิ่งออกจากห้องแสดงในทันที เพียงห้านาทีแม้กระทั่งทีมงานก็ไม่เหลืออยู่ในห้องเลย เว้นเด็กหญิง
“เธอเองก็รีบกลับดีกว่านะ เดี๋ยวจะเย็นจนเกินไป” วิณัฐพัชร์มองดูนาฬิกา “ไม่สิ ไปหาข้าวเย็นกินกันดีกว่ามื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“เอ่อ...” เด็กหญิงตั้งท่าจะปฏิเสธแต่ก็ถูกอีกฝ่ายส่ายศีรษะ
“ไปเถอะ ฉลองการร่วมงานของเราก็ได้นะคุณหนู” สุดท้ายแล้วเธอก็ได้แต่พยักหน้ารับและเดินออกจากโรงละครพร้อมกับผู้กำกับ เขาบอกให้เธอยืนรออยู่ที่ด้านหน้าในขณะ
ที่ตนเองนั้นเดินไปด้านข้างของโรงละครึ่งเป็นที่จอดรถ เพียงไม่นานรถยนต์ออร์ดี้สีขาวก็มาจอดอยู่ด้านหน้า กระจกฝั่งคนขับเลื่อนลงมานิดหนึ่ง
“ขึ้นมาสิ ฉันพาไปไม่ไกลหรอก แล้วก็จะไม่ให้กลับดึกด้วย” เมื่อเห็นเด็กสาวท่าทางไม่กล้าฝ่ายชายจึงเดินลงจากรถแล้วคว้าข้อมือของเด็กหญิงไปด้านข้างคนขับแล้วเปิดประตูให้ “เชิญครับ” เธอขึ้นไปนั่งอย่างเสียไม่ได้ เพียงครู่เดียวรถก็จอดอยู่ที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงละคร แต่ด้านในนั้นตกแต่งอย่างหรูหรา
“คือว่า...พาหนูมาอย่างนี้จะดีหรือคะ” เธอเอ่ยถามผู้กำกับที่มาเปิดประตูให้
“น่า ไม่เป็นไรหรอก มาเถอะ” ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปด้านใน โชคดีที่มีโต๊ะว่างติดริมหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรวันนี้จึงมีคนมามากเป็นพิเศษ
วิณัฐพัชร์สั่งอาหารมาสองสามอย่างพร้อมถามความเห็นกับเด็กหญิงที่พามาด้วย เธอตอบรับว่าแล้วแต่เขาแทบทุกอย่าง ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะสั่งน้ำเพิ่มอีกสองรายการ
“อย่าเกร็งสิ ฉันไม่ได้จะหลอกเธอไปขายหรอกนะ” เขายิ้มขึ้นในขณะที่เด็กหญิงยังคงนั่งก้มหน้า “เอาน่า เงยหน้ามองวิวก็ได้เวลาเย็นๆแบบนี้มันสวยออกนะ”
ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันโชคดีของชายหนุ่มหรือวันโชคร้ายของเด็กหญิงที่มีคนในวงการเข้ามาในร้านอาหารนี้มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็รู้จักผู้กำกับวิณัฐพัชร์จึงเดินเข้ามาทักทายตลอดเวลาและเอ่ยแซวเรื่องเด็กหญิงที่มาด้วยกันในครั้งนี้ จนกระทั่งมีนักแสดงหญิงคนหนึ่งหยุดมองที่นีรกานต์เป็นพิเศษและเอ่ยถามเด็กหญิงที่เริ่มทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“หนูรู้จักกับคุณฉัตรชัย พฤษศิริสมบัติหรือเปล่า” ชื่อที่เอ่ยถามสะกิดทั้งผู้กำกับและเด็ก
หญิงให้หันมาสนใจในทันที เธอเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
“รู้จักคุณพ่อด้วยหรือคะ” นักแสดงคนนั้นหัวเราะนิดหนึ่งก่อนพูดขึ้น
“อัจฉริยะของวงการ ถ้าไม่รู้จักก็แปลกแล้วล่ะ” วิณัฐพัชร์ทุบฝ่ามืออย่างนึกขึ้นได้ เขาจำคนไม่ผิดจริงๆด้วย ถึงจะลืมเลือนชื่อของอีกฝ่ายไปแต่ใบหน้านั้นยังคงจำได้ถึงทุกวันนี้
“จริงหรอคะ หนูไม่ค่อยรู้จักกับคุณพ่อเลย ไม่รู้ว่าท่านทำงานอะไรอยู่ที่ไหน นี่ท่านก็ไม่ได้ส่งจดหมายมาตั้งสามปีแล้วล่ะค่ะ” เธอทำหน้าเศร้าก้มมองมือของตัวเองบนตัก
“เอ่อ ยังไงเดี๋ยวก็ได้เจอเองแหละจ๊ะ ตอนนี้คงจะงานเยอะละมั้ง” นักแสดงคนนั้นทำหน้าไม่ถูกเมื่อัเห็นท่าทางของเด็กหญิง “ถ้าอย่างไรขอตัวก่อนนะคะคุณวิณัฐพัชร์ แล้วก็หนูน้อย”
“คุณรู้จักพ่อไหมคะ” นีรกานต์เอ่ยถามชายหนุ่มเมื่อลับร่างของนักแสดงสาวไป อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ
“น่าจะรู้จักนะ แต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้วล่ะขอโทษด้วย” ชายหนุ่มมองใบหน้าของเธอที่ฉายแววเศร้าแล้วทำตัวไม่ถูกโชคดีที่บริกรนำอาหารมาเสิร์ฟพอดี “ทานข้าวเถอะจะได้ไม่กลับเย็นมาก” เขารีบเปลี่ยนเรื่องในทันที เธอยิ้มรับเพียงเล็กน้อยก่อนจะนั่งทานอาหารเงียบๆ
วิณัฐพัชร์ส่งเด็กหญิงเพียงหน้าถนนใหญ่ห่างจากบ้านราวๆสองร้อยเมตร เธอขอให้ส่งเพียงเท่านั้นเพราะยังไม่ได้บอกแม่เรื่องงานในคราวนี้ เขาพอจะเข้าใจอยู่บ้างว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายเพราะปกติแล้วก็คงไม่มีผู้ใหญ่สติดีคนไหนจ้างเด็กมัธยมต้นทำงานหรอก
“โชคดีนะ มาอีกทีวันแสดงจริงเลยก็ได้งานของเธอเรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มเขาเลื่อนกระจกลงและเอ่ยกับเธอที่ปิดประตูรถเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณมากค่ะสำหรับวันนี้” เธอยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะขอตัวเดินจากมา เมื่อกลับถึงบ้านด้วยเวลาที่ดึกยิ่งกว่าเมื่อวาน แม่ก็นั่งอบรมเธอเสียยืดยาวว่าอย่ากลับเย็นเช่นนี้อีก
