ฤดูรัก
เขาผิดหวังจากความรัก ส่วนเธอไม่กล้ามีความรัก
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อหนุ่มสถาปนิกอารมณ์ดี ที่หนีมาเลียแผลใจในชนบทแสนห่างไกล มาเจอคุณหมอสาวมาดขรึมที่ไม่กล้าเริ่มต้นกับใคร

แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อลมหนาวพาคนสองคนมาเจอกัน ณ ชนบท อันแสนห่างไกลและหนาวเหน็บ
Tags: หวานแหวว ดราม่า

ตอน: เริ่มต้น

ผม ขับรถฝ่าความมืดมิด ผ่านทุ่งหญ้ารายทางที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ถนนแถบชนบทนั้นถึงแม้จะลาดยางเพื่อเป็นหนทางนำความเจริญไปสู่ชุมชนต่างๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องอีกเลย ถนนสายนี้คงมีรถสิบล้อขับผ่านบ่อยเป็นแน่แท้เนื่องจากเป็นหลุมเป็นบ่อเสีย เหลือเกิน ไฟนีออนตลอดทางขรุขระนั้นเล่าก็ติดบ้าง เสียบ้าง ทำให้การเดินทางส่วนใหญ่ของผม อาศัยแสงจันทร์ที่วันนี้เต็มดวงสวยเด่นกลางท้องฟ้าเป็นผู้นำทางแทน

วันนี้วันลอยกระทงสินะ…ผมยิ้มกับตัวเอง ปีที่แล้วผมยังพาเธอไปลอยกระทงที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแถวบ้านเธออยู่เลย ‘นิ อยากมีกระทงเป็นของตัวเองมากกว่าค่ะ’ หล่อนยืนยันอย่างนั้น ทั้งๆที่ผมเตรียมกระทงขนาดใหญ่แต่งเสียสวยงาม เพื่อเราสองคนจะได้ลอยคำอธิฐานของเราไปด้วยกัน จำได้ว่าวันนั้นผมเลยต้องตระเวนพาเธอหาซื้อกระทงขนาดเล็กน่ารักอย่างที่เธอ ต้องการ กว่าจะได้ลอยก็เกือบห้าทุ่ม…แต่ผมก็ยอม เพราะเธอน่ารักและผมก็รักเธอเหลือเกิน แต่ทั้งหมดนั่นก็เป็นแค่เรื่องของปีที่แล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วจนเหลือเชื่อ ความสุขและความรักที่เราสองคนมอบให้กันและกันแม้เป็นเวลาเกือบ 5 ปี แต่ดูเหมือนเร็วราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน จริงสินะ…อย่างที่คุณแม่บอก ความสุขมักอยู่กับเราชั่วครู่ชั่วยาม แต่ความทุกข์ต่างหากเล่าที่เป็นของจริง

ผมพยายามปัดความคิดที่มีต่อนิชาออกไป ถึงผมจะรักเธอเหลือเกิน และคิดมาตลอดว่าเมื่อเธอจากไปแล้วผมคงไม่สามารถหาผู้หญิงแบบเธอได้อีก…ฉลาด ทันคน กล้าพูดกล้าทำ ยึดมั่นในความคิดของตัวเองเป็นที่สุด รู้ใจผมทุกอย่าง ถึงเธอจะไม่บอกว่ารักเด็ก แต่เธอก็ใจบุญไม่น้อย เงินเดือนส่วนหนึ่งของเธอบริจาคให้คนยากคนจนเสมอๆ ส่วนเรื่องสวย…ไม่ต้องพูดถึง ถ้านิชาไม่สวย ผมก็มองไม่เห็นว่าจะมีใครในโลกนี้สวยได้อีกแล้ว…เธอช่างงามสง่าสมเป็นลูกสาว ท่านทูต การศึกษาก็ไม่ด้อยไปกว่าใครเลย…แต่ถึงเธอจะเป็นทุกอย่างที่ผมว่ามานั้น เราก็คงต้องเลิกกันอยู่ดี ถึงแม้เราจะไม่ได้เอ่ยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้ก็ตาม…เธอจากผมไปเรียนต่อที่ เมืองนอก แม้ผมจะพยายามรั้งเธอไว้ แต่ก็ไม่มีความสามารถเอาเสียเลย นิชาเป็นคนเก่งและเรียนดีเป็นที่หนึ่ง เธอสามารถสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อของอังกฤษได้…เธอบอกโอกาสนี้ ไม่มีใครได้มาง่ายๆ ถ้าผมรักเธอ ผมต้องปล่อยเธอไป เธอยังคงรักผมอยู่เช่นเดิม…แต่ก็ไม่อยากให้ผมปิดกั้นตัวเอง การจากลา ทำให้ความรักจืดจางมาหลายต่อหลายคู่ เธออยากให้ผมยอมรับในข้อนี้…

“นิไม่อยากให้คุณปิดกั้นตัวเองนะคะ แต่ถ้าคุณรอนิได้ เมื่อนิกลับมา…ทุกอย่างคงเหมือนเดิม” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ให้ความหวังกับผม
ผมรอเธอและเฝ้าโทรไปหาเธออย่างอดทน เธอรับบ้างไม่รับบ้าง บอกว่าเรียนหนัก ผมก็ยังหมั่นอีเมลไปเสมอๆ แต่เธอก็ไม่เคยตอบสักฉบับ…จนในที่สุด ธาวิน เพื่อนซี้ผม มันไปธุระเรื่องธุรกิจที่ลอนดอน มันบอกว่า…เจอนิชาจูบกับหนุ่มลูกครึ่งแถวล็อบบี้โรงแรมที่มันไปพัก…มัน บอกว่าจำไม่ผิดแน่

