ฤดูรัก
เขาผิดหวังจากความรัก ส่วนเธอไม่กล้ามีความรัก
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อหนุ่มสถาปนิกอารมณ์ดี ที่หนีมาเลียแผลใจในชนบทแสนห่างไกล มาเจอคุณหมอสาวมาดขรึมที่ไม่กล้าเริ่มต้นกับใคร

แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อลมหนาวพาคนสองคนมาเจอกัน ณ ชนบท อันแสนห่างไกลและหนาวเหน็บ
Tags: หวานแหวว ดราม่า

ตอน: (2)รู้จักกัน



“ตาผา เราน่ะดังใหญ่แล้วรู้ไหม” อาเขยพูดขึ้นขณะเราสามคนนั่งดูทีวียามเย็นด้วยกัน ทำเอาผมต้องละสายตาจากรายการทีวีมามองด้วยความสงสัย

“ใครดังนะครับ”

อาหญิงที่นั่งปลอกกระเทียมอยู่ข้างๆหัวเราะเบาๆ “เรานั่นแหละภูผา คนที่โรงพยาบาลพูดถึงเราใหญ่ โดยเฉพาะสองสาวขายน้ำ พวกพยาบาลก็ถามอาว่าหนุ่มรูปหล่อร่างสูงเป็นหลานหมอถกลเหรอ”

ผมเกาหัวแกรกๆ “แล้วพวกเขามารู้จักผมตอนไหนเหรอครับ ผมยังไม่ได้…”

“ก็เราไปเล่นบอล เล่นบาส บ่อยไม่ใช่เหรอ ลุงแต้มกับพวกหนุ่มๆแถวนี้เลยรู้จักหลานดี คงเอาไปพูดถึงล่ะมั้ง”

ผมนึกถึงวันแรกที่เดินทัวร์รอบโรงพยาบาล และเล่นบาสเล่นบอลในอีกหลายวันต่อมา คงจะเป็นตอนนั้นเองที่ใครๆเห็นผมแล้วคงสงสัย

“แหมก็แถวนี้ ไม่มีหนุ่มขาว สูง หล่อ อย่างตาผา พอพวกพยาบาลเห็นนี่กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ หมอบดินทร์ผู้เคร่งขรึม ความนิยมเลยตกไปน่ะสิจ๊ะ” อาหญิงยิ้มให้ผมอย่างขำๆ “รู้จักหมอบดินทร์หรือยังล่ะ พึ่งกลับมาเมื่อวาน เป็นหมอใช้ทุนเหมือนหนูอารดานั่นล่ะ เล่นบอลกับลุงๆแถวนี้บ่อยเหมือนกันนะ”

ผมหยิบคุกกี้เข้าปาก “อืม ยังนะครับ แต่วันนี้เย็นๆคงได้เจอกัน” แล้วผมก็พาลไปนึกถึงหมออารดา ไม่อยากจะเชื่อว่าสายตาผมฝ้าฟางได้ขนาดนั้น ผมเห็นผู้หญิงคนเดียวเป็นผู้หญิงสามคนไปได้ยังไง

สาวชาวบ้าน สาวนักกีฬา ก็คือหมอสาวผู้จริงจังคนเดียวกันนั่นล่ะนะ…ช็อกไปเลย

น่ากลัวจังแฮะผู้หญิงคนนี้ เธอมีหลายบุคลิกเชียวหรือ ดูลึกลับและเข้าถึงยาก อืม…แต่วันนั้นที่เธอมาช่วยทำกับข้าวก็ดูใจดีอยู่หรอก

อาเขยตบไหล่ผมเบาๆ “ภูผานี่ผึงผายดีนะ ตอนเจ้าวินมันโตขึ้นอาก็ว่าหล่อแล้ว มาเจอพ่อผานี่…เจ้าวินชิดซ้ายไปเลย ท่าทางจะทำสาวอกหักไปหลายรายแล้วสิเรา”

ผมขำ…ธาวินไม่ได้บอกอาเขยเรื่องที่ว่าจู่ๆผมมาพักผ่อนที่ต่างจังหวัดทำไม อาทั้งสองจึงคิดว่าผมมาพักร้อนเท่านั้น…อาครับ…ผมนี่แหละเพิ่งถูกหักอกมา สดๆร้อนๆ

“ขอบคุณครับอา แต่จริงๆวินมันมีสาวๆมาชอบเยอะกว่านะครับ คงเพราะมันขี้เล่น แล้วก็พูดเก่งมากกว่า” ผมนึกถึงพวกรุ่นน้องรุ่นพี่ที่มารุมตอมให้ของขวัญวาเลนไทน์มันในปีสุดท้าย ของการเรียนมหา’ลัย

ส่วนผม…ปีนั้น ผมพานิชาไปเซอร์ไพรซ์ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตอนแรกผมแกล้งจำไม่ได้ว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์เลยไม่ได้เอาดอกไม้มาให้เธอ ที่มหา’ลัย เธอโกรธมากทีเดียว เพราะกลุ่มเพื่อนสาวสวยของเธอนั้นต่างได้รับช่อดอกไม้โตๆกันแทบทุกคน