ทางด้านวิณัฐพัชร์หลังจากที่เด็กหญิงเดินจากไปแล้วเขายังคงจอดรถอยู่ที่เดิมมือสองข้างกำพวงมาลัยเอาไว้และแนบศีรษะไปกับมัน
“ฉันโชคดีที่ได้เจอเธอนะหนูน้อย แต่เธอจะโชคร้ายแน่ๆหลังการแสดงครั้งนี้จบลง” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นและขับรถออกไป
นีรกานต์ เด็กหญิงที่เข้าได้ในคะแนนท้ายๆของระดับ เธอต้องพัฒนาตัวเองอีกมากถึงจะสามารถเรียนในสายวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ของโรงเรียนได้เช่นคนอื่นๆ แม่ของเธอทำงานที่ร้านขายของชำเมื่อเลิกเรียนเด็กหญิงจึงต้องไปช่วยแม่ของเธอขายของจนถึงดึกกว่าจะได้กลับเข้าบ้านก็เป็นเวลาสามทุ่ม โอกาสทบทวนหนังสือนั้นแทบไม่มีเลย ช่วงเวลาที่มีลูกค้าไม่มากเธอจะอ่านหนังสือที่หน้าร้านจึงทำให้โดนดุบ่อยเพราะคนที่เดินผ่านไปมาจะไม่รู้ว่าเป็นร้านขายของชำ
“ต่อจากนี้ไปช่วงเวลาพักเที่ยงครูจะเรียกนักเรียนเข้าพบทุกวันเพื่อวางแผนการเรียนในอนาคตนะ กรุณามาให้ตรงตามวันและเวลาของตัวเองด้วย” อาจารย์ประจำชั้นพูดขึ้นในเช้าของการเรียนในสัปดาห์ที่สอง
อนาคต...อย่างนั้นหรือ จะเรียนต่ออะไรดีล่ะ ผลการเรียนอยู่ระดับปานกลางมาตั้งแต่ประถม แถมยังไม่เก่งทางด้านภาษาอีก จะได้เรียนต่อระดับมัธยมปลายหรือเปล่าก็ไม่รู้ เงินที่บ้านไม่น่าจะมีพอส่งด้วยซ้ำ ถ้าทำงานช่วยที่บ้านที่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเท่าไหร่อยู่แล้วคงไม่ได้เงินเพิ่มแน่ๆ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ
การเรียนการสอนผ่านไปหนึ่งวันเพื่อนๆสามคนในห้องได้เข้าไปคุยกับอาจารย์เรียบร้อยแล้ว เธอได้แต่ถอนหายใจระหว่างเดินทางกลับบ้านอย่างเช่นทุกวันที่ผ่านมา
ระหว่างทางมีทั้งโรงแรมโรงเรียน ร้านขายของธรรมดารวมถึงห้างสรรพสินค้า จะมีที่ไหนที่มีงานพิเศษให้คนอย่างเราทำบ้างนะ วุฒิการศึกษาแบบนี้ก็คงสมัครที่ไหนไม่ได้ด้วย
“นี่แกถ้าจะทำงานชุ่ยๆแบบนี้ละก็นะลาออกไปเลยดีกว่า” เสียงตะโกนดังมาจากร้านหนึ่งซึ่งประตูกระจกเปิดอยู่
“คุณคิดว่าจะหาคนที่เก่งกว่าผมได้หรือไง” ชายอีกคนตะโกนตอบ เขาเป็นคนที่เปิด
ประตูค้างเอาไว้
“ความสามารถอย่างแกหาได้ง่ายจะตายไป ตามข้างทางคนเก่งกว่าแกยังมีอีกตั้งเยอะ” เสียงตะโกนที่ยังคงไม่เห็นผู้พูดดังออกมาจากร้านนั้นเธอตัดสินใจจะเดินต่อและละความสนใจจากเสียงนั้น
“ถ้างั้นก็ลองดูไหมละครับ...นี่แม่หนูคนนั้นน่ะ ที่ใส่ชุดนักเรียนเดินไปทางตะวันตกมานี่หน่อยสิ” เด็กหญิงชะงักและหันมองรอบตัว...ไม่มีใครนอกจากตัวเธอเอง “เธอนั่นแหละ”
นีรกานต์มองตามเข้าไปในร้านที่เธอเข้าใจว่าเป็นร้านขายของในทีแรกแต่พอได้เดินเข้าไปด้านในแล้วเธอจึงรู้ว่ามันไม่ใช่เลย ที่นี่ไม่ใช่ร้านขายของแต่มันเป็นโรงละครต่างหาก
“เรียกหนู...หรือคะ” เธอเอ่ยถามพลางมองชายที่สวมแว่นสายตาในมือถือปึกกระดาษปึกใหญ่และหน้าตาไม่สบอารมณ์มองผู้ชายอีกคนในชุดเสื้อยืดธรรมดาที่เปิดประตูเรียกเธอเข้ามา
“ใช่แล้ว...ว่าไงครับ คุณพร้อมจะลองเสี่ยงไหมล่ะ” ท้ายประโยคชายคนนั้นหันไปพูดกับคนที่ทำหน้าบึ้งอยู่ อีกฝ่ายยิ้มที่มุมปากและหันมามองเธอ
“เอาสิ” ชายคนนั้นเดินเข้ามาหาเธอและหยุดห่างในระยะสองก้าว “ฉันชื่อวิณัฐพัชร์ เป็นผู้กำกับและตอนนี้กำลังอยากจะไล่ช่างจัดแสงไฟออกคนหนึ่ง คุณหนูจะมาทำหน้าที่นี่แทนได้ไหมครับ” เธอมองเขาอย่างอึ้งๆ
“เอ่อ...คือหนูเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นนะคะ”
“เพราะเป็นเด็กนักเรียนไงล่ะฉันถึงได้มั่นใจว่าเธอจะทำหน้าที่นี้แทนหมอนั่นได้ จากสายตาที่เธอมองรอบตัวตลอดน่ะ ฉันมั่นใจในระดับหนึ่ง” วิณัฐพัชร์ก้มตัวลงมาจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับเธอ “ไม่ลองก็ไม่รู้นะ สนใจไหม” รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นแสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่การจัดไฟอะไรนี่เธอก็ไม่เคยทำเสียด้วยสิ แล้วมันจะออกมาดีหรือทำให้งานของเขาเละกันแน่นะ
“แต่หนูไม่เคยทำงาน...นะคะ” เธอถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่มั่นใจแต่ได้รับการลูบผมเป็นคำตอบ
