เพียงใจเจ้าเอย
หัวใจพี่ไม่อาจมอบให้ใครอื่นได้ เพราะเจ้าจับจองมันไว้ทั้งดวงแล้ว

พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
Tags: รักโรแมนติก,เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ ๕.๒

นับจากวันนั้น ฟ้าหญิงอุษาวดีทรงตั้งหน้าตั้งตาทำองค์เป็นแม่สื่ออย่างแข็งขัน ทั้งนัดแนะให้ฟ้าชายชลมาพบพักตร์พี่หญิงแทนองค์เอง ทั้งตีสนิท ชักชวนฟ้าชายภูมิธรให้ไปนู่นมานี่แทบทุกวันไม่ว่างเว้น จนบัดนี้ใครต่อใครฟันธงลงไปแล้วว่าฟ้าหญิงพระองค์เล็กคงไม่แคล้วต้องเสด็จไปพำนักที่วสุนธราเป็นแน่แท้

ไม่มีใครตะขิดตะขวงใจหรือผิดหวังที่วสุนธรากับสิขเรศจะได้เกี่ยวดองกัน จะมีก็เพียงคนเดียวที่ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับจนเหล่าทหารเข้าหน้าไม่ติด

ฟ้าชายชลธิศธราดลถอนพระอัสสาสะโดยแรงขณะสาวพระบาทกลับไปกลับมาอยู่หน้าพระตำหนักฟ้าหญิงพระองค์เล็กแห่งสิขเรศ ความร้อนรุ่มในพระทัยสุมแน่นอยู่ในพระอุระมาห้าหกวันแล้ว นับแต่เจ้าตัวยุ่งของพระองค์ให้ความสนิทสนมกับฟ้าชายจากวสุนธราจนเกินพอดี

ใครอื่นอาจมองว่าธรรมดาแต่สำหรับพระองค์มัน...มากเกินไป

อากัปกิริยาคล้องพระพาหาลากไปนู่นมานี่ แล้วยังรอยแย้มสรวลอ่อนหวานอีกเล่า

ทรงขบพระทนต์แน่น ไม่อยากยอมรับเลยว่า บัดนี้เจ้าตัวยุ่งชิดใกล้ฟ้าชายพระองค์นั้นมากเสียจนลืมเลือดเพื่อนตัวโตคนนี้ไปสิ้นแล้ว!

“กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลอะไรสักอย่างได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ”

โฆษิตซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างกระซิบทูลอย่างกล้าๆกลัวๆ รู้ดีว่าตอนนี้ฟ้าชายของตนมีพระอารมณ์ไม่สู้ดีนัก หากเอ่ยอะไรให้เป็นที่ขัดเคืองพระทัย ศีรษะของเขาคงเสี่ยงกับการต้องหลุดจากบ่าเป็นแน่ กระนั้นความว้าวุ่นในพระทัยของพระองค์ก็ไม่อาจทำให้เขาอยู่นิ่งเฉยได้

“ว่ามาสิ”

เมื่อทรงอนุญาต ราชองครักษ์หนุ่มก็สาวเท้าไปข้างหน้า แล้วโค้งตัวลงต่ำ พร้อมกับทูลสิ่งที่อยู่ในใจออกไปจนหมดเปลือก

“หากทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์ต่อฟ้าหญิงอุษาวดี ไยไม่บอกความจริงในพระทัยให้พระองค์รับรู้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

บังเกิดความเงียบอยู่นาน แม้แต่สายลมยามต้นฤดูคิมหันต์ก็หนาวเหน็บผิดปกติ

“กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม...”