‘เป็นการทักทายแบบฝรั่งเปล่าวะ’ ผมพยายามมองในแง่ดี

‘เตี่ยมึงเหอะ เฟร้นช์คิสขนาดนั้น มึงทำใจได้แล้ว’ ธาวินประชดกลับมา

หลังจากวันนั้นผมเศร้าเกือบเดือน ข้าวปลาไม่ยอมกิน เลิกติดต่อกับเธออย่างเด็ดขาด เธอก็ไม่ได้คิดจะติดต่อผมกลับมาเช่นกัน งานการที่มีก็แทบไม่อยากจะทำ จนในที่สุดคุณพ่อคุณแม่เห็นผิดสังเกต จับผมมานั่งคุยทั้งปลอบทั้งสั่งสอน จนในที่สุดท่านแนะนำให้ผมหนีไปพักผ่อนแถวต่างจังหวัดสักพัก ความเงียบสงบและเรียบง่ายของสังคมชนบทน่าจะทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง
ผมเลยเลือกที่ที่ห่างไกลสุดๆ ไอ้วินแนะนำอำเภอเล็กๆแห่งหนึ่งในจังหวัดแสนห่างไกลแถบภาคเหนือ มันบอกว่าอาหญิงและอาเขยเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอพอจะฝากฝังผมได้

นี่ผมก็ขับมานานแล้วยังไม่เห็นจะถึงโรงพยาบาลประจำอำเภอที่ว่านั่นสักที แสงไฟก็อ่อนลงทุกที…นั่น! อะไรเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้นกัน…แสงไฟนั่นเอง! ผมอดดีใจไม่ได้ ขับรถเข้าไปใกล้แสงไฟนั่นเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็พบร้านค้าขายของชำขนาดเล็ก ตั้งโดดเดี่ยวริมถนน รอบข้างเป็นทุ่งนาเวิ้งว้าง ไม่มีบ้านหลังอื่นเลย ผมจอดรถและมองผ่านกระจกเข้าไปในตัวร้าน ไม่เห็นเจ้าของสักคน กล้ามากนะนี่ที่เปิดร้านโล่งโจ้งยามมืดมิดขนาดนี้ ไม่กลัวโจรหรือขโมยเลยแม้แต่น้อย

แล้วผมก็เห็นหญิงชาวบ้านในชุดอยู่บ้านธรรมดาๆ มัดผมเรียบตึง ใส่แว่น เดินหอบหิ้วถุงบางอย่างออกมา ก่อนจะมองรถผมงงๆ แล้วสะบัดหน้าไม่ได้สนใจ ทำท่าจะเดินจากไป

ผมลดกระจกข้างลง แล้วชะโงกหน้าออกไปถาม “ขอโทษนะครับ โรงพยาบาลอำเภอไปทางไหนครับ”

หล่อนหมุนตัวมามอง ยิ้มขำเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปทางขวามือของผม ผมหันไปมองตาม ก็ยังคงเห็นแต่ความมืดนั่นเอง แต่แล้วสายตาผมก็เริ่มชินกับความมืดมากขึ้น ให้ตาย! โรงพยาบาลตั้งตรงข้ามร้านขายของเลยนี่หว่า แถมก็ไม่ได้มืดอะไรมาก มีไฟตามจุดต่างๆพอใช้…ผมคงคิดถึงแต่นิชามากไปเท่านั้นเอง

ผมหันกลับไปจะขอบคุณสาวชาวบ้านคนนั้น แต่เธอไม่อยู่เสียแล้ว…ช่างเฮอะ แล้วผมก็รีบขับรถเข้าไปหาบ้านพักหลังแรกที่มีรถจี๊ปคันใหญ่จอดอยู่ตามที่ไอ้ วินว่า…ผมอ่านป้ายหน้าบ้าน

‘บ้านพัก นพ.ถกล เลิศวิสุทธิ์’ อาเขยของธาวินนั่นเอง

ผมขับฟอร์ดสีดำเข้าไปจอดข้างๆจี๊ปสีเขียวแก่ของเจ้าของบ้าน เสียงเครื่องรถคงดังพอตัวเพราะผมเห็นการเคลื่อนไหวของคนในบ้าน ผมเปิดประตูลงจากรถ อากาศยามค่ำคืนภายนอกปะทะผิวกายผมจนรู้สึกสดชื่น ความเหนื่อยล้าจากการขับรถมาตลอดวันค่อยๆคลายลง ผมสูดลมหายใจเต็มปอด…อืม…อากาศที่ต่างจังหวัดนี่บริสุทธิ์เหลือเกิน

ประตูไม้เก่าคร่ำคร่าถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ใส่กางเกงแพร เสื้อกล้าม แต่ยังคงดูภูมิฐาน เดินยิ้มออกมาต้อนรับผม ตามหลังมาติดๆคงจะเป็นอาหญิงของธาวินนั่นเอง ซึ่งทำเอาผมแปลกใจไม่น้อย เพราะเธอยังดูสาว และสวยมาก อีกทั้งร่างก็สูงระหงผิดกับผู้หญิงวัยกลางคนโดยทั่วไปที่เริ่มท้วมเมื่อเข้า สู่วัยนี้

ผมยกมือไหว้ท่านทั้งสอง “สวัสดีครับคุณอา ผมมาดึกไปหน่อย ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนนะครับ”

อาเขยและอาหญิงรับไหว้อย่างใจดี “เดือดร้อนอะไรกันเล่า อาก็นอนดึกกันทุกวัน นี่ก็พึ่งห้าทุ่มเอง มาๆ เข้ามาพักในบ้านก่อน เจ้าวินกำชับนักหนาว่าให้ดูแลหลานอย่างดี”