“ฉันเชื่อในสายตาของฉัน...ฉันเชื่อในสายตาของเธอ” คำตอบนั้นทำให้เธอนึกอยากจะลองขึ้นมา
เอาสิเด็กชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งนี่แหละ เด็กหัวปานกลางอย่างเธอจะลองมาจับงานเป็นชิ้นเป็นอัน ใครเขาจะเชื่อ แต่ถ้าทำสำเร็จก็จะได้เงินกลับบ้านด้วยไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เสียหายอะไร...ลองดูสิ ในเมื่อผู้กำกับก็พูดเองว่าเขาเชื่อในสายตาของเธอ เมื่อเขาเชื่อเราก็ต้องไม่ทำให้เขาผิดหวังไม่ใช่หรือ
“ตกลงค่ะ”
“เอาล่ะ ถ้างั้นเรามาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้วกันนะ ฉันวิณัฐพัชร์ ไชยวรวงศ์ ตอนนี้กำลังเป็นผู้กำกับละครเรื่องใหม่ถึงจะไม่ใช่มือใหม่ก็เถอะ ส่วนคนที่เรียกเธอมาชื่อมนภาส ซึ่งไม่ต้องไปสนใจมันหรอกเพราะฉันกำลังจะไล่เขาออกอยู่แล้ว” คุณผู้กำกับยืดตัวเต็มความสูงมือข้างที่ถือบทนั้นท้าวเอวด้วยท่วงท่าสบายๆ “คุณหนูล่ะครับชื่ออะไร”
“นีรกานต์ พฤษศิริสมบัติค่ะ” เด็กหญิงก้มศีรษะลงและพนมมือทำความเคารพอีกฝ่าย
“ยอดเยี่ยม ถ้าอย่างนั้นก็ตามมาทางนี้เลย” ทางที่ชายหนุ่มนำเธอไปเป็นโรงละครที่จะใช้แสดงจริงในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า “อันนี้เป็นแบบแปลนคร่าวๆสำหรับการแสดงให้รู้ว่าต้องใช้ไฟส่องที่นักแสดงตอนไหนเพื่อเพิ่มอารมณ์ในฉาก แต่ฉันคิดว่ามันยังไม่ดีพอ ก็อย่างที่บอกละนะว่าฉันตั้งใจจะไล่มนภาสออก”
เธอมองตามแผนงานร่างนั้นและทำความเข้าใจควบคู่ไปกับบทละครที่ผู้กำกับนำมาให้เธออ่านเพื่อวางแผนงาน ทำให้ดี ทำให้สวย เน้นในสิ่งที่ควรเน้น...ในแต่ละฉากเธอควรจะเน้นอะไรดีนะ
“คือว่า...หนูขอเอางานนี้กลับไปทำที่บ้านได้ไหมคะ แล้วพรุ่งนี้จะนำมาเสนอค่ะ” เธอมองผู้กำกับที่กำลังจัดท่าทางของนักแสดง
“ฉันให้เวลาเธอสี่วันเลยตามสบาย พร้อมเมื่อไหร่ก็มาที่นี่ได้” ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบกระดาษสีขาวแข็งๆออกมาใบหนึ่ง “นี่นามบัตรของฉัน ถ้ามาแล้วไม่เจอโทรหาได้ แต่ยังไงช่วงนี้ก็เจอแหละเพราะใกล้แสดงแล้ว โชคดีนะคุณหนู ฉันคาดหวังใน
ฝีมืออันยอดเยี่ยมของเธออยู่”
นีรกานต์เดินออกจากโรงละครแห่งนี้พร้อมกับเอกสารที่ถูกนำเก็บลงกระเป๋า กว่าจะกลับถึงบ้านก็ช้ากว่าปกติไปถึงสองชั่วโมง เธอโดนบ่นจนหูชาแต่ก็ยอมรับว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเธอเองที่เถลไถล แต่คงจะไม่สามารถบอกแม่ได้ว่าเธอรับงานมาทำ
"ทำไมคุณถึงกล้าให้เด็กคนนั้นทำงานล่ะครับ" นักแสดงนำชายเอ่ยถามผู้กำกับที่นั่งยิ้มอยู่หน้าจอมอนิเตอร์
"มุมมองของเด็กมันไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ บางทีเราอาจคาดหวังงานที่แตกต่างได้” เขาลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนสั่งนักแสดงที่ผิดคิวก่อนจะหันกลับมาพูดกับชายหนุ่ม อีกครั้ง “อีกอย่างฉันคุ้นหน้าเด็กคนนั้น ไม่แน่อาจจะเป็นคนรู้จักกันมาก่อนในวงการนี้ก็ได้”
“คนในวงการหรือครับ” นักแสดงเอ่ยอย่างแปลกใจ
“ใช่ นักจัดแสดงอัจฉริยะที่หายไปจากวงการเมื่อสามปีก่อนไงล่ะ”
“เอ...Jo’s Boysอย่างนั้นเหรอ” เด็กหญิงอ่านเนื้อเรื่องนั้นซ้ำอยู่หลายครั้งก่อนจะค่อยๆจัดช่วงอารมณ์ในแต่ละตอนของละครออกมาตั้งแต่ความรักต้องห้าม ความสิ้นหวังไปจนถึงการฆาตกรรม ตัวละครต่างๆในเรื่องนี้มีหลายจุดที่ควรเน้น หลายจุดที่ไม่ควรเน้น...แล้วจะจัดแสงไฟอย่างไรให้เข้ากับเนื้อหาเหล่านี้ดี
ไฟในห้องนอนของเธอยังคงเปิดสว่างตลอดคืนโดยที่คนเป็นแม่ไม่มีโอกาสได้รู้เพราะเด็กหญิงได้เอาหมอนของตนมาปิดช่องด้านล่างของประตูเอาไว้เพื่อกันแสงลอดออกไป
“จัดแสง...ถ้าเน้นไปที่กลางเวทีอย่างเดียวแล้วจัดให้ส่วนที่คนแสดงมืดลงจะเป็นยังไงนะ...ไม่ได้สิ เอาแค่พอสลัวให้เห็นถึงโศกนาฏกรรม อืม...” เด็กหญิงลำดับการจัดแสงใส่กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าในฉากเดิมๆเธอคิดวิธีเปลี่ยนมันถึงห้าหกครั้ง การเปลี่ยนจุดเน้นของไฟทำให้เกิดได้ทั้งอารมณ์ร่วมและการตัดอารมณ์ ถ้าทำผิดพลาดแม้เพียงนิดละก็การแสดงนั้นๆจะไม่ได้รับความสนใจอย่างเต็มที่ นักแสดงที่มีฝีมือ ถ้าไม่ได้แสดงท่ามกลางแสงสว่างก็จะไม่มีใครเห็นค่าของความสามารถนั้น นักจัดแสงถึงแม้จะเป็นเบื้องหลัง แต่หากไม่มีเขาเหล่านั้นการแสดงก็ไม่อาจถูกเปิดเผยต่อผู้ชมได้
