คฤหาสน์มรณะ
เมื่อต้องถูกขังอยู่ในพื้นที่จำกับ กับคนที่ไม่รู้จัก และทุกคนไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองไหม ต่างคนต่างระเเวงกัน แล้วใครล่ะที่จะไว้ใจได้
Tags: สืบสวนสอบสวน
ตอน: ตอนที่ 2
สวัสดีทุกคนนะคะ ช่วยเเนะนำได้น้าาาาาา ^_^ -_-
2
ผมยืนมองร่างไหม้เกรียมกำลังจะถูกบรรจุใส่โลง เฉพาะกลิ่นไหม้ก็จะทนไม่ไหว แล้วนี่ลุงสัปเหร่อดันเหม็นยิ่งกว่าอีก
พอจะหันออกจากห้องก็เกือบจะชนเข้ากับสาวผมเปียคนหนึ่งที่เดินมากับลุงสม
“ว้าย !”
“โทษจ๊ะน้อง”
เสียงผมดัดจนแหลมกล่าวขอโทษเธอ เธอมองผมอึ้ง ๆ คงตกใจในความสวยที่ไม่เข้ากับเสียงของผม ช่วยไม่ได้นี่ก็คนมันหน้าตาดี
ขอแนะนำตัวนิดหนึ่งนะครับ ผมเป็นนักสืบครับ และที่ผมมาอยู่ที่นี่ก็เพราะผมถูกคุณนายวิไล หรือคุณนายใหญ่จ้างมาสืบชู้ของเมียน้อยทั้ง
สามคนของเจ้าสัวเฉลิมพงศ์ โดยผมปลอมตัวมาเป็นคนจัดงานแต่งงาน ชื่อ ‘ไม้’ที่แสนจะผู้ชายของผมก็เปลี่ยนมันให้ฟังดูดีเป็น ‘มาย’ซะ
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อท่านเจ้าสัวเฉลิมพงศ์ เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ตอนนี้เลยมีตำรวจสามคนมาสอบปากคำญาติทั้งหลายของท่านอยู่
ผมรู้สึกแปลก ๆ กับอุบัติเหตุครั้งนี้อย่างบอกไม่ถูก นายชัยหนีไปได้ แต่ก็ไม่มีใครพบร่องรอยของเขา แล้วเขาจะหนีไปไหนได้นะก็ระยะพิกัดร้อยกิโลจากที่เกิดเหตุมันเป็นป่าและก็ป่า รถที่สัญจรไปมาก็ไม่มี
จะว่าไม่มีก็ไม่ถูกลุงสมไงที่เป็นคนเดียวที่ขับรถไปกลับจากที่นี่จนถึงในชุมชน และเขายังเป็นลุงแท้ ๆ ของนายชัยอีก แต่ลุงสมก็รักท่านเจ้าสัวมาก
ก็อีกนั้นแหละคนที่พบว่าท่านเจ้าสัวตกเหวคนแรกก็คือลุงสม เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะให้ความช่วยเหลือหลานชายเขาก็ได้ แต่ตอนที่เจอว่ารถตกเหวคุณพ่อบ้านก็ไปด้วยนี่
ช่างเถอะผมจะสงสัยไปก็เท่านั้น เพราะเท่าที่ดูทุกคนในบ้านก็ไม่เห็นจะมีใครเสียใจกันเท่าไหร่ เห็นก็มีแต่น้องดา น้องมล ที่ร้องไห้ ลุงสมที่ดูเสียใจมาก และก็ยังมีคุณพ่อบ้านที่ดูช็อก ๆ ไป
ว่าแต่ผมมาสนใจคนตรงหน้าผมก่อนดีกว่า
“เป็นอะไรไหม”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอพูดติดอ่างแล้วรีบก้มหน้าก้มตางุด ๆ ไปยกมือไหว้ศพท่านเจ้าสัวแล้วเหมือนพึงพรำอะไรอยู่ด้วย ‘หนูขอให้คุณลูกไปดีนะคะ หนูจะกลับ
ไปบอกคุณอัตให้’
เอ่อ...ผมว่าลูกน่าจะเป็นลุงรึเปล่านะ ว่าแต่เธอเป็นใครกัน
“ใครเหรอลุงสม”
“ลูกสาวสัปเหร่อครับคุณมาย”
ผมรู้สึกว่าลุงสมกำลังเล่าเรื่องตลกให้ผมฟังอยู่ยังไงก็ไม่รู้สิครับ
ผมหันไปมองเธออีกรอบ แม้เสื้อผ้าจะดูเก่ามอซอ แต่มันก็ปิดผิวขาวสะอาด ผมดกดำ หน้าตาเกลี้ยงเกลาของเธอไว้ไม่ได้ ใครเชื่อว่าเธอ
เป็นลูกสาวสัปเหร่อก็คิดน้อยเต็มที และผมก็คิดว่าลุงสมคงจะปิดบังอะไรบางอย่างอยู่
ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อหันไปยิ้มให้ลุงสมก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ผมลืมบอกไปอีกอย่างว่าผมรู้สึกคุ้น ๆ หน้าเธอด้วยนะสิ
“คุณนายใหญ่ครับ”
ผมเดินมาหาคุณนายใหญ่ทันทีหลังจากที่ดูรอบ ๆ แล้วว่าไม่มีคนอื่นนอกจากป้าผกาคนสนิทของคุณนายใหญ่
“ฉันเตรียมค่าเสียเวลาไว้ให้แล้ว”คุณนายใหญ่ส่งซองสีชมพูมาให้ผม ข้างในมีเงินอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งหนาพอควร“รับไปสิย่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมไหว้ขอบคุณ
