เพียงใจเจ้าเอย
หัวใจพี่ไม่อาจมอบให้ใครอื่นได้ เพราะเจ้าจับจองมันไว้ทั้งดวงแล้ว

พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
Tags: รักโรแมนติก,เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ ๕.๑




ความขุ่นข้องหมองพระทัยลากยาวตั้งแต่ก่อนเข้าบรรทมจวบจนกระทั่งยามสายของวันถัดมา วันที่เห็นใครบางคนหอบเจ้าชลน้อยวิ่งตัวปลิวผ่านพระพักตร์ไปโดยทำเพียงแค่เหลือบสายพระเนตรมาเพียงชั่วขณะจิต ไม่ทันให้พระองค์ได้มองสบด้วยซ้ำไป อะไรก็ไม่น่าโมโหเท่าร่างเล็กโผเข้าหาเจ้าฟ้าชายภูมิธรผู้ซึ่งน่าจะเสด็จมารออยู่หน้าพระตำหนักนานพอควรแล้ว สังเกตได้จากอากัปกิริยาขอโทษขอโพยของเจ้าตัวยุ่ง

ฟ้าชายชลประทับยืนจดๆจ้องๆอยู่ทางเดินเชื่อมระหว่างตำหนัก จะก้าวพระบาทเข้าไปแทรกกลางระหว่างทั้งสองก็เป็นการไม่สมควร แต่หากจะยืนอยู่เฉยๆเช่นนี้ พระทัยก็ร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็น สุดท้าย...ก็ทรงทำได้แค่รีๆรอๆ สาวพระบาทกลับไปกลับมาอยู่ตรงนั้น หนำซ้ำยังทำองค์ราวกับเป็นพวกถ้ำมองอีกด้วย

ฟ้าชายชลจ้องวรองค์เล็กที่กำลังวางเจ้าชลน้อยในอ้อมพระอุระของอีกฝ่ายเขม็ง ทรงไม่พอพระทัย...ทั้งเรื่องที่หญิงวดีทำเมินพระองค์ ทั้งเรื่องนัดแนะกับชายอื่นแทนที่จะเป็นพระองค์ และไหนจะเรื่องที่เจ้าตัวยุ่งยอมให้ ‘คนอื่น’ เจ้าชลน้อยอีก!

ดำริแล้วก็หงุดหงิดหนักมากขึ้นไปอีก

หากเจ้าฟ้าชายภูมิธรเป็นคนอื่น พระองค์เองก็นับว่าเป็นคนอื่นด้วยเฉกกัน!

พระองค์เป็นใครสำหรับที่นี่ แค่ฟ้าชายจากต่างเมืองที่เดินทางมาร่ำเรียนตามพระบัญชาของพระบิดา

‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!’

‘เราจะรบกับสิขเรศหรือพ่ะย่ะค่ะ’

ทรงนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะตรัสต่ออย่างยืดยาวว่า

‘บ้านเมืองเราก็ถือว่าทรัพยากรอุดมสมบูรณ์พอควร การค้าการขายก็รุดหน้าใครๆในแถบนี้หลายเท่าตัว ชลไม่คิดบ้างหรือว่าอาจจะมีใครสักคนอยากได้เรา ชลไปอยู่ที่นู่นจะได้เรียนรู้เรื่องการรบกับชาวภูเขามาบ้าง แม้จะไม่ทั้งหมดแต่น่าจะพอรู้เป็นแนวทาง เอาไว้ป้องกันแคว้นของเราได้’

‘แล้วทำไมต้องไปสิขเรศ ทำไมทูลหม่อมพ่อไม่ส่งลูกไปวสุนธรา โภไคย หรือแคว้นอื่นๆล่ะพ่ะย่ะค่ะ’