“เอาล่ะ คิดว่าอย่างนี้น่าจะใช้ได้แล้ว เหลือก็แต่ลองจริงเท่านั้น” เธอยิ้มอย่างยินดีก่อนจะเก็บกระดาษและบทละครทั้งหมดใส่ลงกระเป๋านักเรียนและดึงหมอนออกจากช่องประตูก่อนจะปิดไฟล้มตัวลงนอน
“พรุ่งนี้...งานแรกนะ อย่าให้พลาดล่ะ” เธอเฝ้าบอกกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งหลับไป
“กานต์ลูกตื่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก” เสียงเรียกดังอยู่ข้างๆหูพร้อมกับ
แรงเขย่า
“ฮื่อ อีกแปบ” เด็กหญิงส่งเสียงบอกก่อนจะพลิกตัวไปอีกด้าน
“ถ้าไม่ลุกตอนนี้ไม่ต้องกินข้าว!” เสียงประกาศิตที่ดังขึ้นทำให้เธอต้องลุกขึ้นมาในทันทีก่อนจะจัดการตัวเองให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
“อ๊า...สายแล้วๆ ไปก่อนนะคะแม่” นีรกานต์รีบวิ่งออกจากบ้านโดยที่ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าเลยแม้แต่คำเดียว เธอไปถึงโรงเรียนด้วยเวลาที่เกือบจะสาย ในห้องเรียนนั้นมีเสียงพูดคุยดังตลอดเวลาจนกระทั่งเพลงเรียกแถวดังขึ้น นักเรียนค่อยๆทยอยกันออกจากห้องไปเข้าแถวที่หน้าเสาธง
เมื่อเข้าแถวเรียบร้อยก็ถึงเวลาเรียนวิชาแรก ซึ่งวันนี้เป็นวิชาประวัติศาสตร์ อาจารย์ผู้สอนคืออาจารย์ประจำชั้นของเธอ
“วันนี้ครูจะเรียกอีกสามคนนะ เริ่มจากนีรกานต์ ทศพล และมุนินธร ไปพบที่ห้องพักครูในคาบพักเที่ยงนะ” เมื่ออาจารย์พูดจบก็เริ่มสอนต่อในทันที เธอจดสิ่งที่อาจารย์สอนพร้อมวาดรูปแผนที่ประกอบเมื่ออาจารย์ฉายภาพขึ้นบนกระดาน
เวลาพักเที่ยงมาถึงไวจนเด็กหญิงอดถอนหายใจไม่ได้ แม้ว่าอาหารเช้าจะยังไม่ได้
ทาน แต่ว่าเที่ยงนี้เธอจำเป็นที่จะต้องเข้าพบอาจารย์เป็นคนแรก
“ขออนุญาตค่ะ” นีรกานต์เอ่ยขึ้นยามที่เปิดประตูห้องพักครู อาจารย์เอ่ยรับเธอจึงก้าวเข้าไปด้านใน ที่โต๊ะตัวซ้ายสุดหลังห้องติดกับหน้าต่างเป็นโต๊ะของอาจารย์ประจำชั้นของเธอ
“นั่งลงสิ บนเก้าอี้นี่แหละ” อาจารย์เอ่ยสำทับเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะนั่งลงกับพื้น เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ประจำชั้นและไม่ปริปากพูดอะไร ท่านยิ้มขึ้นก่อนจะวางกระดาษตรงหน้าเธอปึกหนึ่ง “อยากจะเรียนอะไรต่อล่ะนีรกานต์ ถ้าดูตามผลการเรียนครูว่าน่าจะไปทางด้านสังคมศาสตร์นะ”
“หนูยังไม่ทราบค่ะว่าจะเรียนอะไรต่อดี แต่ว่าหนูได้งานมาทำงานหนึ่ง...”เด็กหญิงเงียบไป ก่อนจะกระชับมือของตนเองบนตัก “คือ ถ้ามันออกมาดี หนูจะได้ทำงานนี้ต่อ อาจารย์คะถ้าจะไม่รบกวนจนเกินไป หนูอยากให้อาจารย์มาดูผลงานของหนูค่ะ”
“หืม? งานหรอ” อาจารย์มองมาอย่างแปลกใจ นีรกานต์หยิบของออกมาจากกระเป๋าที่นำติดเข้ามาด้วยและยื่นให้อาจารย์
“นี่ค่ะ” เธอนั่งมองอาจารย์ครู่หนึ่ง “เป็นงานเบื้องหลังของโรงละคร หนูทำหน้าที่จัดไฟค่ะ” ความเงียบโรยตัวลงมา เด็กหญิงเริ่มเหงื่อออกเล็กน้อยบนใบหน้า เธอกังวลอย่างประหลาดทั้งๆที่ไม่ได้มีอะไรควรให้กังวล
“ครูดูงานแบบนี้ไม่เป็นหรอกนะ แต่ถ้าในวันแสดงจริงคงบอกได้ ไว้รอวันงานนั้นผ่านไปก่อนแล้วครูจะเรียกเธอมาคุยอีกครั้งแล้วกันนะ ว่าแต่แสดงวันไหนล่ะ” อาจารย์เอ่ยถาม
“อีกหกวัน รอบหกโมงครึ่งค่ะ เดี๋ยวหนูจะเอาบัตรมาให้วันหลังนะคะ” เด็กหญิงบอกกับอาจารย์ด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวครูจะไปดูนะ เอาล่ะ วันนี้ไปทานข้าวได้” เธอประนมมือทำความเคารพอาจารย์และลุกจากเก้าอี้ “อ้อ เอาอันนี้ไปทำด้วยเป็นแบบสอบถาม เผื่อจะได้รู้ตัวตนของเธอ
เองมากขึ้น” อาจารย์ยื่นปึกกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะเมื่อครู่มาให้ เธอก้มศีรษะและรับเอกสารก่อนจะเดินออกจากห้องพักอาจารย์ไป
อาจารย์วางเอกสารงานของเธอไว้บนสุดของปึกกระดาษนี้ เด็กหญิงเลื่อนมันไปไว้ล่างสุดระหว่างเดินไปโรงอาหาร แบบทดสอบที่อาจารย์เอามาให้ทำนั้นเป็นคำถามที่ละเอียดมากทีเดียว เธออ่านไปได้ครู่หนึ่งก็เก็บลงกระเป๋าและเดินไปซื้ออาหาร
สิ่งที่เด็กหญิงรอคอยในวันนี้ไม่ใช่เวลาอาหารเที่ยง ไม่ใช่วิชาเรียนภาคบ่าย แต่เป็นเวลาเลิกเรียนที่เธอจะเดินทางไปยังโรงละครแห่งนั้นเพื่อทำงานต่างหาก
“คุณวิณัฐพัชร์มีคนมาขอพบครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งวิ่งเข้ามายังประตูห้องซ้อม
“ใครกันได้แจ้งไว้ไหม” เจ้าของชื่อเอ่ยถามกลับพลางสั่งให้นักแสดงซ้อมกันต่อไปก่อน