อาเขยตบหลังผมก่อนจะเดินนำผมเข้าบ้าน ผมรู้สึกดีไม่น้อยเพราะแม้นี่จะเป็นการพบกันครั้งแรก แต่ผมไม่รู้สึกอึดอัดเลย กลับรู้สึกเหมือนเป็นลูกหลานแท้ๆด้วยซ้ำ อาหญิงส่งสายตามองผมอย่างเอ็นดู ก่อนจะยิ้มอย่างใจดีให้

“หิวอะไรหรือเปล่าจ๊ะ อายังพอมีข้าวต้มกับกับข้าวเล็กๆน้อยไว้ทานมื้อดึกอยู่บ้าง”

อาหญิงอ่อนหวานและใจดีเสียจริง แถมสวยอีกต่างหาก อาเขยของธาวินโชคดีแท้ๆ ผมคิดในใจ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ถึงสิ่งที่ธาวินบอกว่าท่านทั้งสองไม่สามารถมีลูกได้ ท่านเลยรักหลานๆทุกคนมาก และใจดีกับเด็กรุ่นคราวลูกหลานแทบทุกคน อีกทั้งความเมตตาและเสียสละของท่าน จึงทำให้ทั้งสองลาออกจากโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ในกรุงเทพฯ เข้ามาหาความสงบและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ห่างไกลในต่างจังหวัดแทน

คืนนั้นหลังจากผมทานข้าวต้มของอาหญิงและนั่งคุยกับอาเขยพอหอมปากหอมคอแล้ว ผมก็ขอตัวขึ้นไปนอนในห้องนอนขนาดเล็กกว่าที่เคยนอนอยู่ทุกวัน เตียงนอนขนาดครึ่งหนึ่งของห้องนอนที่บ้านปูด้วยผ้าปูสีขาวสะอาดตา ผมสอดส่ายสายตามองสวิทช์พัดลมเพดานก่อนจะกดเลือกเบอร์แรงสุด ปิดไฟในห้องและเอนตัวลง…ผมยิ้มกับตัวเอง ที่นี่ไม่มีแอร์ มีแค่พัดลมเพดานตัวเดียว กับหน้าต่างมุ้งลวดรอบด้าน แต่ให้ความรู้สึกเย็นอย่างอากาศบริสุทธิ์เสียมากกว่า ไม่มีวิทยุที่เปิดฟังก่อนนอน ตอนนี้ผมได้ยินแต่เสียงจิ้งหรีดร้องกล่อมโสตประสาท และไม่มีทีวีดูข่าวยามดึก ผมมองอย่างสะลึมสะลือเต็มทนไปที่หน้าต่างฝั่งปลายเตียง อีกฟากคงเป็นห้องนอนของบ้านที่อยู่ถัดไป เปิดไฟสว่างจ้า…มีผู้หญิงกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า…ผมรู้สึกตกใจนิดๆ แต่ความง่วงนั้นแรงกล้ากว่า ในที่สุด คืนนั้นผมก็หลับไปอย่างน่าเสียดาย


“กาแฟสักแก้วไหมลูก” อาหญิงถามผมในเช้าวันต่อมา ผมนั่งลงข้างอาเขยในห้องครัว

“ขอบคุณครับ” แล้วกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นก็ลอยมาแตะปลายจมูก

“แล้ววันนี้จะทำอะไรดีล่ะฮึ เดี๋ยวตอนบ่ายอาทั้งสองคนก็จะไม่อยู่เสียด้วย กลับมืดอีกต่างหาก ต้องเข้าไปประชุมกับพวกสาธารณสุขในตัวจังหวัดน่ะ” อาเขยถามผม

แล้วอาหญิงก็ยกอาหารเช้ามาวางบนโต๊ะ วันนี้มีต้มจืดตำลึงแบ่งอยู่ในถ้วยเล็กๆของแต่ละคน ตามด้วยไข่ดาวคนละฟอง ไม่น่าเชื่อว่าอาหารแค่นี้ ผมก็รู้สึกอยากกินเต็มทีแล้ว

“ให้หนูดาพาตาผาไปเที่ยวรอบๆเมืองดีไหมคะ เดี๋ยวฉันไปบอกให้”

อาเขยส่ายหน้า “รายนั้นก็ไม่ได้เหมือนกัน คุณลืมไปแล้วหรือว่าโรงพยาบาลเรามีกันแค่สี่คน แถมหมอบดินทร์ก็ลาไปเยี่ยมแม่ที่เชียงใหม่แล้ว ถ้าวันนี้เราไป หนูดาก็ต้องดูแลโรงพยาบาลแทนเราทั้งหมด อ้อ! ลืมบอกไปพ่อภูผา หนูดาเขาเป็นหมอใช้ทุนน่ะ มาจากกรุงเทพฯเหมือนกัน”

ผมเริ่มอึดอัดเพราะไม่อยากเป็นภาระของใคร ความจริงผมก็โตขนาดนี้แล้ว แต่คุณอาทั้งสองก็ยังห่วงใยผมเหมือนเด็กๆ

“อย่าห่วงผมเลยฮะ เดี๋ยวผมขับรถดูรอบๆนี้ก่อนก็ได้ แต่ยังคงไม่กล้าเข้าไปในเมือง กลัวหลง เมื่อวานเล่นเอบแทบแย่เหมือนกันครับขนาดซอกซอยไม่ได้เยอะเหมือนในกรุงเทพฯก็ เถอะ” แล้วผมก็ซดกาแฟก้นถ้วยจนหมด