‘เพราะพ่อเป็นเพื่อนกับลุงทิศวัต แล้วสิขเรศกับเราก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมาก่อน เสด็จป้าของเจ้าก็แต่งงานกับญาติของลุงทิศวัต น่าเสียดายที่ทั้งสองเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีทายาทเสียด้วย ความสัมพันธ์จึงชะงักไปช่วงหนึ่ง ถึงเวลาแล้วที่เจ้าน่าจะไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับทางนู้นอีกครั้ง ส่วนวสุนธรา โภไคย หรือแคว้นอื่นๆที่เจ้าว่านั้น พ่อไม่ไว้ใจเท่าไหร่นัก ความสัมพันธ์ก็ลุ่มๆดอนๆ มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าแล้วละ’

เพราะเหตุนี้พระองค์จึงถูกส่งมาที่นี่เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี และเรียนรู้การรบที่ชาวคิมหันต์นครไม่คุ้นเคย

พระองค์ทรงเป็นแค่ตัวแทนเชื่อมสัมพันธไมตรี เฉกเช่นเจ้าฟ้าชายภูมิธรเช่นกัน

ทรงเป็นคนอื่นสำหรับคนที่นี่ แต่กับเจ้าตัวยุ่งแล้ว พระองค์อยาก ‘พิเศษ’ กว่านั้น

ดำริแล้วก็ทอดถอนพระทัย ดำริไม่ตกว่าควรทำอะไรหรือทะเช่นใดในเวลานี้ ระหว่างนั้นนารา...นางกำนัลคนสนิทของฟ้าหญิงอุษาวดีก็เดินผ่านมา ย่อตัวถวายบังคมพร้อมกับยัดกระดาษแผ่นเล็กในมือของราชองครักษ์ของพระองค์ด้วยความเร็วที่นางกำนัลซึ่งเดินตามมาด้วยไม่ทันสังเกต

ฟ้าชายชลทรงรอจนนางกำนัลทั้งหมดเดินห่างออกไปพอสมควรแล้ว จึงแบพระหัตถ์ขอกระดาษแผ่นนั้นจากมือของโฆษิต พลันที่อีกฝ่ายวางมันลงบนกลางพระหัตถ์ พระองค์ก็รีบคลี่ออกอ่าน

ลายพระหัตถ์ตวัดรวดเร็วจนแทบอ่านไม่ออกนั้น ทรงทราบดีว่าเป็นของผู้ใด พระทัยเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนมันจะดิ่งฮวบตกเหวเมื่อข้อความในจดหมายฉบับนั้นคือ

...เรานัดพี่หญิงไว้ที่สวนกุหลาบอีกหนึ่งชั่วยาม ไปให้ตรงเวลาด้วย เราจะคุมตัวเจ้าชายภูมิธรให้ รีบๆทำคะแนนเข้า อย่าให้เราผิดหวังล่ะ!...

อย่าทำให้ผิดหวัง!

เป็นประโยคที่ชวนให้อึดอัดพระทัยจนถึงกับพ่นลมออกทางพระโอษฐ์ ตวัดสายพระเนตรไปทางเจ้าของจดหมายก็พบว่าอีกฝ่ายเดินเคียงไปกับเจ้าชายตัวโตอย่างสนิทสนมเสียแล้ว แถมสุรเสียงใสๆที่ลอยมาตามลมนั้นเล่า

“พี่ภูมิเก่งจังเลยนะเพคะ”

พี่ภูมิ! เก่งจังเลย!

เจ้าตัวยุ่งเคยใช้คำพูดแบบนี้กับพระองค์หรือเปล่า?

ไม่! ไม่เลย!