เสียงนั้นกลืนหายไปในลำคอเมื่อฟ้าชายชลตรัสขัดขึ้นมาด้วยสุรเสียงเคร่งขรึมว่า

“วดียังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจความรัก และเราเอง...ก็ยังไม่แน่ใจ” ทรงรอกระทั่งราชองครักษ์เงยหน้ามาสบพระเนตร จึงตรัสต่อว่า “ความรักกับความผูกพันมันไม่เหมือนกันก็จริง แต่มันก็ใกล้กันมาก เราเองก็ไม่เคยหลงรักใครจริงๆจังๆเสียที แต่ความรู้สึกที่เรามีให้กับวดี ดูจะใกล้เคียงกับความรักที่สุด ถึงอย่างนั้นเราก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นแค่ความผูกพันหรือความรักจริงๆ”

ทรงไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ เงยพระพักตร์ชื่นชมกุหลามเลื้อยสีชมพูที่ห้อยย้อยจากหลังคาแล้วตรัสต่อ

“ที่สำคัญ วดีคิดว่าเราชอบพี่หญิงของนาง” ทรงสูดลมหายพระทัยลึกแล้วพ่นออกมาอย่างแรง “แต่ก็นั่นแหละ เราทำให้เข้าใจผิดไปแบบนั้นเอง เรายอมรับนะครั้งแรกที่เราพบหน้าหญิงนาง เรารู้สึกชอบจริงๆ แต่เป็นการชอบแบบผู้ชายคนหนึ่งเจอผู้หญิงสวยคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยคิดไปถึงขั้นรักลึกซึ้งจนแต่งงานกันเลยสักที ถ้าเราบอกความจริงเรื่องนี้ให้วดีรู้ นางคงโกรธเราจนไม่มีวันคืนดีเป็นแน่ เพราะฉะนั้นที่เราทำได้ในตอนนี้ก็แค่....รอเวลา”

แว่วเสียงฝีเท้าสับสนดังขึ้นตรงทางโค้งสุดปลายทางเดินแห่งนั้น พระองค์จึงละสายพระเนตรจากเจ้ากุหลาบดอกเล็ก หันไปทางต้นเสียง พระทัยเต้นแรงโลดขึ้นมาเมื่อเห็นวรองค์เล็กในฉลองพระองค์สีขาวขลิบทองอุ้มเจ้าชลน้อยมุ่งหน้ามาทางนี้ หากเพียงเสี้ยวขณะจิตมันก็หล่นหายไปที่ใดไม่ทราบได้เมื่อคนที่เดินเคียงกันมานั้นคือฟ้าชายตัวโต

ทรงข่มความ ‘หวง’ ไว้ในพระทัยแล้วตรัสต่อว่า

“เวลาที่เหมาะสม เราจะรอวันนั้น”

เมื่อฟ้าชายภูมิธรเสด็จมาใกล้จึงทรงผงกพระเศียรทักทาย พระพักตร์ดุดันเมื่อครู่ถูกปรับให้เรียบเฉยค่อนไปทางอ่อนโยนเมื่อทรงแย้มพระโอษฐ์ให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร

“เสด็จไปไหนกับหญิงวดีแต่เช้า?”

“วดีชวนหม่อมฉันไปขี่ม้า ไปเจอลำธารเข้า เลยแวะพักสักครู่ก่อนจะกลับมานี่ล่ะ”

ทรงผงกพระเศียรรับรู้ ตวัดพระเนตรไปทางเจ้าตัวยุ่งเล็กน้อยก่อนหันกลับมารับสั่งกับฟ้าชายภูมิธรตามเดิม

“อีกสองสามวันหม่อมฉันจะกลับบ้านแล้ว ไว้ถ้ามีโอกาสหม่อมฉันอาจจะไปเที่ยวที่วสุนธราบ้าง”

“ด้วยความยินดี”

บทสนทนาสิ้นสุดลงแค่นั้นเมื่อฟ้าชายภูมิธรตรัสลา และมุ่งหน้าไปยังวนอุทยานที่ใครๆก็รู้ว่าฟ้าหญิงคคนางค์มักไปนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่เป็นประจำ แม่สื่อพยายามทำหน้าที่สุดชีวิตแทบจะถลาเข้าไปหา อ้าพระโอษฐ์จะร้องเรียกแต่เพื่อนตัวโตกลับเข้ามายืนขวาง จากพระปฤษฎางค์กว้างจึงกลายเป็นพระพักตร์ยาวๆที่เริ่มดุกร้าวขึ้นตามวันเวลาที่ผันผ่าน

“เดี๋ยวนี้ทรงมีเพื่อนใหม่จนลืมหม่อมฉันแล้ว?”

“เราลืมที่ไหน เราแค่...”