แต่พอตอนเย็นหลังเธอเรียนเสร็จจากคณะอักษรฯ ผมก็ยืนทำเท่ห์ถือกระถางต้นกุหลาบขาวขนาดพอเหมาะผูกไบว์น่ารักรอเธออยู่ที่หน้าคณะ

พอเธอเห็นผมก็ทำงอน แต่พวกเพื่อนๆคะยั้นคะยอให้เธอเดินมาหาผม พอเธอเดินมาผมก็คุกเข่า แล้วยิ้มหล่อๆ

“หายโกรธผมแล้วนะ” แล้วคนแถวนั้นก็ปากเปราะแซวกันใหญ่ จากนั้นผมก็พาเธอขับรถไปทานอาหารกันสองต่อสอง

“ทำไมถึงซื้อเป็นกระถางให้นิล่ะคะ ไม่เหมือนของเพื่อนๆเลย” เธอถามเฉยๆ ไม่ได้โกรธอะไร

“พวกเป็นช่อ เดี๋ยวก็เหี่ยวตาย แบบมีรากนี่แหละดี มันจะได้เติบโตไปพร้อมกับความรักของเราไงล่ะครับ” ฟังแล้วน้ำเน่าน่าดูนะฮะ แต่ตอนนั้นก็ทำเอาผมได้ใจจากเธอมากขึ้นเป็นกอง….แล้วเกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ …ไม่ถึงเดือนเลยครับ…กุหลาบขาวก็เหี่ยวตาย เพราะนิชามัวแต่เรียนจะเอาเกียรตินิยมในปีสุดท้ายจนลืมดูแลมัน

ผมสูดลมหายใจลึกๆพร้อมๆกับที่กลืนความเศร้าลงไปสู่ก้นบึ้งของหัวใจ ก่อนจะขอตัวคุณอาไปออกกำลังกายกับพวกลุงแต้มตามปกติ

วันนี้ผมใส่เสื้อสีน้ำเงินเตรียมเล่นบอลลงทีมลุงแต้มสิงห์สนาม บรรยากาศค่อนข้างคึกคัก มีคนมาลงทีมเล่นเยอะไปหมด ทั้งเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเอง และพ่อค้าจากรอบนอกโรงพยาบาล แต่ไม่ยักเห็นหมอบดินทร์ที่อาเขยว่า อ้อ…รู้สึกจะมีกองเชียร์สาวๆแถวนี้ด้วยแฮะ ผมได้รู้จักคนหนุ่มรุ่นเดียวกันอีกเยอะแยะ รุ่นคุณลุงและรุ่นเด็กกว่าอีกมากมาย จริงๆแล้วฝีเท้าของคนแถวนี้ใช้ได้ทีเดียว และค่อนข้างสุภาพไม่เตะอัดกันเหมือนในมหาวิทยาลัยที่ผมเคยเล่น ไม่มีการตุกติกเตะแข้งฝ่ายตรงข้าม คงเพราะที่นี่เล่นเพื่อกระชับมิตรเท่านั้น ไม่ได้หวังชนะ-แพ้สักเท่าไร

เราเล่นกันประมาณครึ่งชั่วโมงก็ต้องพักครึ่งสักทีหนึ่ง แม่บ้านแถวนั้นใจดียกน้ำยกท่ามาบริการนักฟุตบอลกันใหญ่ ผมเห็นสองสาวขายน้ำก็มาแจกน้ำด้วย พอเห็นผมพวกเธอก็รีบปรี่เข้ามายื่นผ้าเช็ดหน้าและน้ำให้ ผมรับมาอย่างขอบคุณ แต่รู้สึกถึงได้ว่ามีใครกำลังจ้องมองจากด้านหลัง พอผมหันหลังไปก็เห็นชายร่างใหญ่ผิวเข้ม หน้าดุเล็กน้อย เขาเป็นคนที่มาจากข้างนอกโรงพยาบาลนี่เอง อยู่ทีมฝั่งตรงข้ามกับผม

ชายคนนั้นเดินปรี่มาแทรกระหว่างผมกับสาวขายน้ำคนหนึ่งที่ปล่อยผมยาวสยาย

“น้องจิ๊บ พี่เขียวหิวน้ำ ขอพี่เขียวสักแก้วสิจ๊ะ” พี่เขียวที่ว่าพูดเสียงเข้มแล้วหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ผม

น้องจิ๊บ เบี่ยงตัวหนีออก แล้วอ้อมมาอยู่ข้างผม “ฉันเอามาให้คุณคนนี้แล้ว พี่ก็ให้ใจไปเอาเองแล้วกัน”

ใจ คือสาวขายน้ำอีกคนหนึ่ง เธอรีบเบะปาก “อยากได้ก็ไปตักเองซิ” พูดเสร็จก็อ้อมมายืนขนาบผมอีกข้าง