ฟ้าชายชลทอดพระเนตรตามปลายพระเกศาดำขลับที่ไหวพลิ้วตามแรงลม ดวงเนตรกร้าวดุขึ้นมา ก่อนจะสาวพระบาทจากไปโดยเหลือบแลไปทางนั้นอีกเลย


วรองค์โปร่งระหงในฉลองพระองค์สีน้ำเงินเข้มกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าต้นกุหลาบสีแดงซึ่งกำลังชูช่ออวดความงามของตนอย่างภาคภูมิ พระนาสิกโด่งแตะลงบนกลีบกุหลาบอย่างแผ่วเบา เมื่อเงยพักตร์ขึ้นจึงตกพระทัยเล็กน้อยเพราะจู่ๆฟ้าชายจากคิมหันต์นครก็มาปรากฏตัวอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ”

ฟ้าชายชลทรงผงกพระเศียร แย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยเพื่อปลอบประโลม

“ขอประทานอภัยที่ทำให้ตกพระทัย”

“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันคงขวัญอ่อนเกินไปเอง หรือไม่...พระองค์ก็ทรงพระดำเนินได้เงียบเชียบเฉกเช่นทหารของสิขเรศแล้ว”

คนถูกชมเลิกพระขนงน้อยๆ แย้มพระโอษฐ์กว้างกว่าเดิมพร้อมกับตรัสด้วยเสียงอ่อนโยนว่า

“ถ้าเช่นนั้นคงต้องขอบคุณสิขเรศเป็นอย่างมากที่ฝึกหม่อมฉันได้ดีถึงเพียงนี้”

ทรงสาวพระบาทอ้อมกุหลาบต้นนั้นมาประทับยืนเคียงข้างฟ้าหญิงคคนางค์ กวาดสายพระเนตรไปโดยรอบ ชื่นชมกุหลาบหลากสีรอบพระวรกายก่อนพระเนตรจะสะดุดเข้ากับดอกเอื้องที่กำลังพลิ้วไหวตามแรงลมบนคาคบของต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีชิงช้าที่พระองค์ทำด้วยพระหัตถ์ห้อยอยู่

ชิงช้านั้น พระองค์ทรงให้คำสัญญาไว้ว่าจะทำให้ใครคนหนึ่งถ้าได้รับการช่วยเหลือเรื่อง...หัวใจ

บัดนี้ใครคนนั้นทำตามหน้าที่ ทำตามคำสัญญาได้อย่างไม่มีที่ติ แต่เป็นพระองค์เสียเองที่อยากตระบัดสัตย์ ดึงถ้อยคำที่ตรัสไว้ในวันนั้นคืนกลับมาเสียทั้งหมด!

“จะเสด็จกลับคิมหันต์นครเร็วๆนี้แล้วหรือเพคะ”

สุรเสียงกังวานใส ละม้ายคล้ายคลึงกับพระขนิษฐา หากสำรวมและอ่อนหวานกว่าฉุดให้พระองค์ดึงพระสติกลับคืน หันไปสบพระเนตรแล้วตรัสตอบ

“ทูลหม่อมพ่อส่งจดหมายมาตามแล้ว คราวนี้คงต้องกลับจริงๆ”

“แล้วจะเสด็จมาอีกไหมเพคะ”

“สิขเรศกับคิมหันต์นครอยู่ใกล้กันแค่นี้ หม่อมฉันต้องมาอีกแน่นอน”

ฟ้าหญิงคคนางค์แย้มพระโอษฐ์กว้างตอบรับถ้อยรับสั่งนั้น ก่อนจะตวัดพระเนตรหาพระขนิษฐา และบ่นกับองค์เองเบาๆ

“ทำไมยังไม่มานะ”

“ทรงหาหญิงวดีอยู่หรือ?”

“เพคะ ไม่รู้ว่าไปไหน ตัวเองเป็นคนนัดหม่อมฉันมาที่นี่แท้ๆ แต่กลับหายต๋อมไปเสียเฉยๆ”

คนฟังสรวลเบาๆในพระศอ ก่อนผงกพระเศียรอีกครั้ง

“ต้องขอประทานอภัยอีกครั้ง หญิงวดีคงไม่มาแล้วเพราะทรงให้หม่อมฉันมาแทน”

“อ้าว...ทำไมล่ะเพคะ”

ถามออกไปแล้ว พระปรางพลันแดงก่ำด้วยพอจะรู้พระทัยพระขนิษฐาดีว่าคงกำลังเล่นบทแม่สื่ออีกตามเคย

“ร้ายจริงหญิงวดี เจอเมื่อไหร่หม่อมฉันต้องต่อว่าสักหน่อยแล้ว!”