ยังตรัสตอบไม่ทันจบประโยค พระเนตรก็สะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่ง...คนที่พระองค์ถูกชะตาและหมายมั่นปั้นมือที่จะให้มาเป็นราชองครักษ์ของพระองค์ให้ได้

ทรงย่อองค์ผลุบ แล้ววิ่งจากไป ทิ้งให้ฟ้าชายชลทอดเนตรตามด้วยความหงุดหงิดพระทัย

ยิ่งเห็นวรองค์เล็กแทบถลาเข้าไปกอดนายทหารผู้นั้น พระองค์ก็กริ้วเสียจนทนไม่ได้ รีบหันไปพยักพระพักตร์กับโฆษิตแล้วสาวพระบาทจากไปเร็วรี่ กระนั้นก็ยังไม่วายได้ยินพระสุรเสียงใสๆแว่วมาว่า

“เราจะไปดูตัวทดสอบวันพรุ่งนี้นะ อัศนัย ทำให้ได้นะ!”

ตัวกับเรา...ถ้อยคำที่ควรจะสงวนไว้เฉพาะ ‘เรา’ แต่เจ้าตัวยุ่งกลับนำมันไปให้กับคนอื่น!

ไหนจะคำว่าพี่ภูมิที่ตอนนี้ดูจะติดปากใครคนนั้นแทบทุกลมหายใจเข้าออก!

เจ้าตัวยุ่งกำลังเติบโต และเปิดรับความสัมพันธ์จากใครอื่นด้วยความยินดี คงจะชอบด้วยซ้ำที่ได้เพื่อนใหม่มาหลายคน ส่วนเพื่อนคนนี้...อีกไม่นานคงกลายเป็นเพียงความทรงจำ ก่อนจะถูกสายลมแห่งสิขเรศพัดหายหล่นไปเมื่อใดก็สุดรู้

ฟ้าชายชลก้าวพระบาทยาวๆจนแทบเป็นวิ่งมาได้สักพักก็ผ่อนความเร็วทีละน้อยๆจนหยุดอยู่ตรงหน้าพระตำหนัก ทรงประทับนิ่งราวกับรูปสลักอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะหันไปสั่งความกับโฆษิตว่า

“คืนนี้เก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เราจะกลับบ้านแต่เช้า!”

ตรัสเสร็จก็สาวพระบาทจากไป จุดหมายปลายทางคือพระตำหนักขององค์เจ้าหลวงแห่งสิขเรศ




หลังจากทูลเรื่องกลับบ้านให้เจ้าหลวงทิศวัตทราบแล้ว ฟ้าชายชลธิศธราดลก็ทรงพระดำเนินเตร็ดเตร่อยู่แถววนอุทยาน หวังรอให้พระทับสงบค่อยกลับตำหนัก นานกระทั่งเกือบตะวันตกดิน จึงทรงพยักพระพักตร์ให้ราชองครักษ์เป็นสัญญาณว่าจะเสด็จกลับตำหนักแล้ว ระหว่างทางทรงได้พบเพื่อนตัวเล็กของพระองค์ด้วยความบังเอิญ...เป็นการพบเจอที่ผิดเวลาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเพียงพบพระพักตร์โทสะและความหวงยังอัดแน่นในพระอุระซึ่งยังไม่จางหายก็ปะทุขึ้นมาอีก หนำซ้ำเมื่อเห็นเจ้าตัวยุ่งสวมชุดที่เปิดเผยเนื้อหนังมังสามากจนเกินพอดีความรุ่มร้อนในพระทัยยิ่งทบเท่าทวีคูณ

วรองค์เล็กในฉลองพระองค์สีครีมออกน้ำตาลแขนสั้นประดับเลื่อมรอยพระศอ และทรงพระสนับเพลาขาสั้น...สั้นเหนือพระชานุขึ้นมาเล็กน้อย อวดพระเพลาขาวเนียนผุดผ่องจนทำให้คนที่กำลังก้าวพระบาทเร็วรี่หยุดชะงักทันควัน ตรงกันข้ามกับฟ้าหญิงอุษาวดีที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา หอบเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด ยามเมื่อเท้าพระหัตถ์กับพระเพลา พระเสโทก็หยดไหลเป็นทาง ฟ้าชายชลเกือบจะเอื้อมหัตถ์ออกไปเช็ดด้วยความเคยชินแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงนางกำนัลตะโกนเรียกเสียก่อน

“ทูลกระหม่อมเพค้า! อย่าวิ่งเพค้า! กลับมาเปลี่ยนฉลองพระองค์ก่อน!”