อาหญิงปลดผ้ากันเปื้อน ผมจึงได้เห็นว่าเธอใส่ชุดทำงานที่ดูภูมิฐานสมเป็นหมอยิ่งนัก ผมเผ้าก็เกล้าขึ้นไปเรียบร้อย ไม่ได้ปล่อยสยายเหมือนเมื่อคืน แต่ใบหน้าเรียวยาวได้รูปแม้เวลาจะทำให้ความเต่งตึงของเนื้อหนังร่วงโรย แต่อาหญิงก็ยังดูสวยไม่สร่างนั่นเอง ทำให้ผมต้องหันไปชำเลืองมองอาเขย ท่านก็อยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน ปลายเสื้อทับในกางเกงแสล็คสีดำเนื้อดี พร้อมรัดเข็มขัดหนังสีดำมันปลาบ ยิ่งวันนี้อาเขยใส่แว่นอีกด้วย ผมเลยรู้สึกว่าอาชีพอหมอนี่คงมีแต่คนดูดีมีความรู้ และเป็นที่พึ่งของสังคมเหลือเกิน

“ตามนั้นก็ได้ภูผา นี่แน่ะ อาจะบอกให้มีวัดใกล้ๆ ไม่ห่างจากโรงพยาบาลนัก ลองเข้าไปดูแล้วกัน ร่มรื่นน่าอยู่เป็นที่สุด” อาหญิงแนะนำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนผมจะถูกทิ้งอยู่ในบ้านไม้สีครีมเก่าคร่ำคร่าคนเดียวแต่ก็โชคดีไม่น้อย ที่บ้านคุณอาทั้งสองติดเคเบิ้ลทีวี มีหนังสือน่าอ่านมากมาย แถมมีลู่วิ่งไฟฟ้าเหมาะสำหรับคนชอบออกกำลังกายอย่างผม ส่วนเรื่องอาหารนั้นเล่าก็ไม่ต้องพูดถึง อาเขยบอกว่าพอรู้ว่าธาวินจะฝากเพื่อนมาอยู่ด้วย อาหญิงก็เข้าไปในเมืองเตรียมซื้อขนมมาเต็มบ้าน แถมอาหารกลางวันกับอาหารเย็นวันนี้อาหญิงก็ทำล่วงหน้าใส่ตู้เย็นให้ผมเอาออก มาอุ่นทานได้ตามต้องการ…ทำไมท่านทั้งสองใจดีอย่างนี้เนี่ย ดูแลผมไม่ต่างไปจากคุณพ่อกับคุณแม่เลย นึกแล้วก็คิดถึง…แต่ยังไม่อยากโทรไปหาตอนนี้เท่าไร อยากอยู่กับตัวเองเพื่อเลียแผลใจให้มากที่สุดก่อน…น้ำเน่าจริงๆ

ตลอดเช้าผมยังคงขี้เกียจที่จะขับรถตระเวนไปดูอะไรต่อมิอะไร จึงนอนเอกเขนกดูทีวีอย่างสบายอารมณ์ แต่ไม่ได้สบายใจเท่าไร เพราะความคิดของผมเอาแต่วนเวียนถึงนิชาอยู่ไม่ขาด…ทำไม…เรารักกันอยู่เป็น นานแต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่แสดงความยั่งยืนของความรักเลย เธออ้างอนาคตของเธอกับความรักของเรา ผมว่ามันแทนกันไม่ได้หรอก และไม่สามารถเป็นเส้นขนานไปด้วยกันได้ถ้าเธอไม่ได้ให้โอกาสผมที่จะเดินไป พร้อมเธอ…

ผมเผลอหลับไปเกือบตลอดบ่าย ลืมตาตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาบ่ายสามกว่าๆเสียแล้ว ผมบิดขี้เกียจ หาอะไรกิน ก่อนจะคิดว่าน่าจะสำรวจบริเวณรอบๆโรงพยาบาลนี้ก่อน แล้วค่อยขับรถเลยออกไปดูรอบอำเภอนี้ ไอ้วินเคยบอกว่าในโรงพยาบาลมีสนามฟุตบอล และโรงยิมที่มีแป้นบาสเก่าๆ ชาวบ้านแถวนี้มักจะรวมตัวกันตอนเย็นมาออกกำลังกาย พวกผู้ชายก็เล่นบอล เล่นบาสฯ ไปตามเรื่อง ส่วนพวกผู้หญิงก็จะไปเต้นแอโรบิกกันตรงหน้าที่ว่าการอำเภอ

ชุมชนต่างจังหวัดนี่อบอุ่น และเพียงพอดีจริง ทำให้ผมนึกถึงการออกกำลังกายที่กรุงเทพฯ เราต้องเสียค่าสมาชิกสถาบันฟิตเนสใหญ่ๆเป็นรายปีที่แสนแพง เสื้อผ้าออกกำลังกายก็ต้องใส่ของ อาดิดาส หรือ ไนกี้ เราวิ่งออกกำลังกายอยู่กับที่ไปพร้อมดูทีวีจอยักษ์ตรงหน้า ไม่ก็เหล่สาวชุดรัดรูปแสนเซ็กซี่ แถมต้องออกกำลังกายในห้องแอร์อีกแน่ะ…ผมทำอย่างนี้อยู่เกือบปี ตอนที่เห่อสถาบันฟิตเนสแถวบ้านใหม่ๆ จนในที่สุดผมเริ่มเบื่อกับความทันสมัยและความเอนเตอร์เทนจิตใจที่ไม่สิ้นสุด …ขนาดออกกำลังกาย เรายังต้องดูทีวี แถมอยู่ในห้องแอร์…มันเป็นการออกกำลังกายที่แท้จริงตรงไหนหรือ ผมเฝ้าตามตัวเองอย่างนั้น จิตใจเราที่วุ่นวายมาทั้งสัปดาห์ ยังคงไม่ได้รับการพักผ่อนอยู่นั่นเอง ผมจึงเลิกเป็นสมาชิกฟิตเนสแห่งนั้น แล้วกลับมาว่ายน้ำที่บ้าน ไปวิ่งที่สวนสาธารณะกับคุณพ่อ และชวนเพื่อนๆไปตีเทนนิสเหมือนเดิมอย่างที่เคยทำมาตลอด ยกเว้นไอ้วิน…มันยังคงติดใจสาวฟิตเนส เลยไม่ยอมออกกำลังกายแบบโอเพ่นแอร์