“อย่าเลย ที่จริงก็เป็นความผิดของหม่อมฉัน” ฟ้าหญิงคคนางค์ต้องเงยพักตร์ขึ้นมาสบพระเนตร เลิกพระขนงเล็กน้อยเป็นคำถาม แต่คนพูดกลับไม่ยอมเอ่ยว่าความผิดนั้นคือสิ่งใด กลับเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสีย เป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ไม่มีสิ่งใดเฉียดใกล้เรื่องความรักและหัวใจเลยแม้แต่น้อย

หากใครคนหนึ่งที่มาแอบซุ่มดูอยู่ตรงพุ่มไม้ริมสวนกุหลาบกลับเห็นภาพคนทั้งสองกำลังกระซิบคำรักให้แก่กัน ไหนจะท่าทางยามฟ้าชายเก้งก้างเด็ดดอกกุหลาบมาทัดพระกรรณให้พระพี่นาง ไหนจะรอยแย้มสรวลที่มอบให้กันนั้นอีก ใครมองก็ต้องคิดว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่กำลังรุดหน้าไปไกล...ไกลมากพอที่คนเป็นแม่สื่อจะดีใจเพราะทำงานสำเร็จแล้ว

แต่ก็น่าแปลก พระองค์รู้สึกดีก็จริง ทว่า...ความหม่นเศร้าที่อยู่ในพระทัยลึกๆนั้นคืออะไร หมายความว่าอะไร พระองค์ไม่อาจหาคำตอบได้เลย และเมื่อหาไม่ได้ก็ทรงเลือกที่จะวางมันทิ้งเสีย แล้วแอบเฝ้ามองบุคคลอันเป็นที่รักด้วยความสุข

นานเท่านานกว่าพระพี่นางจะถวายบังคมแล้วเสด็จจากไป หากพระองค์ยังนั่งแปะอยู่หลังพุ่งไม้ ทนให้หญ้าแข็งๆทิ่มแทงพระฉวีอยู่เช่นนั้น แสบคันสักเพียงใดก็ยังอดทนเพราะตั้งพระทัยไว้ว่าจะรอจนฟ้าชายเก้งก้างเสด็จกลับตำหนักเสียก่อน

พระองค์ทอดเนตรผ่านรอยแยกของพุ่มไม้ เห็นฟ้าชายชลเสด็จตรงไปยังชิงช้าใหญ่ เอื้อมพระหัตถ์เด็ดกุหลาบเลื้อยสีขาวที่พันขึ้นไปตามเชือกสีน้ำตาลเส้นใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนคนแอบซุ่มทนไม่ไหว ลุกพรวดพราดขึ้นมา แล้วออกวิ่งไปหาโดยไม่ยอมปัดฝุ่นดินและหญ้าแห้งที่ติดตามพระวรกายเลยแม้แต่น้อย

“ตัวทำไร!”

วรองค์สูงสะดุ้งเล็กน้อย...น้อยจริงๆจนใครๆคงไม่สังเกต แต่พระองค์ประทับยืนใกล้เพียงนี้ ย่อมสังเกตเห็นชัดเจน

“ทำไรกะชิงช้าของเรา”

“ชิงช้าของพระองค์คนเดียวที่ไหน...” ฟ้าชายชลรับสั่งพร้อมกับหมุนองค์มาเผชิญพระพักตร์ และไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ “เป็นของหม่อมฉันด้วย”

“ตัวทำให้เราแล้ว มันก็ต้องเป็นของเราสิ” ทรงกอดพระอุระหรี่พระเนตรแล้วเขย่งปลายพระบาทพยายามมองสิ่งที่อีกฝ่ายซ่อนไว้ทางด้านหลัง “ตัวซ่อนไรไว้ เอาออกมาเดี๋ยวนี้นะ”