พระหัตถ์ที่ยกขึ้นตกลงข้างพระวรกาย พร้อมกับตรัสตำหนิด้วยสุรเสียงเคร่งขรึม

“ไม่ควรลงสวมฉลองพระองค์แบบนี้ลงจากตำหนัก”

“ทำไม” คนถูกว่ายืดองค์ขึ้นทำเสียงไม่พอพระทัยทันที “ชุดนี้ออกจะสวย พี่ภูมิอุตส่าห์ซื้อมาให้เรา”

ยินแล้วฟ้าชายชลถึงกับจ้องฉลองพระองค์เขม็ง เกิดความรู้สึกอยากจะหากรรไกรมาตัดให้มันแหว่งวิ่นไม่เหลือชิ้นดีเลยด้วยซ้ำไป!

“เรื่องชุดเอาไว้ก่อนเถอะน่า! เรามีเรื่องสำคัญ!” เสียงฝีเท้านางกำนัลดังเข้ามาใกล้แล้ว ทำให้พระองค์ต้องรีบตรัส “รู้ไหมเราอุตส่าห์วิ่งตามหาตัวตั้งแต่บ่ายๆละ เหนื่อยก็เหนื่อย ยังจะมาว่าเราอีก!”

“ตามหาหม่อมฉันทำไม?”

“เรามีข่าวร้ายมาบอก!”

คนฟังขมวดพระขนง ไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องพระปฤษฎางค์และเริ่มฟังอย่างตั้งพระทัย เพราะหากเจ้าตัวยุ่งวิ่งตามหาพระองค์ให้ทั่วเช่นนี้ สิ่งที่อีกฝ่ายนำมาบอกย่อมต้องเป็นข่าวร้ายจริงๆ

“ข่าวร้ายเรื่อง?”

“เราแอบรู้มาว่า...” ทรงเหลียวไปเห็นนางกำนัลวิ่งเข้ามาใกล้มากแล้ว จึงเขย่งปลายพระบาท ยกมือป้องพระโอษฐ์ กระซิบกระซาบชิดริมพระกรรณของฟ้าชายชล “พี่ภูมิเพิ่งไปขอพี่หญิงมาเมื่อตอนบ่ายนี้เอง แล้วทูลหม่อมพ่อก็ไม่ปฏิเสธด้วย”

ฟ้าชายชลตะลึงงันไป มิใช่เพราะตกพระทัยด้วยคาดเดาไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าฟ้าชายภูมิธรคงไม่คิดกลับบ้านมือเปล่าแน่ แต่ก็ไม่คิดว่าพระองค์จะดำเนินการอย่างรวดเร็วเช่นนี้

“ไงล่ะ ตกใจเลยละสิ! เราบอกแล้วว่าให้รีบๆ ตัวก็ไม่เชื่อ!”

เห็นพระพักตร์บูดบึ้งและแววเนตรแข็งกร้าวนั้นแล้ว ฟ้าชายชลก็ทรงหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

“กริ้วอะไร? กริ้วที่หม่อมฉันไม่ยอมไปขอหญิงนางซะทีน่ะหรือ?!”

“กริ้วสิ! ก็ตัวมัวชักช้า เราเหนื่อยรู้ไหม ช่วยตัวมาตั้งหลายปีแต่กลับเหลวไม่เป็นท่า!”

“หม่อมฉันขอบพระทัยที่ช่วย แต่...ทุกอย่างมันจบแล้ว ไม่ดีหรือ? พระองค์จะได้ไม่ต้องเหนื่อย!”