“คุณปกรณ์จากคณะศิลปินครับ” ชายหนุ่มยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะตะโกนตอบกลับไป เขาวางบทละครเอาไว้ที่เก้าอี้ซึ่งตนนั่งอยู่เมื่อครู่และเดินไปยังห้องรับรองที่สองซึ่งมีแขก
มารออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับ ไม่ได้เจอกันนานเหมือนกันนะครับเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเปิดประตูเข้าไป อีกฝ่ายมีบอดี้การ์ดสองคนยืนประกบอยู่ด้านหลัง “มีธุระอะไรกันครับถึงได้มาที่นี่ได้”
“ไม่คิดว่าผมจะบังเอิญเดินผ่านมาบ้างเลยหรอ” อีกฝ่ายยิ้มที่มุมปากอย่างเป็นเอกลักษณ์
“ล้อเล่นน่ะ พาบอดี้การ์ดมาด้วยสองคนอย่างนี้น่ะนะ” วิณัฐพัชร์นั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม พนักงานนำน้ำมาเสิร์ฟให้เขาและคนตรงหน้า “เข้าเรื่องกันดีกว่าครับว่าคุณมาทำอะไรที่นี่”
“ผมเคยแจ้งความจำนงกับคุณหลายครั้งแล้วแต่คุณก็ปฏิเสธผมมาตลอด” ปกรณ์ยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ “ผมอยากได้ตัวคุณไปทำงานกับคณะของเรา”
“คำตอบที่ผ่านมาของผมเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นครับ ผมรักงานอิสระมากกว่างานที่ผูกมัดนะครับ”
“จนกว่าจะไม่มีที่ให้คุณสร้างสรรค์ผลงานสินะครับ” ชายหนุ่มวางแก้วลงบนโต๊ะและจ้องประสานสายตากับอีกฝ่าย “จะต้องโดนผมบีบแค่ไหนคุณถึงจะยอม”
“ตลอดชีวิตนี้ผมจะไม่ร่วมงานกับคุณเด็ดขาด” วิณัฐพัชร์ลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตู แต่ก่อนที่จะได้ก้าวออกไปจากห้องอีกฝ่ายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็น
“แล้วผมจะคอยดูวันที่คุณต้องมาทำงานกับผม”
“มันจะไม่มีวันนั้น” เขาตอบกลับด้วยเสียงเย็นพอกันแล้วปิดประตู
“จะดีหรือครับที่ปล่อยเขาไว้แบบนี้คุณปกรณ์” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ดีแล้วล่ะ อีกไม่นานก็จะไม่มีที่ให้เขาได้ทำงานอีกแล้ว ยิ่งเราบีบเขามากเท่าไหร่ เขาก็ต้องหนีมากเท่านั้น ถ้าจนปัญญาจริงๆยังไงเขาก็ต้องมาพึ่งเรา” ปกรณ์ลุกขึ้นจากโซฟา
แล้วเดินไปทางประตู “กลับกันได้เราหมดธุระที่นี่แล้ว” ชายหนุ่มเดินออกจากห้องไปในขณะที่ลูกน้องยังคงยืนนิ่ง
“ทำไมนายของเราถึงได้เลือดเย็นอย่างนี้นะ” อีกคนบ่นพลางถอนหายใจ ซึ่งสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้แต่มองหน้ากันก่อนจะเดินตามนายของตนออกไป
“บ่ายสามสิบนาที จะเลิกกองกันหรือยังนะ” เด็กหญิงมองนาฬิกาที่อาคารก่อนจะรีบวิ่งไปต่อแถวเพื่อออกจากโรงเรียน เมื่อพ้นเขตโรงเรียนออกมาแล้วอัตราการก้าวเดินของเธอก็เร็วกว่าปกติ เพียงยี่สิบนาทีเธอก็ไปถึงโรงละครและแจ้งความจำนงต่อเจ้าหน้าที่ด้านหน้า อีกฝ่ายส่งคนเข้าไปที่ห้องแสดง เพียงไม่นานคนที่เธอต้องการพบก็เดินออกมา
“ตามที่บอกไว้เลยนะ” วิณัฐพัชร์ยิ้มก่อนจะก้มตัวลงและดึงมือเธอให้เดินตาม “เรามาดูของจริงกันดีกว่า” สองข้างทางมีทั้งนักแสดงและเจ้าหน้าที่ ทั้งหมดมองตรงมาที่เธอซึ่งเดินอยู่กับผู้กำกับ เสียงพูดคุยดังขึ้นอย่างน่าประหลาดเพราะก่อนหน้านี้เธอยังไม่ได้ยินเสียงพูดคุยดังเท่านี้เลยตอนที่ยืนรอผู้กำกับ
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในโรงแสดงที่มีการซ้อมใหญ่กันอยู่นักแสดงแต่ละคนก็หันมามองเธอกับผู้กำกับที่ก้าวเข้ามาใหม่
“ไปด้านบนสิ ฝ่ายแสงรอเธออยู่แล้ว ถ้าพร้อมแล้วให้บอกได้เลย นักแสดงจะได้ซ้อมจริงเหมือนกัน” ชายหนุ่มเดินไปคุยกับนักแสดงพร้อมกำชับเรื่องคิวการพูดในขณะที่เด็กสาวก็เดินขึ้นเวที ไปยังด้านหลังแล้วก้าวขึ้นบันได้สู่ชั้นบน ฝ่ายจัดแสงนั้นมีราวๆห้าคน หนึ่งในนั้นมีมนภาสยืนดูอยู่ห่างๆ อีกสี่คนที่เหลือคุยเรื่องแผนจัดแสดงกับเธอจนเข้าใจกันดี สองคนเดินลงไปด้านล่างเพื่อจัดตำแหน่งไฟข้างเวที
“สาวน้อยดูเธอมั่นใจเหลือเกินนะ” มนภาสยืนพิงกำแพงสบายๆมองมาทางเธอที่มีรอย
ยิ้มประดับอยู่
“เหมือนอย่างนั้นหรอคะ หนูว่าตัวหนูน่ะสั่นไปหมดเลย ครั้งแรกก็อย่างนี้แหละค่ะ” เธอก้มศีรษะให้เขาเมื่อทีมงานสองคนเดินขึ้นมาด้านบน เด็กหญิงบอกให้ผู้กำกับรับทราบ เสียงตะโกนจากเบื้องล่างดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแสดง
เมื่อถึงเวลาแสดงจริงๆ นักจัดแสงอีกสี่คนกลับยืนคุยกับมนภาสอยู่มุมห้องปล่อยให้เธอรับหน้าที่จัดการสับสวิตช์เพียงคนเดียว นีรกานต์มองตามการแสดงเบื้องล่างพร้อมกับเลื่อนแสงสปอร์ตไลท์ตามนักแสดงนำหญิง ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นจังหวะที่เธอต้องเปลี่ยนแสงจากสีฟ้าเป็นสีเขียว ทว่ามือของเธอเอื้อมไปไม่ถึง เด็กหญิงปล่อยมือจากสปอร์ตไลท์ไปสับสวิตช์เปลี่ยนแสง
ที่ด้านล่างนักแสดงหญิงเดินออกจากจุดที่สปอร์ตไลท์ส่องอยู่ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองด้านบนตามบทบาทที่ต้องแสดง แสงที่เพิ่งกลายเป็นสีเขียวช่างขัดกับบรรยากาศที่กำลังแสดง เธอขมวดคิ้วกับคิวแสงที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าของช่างจัดแสงคนเก่าเสียอีก
เด็กหญิงวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างสปอร์ตไลท์สามตัวกับแผงสวิตช์ไฟ การจัดเรียงนั้นมั่วไปหมด ผิดจากที่เธอตั้งใจไว้ทุกอย่าง การแสดงหนึ่งชั่วโมงสี่สิบห้านาทีแสดงถึงความผิดพลาดทั้งหมด
“นี่มันอะไรน่ะห๊า” วิณัฐพัชร์ตบบทละครกับเก้าอี้ผู้ชมที่ตนนั่งอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนที่ฝ่ายจัดแสง “นีรกานต์ กรุณาลงมาหาผมเดี๋ยวนี้”
เด็กหญิงเดินลงมาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าของเธอ ในมือของเธอถือแผนงานเอาไว้ เมื่อลงมาถึงด้านล่างและยืนต่อหน้าผู้กำกับตัวเธอก็เหมือนเล็กลงยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
“นี่มันอะไร เกิดอะไรขึ้น” เขาถามเธอด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“คือ...” นีรกานต์กำแผนงานในมือแน่นไม่กล้าพูดออกไป ใครจะเชื่อเธออย่างนั้นหรอ ผู้ใหญ่ห้าคนกับเด็กเพียงคนเดียวที่เพิ่งก้าวเข้ามาที่นี่ไม่นาน
“บอกมาสิ เกิดอะไรขึ้น” เขาคาดคั้นยิ่งขึ้น สายตาไล่มองอุปกรณ์ด้านบนที่แสงไฟยังคงเปิดค้างเอาไว้ “ถ้าเธอคิดว่างานนี้มันเล่นๆละก็เชิญกลับไปได้เลย ถือว่าที่ฉันเคยให้เธอมาทำงานที่นี่เป็นแค่ฝันตื่นหนึ่งก็แล้วกัน” ชายหนุ่มหันหลังและสั่งให้นักแสดงไปนั่งพัก ตัวเขานั่งลงบนเก้าอี้ผู้ชมตัวหนึ่งหน้าเวทีสองมือกำเข้าหากันแน่น
“ขอโทษค่ะ” เด็กหญิงเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้กำกับ “หนูไม่ได้ต้องการจะให้มันเป็นแบบนี้”
“แล้วแบบไหนล่ะที่เธอต้องการ” เขาถามกลับไปพร้อมกับจ้องอีกฝ่าย
นีรกานต์เดินตัวลีบเข้าไปหาผู้กำกับพร้อมกับแผนงาน มือของเธอสั่นน้อยๆตอนที่ยืนมันให้กับอีกฝ่าย ชายหนุ่มรับมันมาแล้วเปิดผ่านไปเรื่อยๆ เธออธิบายทุกอย่างในรายละเอียดของแต่ละหน้าที่เขาหยุดพิจารณา เมื่อเขาเปิดถึงหน้าสุดท้ายและเธออธิบาย
จบเขาก็นิ่งไป
“แล้วทำไมการแสดงเมื่อครู่ถึงไม่ได้เป็นแบบนี้กันล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเธอพร้อมกับยื่นแผนงานคืนมาให้ “บอกเหตุผลมาสิ”
เธอรับแผนงานมาก่อนจะก้มหน้ามองมือของตนเองที่ประสานเอาไว้ด้านหน้า “หนูไม่ได้รับความร่วมมือจากพวกพี่ๆค่ะ” นีรกานต์เงยหน้าขึ้นมานิดหนึ่งแล้วมองปฏิกิริยาของผู้กำกับที่ยังคงนิ่งสนิทไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา “ตอนแรกก็เหมือนพวกพี่เขาจะคอยช่วยเหลือหนูอย่างดี แต่พอเริ่มแสดงแล้วมันไม่ใช่”
“ที่ว่าไม่ใช่นี่หมายถึงอะไร” เขาลุกขึ้นมายืนกอดอกยิ่งทำให้เด็กหญิงประหม่ายิ่งกว่าเดิม
“ตอนแรกพี่เขาก็มาดูแผนงานด้วยกัน ทั้งสี่คนน่ะค่ะ แล้วพี่สองคนก็อาสาลงมาช่วยจัดด้านล่างนี่ให้ แต่พอหนูบอกคุณว่าพร้อมแล้ว พวกพี่เขากลับเดินไปอยู่ที่มุมห้องแล้วคุยกันปล่อยให้หนูคุมแสงอยู่คนเดียว”
“อย่างนั้นหรอ...” ชายหนุ่มพึมพำขึ้นมา
“คะ?” เธอเอ่ย
“เหตุการณ์เป็นแบบนี้แน่นะ” เขาเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง
“ค่ะ” พูดได้เพียงเท่านั้นวิณัฐพัชร์ก็เดินออกไปจากห้องและทิ้งให้เธอยืนอยู่คนเดียว ไม่นานนักเสียงตะโกนโวยวายก็ดังออกมาจากด้านนอก
“นี่มันอะไรกัน! ตกลงว่านี่พวกคุณเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่า” เด็กหญิงสะดุ้งกับเสียงของผู้กำกับที่ดังลอดเข้ามาทั้งๆที่ห้องแสดงนี้เป็นห้องเก็บเสียง “ใช้ได้ที่ไหน ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย พวกคุณอยากโดนไล่ออกแบบมนภาสใช่ไหม”