สายพระเนตรเคร่งขรึมเมื่อครู่ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นเต้นระริก ประกายแห่งความสุขเอ่อล้นอยู่ในดวงเนตรสีนิลกาฬจนแม้แต่ราชองครักษ์ซึ่งยืนอารักขาอยู่ห่างออกไปอดยิ้มไม่ได้

“ไม่ได้ซ่อน”

“ไม่ต้องมาโกหกเลย เราเห็นว่าตัวดึงกุหลาบของเราออกมา” ตรัสพลางจะเข้ายื้อแย่ง แต่ฟ้าชายชลเบี่ยงองค์หลบได้ทัน ว่องไว ปราดเปรียวกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า

“ตัวก็เล็กแค่นี้ อย่าคิดสู้กับหม่อมฉันเลยน่า”

“เราตัวไม่เล็กแล้วนะ เท่าบ่าพี่หญิงแล้ว” ทรงก้าวพรวดเข้ามาประชิดพระวรกายสูง...ใกล้จนคนตัวโตถึงกับนิ่งงันไป “สูงเท่าอกตัวแล้วด้วย อีกหน่อยจะเท่า...” ทรงยกหัตถ์ลูบปลายคางครุ่นคิด เป็นท่าทางที่ทรงเลียนแบบมาจากเสด็จอาของพระองค์เอง และทำได้เหมือนเสียด้วย

“เท่า...เท่าหูตัวนี่แหละ” ตรัสพลางยื่นพระหัตถ์ออกไปหมายจะจับพระกรรณของอีกฝ่ายอย่างหยอกล้อเหมือนเช่นเคย แต่ครั้งนี้เพื่อนตัวโตของพระองค์รีบเบนพระเศียรหลบ แถมยังก้าวถอยห่างออกไปถึงสองก้าว พระหัตถ์ของพระองค์จึงเคว้งคว้างกลางอากาศ พระทัยหล่นวูบไปอยู่ใต้พระบาท แทบจะคลุกดินคลุกฝุ่นเมื่อพบสายพระเนตรของฟ้าชายชลดุดันขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ทรงทิ้งพระหัตถ์ลง แล้วตรัสถามเสียงอ่อย

“โกรธไรเรา เราทำอะไรผิด? เดี๋ยวนี้เราจับตัวไม่ได้แล้วหรือ?”

“ทรงโตแล้ว”

“โตแล้วแล้วไง”

“ทรงเป็นสุภาพสตรี”

“สุภาพสตรีแล้วไง จับผู้ชายไม่ได้เรอะ!”

เจอเสียงสะบัด และถ้อยรับสั่ง ‘ห้าว’ เช่นนั้นฟ้าชายชลก็อดพ่นเสียงสรวลไม่ได้ ความอึดอัดและพระทัยที่เต้นแปร่งแปลกไปเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติดังเดิม

“ไม่ใช่ว่าจับไม่ได้ แต่...ไม่ควร”

“เฮอะ! ไม่ควรๆๆๆ มีแต่คนพูดไม่ควรใส่หูเราทุกวัน จนเราเบื่อจะตายอยู่แล้ว!”

คนตัวโตยิ้มกว้างมากขึ้น ใบหน้ากระด้างดุดันจึงอ่อนโยน ชวนให้คนมองเป็นฝ่ายใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ฟ้าหญิงอุษาวดีรีบหลุบพระเนตรลงต่ำซ่อนแววเนตรและความรู้สึกประหลาดในพระทัยไว้ และทำทีเป็นปัดเศษหญ้าบนพระวรกายและฉลองพระองค์ออก

“ไปคลุกดินที่ไหนมา”

“ตรงนู้น” ทรงชี้ไปเรื่อยเปื่อยโดยที่ยังก้มพักตร์อยู่ “แอบดูตัวกะพี่หญิง”

“หา?!” ฟ้าชายชลก้าวพรวดเข้ามาจนแทบจะชนพระองค์ ตรัสเสียงร้อนรนว่า “แอบดูทำไม มีอะไรน่าดู”