“เอ๊ะ! ตัวมาโกรธไรเรา! ถ้าจะโกรธใครสักคน ตัวต้องโกรธตัวเองแล้ว! ทำไรก็ไม่ทำจน...” ตรัสพลางทำเสียงฮึดฮัดในพระศอ ตอนนั้นนางกำนัลกรูเข้ามาหาพอดีบทสนทนาจึงหยุดชะงักลงเพียงแค่นั้น

“ขอประทานอภัยเพคะ ทูลกระหม่อมของหม่อมฉัน....เอ่อ...”

นาราซึ่งนั่งทรุดกายลงคุกเข่าตรงหน้าฟ้าหญิงพระองค์เล็กพยายามจะทูลบางอย่างแต่ก็ไม่กล้า สุดท้ายฟ้าชายชลก็เป็นฝ่ายบอกเสียเอง

“ทีหลังอย่าให้หญิงวดีลงจากตำหนักในสภาพนี้อีก รีบพากลับไปแต่งตัวใหม่เร็ว!”

“อะไร! ทำไมต้องมาบังคับเราเรื่องแต่งตัวด้วย!” วรองค์เล็กกระทืบพระบาท ดูท่าจะกริ้วจริงๆจังๆเสียแล้ว “ตัวมีสิทธิ์อะไร! ตัวไม่ใช่พ่อเรานะ!”

ฟ้าชายชลทรงจับจ้องพระพักตร์แดงก่ำของฟ้าหญิงพระองค์เล็กแห่งสิขเรศเนิ่นนาน ไม่มีคำต่อว่า ตำหนิติเตียนใดๆคงมีแต่แววเนตรเท่านั้นที่บอกว่าพระองค์กริ้ว...กริ้วมากจนแทบจะฉีกเพื่อนตัวเล็กของพระองค์เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ฟ้าหญิงอุษาวดีคงจะเข้าพระทัย จึงประทับยืนนิ่ง ดวงเนตรวูบไหวราวเปลวไฟต้องลม ก่อนพระพักตร์จะซีดลงเป็นลำดับ

“ตัวโกรธเรา โกรธทำไม? เดี๋ยวนี้เราทำไรก็ผิดใช่ไหม?!”

อีกฝ่ายไม่ยอมตรัสตอบ เอาแต่ประทับนิ่ง จ้องพระองค์ราวกับทรงทำผิดมหันต์

“หรือโกรธเรื่องพี่ภูมิ?”

ทรงไม่สนแล้วว่าใครจะได้ยินบ้าง พระองค์ทรงพรั่งพรูทุกอย่างที่อัดแน่นอยู่ในพระทัยออกมาทันที

“เราช่วยเต็มที่แล้วอย่างที่สัญญาแล้ว ตัวก็รู้!” ทรงกำหระหัตถ์เข้าหากันราวกับการกระทำเช่นนั้นจะช่วยไม่ให้พระองค์มีแรงต่อสู้กับพระเนตรดุกร้าวคู่นั้นได้ “เราช่วยตัวทุกอย่าง แต่ตัวนั่นแหละไม่ยอมช่วยตัวเอง!”

“ขอบพระทัย” ฟ้าชายชลรับสั่งอกมาในที่สุด หากเป็นการรับสั่งที่พระสุรเสียงเต็มไปด้วยอำนาจและดุดันแบบที่ฟ้าหญิงพระองค์เล็กไม่เคยสัมผัสมาก่อน “สำหรับเรื่องที่ทรงช่วย หม่อมฉันซาบซึ้งมากแต่ตอนนี้...พระองค์ควรจะกลับขึ้นตำหนัก”

“เราไม่กลับ! เราจะอยู่ตรงนี้พูดกับตัวให้รู้เรื่อง”

“ไม่ได้!”

“ทำไม! ตัวโกรธจนไม่อยากคุยกับเราแล้วเรอะ!”