“เดียวเธอก็กลับไปพร้อมสัปเหร่อเลยก็แล้วกัน ฉันไปพักผ่อนก่อน”
คุณนายใหญ่พูดจบก็เดินไปพร้อมป้าผกา สองคนนี้ไปไหนไปกันตลอดเลยจริง ๆ
ผมเก็บของเสร็จก็เดินเอาของมาวางไว้ที่ห้องโถงก่อนจะเดินไปที่ห้องเก็บร่างเจ้าสัวอีกครั้ง เพื่อไปดูว่าพวกสัปเหร่อจะกลับกันรึยัง
แล้วผมก็พบกับพจเล่อีกครั้ง อ๋อ...อย่าเพิ่งงงนะครับ พจเล่ มาจากพจมาน บวก อาลาเล่ เธอยืนอยู่หน้าห้อง
“นี่น้องเสร็จยัง”
“ยังค่ะ”
เธอตอบแบบไม่มองหน้าผม และดูเหมือนเธอจะพยายามอยู่ให้ห่างผมยังไงก็ไม่รู้
“มาช่วยพ่อแล้วทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“ข้างในคนเยอะ”
ตอบสั้นจริงๆ อ๊ะ! ผมจำเธอได้แล้ว เธอคือนักข่าว ผมเจอเธอไปทำข่าวบ่อย ๆ และยังเป็นลูกสาวของลูกค้ารายใหญ่ที่ป้อนงานให้ผมเป็น
ประจำ
เปรี้ยง!!! เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับไฟในบ้านที่ดับพร้อม ๆ กันไม่เหลือสักดวง
“กรี๊ด!”
ผมรีบคว้าตัวคนข้าง ๆ มาไว้ในอก เธอเองก็กอดผมไว้แน่นท่าทางจะตกใจอยู่ไม่น้อย
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากในห้องและกำลังวิ่งออกมา คนในอ้อมกอดผมเลยรู้ตัวรีบผลักผมออก
“มีใครเป็นอะไรไหมครับ”
เสียงเดิมถาม ซึ่งผมรู้แล้วว่าก็คือตำรวจ เขาเป็นผู้กอง และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนพื้นที่เสียด้วย ดูจากหน้าตา ผิวพรรณ ที่ดูจะเป็นลูกคนจีนแน่นอน แล้วก็...หล่อดี ตามระดับมาตรฐาน
“ไม่มีอะไรหลอกค่ะ น้องแว่นเขาแค่ตกใจ”
ผมตอบ
“ทำไมไฟดับล่ะครับ”
ผู้กองถามต่อ แต่เขาหันไปถามลุงสม
“ฟ้าคงจะผ่าโรงปั่นไฟน่ะครับ พวกคุณไม่ต้องตกใจ”
เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณพ่อบ้านเดินมา เขาเลยเป็นคนตอบ
คุณพ่อบ้านเป็นคนที่ดูแลทุกอย่างของตระกูลนี้ เป็นที่ไว้วางใจของท่านเจ้าสัว และคุณนายใหญ่มาก อายุเขาก็สามสิบกว่า ๆ จากประวัติที่
ผมสืบมาเขาเป็นเด็กกำพร้า อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กมาจนโต แต่เขาเรียนเก่งเลยได้ทุนเรียนต่างประเทศจนจบปริญญาโท และเข้ามาทำงาน
ที่นี่ทันทีหลังจากเรียนจบ ดูแลแทบจะทุกอย่างของตระกูล ‘ธนประเสริฐวรวงศ์’
ผมว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของคุณพ่อบ้านต้องหน้าตาใช้ได้แน่ ๆ เพราะดูจากคุณพ่อบ้านที่รูปร่างหน้าตาดี แถมสมองก็ดี ผมว่าามันก็มีส่วนที่ได้
มาจากดีเอ็นเอ ของพ่อหรือแม่
“เหรอครับ”
ผู้กองพยักหน้ารับรู้สิ่งที่คุณพ่อบ้านบอก หยิบไฟฉายอันจิ๋วออกมาจากกระเป๋าแล้วเดินไปในห้องต่อ ถ้าไม่ติดว่าผมกำลังจะกลับ ผมคงจะ
ไปดูศพท่านเจ้าสัวอีกครั้งเหมือนกัน
“น้าสม คุณมายจะติดรถไปด้วยนะ”คุณพ่อหันมาพูดกับลุงสม “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ไว้มีโอกาสเราคงได้พบกันอีก”
คุณพ่อบ้านยิ้มให้ผม ผมพยักหน้ารับ แล้วเขาจึงเดินเข้าไปให้ห้องเก็บร่างเจ้าสัวคงจะไปอำนวยความสะดวกให้คุณตำรวจ หรือจะพูดอีกที
เขาอาจจะไปเฝ้าคุณตำรวจก็ได้
ผมเลิกสนใจ แล้วเดินออกมาหยิบข้าวของทุกอย่างเตรียมจะไปไว้ที่รถ ฟ้าก็ยังแลบอยู่ตลอดเวลาท่าทางฝนจะตกหนักแน่ ๆ คืนนี้
แล้วสายตาผมก็หันไปเห็นแสงสะท้อนที่พื้น มันเป็นแสงสีรุ่ง ผมไล่สายตาดู มันยาวจนไปถึงโรงจอดรถ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกมันมาจากโรงจอด
รถต่างห่าง
และที่โรงจอดรถตอนนี้มีแสงสีแดงกระพริบถี่ๆ อยู่ที่รถคนหนึ่ง มันถี่จนเหมือนมันไม่ได้ก็พริบ
มันคือสัญญาณของ...