ผู้อ่านคงคิดว่า ผมนี่…มีความคิดจริงๆ เปล่าหรอกครับ…จริงๆผมก็เสียดายเงินนิดๆ หึหึ

ผมเดินสำรวจทั่วโรงพยาบาล ซึ่งมีอาณาเขตไม่กว้างขวางมากนัก เพราะเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก มีอาคาร 3 หลังขนาดย่อมๆปลูกติดกัน และเชื่อมด้วยทางเดินถึงกันโดยทั่ว ด้านหน้าโรงพยาบาลมีสนามเดินเล่นและเสาธง ตัวอาคารด้านหน้าเป็นแบบทั่วๆไปตามโรงพยาบาลชุมชน ผมมองจากภายนอก เห็นห้องฉุกเฉินขนาดย่อมอยู่ด้านหน้า ทางซ้ายมือเป็นเค้าเตอร์ประชาสัมพันธ์ ถัดเลยไปข้างในคงเป็น OPD เพราะผมเห็นชาวบ้านนั่งรอกันอย่างประปราย ผมตัดสินใจยังไม่เดินเข้าไปในโรงพยาบาลเพราะคงไม่มีอะไรที่น่าสนใจ เลยลองเดินสำรวจหาสนามฟุตบอลและโรงยิมแทน ผมเดินผ่านร้านอาหารขนาดเล็กในโรงพยาบาล มีสาวๆแม่ค้า มองผมด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะคงรู้ว่าผมไม่ใช่คนแถวนี้ แล้วผมก็ผ่านอาคารที่ทันสมัยที่สุดในโรงพยาบาล ติดป้ายว่า อาคารแพทย์แผนไทย และมีป้ายเล็กๆด้านหน้าบอกว่ามีบริการนวดตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ อืม…น่าสนใจนะ สปาย่อมๆหรือเปล่า ในที่สุดผมก็เจอโรงยิม อยู่ไม่ไกลจากอาคารแพทย์แผนไทยนัก ผมเข้าไปสำรวจ แล้วก็ต้องยิ้มออกมา ที่นี่ไม่ได้มีแป้นบาสๆเก่าๆธรรมดา แต่เป็นแป้นบาสเก่าๆ อันเดียว แถมพื้นโรงยิมก็เริ่มแตก คงใช้มานานแล้ว ในโรงยิมก็มีเศษเก้าอี้เก่าๆเต็มไปหมด…สถานที่ไม่เหมาะเล่นบาสเลยสักทีเดียว ผมผิดหวังเล็กน้อย เพราะตัวเองนั้นเป็นนักบาสมหาวิทยาลัยเก่า ผมเล่นที ใครๆก็ต้องมาดู สาวๆงี้กรี๊ดกันลั่น…แฮ่ม…ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ หัวหน้าทีมบอกว่าผมเล่นดีที่สุด นั่นทำเอาผมูมิใจมาก และที่ภูมิใจที่สุดคือนิชาก็ภูมิใจในตัวผมด้วย เธอบอกว่า…พวกผู้หญิงกรี๊ดผมกันใหญ่ แต่พอผมเล่นเสร็จแล้วเดินไปหาเธอเป็นคนแรก เล่นเอาพวกนั้นจ๋อยไป…เธอสะใจดี เธอบอก…

ผมรีบสะบัดเรื่องนิชาออกจากหัว ก่อนจะเดินมาหลังโรงยิมแล้วพบสนามฟุตบอลเขียวขจีขนาดใหญ่ โกลสองฝั่งที่ไม่มีเน็ต อากาศตอนบ่ายสามกว่าๆยังร้อนอยู่ คงสักสี่ห้าโมงได้ถึงจะมีคนออกมาเล่น

ผมตัดสินใจหลบความร้อนเดินเข้าไปทางด้านหลังโรงพยาบาล ซึ่งมีที่พักของคนที่ทำงานที่นี่อยู่เต็ม มีสนามเด็กเล่นเล็กๆให้ด้วย เลยถัดเข้าไปหน่อย คงจะเป็นทางเข้าไปบ้านพักของอาเขย แล้วผมก็เดินเข้าไปที่อาคารหลังสุดของโรงพยาบาล มีนางพยาบางน่ารักๆ ร่างเพียวระหงเดินขวักไขว่ พวกเธอมองผมแล้วซุบซิบกัน…คงประมาณว่าเป็นใครมาจากไหน

ผมเดินผ่านห้องพักแพทย์เป็นห้องกระจกและติดแอร์อย่างดี ผ่านวอร์ดผู้ป่วยใน และผ่านอีกหลายห้องที่มีชาวบ้านนั่งๆนอนๆ ตามที่นั่งอยู่ไม่มากนัก โรงพยาบาลชุมชนนี่ก็เงียบๆ ไม่คึกคักเหมือนโรงพยาบาลในกรุงเทพฯแม้แต่น้อย…ได้ข่าวว่าหมอมีน้อยเสียด้วย สิ…แล้วดูแลคนไข้ได้ทั่วถึงหรือ…