“ถ้าอย่างนั้นหวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีกนะ กลับเข้าไปข้างในแล้วขอโทษเธอซะ” ประตูห้องแสดงถูกเปิดขึ้นอีกครั้งโดยผู้กำกับ ชายสี่คนเดินเรียงกันเข้ามาด้านใน “เอ้าขอโทษได้แล้ว” เมื่อทั้งสี่ยืนประจันหน้ากับเธอรวมถึงชายหนุ่มที่เดินมาสมทบ
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูไม่ได้คิดอะไร” เธอรีบเอ่ยห้ามทันทีเพราะมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ถ้าให้ผู้ใหญ่มาขอโทษแบบนี้
“ต่อให้ไม่คิด พวกเขาก็สมควรจะต้องขอโทษเพราะการกระทำที่ไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่แบบนั้น” วิณัฐพัชร์ยังคงยืนยันคำเดิม เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆเด็กหญิงแล้วกอดอกมองทั้งสี่คนด้วยแววตาเชือดเฉือน
“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ” เธอหันไปมองผู้กำกับที่ยังคงทำหน้าบอกบุญไม่รับ “หนูไม่คิดอะไรหรอกค่ะ การทำงานมันก็ต้องมีอะไรแบบนี้บ้างไม่ใช่หรือคะ” ชายหนุ่มถอนหายใจ
“มันก็ใช่อยู่หรอก” เขาคลายมือออก “เอาเถอะถือว่าครั้งนี้ยกประโยชน์ให้จำเลยก็ได้” ถึงปากจะพูดเช่นนั้นแต่แววตาของเขาก็ยังคงคาดโทษทั้งสี่คนอยู่
เด็กหญิงยิ้มให้กำลังใจทั้งสี่คนที่ถูกผู้กำกับหนุ่มคาดโทษ เธอมองดูความเงียบที่โรยตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นคนทำลายความเงียบนั้น
“คราวนี้ฉันจะให้พวกนายแก้ตัว อย่าให้เหมือนที่ผ่านมาอีกล่ะ” วิณัฐพัชร์เอ่ยขึ้นก่อนจะตะโกน “นักแสดงเข้าที่!”
“จะเริ่มใหม่หรือคะ” เธอเอ่ยถามชายหนุ่มที่จับจ้องไปทางเวที
“ใช่สิ แล้วคราวนี้เธอจะได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงเสียที” เขาหันมายิ้มให้กับเธอ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย “เธอเองก็ไปเตรียมตัวเถอะ ถ้าพร้อมแล้วก็บอกได้เลย”
“ค่ะ” เธอยิ้มรับก่อนจะรีบเดินขึ้นไปด้านบนพร้อมๆกับเจ้าหน้าที่อีกสี่คน เด็กหญิงบอกผู้กำกับด้านล่างเมื่อเธอพร้อมแล้ว
นีรกานต์ดูการแสดงพร้อมๆกับปรับตำแหน่งไฟทุกอย่างให้เป็นไปตามที่เธอจัดวางเอาไว้ในแบบแปลน ทีมงานอีกสามคนคอยช่วยกดสวิตช์ไฟต่างๆเพื่อเปลี่ยนไฟอย่างพร้อมเพรียง
วิณัฐพัชร์ยิ้มเล็กน้อยเมื่อละครดำเนินไปได้ครึ่งเรื่อง เขาเอนตัวนั่งสบายๆบนเก้าอี้ของผู้ชมแถวเอส แสงไฟถูกปรับจากของเดิมแทบทุกฉาก แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นที่พอใจของชายหนุ่มซึ่งนั่งชมการแสดงราวกับว่านี่เป็นรอบปฐมทัศน์
เมื่อการแสดงจบลงไฟทั้งเวทีดับพร้อมกันหมดก่อนแสงสีแดงจะฉายไล้ตัวละครทั้งหมดทีละคนแล้วเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวที่ส่องไปยังนักแสดงนำ ชายหนุ่มปรบมือสามครั้งเป็นสัญญาณเลิก ทีมงานด้านบนดึงตัวเด็กหญิงให้ก้าวลงมาและไปพบผู้กำกับรวมถึงนักแสดงคนอื่นๆเบื้องล่าง
“สายตาของฉันมองไม่พลาดเสียด้วยสิ” วิณัฐพัชร์ยิ้มกว้างกว่าตอนที่นั่งชมการแสดง
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ถึงเวลาไล่ออกอย่างเป็นทางการแล้วนะ มนภาส” ชายเจ้าของชื่อกำมือแน่นก่อนจะหมุนตัวเดินหนีออกไป
“เป็นแบบนี้จะดีหรือคะ” นีรกานต์มองตามด้วยสายตาเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างหมอนั่นแค่ทระนงตน ต่อจากนี้ไปก็คงจะยืนขึ้นได้เองนั่นล่ะ” ชายหนุ่มมองตามหลังอดีตทีมงาน “วันนี้พอแค่นี้ก่อนกลับบ้านได้”
“อาจารย์ครับกินยาเขย่าขวดหรือเปล่า” เสียงถามดังขึ้นทันทีที่ผู้กำกับพูดจบประโยค
“เดี๋ยวเถอะจะให้ซ้อมจนถึงวันแสดงเลย” ชายหนุ่มขู่เสียงดังจนเหล่านักแสดงวิ่งออกจากห้องแสดงในทันที เพียงห้านาทีแม้กระทั่งทีมงานก็ไม่เหลืออยู่ในห้องเลย เว้นเด็กหญิง
“เธอเองก็รีบกลับดีกว่านะ เดี๋ยวจะเย็นจนเกินไป” วิณัฐพัชร์มองดูนาฬิกา “ไม่สิ ไปหาข้าวเย็นกินกันดีกว่ามื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“เอ่อ...” เด็กหญิงตั้งท่าจะปฏิเสธแต่ก็ถูกอีกฝ่ายส่ายศีรษะ
“ไปเถอะ ฉลองการร่วมงานของเราก็ได้นะคุณหนู” สุดท้ายแล้วเธอก็ได้แต่พยักหน้ารับและเดินออกจากโรงละครพร้อมกับผู้กำกับ เขาบอกให้เธอยืนรออยู่ที่ด้านหน้าในขณะ
ที่ตนเองนั้นเดินไปด้านข้างของโรงละครึ่งเป็นที่จอดรถ เพียงไม่นานรถยนต์ออร์ดี้สีขาวก็มาจอดอยู่ด้านหน้า กระจกฝั่งคนขับเลื่อนลงมานิดหนึ่ง