“อย่าออกมา”
ผมรีบดันคนที่เดินตามผมมาให้เข้าไปในบ้าน ก่อนที่จะ...
บึม!!!
เปลวไฟร้อนแรงพุ่งขึ้นสูงพอ ๆ กับตัวบ้านแล้วลดระดับลงมาเผาไหม้อยู่ด้านล่าง
ผมแทบไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่เห็น เสียงคนจำนวนมากวิ่งมาทางนี่ แม่นักข่าวค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางตกใจ ลุงสมที่ล้มอยู่ข้าง ๆ ก็
มีท่าทางตกใจเช่นกัน
“เกินอะไรขึ้น”
ผู้กองวิ่งมาด้วยท่าทางตกใจ เหมือน ๆ กับทุกคนในบ้านที่เดินมามุงดูสิ่งที่เกิดขึ้น
บึม!!! บึม!!! บึม!!!
เสียงระเบิดอีกหลายลูกดังติดต่อกัน ผมจับตัวแม่นักข่าวให้ย่อลง แล้วผมเงยหน้าขึ้นมามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ตอนนี้มีแต่ควัน เสียงของ
การเผาไหม้ และเสียงร่วงหล่นของบางสิ่งบางอย่างลงสู่พื้นโลก
ผมตัดสินใจวิ่งออกมาจากตัวบ้านทันที พร้อม ๆ กับที่ฝนเม็ดหนาตกกระหน่ำลงมาดับเปลวไฟที่ลุกโซน
ผมวิ่งออกมาไม่ไกลก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนไม่เกิดสองคนวิ่งตามมา เสียงของคนแรกดูจะเบากว่าเสียงฝีเท้าของคนที่สอง
ผมหยุดอยู่หน้าสะพานที่ตอนนี้มันเป็นอดีตไปแล้ว มันเหลือเพียงเสาสองต้นที่เคยเป็นที่ยึดเหนี่ยวของตัวสะพาน
“แฮก ๆ”
เสียงหายใจแรง ๆ ของผู้หญิงดังมาจากข้างหลังผม แน่นอนว่าต้องเป็นเธอแม่นักข่าว
“สะพาน...นี่ถูกวางระเบิด”
เธอพูดมีแต่ลมผสมมันเบาจนเกือบฟังไม่ได้ยิน แต่ผมหูดีนะเลยได้ยิน
“น้องรู้ได้ยังไง”
ผู้กองที่ดูไม่ค่อยเหนื่อยมากนักถามแม่นักข่าวที่หอบจนตัวโยน ไม่เข้าใจว่าผู้กองไม่มีตาหรือไงถึงได้ถามคนกำลังเหนื่อย
“ฉัน...ฉันเห็นแสง...สีแดงที่คอสะพาน...ค่ะ”
“น้องดูเหนื่อย ๆ นะ เป็นอะไรรึเปล่า”
“ฉันโอเค”
แค่ผมแอบคิดว่าเธอดูไม่โอเคเท่าไหร่นะ และตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศค่อย ๆ มืดลงเรื่อย ๆ จนเกือบจะมองอะไรไม่เห็น
มีเพียงเวลาที่ฟ้าแลบเท่านั้นที่ทำให้มองเห็นทุกอย่างชัดเจน
“ทำไมมันมืดเร็วแบบนี้ ตอนนี้มันเพิ่งห้าโมงเย็นเอง”
ผู้กองใช้นาฬิกาเรืองแสงดูเวลา ห้าโมงเย็นมันไม่น่าจะมืดได้ขนาดมองอะไรไม่เห็นแบบนี้ แต่คงจะเป็นเพราะเมฆฝนที่มาบดบังดวง
อาทิตย์ให้ดับแสงไปเร็วกว่าปกติ
ฝนตกหนาเม็ดมากขึ้นจนแทบจะลืมตาไม่ได้แล้ว และผมคิดว่า...