“คุณลุงควรจะเลิกสูบบุหรี่ได้แล้วนะคะ ถ้าไม่เลิกหมอจะตามไปดูที่บ้าน ไปคับชับป้าแจ่มเมียคุณลุงอีกที” เสียงแจ๋วๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งสะกิดให้ผมหันไปมอง แล้วผมก็ได้เห็นหมอผู้หญิงในชุดเสื้อกาวน์ คาดผมเรียบร้อย ใส่แว่นตามรูปแบบเด็กเรียน ใบหน้าจริงจัง แต่สังเกตได้ไม่ชัดว่าสวยหรือไม่ เพราะเธอกำลังก้มหน้าคุยกับคุณลุงที่อยู่บนรถเข็น ก่อนจะยกมือไหว้ แล้วหันไปคุยอะไรกับพยาบาลนิดหน่อย เธอหันมามองผมด้วย แต่มองแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตรวจของเธอ พอเธอปิดประตู ผมจึงได้เห็นว่าหน้าห้องตรวจมีป้ายชื่อของเธอติดไว้…

พญ. อารดา นาวากุล…อ๋อ…คนนี้หรือเปล่าคือ หนูดา อะไรนั่นของอาเขย

น่ากลัวจังแฮะ น้ำเสียงที่สั่งคุณลุงนั่นก็เข้มงวดจะตาย ใบหน้าก็ไม่ยิ้มแย้ม ผมไม่อยากสนิทด้วยหรอกนะผู้หญิงแบบนี้ ผมเจอมานักต่อนักตั้งแต่เรียนมัธยม พวกผู้หญิงเด็กเรียน ความใฝ่ฝันสูงสุดคือเรียนหมอ แล้วไงล่ะ…ดุเห็นแก่ตัวจะตาย ขอลอกการบ้าน ก็ไม่ได้ คุยเล่นหน่อยก็โกรธ ผมว่าผู้หญิงพวกนี้นอกจากจะไม่รู้วิธีหาความสุขให้ตัวเองแล้ว ยังมีแววที่จะขึ้นคานอีกด้วย…เอ่อ…ผมว่ามากไปหรือเปล่าเนี่ย…

เมื่อผมทัวร์รอบโรงพยาบาลจนครบ ก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น แต่แดดยังคงไม่อ่อนแรงลง ผมยังไม่อยากเข้าบ้านอาเขยและขี้เกียจเสียเหลือเกินที่จะต้องขับรถชมเมือง ก็เมื่อวานผมหลงทางขับรถอยู่เป็นนานจนเซ็งไปเลย…ผมเลยเดินไปที่ร้านอาหาร เล็กๆข้างโรงพยาบาล สั่งน้ำกระเจี๊ยบเย็นๆหนึ่งแก้ว คนขายสาวสองคนกุลีกุจอปัดโต๊ะให้ผมนั่ง และเสิร์ฟน้ำด้วยท่าทางอ่อนช้อย หนึ่งในสองคนนั้นถามว่าผมมาจากที่ไหน พอผมตอบว่ากรุงเทพฯ พวกหล่อนก็กระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้น แล้วพวกเธอก็ชวนผมคุยอย่างสนุกสนาน สนุกจริงๆนะ ผมว่าพวกเธอบริสุทธิ์ดี ไม่เหมือนสาวสมัยใหม่ ชอบวางที เชิดๆ ทำสวย ไม่เป็นตัวองตัวเองสักนิดเดียว สองสาวขายน้ำนี่คงตื่นเต้นกับคนกรุงเทพฯอย่างผม เธอถามผมมากมายเลยว่าที่นั่นมีร้านทำผมเยอะไหม และเขานิยมทำทรงอะไรกัน

ผมเล่าเรื่องในกรุงเทพฯให้สองสาวฟังพอหอมปากหอมคอ แล้วการสนทนาก็ถูกขัดจังหวะขึ้นเมื่อคุณหมอสาวผู้จริงจังเดินมาสั่งน้ำ สองสาวขายน้ำเลยขอปลีกตัวจากผมไป

ผมนั่งสังเกตหมอสาวคนนี้อยู่ห่างๆ หุ่นไม่ได้เพรียวลมอย่างนิชา แต่ก็นับว่ารูปร่างใช้ได้ ไม่สูงเท่าไร แต่ก็ไม่จัดว่าเตี้ย แต่ไอ้กระโปรงลายดอกที่อยู่ใต้เสื้อกาวน์มันอะไรกัน…ผมว่าไม่เข้ากันเลยจน นิดเดียว หมอสาวพูดคุยกับเด็กขายน้ำอย่างสนิทสนม ก่อนจะจ่ายเงินแล้วจากไปโดยไม่ได้สนใจผมแม้แต่น้อย

ผมมองนาฬิกา เกือบห้าโมงแล้วนี่นา…ถ้าผมจะออกกำลังกายกับชาวบ้านแถวนี้…คงเป็นความคิดที่ดีทีเดียว

ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อกล้ามเล่นบาสกับกางเกงขาสั้นทันที ก่อนจะเดินเก้ๆกังๆ เข้าไปหากลุ่มคนที่เล่นบาสอย่างเอาจริงเอาจังเพื่อที่จะยัดลูกบาสลงห่วงห่วง เดียว

จู่ๆลูกบาสก็กระเด็นมาอยู่แทบเท้าผม ผมหยิบมันขึ้นมา แล้วยิ้ม “ขอผมเล่นด้วยคนนะครับ”