“ขึ้นมาสิ ฉันพาไปไม่ไกลหรอก แล้วก็จะไม่ให้กลับดึกด้วย” เมื่อเห็นเด็กสาวท่าทางไม่กล้าฝ่ายชายจึงเดินลงจากรถแล้วคว้าข้อมือของเด็กหญิงไปด้านข้างคนขับแล้วเปิดประตูให้ “เชิญครับ” เธอขึ้นไปนั่งอย่างเสียไม่ได้ เพียงครู่เดียวรถก็จอดอยู่ที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงละคร แต่ด้านในนั้นตกแต่งอย่างหรูหรา
“คือว่า...พาหนูมาอย่างนี้จะดีหรือคะ” เธอเอ่ยถามผู้กำกับที่มาเปิดประตูให้
“น่า ไม่เป็นไรหรอก มาเถอะ” ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปด้านใน โชคดีที่มีโต๊ะว่างติดริมหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรวันนี้จึงมีคนมามากเป็นพิเศษ
วิณัฐพัชร์สั่งอาหารมาสองสามอย่างพร้อมถามความเห็นกับเด็กหญิงที่พามาด้วย เธอตอบรับว่าแล้วแต่เขาแทบทุกอย่าง ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะสั่งน้ำเพิ่มอีกสองรายการ
“อย่าเกร็งสิ ฉันไม่ได้จะหลอกเธอไปขายหรอกนะ” เขายิ้มขึ้นในขณะที่เด็กหญิงยังคงนั่งก้มหน้า “เอาน่า เงยหน้ามองวิวก็ได้เวลาเย็นๆแบบนี้มันสวยออกนะ”
ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันโชคดีของชายหนุ่มหรือวันโชคร้ายของเด็กหญิงที่มีคนในวงการเข้ามาในร้านอาหารนี้มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็รู้จักผู้กำกับวิณัฐพัชร์จึงเดินเข้ามาทักทายตลอดเวลาและเอ่ยแซวเรื่องเด็กหญิงที่มาด้วยกันในครั้งนี้ จนกระทั่งมีนักแสดงหญิงคนหนึ่งหยุดมองที่นีรกานต์เป็นพิเศษและเอ่ยถามเด็กหญิงที่เริ่มทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“หนูรู้จักกับคุณฉัตรชัย พฤษศิริสมบัติหรือเปล่า” ชื่อที่เอ่ยถามสะกิดทั้งผู้กำกับและเด็ก
หญิงให้หันมาสนใจในทันที เธอเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
“รู้จักคุณพ่อด้วยหรือคะ” นักแสดงคนนั้นหัวเราะนิดหนึ่งก่อนพูดขึ้น
“อัจฉริยะของวงการ ถ้าไม่รู้จักก็แปลกแล้วล่ะ” วิณัฐพัชร์ทุบฝ่ามืออย่างนึกขึ้นได้ เขาจำคนไม่ผิดจริงๆด้วย ถึงจะลืมเลือนชื่อของอีกฝ่ายไปแต่ใบหน้านั้นยังคงจำได้ถึงทุกวันนี้
“จริงหรอคะ หนูไม่ค่อยรู้จักกับคุณพ่อเลย ไม่รู้ว่าท่านทำงานอะไรอยู่ที่ไหน นี่ท่านก็ไม่ได้ส่งจดหมายมาตั้งสามปีแล้วล่ะค่ะ” เธอทำหน้าเศร้าก้มมองมือของตัวเองบนตัก
“เอ่อ ยังไงเดี๋ยวก็ได้เจอเองแหละจ๊ะ ตอนนี้คงจะงานเยอะละมั้ง” นักแสดงคนนั้นทำหน้าไม่ถูกเมื่อัเห็นท่าทางของเด็กหญิง “ถ้าอย่างไรขอตัวก่อนนะคะคุณวิณัฐพัชร์ แล้วก็หนูน้อย”
“คุณรู้จักพ่อไหมคะ” นีรกานต์เอ่ยถามชายหนุ่มเมื่อลับร่างของนักแสดงสาวไป อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ
“น่าจะรู้จักนะ แต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้วล่ะขอโทษด้วย” ชายหนุ่มมองใบหน้าของเธอที่ฉายแววเศร้าแล้วทำตัวไม่ถูกโชคดีที่บริกรนำอาหารมาเสิร์ฟพอดี “ทานข้าวเถอะจะได้ไม่กลับเย็นมาก” เขารีบเปลี่ยนเรื่องในทันที เธอยิ้มรับเพียงเล็กน้อยก่อนจะนั่งทานอาหารเงียบๆ
วิณัฐพัชร์ส่งเด็กหญิงเพียงหน้าถนนใหญ่ห่างจากบ้านราวๆสองร้อยเมตร เธอขอให้ส่งเพียงเท่านั้นเพราะยังไม่ได้บอกแม่เรื่องงานในคราวนี้ เขาพอจะเข้าใจอยู่บ้างว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายเพราะปกติแล้วก็คงไม่มีผู้ใหญ่สติดีคนไหนจ้างเด็กมัธยมต้นทำงานหรอก
“โชคดีนะ มาอีกทีวันแสดงจริงเลยก็ได้งานของเธอเรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มเขาเลื่อนกระจกลงและเอ่ยกับเธอที่ปิดประตูรถเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณมากค่ะสำหรับวันนี้” เธอยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะขอตัวเดินจากมา เมื่อกลับถึงบ้านด้วยเวลาที่ดึกยิ่งกว่าเมื่อวาน แม่ก็นั่งอบรมเธอเสียยืดยาวว่าอย่ากลับเย็นเช่นนี้อีก
ทางด้านวิณัฐพัชร์หลังจากที่เด็กหญิงเดินจากไปแล้วเขายังคงจอดรถอยู่ที่เดิมมือสองข้างกำพวงมาลัยเอาไว้และแนบศีรษะไปกับมัน
“ฉันโชคดีที่ได้เจอเธอนะหนูน้อย แต่เธอจะโชคร้ายแน่ๆหลังการแสดงครั้งนี้จบลง” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นและขับรถออกไป
Netisia
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 เม.ย. 2556, 19:23:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 เม.ย. 2556, 19:23:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 1381
<< บทนำ | บทที่ 2 เปิดม่านการแสดง >> |