“เรารีบเข้าไปกลับในบ้านกันเถอะครับ ฝนตกหนักใหญ่แล้ว”
แต่คนที่พูดประโยคเป็นผู้กอง
พวกเราสามคนหันหน้าไปทางกลับบ้านพร้อมกัน ผมดึงมือแม่นักข่าวให้หยุด เพราะเห็นแสงสีส้มดวงไม่ใหญ่มากอยู่ไม่ไกล
“นั้นใคร”
ผู้กองถาม ตอนนี้ผมเริ่มคิดว่าผู้กองเป็นเจ้าหนูจำไมกลับชาติมาเกิดรึเปล่า
“จะมีใครรู้ล่ะคะผู้กอง”
ผมตอบไปอย่างนั้นแล้วดึงแม่นักข่าวให้เข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น เธอเองก็จับมือผมแน่นเช่นกัน และผมก็หันไปเห็นผู้กองกำลังกำปืนไว้
ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมเคยรู้สึกแบบนี้ครั้งแรกเมื่อตอนที่ฝึกหัดอยู่ที่อังกฤษเมื่อห้าปีก่อน และหลังจากนั้นก็ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้อีก
เลยจนถึงครั้งนี้
แสงสีส้มนั้นผมเดาว่าเป็นแสงตะเกียง แต่คนที่ถือมันมานั้นนะสิคือใคร และคนคนนั้นก็เดินเข้ามาใกล้พวกเราเรื่อย ๆ แล้ว
ผู้กองเล็งปืนไปที่คนที่เดินมา ผมเองก็อยากห้ามเขาเพราะบางทีคนที่เดินมาอาจจะเป็นลุงสม นายเอก นายไก่ หรือ ใครก็ได้ ที่เดินออก
มาตามพวกเรา แต่ทางที่มามันไม่ใช่ทางออกของบ้านนะสิ
“หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นฉันจะยิง”
ผู้กองงตะโกนฝ่าสายฝน ผมแน่ใจว่าคนที่เดินมานั้นคงจะไม่ได้ยินเพราะเขายังไม่ยอมหยุด
และแล้วท้องฟ้าก็เป็นใจให้ผมเมื่อมีแสงฟ้าแลบที่สว่างมาก ทำให้ผมเห็นแล้วว่าคนคนนั้นคือ ตาแกะ คนสวนเก่าแก่ของบ้านนี้อายุก็ปา
เข้าไปเจ็ดสิบต้น ๆ แล้ว
เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้กองกำลังจะเหนี่ยวไกลปืน
“ผู้กองอย่า ! นั้นตาแกะ”
ปัง !
ผมผลักปลายกระบอกปืนได้ทันก่อนมันจะไปโดนตาแกะ
“ใครนะครับ”
“ตาแกะเป็นคนสวน เขาไม่ใช่คนร้ายหรอก”
ผมกับผู้กองตะโกนคุยกันทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้กันนิดเดียว
“เป็นอะไรกันไหมครับ”
ตาแกะวิ่งเข้ามาถามพวกเรา
“ไม่มีอะไรหรอกตา แล้วนี้ไปไหนมาเกือบจะเป็นไข้โป้งแล้วนะตา”
ผมตะโกนถามตาแกะ ก่อนจะสังเกตเห็นที่มือตาแกะถือดอกกล้วยไม้ป่าอยู่หลายช่อ
“ผมเข้าไปเก็บกล้วยไม้มาไว้ตกแต่งงานครับ แต่มันอยู่ลึกเข้าไปกลางป่าโน้น แล้วพวกคุณล่ะครับมาทำอะไรกันตรงนี้เดียวก็ไม่สบายกัน
หลอก อ้าว ! ตำรวจมาทำไมครับเนี่ย”
“เจ้าสัวตกเหวตายเมื่อช่วยสาย”
ผมบอกตาแกะ และถ้าผมมองไม่ผิดผมเห็นตาแกะทำหน้างง และเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดอะไร
“มีอะไรรึเปล่าตา”
ผมถาม
“ไม่มีหรอกครับ เข้าบ้านกันเถอะครับฝนตกมากแล้ว”
ผมก็คิดว่าอย่างนั้น เลยหันมาหาแม่นั้นข่าวแต่ในระยะสายตาของผมกลับไม่เห็นเธอ ผมมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็น
“น้อง ! น้อง ! ไปไหน! น้อง ! น้อง !”
ไม่มีสัญญาณตอบรับใด ๆ ผมพยายามมองหาเธอจนรู้สึกว่ากำลังเหยียบอะไรนิ่ม ๆ อยู่
“น้อง คุณปุณฑริกา !”