ผมแข่งมาแล้วหลายสนาม ตั้งแต่มัธยมผมก็ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนมาตลอด พอเรียนมหาวิทยาลัยผมก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวจริงและแข่งชนะมาแล้วหลาย สถาบัน ทุกๆเกมล้วนสนุกในแบบของมัน และให้ความรู้สึกต่างกันไป แต่ผมไม่เคยเล่นบาสที่ไหนมั่วและสนุกสุดเหวี่ยงอย่างนี้มาก่อนแลย กติกาคือแบ่งเป็นสองทีมเช่นเคย แต่แค่ต้องยัดให้ลงห่วงห่วงเดียว ฝ่ายไหนชู้ตได้ก็ได้แต้ม แต่ไม่มีเซ็นเตอร์ ไม่มีการ์ด ใดๆ ทั้งสิ้น และเนื่องจากทุกๆคนล้วนรุมอยู่ใต้แป้นๆเดียว เลยเป็นการยากมากที่จะทำได้สักแต้ม ผมพยายามเลี้ยงลูกออกมานอกวงแล้วพยายามชู้ตจากมุมไกล….ได้ผล ผมทำให้ทีมได้คะแนน ทุกคนชื่นชมผมใหญ่…และคะยั้นคะยอให้ผมมากินเหล้าด้วยตอนเย็น สมาชิกส่วนมากเป็นคนหนุ่ม มีพวกคุณลุงร่วมเล่นด้วยอย่างประปราย พวกเขาชอบลีลาการเล่นของผม อีกทั้งอยากทำความรู้จักผมมากกว่านี้ และคิดว่าน่าจะเป็นการดีถ้าเราได้สังสรรร่วมกัน

แต่ผมขอตัวดีกว่า…เพราะถ้าเหล้าเข้าปากผมเมื่อไร…ผมจะไม่เป็นผู้เป็นคนเลย

ผมเดินคุยมาเรื่อยๆกับกลุ่มเล่นบาสผ่านสนามบอลเขียวชอุ่มที่มีคนเล่นกันอยู่ ไม่มากนัก พวกเขาตะโกนทักทายกลุ่มพวกเรา ฝ่ายคุณลุงก็ตะโกนตอบเป็นภาษาเมือง

“ไม่เล่นบอลกันบ้างเหรอครับ” ผมถามลุงแต้ม ซึ่งเป็นพนักงานเข็นเปลของโรงพยาบาล

“เล่นไปเรื่อยแหละพ่อหนุ่ม ถ้าอยากก็เตรียมอยู่ทีมลุงแต้มสิงสนามได้เลยนะ พรุ่งนี้อย่าลืมใส่เสื้อสีน้ำเงินล่ะ”

ผมควงลูกบาสด้วยความยินดี ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำทานข้าว

“ไปก่อนนะครับทุกคน”

“แล้วพรุ่งนี้มาเล่นอีกนะพี่” หมึก เด็กมัธยมชักชวนผมอย่างยินดี

ผมตบบ่าเขา “ได้เลยน้อง”

เวลาที่ตัวผมเหงื่อโซมกายเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกสดชื่นที่สุด ยิ่งตอนนี้อากาศเย็นๆของช่วงเวลาย่ำค่ำปะทะผิวกาย สายลมอ่อนๆพัดผ่าน…ผมสูดหายใจเต็มปอดอีกครั้ง…นี่ล่ะคือวิถีชีวิตของการออก กำลังกาย ผมยกแขนปาดเหงือที่หน้า รู้สึกพอใจที่มันแฉะชื้น…พอผมเอามือลงก็ได้พบกับ….ว้าว…นั่นใครน่ะ…

สาวนักกีฬา ในชุดออกกำลังกายรัดรูปทะมัดทะแมง มัดผมสูงเผยให้เห็นต้นคอระหงขาวสะอาด เธอวิ่งฉิวผ่านผมไปแบบไม่ไยดี แต่ผมไม่อาจละสายตาจากเธอได้เลย หน้าตาเธอพริ้มเพราดี… เธอวิ่งด้วยความคล่องแคล่วเหมือนออกกำลังกายเป็นประจำ…มีผู้หญิงที่ดูทัน สมัยคล่องแคล่ว…เธอเป็นใครกันเนี่ย…ไม่ใช่ว่าผมติดใจผู้หญิง ได้ง่ายดายนักหรอกนะครับ แต่ผมว่าบุคลิกเธอค่อนข้างเหมือนนิชา…เวลานิชาออกกำลังกาย ก็คล่องแคล่วดูดีอย่างนี้เหมือนกัน

โถ่เว้ย…คิดถึงนิชาอีกแล้วหรือนี่…พอๆ ไปหาอะไรกินในบ้านดีกว่า…ผมตัดใจละสายตาจากเธอคนนั้น แล้วเดินกลับเข้าบ้านอาเขยโดยเร็ว

ผมอาบน้ำตัวสะอาดหอมสดชื่น ก่อนจะเปิดทีวีดูข่าวภาคค่ำ แล้วหาของกินในตู้เย็น อาเขยกับอาหญิงบอกว่าวันนี้คงกลับดึก แต่ได้ทำอาหารให้ผมไว้บ้างแล้ว พอผมเปิดตู้เย็นก็เจอแกงส้มเย็นเจี๊ยบ เลยเอาออกมาอุ่น ผมเปิดตู้กับข้าว พบปลาสลิดทอดแต่ตอนนี้มันนิ่มไปเลย และพอผมเปิดหม้อหุงข้าว…ตายละวา…ไม่เหลือข้าวสักเม็ด ตอนกลางวันผมคงทานไปเยอะมากเป็นแน่

เอาไงดีล่ะ…แกงส้มก็ต้องอุ่น…ปลาก็เย็นชืดไปแล้ว…ข้าวก็ต้องหุงใหม่…

ทุกอย่างไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ นอกเสียจากว่า…ผมทำครัวไม่เป็นเลยต่างหาก ถึงตอนเข้าค่ายลูกเสือจะเคยหุงข้าวจากกระบอกไม้ไผ่ก็เถอะ แต่จริงๆแล้ว…มันยังแฉะและกินไม่ได้ด้วยซ้ำ