ฟ้าชายชลทรงกวาดพระเนตรไปยังนางกำนัลที่นั่งก้มหน้าอยู่กับพื้นแล้วทอดถอนพระทัย เพราะเรื่องที่จะคุยกันไม่เหมาะเลยที่จะให้ใครได้ยิน และพระองค์เองก็ไม่อยากให้ใครต่อใครโดยเฉพาะผู้ชายเห็นนวลเนื้อขาวผ่องของเจ้าตัวยุ่งของพระองค์ด้วย โชคดีที่พระพี่เลี้ยงมาทันเวลา

“มาพอดีเลยนม รีบพาวดีกลับขึ้นตำหนักด้วย อย่าให้เดินเพ่นพ่านไปไหน”

ทรงมีพระบัญชาเสร็จสรรพ ก็ผงกศีรษะเป็นเชิงลากับฟ้าหญิงอุษาวดี ท่าทางห่างเหินเป็นงานเป็นการนั้นทำให้คนตัวเล็กทั้งกริ้วทั้งเสียพระทัย น้ำอัสสุชลเอ่อคลอเต็มพระเนตร แต่ก่อนที่มันจะหยาดหยดผู้เป็นเจ้าของก็กะพริบไล่มันจนเหือดแห้ง

“ตัวเป็นเหมือนเดิม...เหมือนตอนนั้นอีกแล้ว เบื่อเราอีกแล้วใช่ไหม หรือว่าเพราะโกรธ”

ฟ้าชายชลอ้าพระโอษฐ์แต่พอสบตากับนางกำนัลที่มองมาอย่างสงสัยใครรู้ ก็จำต้องนิ่งเงียบ

“เรื่องพี่หญิงเรา...”

“เสด็จกลับไปได้แล้ว อากาศเริ่มเย็น สวมชุดแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบาย หม่อมฉันต้องขอตัว” ทรงจับจ้องพระพักตร์ผุดผ่องของอีกฝ่ายเนิ่นนาน กว่าจะตรัสต่อว่า "หม่อมฉันจะกลับบ้าน...พรุ่งนี้เช้า สักวันเราคงได้พบกันอีก“

รับสั่งเสร็จก็เสด็จจากมา ไม่มีสุรเสียงใสๆตะโกนเรียก ไม่มีฝีพระบาทดังสับสนตามมาเหมือนแต่ก่อน มีเพียงความเงียบงันวังเวงอย่าน่าใจหาย



ฟ้าหญิงอุษาวดีตั้งพระทัยไว้ว่าจะไม่ไปส่งเสด็จฟ้าชายชลธิษธราดล ร้อยไม่ส่ง พันไม่ส่ง! แต่เอาเข้าจริง พระองค์ก็ทรงทนเสียงร่ำร้องในพระทัยไม่ไหว รีบลุกขึ้นมาแต่งฉลองพระองค์ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง กระนั้นยังเหมือนจะช้าไป เพราะแว่วเสียงเป่าเขาดังกึกก้องไปทั่วพระราชวัง

“ไม่ทันแล้วนม!” พระพี่เลี้ยงยังไม่ทันวางผ้าคลุมพระเกศาคลุมบนพระอังสา พระองค์ก็ทรงยกชายฉลองพระองค์แล้ววิ่งถลาออกนอกห้องบรรทม ลงบันไดด้วยการกระโดดข้ามสองสามขั้น แทบจะชนเข้ากับนางกำนัลคนหนึ่งที่หน้าตำหนัก แต่ทรงหลบหลีกได้ว่องไวอย่าน่าเหลือเชื่อ

“ขอประทานอภัยเพคะ”

แว่วเสียงนางกำนัลผู้นั้นดังตามหลัง แต่พระองค์ไม่สนพระทัย มุ่งหน้าวิ่งต่อไปกระทั่งถึงหน้าท้องพระโรง สถานที่ตั้งขบวนเสด็จของฟ้าชายแห่งคิมหันต์นคร

เหล่าข้าราชบริพารยืนออกันอยู่ตรงเบื้องพักตร์ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของพระองคืก็พากันแหวกทางให้ พระองค์รีบรุดไปด้านหน้า คิดว่าคงมาทัน...ทันจริงๆ แต่ทันแค่ท้ายขบวนเท่านั้น

เจ้าม้าสีน้ำตาลอ่อนสะบัดหางไปมาขณะเยื้องย่างไปข้างหน้าตามการควบคุมของนายทหารบนหลังม้า ฟ้าหญิงพระองค์เล็กแทบกันแสง พระองค์ย่อองค์ถวายบังคมทูลหม่อมพ่อ ทูลหม่อมแม่ พระพี่นาง เจ้าฟ้าชายภูมิธรและพระบรมวงศานุวงศ์เสร็จสรรพ ก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือ ทรงออกวิ่งอย่าไม่คิดชีวิต หมายจะให้ทันผู้ที่อยู่หน้าขบวน แถมยังตะโกนเรียกเสียอีก

“พี่ชล! รอก่อน! รอวดีก่อน!”