*******************************************************************************************************************************************************************
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
2
ผมยืนมองร่างไหม้เกรียมกำลังจะถูกบรรจุใส่โลง เฉพาะกลิ่นไหม้ก็จะทนไม่ไหว แล้วนี่ลุงสัปเหร่อดันเหม็นยิ่งกว่าอีก
พอจะหันออกจากห้องก็เกือบจะชนเข้ากับสาวผมเปียคนหนึ่งที่เดินมากับลุงสม
“ว้าย !”
“โทษจ๊ะน้อง”
เสียงผมดัดจนแหลมกล่าวขอโทษเธอ เธอมองผมอึ้ง ๆ คงตกใจในความสวยที่ไม่เข้ากับเสียงของผม ช่วยไม่ได้นี่ก็คนมันหน้าตาดี
ขอแนะนำตัวนิดหนึ่งนะครับ ผมเป็นนักสืบครับ และที่ผมมาอยู่ที่นี่ก็เพราะผมถูกคุณนายวิไล หรือคุณนายใหญ่จ้างมาสืบชู้ของเมียน้อยทั้ง
สามคนของเจ้าสัวเฉลิมพงศ์ โดยผมปลอมตัวมาเป็นคนจัดงานแต่งงาน ชื่อ ‘ไม้’ที่แสนจะผู้ชายของผมก็เปลี่ยนมันให้ฟังดูดีเป็น ‘มาย’ซะ
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อท่านเจ้าสัวเฉลิมพงศ์ เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ตอนนี้เลยมีตำรวจสามคนมาสอบปากคำญาติทั้งหลายของท่านอยู่
ผมรู้สึกแปลก ๆ กับอุบัติเหตุครั้งนี้อย่างบอกไม่ถูก นายชัยหนีไปได้ แต่ก็ไม่มีใครพบร่องรอยของเขา แล้วเขาจะหนีไปไหนได้นะก็ระยะพิกัดร้อยกิโลจากที่เกิดเหตุมันเป็นป่าและก็ป่า รถที่สัญจรไปมาก็ไม่มี
จะว่าไม่มีก็ไม่ถูกลุงสมไงที่เป็นคนเดียวที่ขับรถไปกลับจากที่นี่จนถึงในชุมชน และเขายังเป็นลุงแท้ ๆ ของนายชัยอีก แต่ลุงสมก็รักท่านเจ้าสัวมาก
ก็อีกนั้นแหละคนที่พบว่าท่านเจ้าสัวตกเหวคนแรกก็คือลุงสม เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะให้ความช่วยเหลือหลานชายเขาก็ได้ แต่ตอนที่เจอว่ารถตกเหวคุณพ่อบ้านก็ไปด้วยนี่
ช่างเถอะผมจะสงสัยไปก็เท่านั้น เพราะเท่าที่ดูทุกคนในบ้านก็ไม่เห็นจะมีใครเสียใจกันเท่าไหร่ เห็นก็มีแต่น้องดา น้องมล ที่ร้องไห้ ลุงสมที่ดูเสียใจมาก และก็ยังมีคุณพ่อบ้านที่ดูช็อก ๆ ไป
ว่าแต่ผมมาสนใจคนตรงหน้าผมก่อนดีกว่า
“เป็นอะไรไหม”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอพูดติดอ่างแล้วรีบก้มหน้าก้มตางุด ๆ ไปยกมือไหว้ศพท่านเจ้าสัวแล้วเหมือนพึงพรำอะไรอยู่ด้วย ‘หนูขอให้คุณลูกไปดีนะคะ หนูจะกลับ
ไปบอกคุณอัตให้’
เอ่อ...ผมว่าลูกน่าจะเป็นลุงรึเปล่านะ ว่าแต่เธอเป็นใครกัน
“ใครเหรอลุงสม”
“ลูกสาวสัปเหร่อครับคุณมาย”
ผมรู้สึกว่าลุงสมกำลังเล่าเรื่องตลกให้ผมฟังอยู่ยังไงก็ไม่รู้สิครับ
ผมหันไปมองเธออีกรอบ แม้เสื้อผ้าจะดูเก่ามอซอ แต่มันก็ปิดผิวขาวสะอาด ผมดกดำ หน้าตาเกลี้ยงเกลาของเธอไว้ไม่ได้ ใครเชื่อว่าเธอ
เป็นลูกสาวสัปเหร่อก็คิดน้อยเต็มที และผมก็คิดว่าลุงสมคงจะปิดบังอะไรบางอย่างอยู่
ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อหันไปยิ้มให้ลุงสมก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ผมลืมบอกไปอีกอย่างว่าผมรู้สึกคุ้น ๆ หน้าเธอด้วยนะสิ
“คุณนายใหญ่ครับ”
ผมเดินมาหาคุณนายใหญ่ทันทีหลังจากที่ดูรอบ ๆ แล้วว่าไม่มีคนอื่นนอกจากป้าผกาคนสนิทของคุณนายใหญ่
“ฉันเตรียมค่าเสียเวลาไว้ให้แล้ว”คุณนายใหญ่ส่งซองสีชมพูมาให้ผม ข้างในมีเงินอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งหนาพอควร“รับไปสิย่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมไหว้ขอบคุณ