“โฮ้ย! มีอะไรให้น่าดูตั้งแยะ”

“อะไรล่ะ”

“ก็...เราอยากเห็นตัวกะพี่หญิง...” ทรงยกพระดัชนีสองข้างแตะกันเบาๆ แล้วตรัสต่อว่า “ระ...รักกันไง”

ฟ้าชายเก้งก้างทรงเงียบไปนาน นานจนต้องเงยพระพักตร์สบพระเนตรอย่างสงสัย ยังไม่ทันได้ตรัสถามใดๆ อีกฝ่ายก็ตรัสขึ้นมาเสียงเข้มว่า

“ถ้าหม่อมฉันไม่รัก จะกริ้วไหม”

“มาก...” ทรงลากเสียงยาว พร้อมกับทำพระพักตร์บึ้งตึง “จริงนะ เราจะโกรธมาก”

เป็นคำตอบที่ทำให้ฟ้าชายชลถอนพระอัสสาสะยาวนาน ก่อนจะยื่นสิ่งที่อยู่ในพระหัตถ์ให้อีกฝ่าย

“หม่อมฉันทำมงกุฎ”

มงกุฎดอกกุหลาบพันรอบเถาวัลย์ที่ม้วนเป็นวงกลมในพระหัตถ์ใหญ่ทำให้ฟ้าหญิงอุษาวดีลืมเลือนเรื่องที่พูดกันไปเสียสิ้น อุทานออกมาเบาๆว่า

“น่ารักจัง ตัวทำเอง?”

“ทำเองสิ เมื่อกี้นี้ไง”

ตรัสพลางวางมันลงบนพระเศียรทุยสวย หากคนสวมกลับระบายลมหายพระทัย

“มงกุฎนี้เหมาะกับพี่หญิงมากกว่าเรา”

“ไม่มีทางที่ใครจะเหมาะไปกว่าพระองค์” ทรงวางพระหัตถ์ลงบนมงกุฎกุหลาบสีขาว เกือบลืมองค์ประทับจุมพิตลงบนนั้นแล้ว ดีที่ยั้งองค์เองได้ทัน ก่อนจะตรัสอย่างอ่อนโยนว่า

“เพราะหม่อมฉันทำให้เจ้าตัวยุ่งของหม่อมฉันเพียงคนเดียว”

ดวงเนตรกลมโตฉ่ำหวานขึ้นมาในบัดดลแบบที่ผู้เป็นเจ้าของคงไม่รู้ตัว แต่คนมองนี่สิ...เห็นเต็มสองตา และหัวใจก็พลันเต้นระรัวแรง จนต้องรีบเมินมองไปทางอื่นเสีย หากความวูบไหวในหัวใจยังไม่อาจเทียบเท่าความตื่นเต้นที่ได้รับเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

“ขอบคุณนะ...พี่ชล”

พี่ชล!

เจ้าตัวยุ่งเรียกพระองค์ว่าพี่ชลแล้ว!

ทรงเป็นสุขถึงขั้นสรวลออกมาเบาๆ อยากจะรั้งวรองค์เล็กเข้ามากอดเสียด้วยซ้ำ แต่ที่ทำได้คือแตะปลายพระเกศา สัมผัสมันอย่างนุ่มนวล

“จะเรียกหม่อมฉันว่าพี่ชลตลอดไปไหม”

“เอ...ไม่รู้สิ ถ้าวันหน้าเราโกรธตัวขึ้นมา เราก็ไม่เรียกหรอก!”

ฟ้าชายชลทรงปล่อยพระหัตถ์ ก้าวพระบาทถอยห่างอีกก้าว

“อีกห้าปีนับจากนี้ จะทรง...เป็นเหมือนเดิมรึเปล่า”

เป็นคำถามที่คงทำให้คู่สนทนางุนงง วรองค์เล็กจึงขวดพระขนง เอียงพระศอ และใช้สายพระเนตรคลางแคลงจับจ้องพระองค์

“ก็ต้องเหมือนเดิมสิ เราจะต่างจากเดิมได้ยังไง”

“อาจจะ...ไม่สิ อีกห้าปีพระองค์ต้องต่างจากเดิมแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ถ้าเราได้พบกันอีก อาจจะทรงจำหม่อมฉันไม่...”