เสียงนั้นไม่อาจไปถึงคนที่ต้องการให้ได้ยิน เพราะป่านนี้ม้าทรงฝีเท้าดีคงรุดหน้าไปไกลมากแล้ว วรองค์เล็กทรุดฮวบลงข้างทางทำให้ทหารผู้ติดตามต้องสั่งให้มาหยุดแล้วกระโดดลงมากรุกันเข้าไปถามไถ่อย่างเป็นห่วง แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้องพระองค์แม้แต่ปลายเล็ก คงได้แต่ยืนจดๆจ้องๆอยู่รอบๆด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“เป็นอะไรหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“รีบเสด็จกลับเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

แว่วเสียงฝีเท้าสับสนตามมา พร้อมกับเสียงของพระพี่นาง

“วดี! เป็นอะไรรึเปล่าวดี!”

พอฟ้าหญิงคคนางค์คุกพระชานุลงตรงเบื้องพักตร์ พระองค์ก็โถมเข้าใส่ กอดคอพี่หญิงไว้และกันแสงอย่างไม่สนสายตาของใครๆ

ใครต่อใครคงมองว่าฟ้าหญิงพระองค์เล็กเสียพระทัยที่เพื่อนคนสนิทกลับบ้านไปแล้ว แต่อีกไม่นานคงจะลืมและกลับร่าเริงเหมือนเก่า ใครเลยจะรู้ว่าเพื่อนคนนั้นมีความหมายต่อพระองค์มาก...มากจนสลักใครคนนั้นไว้ในพระทัยและไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดพระชนม์ชีพ



เราจะโต๊เราจะโต หญิงวดีจะโตแล้วค่าาาา
ฟ้าชายชลกับเจ้าตัวยุ่งจะเปลี่ยนไปแค่ไหน โปรดติดตามบทหน้าค้าบบบบ ^^





ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ธ.ค. 2556, 11:49:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ธ.ค. 2556, 11:55:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1762





<< บทที่ ๕.๑   บทที่ ๖.๑ {Deleted} >>
Sukhumvit66 7 ธ.ค. 2556, 12:30:52 น.
แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันหนอ รอ ร๊อ รอ


ptryzaa 7 ธ.ค. 2556, 14:47:55 น.
รอ ร๊อ รอ


แว่นใส 7 ธ.ค. 2556, 14:54:52 น.
ยังไม่เข้าใจกันเลย ก็จากกันไปไกลอีกละ


pkka 7 ธ.ค. 2556, 20:14:14 น.
นั่นสิ จากด้สยความไม่เข้าใจ


kaelek 7 ธ.ค. 2556, 20:16:17 น.
โอ๊ย!!! อยากเจอใจจะขาดแล้ววววว


นักอ่านเหนียวหนึบ 7 ธ.ค. 2556, 22:34:13 น.
ตอนต่อไป ตอนต่อไป ตอนต่อไป ตอนต่อไป ตอนต่อไป ตอนต่อไป ตอนต่อไป ตอนต่อไป ตอนต่อไป


mhengjhy 7 ธ.ค. 2556, 22:51:47 น.
อ้าว จากไปแบบโกรธๆ งี้หรอ ชายชลทำได้ไงอ่ะ


Zephyr 8 ธ.ค. 2556, 02:08:27 น.
อ้าววววว ยังเข้าใจผิดกันอยู๋เลย
จากกันดื้อๆยังงี้อ่ะนะ
ชิชะ รึรอเวลาอยู่น้า พี่ชายชล


nasa 8 ธ.ค. 2556, 19:15:58 น.
ทำไมไม่ปรับความเข้าใจก่อนไปล่ะ จะจากไปตั้งนานปล่อยให้ค้างคาได้ไงชายชล


windy2000 5 ม.ค. 2557, 08:33:33 น.
กลับไปสำรวจหัวใจให้ดีนะตัว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account