“เดียวเธอก็กลับไปพร้อมสัปเหร่อเลยก็แล้วกัน ฉันไปพักผ่อนก่อน”
คุณนายใหญ่พูดจบก็เดินไปพร้อมป้าผกา สองคนนี้ไปไหนไปกันตลอดเลยจริง ๆ
ผมเก็บของเสร็จก็เดินเอาของมาวางไว้ที่ห้องโถงก่อนจะเดินไปที่ห้องเก็บร่างเจ้าสัวอีกครั้ง เพื่อไปดูว่าพวกสัปเหร่อจะกลับกันรึยัง
แล้วผมก็พบกับพจเล่อีกครั้ง อ๋อ...อย่าเพิ่งงงนะครับ พจเล่ มาจากพจมาน บวก อาลาเล่ เธอยืนอยู่หน้าห้อง
“นี่น้องเสร็จยัง”
“ยังค่ะ”
เธอตอบแบบไม่มองหน้าผม และดูเหมือนเธอจะพยายามอยู่ให้ห่างผมยังไงก็ไม่รู้
“มาช่วยพ่อแล้วทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“ข้างในคนเยอะ”
ตอบสั้นจริงๆ อ๊ะ! ผมจำเธอได้แล้ว เธอคือนักข่าว ผมเจอเธอไปทำข่าวบ่อย ๆ และยังเป็นลูกสาวของลูกค้ารายใหญ่ที่ป้อนงานให้ผมเป็น
ประจำ
เปรี้ยง!!! เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับไฟในบ้านที่ดับพร้อม ๆ กันไม่เหลือสักดวง
“กรี๊ด!”
ผมรีบคว้าตัวคนข้าง ๆ มาไว้ในอก เธอเองก็กอดผมไว้แน่นท่าทางจะตกใจอยู่ไม่น้อย
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากในห้องและกำลังวิ่งออกมา คนในอ้อมกอดผมเลยรู้ตัวรีบผลักผมออก
“มีใครเป็นอะไรไหมครับ”
เสียงเดิมถาม ซึ่งผมรู้แล้วว่าก็คือตำรวจ เขาเป็นผู้กอง และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนพื้นที่เสียด้วย ดูจากหน้าตา ผิวพรรณ ที่ดูจะเป็นลูกคนจีนแน่นอน แล้วก็...หล่อดี ตามระดับมาตรฐาน
“ไม่มีอะไรหลอกค่ะ น้องแว่นเขาแค่ตกใจ”
ผมตอบ
“ทำไมไฟดับล่ะครับ”
ผู้กองถามต่อ แต่เขาหันไปถามลุงสม
“ฟ้าคงจะผ่าโรงปั่นไฟน่ะครับ พวกคุณไม่ต้องตกใจ”
เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณพ่อบ้านเดินมา เขาเลยเป็นคนตอบ
คุณพ่อบ้านเป็นคนที่ดูแลทุกอย่างของตระกูลนี้ เป็นที่ไว้วางใจของท่านเจ้าสัว และคุณนายใหญ่มาก อายุเขาก็สามสิบกว่า ๆ จากประวัติที่
ผมสืบมาเขาเป็นเด็กกำพร้า อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กมาจนโต แต่เขาเรียนเก่งเลยได้ทุนเรียนต่างประเทศจนจบปริญญาโท และเข้ามาทำงาน
ที่นี่ทันทีหลังจากเรียนจบ ดูแลแทบจะทุกอย่างของตระกูล ‘ธนประเสริฐวรวงศ์’
ผมว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของคุณพ่อบ้านต้องหน้าตาใช้ได้แน่ ๆ เพราะดูจากคุณพ่อบ้านที่รูปร่างหน้าตาดี แถมสมองก็ดี ผมว่าามันก็มีส่วนที่ได้
มาจากดีเอ็นเอ ของพ่อหรือแม่
“เหรอครับ”
ผู้กองพยักหน้ารับรู้สิ่งที่คุณพ่อบ้านบอก หยิบไฟฉายอันจิ๋วออกมาจากกระเป๋าแล้วเดินไปในห้องต่อ ถ้าไม่ติดว่าผมกำลังจะกลับ ผมคงจะ
ไปดูศพท่านเจ้าสัวอีกครั้งเหมือนกัน
“น้าสม คุณมายจะติดรถไปด้วยนะ”คุณพ่อหันมาพูดกับลุงสม “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ไว้มีโอกาสเราคงได้พบกันอีก”
คุณพ่อบ้านยิ้มให้ผม ผมพยักหน้ารับ แล้วเขาจึงเดินเข้าไปให้ห้องเก็บร่างเจ้าสัวคงจะไปอำนวยความสะดวกให้คุณตำรวจ หรือจะพูดอีกที
เขาอาจจะไปเฝ้าคุณตำรวจก็ได้
ผมเลิกสนใจ แล้วเดินออกมาหยิบข้าวของทุกอย่างเตรียมจะไปไว้ที่รถ ฟ้าก็ยังแลบอยู่ตลอดเวลาท่าทางฝนจะตกหนักแน่ ๆ คืนนี้
แล้วสายตาผมก็หันไปเห็นแสงสะท้อนที่พื้น มันเป็นแสงสีรุ่ง ผมไล่สายตาดู มันยาวจนไปถึงโรงจอดรถ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกมันมาจากโรงจอด
รถต่างห่าง
และที่โรงจอดรถตอนนี้มีแสงสีแดงกระพริบถี่ๆ อยู่ที่รถคนหนึ่ง มันถี่จนเหมือนมันไม่ได้ก็พริบ
มันคือสัญญาณของ...