“ไม่มีทาง!” ฟ้าชายชลยังตรัสไม่ทันจบ พระองค์ก็ขัดขึ้นมาเสียโดยเร็ว เต็มไปด้วยความมั่นพระทัย “เราไม่มีวันลืมตัวหรอก!”

“ขอให้จริงเถอะ” ทรงแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย ก่อนตรัสต่อด้วยสุรเสียงจริงจัง “อีกสิบวันหม่อมฉันจะ...กลับบ้าน”

ดวงเนตรวาววะวับดับแสงลงทันที สีพระพักตร์แดงระเรื่อพลันซีดสลดด้วยความหายพระทัย

“อะไรกัน ตัวจะกลับแล้ว?”

“ทางนู้นเรียกตัวแล้ว เราต้องกลับ” ทรงกลับมาใช้ถ้อยคำสนิทสนมตามเดิม “ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา เราอยู่ตลอดไปไม่ได้หรอก”

“ก็จริง...” ทรงพึมพำกับองค์เอง พร้อมกับหลุบพระเนตรมองพื้น นานช้ากว่าจะเงยพระพักตร์ขึ้นมา แล้วตรัสถามด้วยคำถามที่ทำให้คนฟังอยากจะจับคนตัวเล็กเขย่าสักร้อยสักพันครั้ง “ตัวจะมาขอพี่หญิงเมื่อไหร่”

ฟ้าชายชลทรงพ่นลมหายพระทัย วางพระหัตถ์ลงบนพระเศียรเล็ก แล้วเสด็จจากไปโดยทิ้งคำถามนั้นไว้ให้คนถามโดยไม่คิดจะตรัสตอบแม้แต่คำเดียว




ขอบคุณที่ติดตามค่าา :)



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ธ.ค. 2556, 08:29:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ธ.ค. 2556, 13:49:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1501





<< บทที่ ๔.๒   บทที่ ๕.๒ >>
konhin 6 ธ.ค. 2556, 08:48:21 น.
อ้ำๆอึ้งๆ น้องนางก็เลยไม่เข้าใจ ห้าปีถัดไปเดี๋ยวน้องนางก็มีคนอื่นร๊อกกก


kaelek 6 ธ.ค. 2556, 09:50:33 น.
ตอนหน้า 5 ปีเลยนะ อยากรู้ว่าชายชลจะมาขอหญิงวดียังไง


nasa 6 ธ.ค. 2556, 10:21:51 น.
จะหนีห่างไปแล้ว แถมยังติดกับดักตัวเองว่าต้องรักพระพี่นางซะอีก แต่ตัวเองดันเปลี่ยนใจ จะได้สมหวังกะเค้าง่ายๆ ล่ะหรือ


คิมหันตุ์ 6 ธ.ค. 2556, 11:28:56 น.
เห้อ..........นี่สินะ อาการ "หน่วง"


นักอ่านเหนียวหนึบ 6 ธ.ค. 2556, 12:22:44 น.
งืดดดดดด อึดอัดแทนจิงๆ อยากจะจับ จะกอด ก็ไม่ได้ มารยาทมันค้ำคอ
เร็วเร้ววว เค้าจะรีบนั่งไทม์แมชชีนไปอีก 5 ปีข้างหน้าแบ้วว


แว่นใส 6 ธ.ค. 2556, 12:42:57 น.
จะลืมกันปะหล่ะ


Zephyr 6 ธ.ค. 2556, 19:29:51 น.
มาขอตัวนะแหละ
พีชลคงอยากบอกแบบนี้
ให้เวลาเตรียมตัวห้าปี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account