เอาวะ…ลองอีกสักตั้ง ผมตั้งหม้อแกงส้มบนเตา เปิดเตาแก๊ส จากนั้นก็หันไปหุงข้าวพลางๆ ผมไม่รู้ว่าต้องตวงข้าวเยอะแค่ไหน เอาสักสามกระป๋องแล้วกัน…จะได้อิ่ม…น้ำนี่ก็…เอ่อ…ท่วมเยอะๆหน่อยมั้งๆ…ส่วน ปลาสลิด…กินนิ่มๆ ชืดๆ อย่างนี้ก็ได้ฟะ…แล้วผมก็ไปนอนดูทีวีรอเวลาให้ทุกอย่างสุก

ผมเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์ ดูนักข่าวคู่ขวัญรายงานสภาพอากาศเป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนจะตบท้ายอีกทีด้วยรายการบันเทิง แล้วผมก็เริ่มท้องร้อง…สงสัยกับข้าวพวกนั้นคงใช้ได้แล้วมั้ง…ผมเดินเข้าไปดู แกงส้มเป็นอย่างแรก ทำไมควันมันขโมงโฉงเฉงอย่างนี้ล่ะ ผมรีบปิดแก๊ส แล้วเปิดหม้อดู…ฉิบหายแล้ว…น้ำหายเกลี้ยงเลย เหลือแต่กุ้งกับผัก ผมร้อนรนไปเปิดหม้อหุงข้าว ค่อยยังชั่วที่อาการดูปกติ แต่พอใช้ช้อนตัก…เอ่อ…มัน…น้ำมันท่วมเลยอะครับ…

ผมกุมขมับ…บ้านอาหญิงมีมาม่าไหมนี่…แต่แล้วขณะที่สายตาผมทอดออกไปนอก หน้าต่างห้องครัว ผมก็เห็นหญิงชาวบ้านคนนั้นที่บอกทางแก่ผม เธออยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงธรรมดา มัดผมเรียบตึง ใส่แว่น กำลังก้มๆเงยๆ ทำอะไรอยู่หลังบ้านตัวเองสักอย่าง (บ้านที่ติดกับของอาหญิงและอาเขยนั่นล่ะ)

ด้วยความหิวอย่างไม่อายใคร ผมเลยหน้าด้านตะโกนขอความช่วยเหลือออกไป

“คุณครับ…คือ…ช่วยผมหุงข้าวให้หน่อยได้ไหมครับ”

สาวชาวบ้านมองผมด้วยดวงตาเรียบเฉย…ซึ่งผมรู้สึกว่าคุ้นมากๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเหมือนใคร

เธอลังเลนิดหนึ่ง แต่พอผมอธิบายให้ฟังเธอก็เดินเข้ามาถึงห้องครัว

ผมพร่ำขอบคุณเธอตลอดเวลาที่เธอหุงข้าวให้ผมใหม่ แล้วเอาข้าวแฉะๆนั้นไปทำข้าวต้ม เธอเติมน้ำและปรุงรสชาดแกงส้มให้ผมใหม่ อีกทั้งเธอยังใจดี อุ่นปลาสลิดลงกระทะให้ผมด้วย…

แต่เธอแทบจะไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่คำว่า…ไม่เป็นไรค่ะ แล้วยิ้มให้

ท้องผมร้องดังขึ้นเรื่อยๆจนเธอขำ แล้วผมก็ช่วยเธอยกกับข้าวมาตั้งที่โต๊ะ

“ทานด้วยกันสิครับ คุณอุตส่าห์ทำ” ผมชักชวนด้วยความยินดียิ่ง สาวชาวบ้านนี่ดีจริง คล่องแคล่วด้านการครัวเหลือเกิน
“ไม่ดีกว่าค่ะ ดาขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ” เธอล่ำลาผมก่อนจะถอดแว่นเช็ดเหงื่อที่ใบหน้า ผมยื่นทิชชู่ให้แล้วก็ได้เห็นว่า…พระเจ้า…

เสียงรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน อาหญิงกับอาเขยก็กลับมาพอดี

เธอหันหลังจะออกจากบ้าน ผมลุกตามเธอไปด้วยความตื่นเต้น ขอมองหน้าเธอชัดๆอีกครั้งเถอะนะ พอเธอเกือบถึงประตู อาหญิงก็เปิดมันออกพอดี หญิงสองวัยสบตากันเล็กน้อย ก่อนอาหญิงจะเอ่ยทักทายสาวชาวบ้านซึ่งพอถอดแว่นเธอก็คือ….

สาวนักกีฬาคนนั้นเอง…

“อ้าวหนูดามาทำอะไรที่นี่จ๊ะ” อาหญิงทักเธอ แล้วคุยกันเล็กน้อยจนอาหญิงเข้าใจว่าเธอมาทำไม ก่อนอาจะหันมายิ้มให้ผม

“เกือบไม่ได้ทานข้าวแล้วสิเรา คงรู้จักกันแล้วสินะภูผา นี่หนูอารดาแพทย์ใช้ทุนจ้ะ”

สิ้นเสียงอาหญิง….ผมรู้สึกเหมือนโดนต่อยหน้า



สวัสดีค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ



ภาพพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ธ.ค. 2556, 19:30:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ธ.ค. 2556, 19:30:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1149





   (2)รู้จักกัน >>
ไม้เอก 22 ธ.ค. 2556, 23:59:48 น.
รอติดตามนะคะ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account