“อย่าออกมา”
ผมรีบดันคนที่เดินตามผมมาให้เข้าไปในบ้าน ก่อนที่จะ...
บึม!!!
เปลวไฟร้อนแรงพุ่งขึ้นสูงพอ ๆ กับตัวบ้านแล้วลดระดับลงมาเผาไหม้อยู่ด้านล่าง
ผมแทบไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่เห็น เสียงคนจำนวนมากวิ่งมาทางนี่ แม่นักข่าวค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางตกใจ ลุงสมที่ล้มอยู่ข้าง ๆ ก็
มีท่าทางตกใจเช่นกัน
“เกินอะไรขึ้น”
ผู้กองวิ่งมาด้วยท่าทางตกใจ เหมือน ๆ กับทุกคนในบ้านที่เดินมามุงดูสิ่งที่เกิดขึ้น
บึม!!! บึม!!! บึม!!!
เสียงระเบิดอีกหลายลูกดังติดต่อกัน ผมจับตัวแม่นักข่าวให้ย่อลง แล้วผมเงยหน้าขึ้นมามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ตอนนี้มีแต่ควัน เสียงของ
การเผาไหม้ และเสียงร่วงหล่นของบางสิ่งบางอย่างลงสู่พื้นโลก
ผมตัดสินใจวิ่งออกมาจากตัวบ้านทันที พร้อม ๆ กับที่ฝนเม็ดหนาตกกระหน่ำลงมาดับเปลวไฟที่ลุกโซน
ผมวิ่งออกมาไม่ไกลก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนไม่เกิดสองคนวิ่งตามมา เสียงของคนแรกดูจะเบากว่าเสียงฝีเท้าของคนที่สอง
ผมหยุดอยู่หน้าสะพานที่ตอนนี้มันเป็นอดีตไปแล้ว มันเหลือเพียงเสาสองต้นที่เคยเป็นที่ยึดเหนี่ยวของตัวสะพาน
“แฮก ๆ”
เสียงหายใจแรง ๆ ของผู้หญิงดังมาจากข้างหลังผม แน่นอนว่าต้องเป็นเธอแม่นักข่าว
“สะพาน...นี่ถูกวางระเบิด”
เธอพูดมีแต่ลมผสมมันเบาจนเกือบฟังไม่ได้ยิน แต่ผมหูดีนะเลยได้ยิน
“น้องรู้ได้ยังไง”
ผู้กองที่ดูไม่ค่อยเหนื่อยมากนักถามแม่นักข่าวที่หอบจนตัวโยน ไม่เข้าใจว่าผู้กองไม่มีตาหรือไงถึงได้ถามคนกำลังเหนื่อย
“ฉัน...ฉันเห็นแสง...สีแดงที่คอสะพาน...ค่ะ”
“น้องดูเหนื่อย ๆ นะ เป็นอะไรรึเปล่า”
“ฉันโอเค”
แค่ผมแอบคิดว่าเธอดูไม่โอเคเท่าไหร่นะ และตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศค่อย ๆ มืดลงเรื่อย ๆ จนเกือบจะมองอะไรไม่เห็น
มีเพียงเวลาที่ฟ้าแลบเท่านั้นที่ทำให้มองเห็นทุกอย่างชัดเจน
“ทำไมมันมืดเร็วแบบนี้ ตอนนี้มันเพิ่งห้าโมงเย็นเอง”
ผู้กองใช้นาฬิกาเรืองแสงดูเวลา ห้าโมงเย็นมันไม่น่าจะมืดได้ขนาดมองอะไรไม่เห็นแบบนี้ แต่คงจะเป็นเพราะเมฆฝนที่มาบดบังดวง
อาทิตย์ให้ดับแสงไปเร็วกว่าปกติ
ฝนตกหนาเม็ดมากขึ้นจนแทบจะลืมตาไม่ได้แล้ว และผมคิดว่า...
“เรารีบเข้าไปกลับในบ้านกันเถอะครับ ฝนตกหนักใหญ่แล้ว”
แต่คนที่พูดประโยคเป็นผู้กอง
พวกเราสามคนหันหน้าไปทางกลับบ้านพร้อมกัน ผมดึงมือแม่นักข่าวให้หยุด เพราะเห็นแสงสีส้มดวงไม่ใหญ่มากอยู่ไม่ไกล
“นั้นใคร”
ผู้กองถาม ตอนนี้ผมเริ่มคิดว่าผู้กองเป็นเจ้าหนูจำไมกลับชาติมาเกิดรึเปล่า
“จะมีใครรู้ล่ะคะผู้กอง”
ผมตอบไปอย่างนั้นแล้วดึงแม่นักข่าวให้เข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น เธอเองก็จับมือผมแน่นเช่นกัน และผมก็หันไปเห็นผู้กองกำลังกำปืนไว้
ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมเคยรู้สึกแบบนี้ครั้งแรกเมื่อตอนที่ฝึกหัดอยู่ที่อังกฤษเมื่อห้าปีก่อน และหลังจากนั้นก็ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้อีก
เลยจนถึงครั้งนี้
แสงสีส้มนั้นผมเดาว่าเป็นแสงตะเกียง แต่คนที่ถือมันมานั้นนะสิคือใคร และคนคนนั้นก็เดินเข้ามาใกล้พวกเราเรื่อย ๆ แล้ว
ผู้กองเล็งปืนไปที่คนที่เดินมา ผมเองก็อยากห้ามเขาเพราะบางทีคนที่เดินมาอาจจะเป็นลุงสม นายเอก นายไก่ หรือ ใครก็ได้ ที่เดินออก
มาตามพวกเรา แต่ทางที่มามันไม่ใช่ทางออกของบ้านนะสิ
“หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นฉันจะยิง”
ผู้กองงตะโกนฝ่าสายฝน ผมแน่ใจว่าคนที่เดินมานั้นคงจะไม่ได้ยินเพราะเขายังไม่ยอมหยุด
และแล้วท้องฟ้าก็เป็นใจให้ผมเมื่อมีแสงฟ้าแลบที่สว่างมาก ทำให้ผมเห็นแล้วว่าคนคนนั้นคือ ตาแกะ คนสวนเก่าแก่ของบ้านนี้อายุก็ปา
เข้าไปเจ็ดสิบต้น ๆ แล้ว
เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้กองกำลังจะเหนี่ยวไกลปืน
“ผู้กองอย่า ! นั้นตาแกะ”
ปัง !
ผมผลักปลายกระบอกปืนได้ทันก่อนมันจะไปโดนตาแกะ
“ใครนะครับ”
“ตาแกะเป็นคนสวน เขาไม่ใช่คนร้ายหรอก”
ผมกับผู้กองตะโกนคุยกันทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้กันนิดเดียว
“เป็นอะไรกันไหมครับ”
ตาแกะวิ่งเข้ามาถามพวกเรา
“ไม่มีอะไรหรอกตา แล้วนี้ไปไหนมาเกือบจะเป็นไข้โป้งแล้วนะตา”
ผมตะโกนถามตาแกะ ก่อนจะสังเกตเห็นที่มือตาแกะถือดอกกล้วยไม้ป่าอยู่หลายช่อ
“ผมเข้าไปเก็บกล้วยไม้มาไว้ตกแต่งงานครับ แต่มันอยู่ลึกเข้าไปกลางป่าโน้น แล้วพวกคุณล่ะครับมาทำอะไรกันตรงนี้เดียวก็ไม่สบายกัน
หลอก อ้าว ! ตำรวจมาทำไมครับเนี่ย”
“เจ้าสัวตกเหวตายเมื่อช่วยสาย”
ผมบอกตาแกะ และถ้าผมมองไม่ผิดผมเห็นตาแกะทำหน้างง และเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดอะไร
“มีอะไรรึเปล่าตา”
ผมถาม
“ไม่มีหรอกครับ เข้าบ้านกันเถอะครับฝนตกมากแล้ว”
ผมก็คิดว่าอย่างนั้น เลยหันมาหาแม่นั้นข่าวแต่ในระยะสายตาของผมกลับไม่เห็นเธอ ผมมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็น
“น้อง ! น้อง ! ไปไหน! น้อง ! น้อง !”
ไม่มีสัญญาณตอบรับใด ๆ ผมพยายามมองหาเธอจนรู้สึกว่ากำลังเหยียบอะไรนิ่ม ๆ อยู่
“น้อง คุณปุณฑริกา !”
*******************************************************************************************************************************************************************
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ธ.ค. 2556, 10:46:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ธ.ค. 2556, 10:46:54 น.
จำนวนการเข้าชม : 994
<< บทนำ และตอนที่1 |