พี่เขียวหน้าเสีย แล้วมองผมโกรธกว่าเดิม ผมเห็นท่าจะไม่ได้การ เลยรีบเดินออกมาจากตรงนั้น “เดี๋ยวผมไปตักให้แล้วกันพี่”

ผมไม่รู้ว่าเขาแก่กว่าหรือเปล่า แต่เรียกให้เกียรติไปก่อน ก่อนจะรีบเดินต๊อกๆไปตักน้ำให้

ผมเดินมาหยิบแก้วแล้วตักน้ำในกระติกใหญ่ที่เมียลุงแต้มยกมา ขณะผมก้มลงจะตัก ก็มีเสียงพวกหนุ่มๆรุ่นผมที่กำลังนั่งพักกันอยู่โวยวายขึ้น

“เฮ้ยๆๆๆๆ หมอดาวิ่งมาแล้วว่ะ” แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นยืนมองกันใหญ่ บางคนผิวปากเปี๊ยว บางคนก็ตะโกน

“หมอดาคร้าบ หิวน้ำไหมคร้าบ…”

ผมเงยหน้าหันไปมอง หมอดาในชุดวิ่งสุดทะมัดทะแมงกำลังวิ่งเลียบสนามฟุตบอลเรื่อยๆผ่านพวกเราไป เวลาเธอวิ่งเธอจะไม่ใส่แว่น ความจริงจังแบบเด็กคงแก่เรียนเลยหายไป จริงๆ เธอก็ดูน่ารักไม่น้อยนะในชุดออกกำลังกาย แต่ไม่ได้สะสวยเท่าไรถ้าเทียบกับสาวส่วนมากในกรุงเทพฯ แต่ก็ถือได้ว่าหน้าตาดีสำหรับหนุ่มๆแถวนี้

หมอดาหยุดวิ่ง แล้วโบกมือให้คนในสนาม พวกหนุ่มๆยิ่งส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเข้าไปใหญ่ ลุงแต้มเดินมายืนข้างๆผม ลุงก็โบกมือกลับให้หมอดาด้วย

“พ่อหนุ่มรู้จักใช่ไหม หมอดาน่ะ เธอใจดีเป็นกันเอง พวกหนุ่มๆแถวนี้ที่เคยมาให้เธอตรวจเลยติดใจกันใหญ่”

ผมมองเธอเช่นกัน แต่ตอนนี้เธอออกวิ่งไปแล้ว “งั้นเหรอฮะ…” แล้วซดน้ำเย็นหมดแก้ว

“หมอดานี่น่ารักจริงๆ กูกะจะเก็บเงินของแต่งงานอยู่เนี่ย แต่อีกครึ่งปีหมอก็กลับกรุงเทพฯแล้ว กูเก็บไม่ทันแน่เลยว่ะ” ศักดิ์ชัย ซึ่งเป็นวินมอเตอร์ไซค์หน้าโรงพยาบาลพูดกับเพื่อน ไอ้เพื่อนคนนั้นก็ตบไหล่เขาเป็นเชิงให้กำลังใจ

“มึงก็ซื้อหวยสิวะ”

แล้วเกมในครึ่งหลังก็เริ่มขึ้น ผมเป็นกองหน้า และรู้สึกว่าพี่เขียวร่างใหญ่ฝ่ายตรงข้ามชอบเข้ามาสกัดบอลจากผมเหลือเกิน เขาอาจจะเคืองเรื่องน้องจิ๊บ น้องใจ อะไรนั่นก็เป็นได้ ผมพยายามสับขาหลอก เลี้ยงลูกหลบเขาเต็มที่ แต่ก็ดูจะเป็นเรื่องยากเหลือเกินเนื่องจากเขาตัวใหญ่ และขาก็มีกล้ามเป็นมัดๆ

แล้วในที่สุดพี่เขียวก็แย่งบอลไปจากผมและเลี้ยงลูกเข้าไปใกล้โกลมากขึ้น…มาก ขึ้น…ก่อนจะยิงประตูให้ฝ่ายลุงจ่าเสือสนาม ซึ่งเป็นพนักงานขับรถของโรงพยาบาลชนะทีมเราไป

พี่เขียววิ่งไปรอบๆ ก่อนจะถอดเสื้อเหวี่ยงกลางอากาศ ประหนึ่งโรนัลโด้ยิงประตูให้ทีมชาติบราซิล

ผม ลุงแต้ม หมึก และศักดิ์ชัย พร้อมๆกับลูกทีมอีกหลายคนสั่นศีรษะเป็นเชิงเสียใจ….เอาวะ…วันพระไม่ได้มีหนเดียว

แล้วผมก็ล่ำลาทุกคนในสนาม ก่อนจะขอตัวกลับไปทานข้าวกับอาเขย พวกพยาบาลสาวๆที่มาเชียร์ขอบสนามต่างซุบซิบกันใหญ่เมื่อผมเดินผ่าน หูผมไม่ค่อยรักดีครับ ชอบได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่อยากให้ได้ยิน

“หล่อกว่าหมอบดินทร์อีกแก ดูเท่ห์กว่าเยอะอะ หมอบดินทร์ขรึมไปหน่อย แต่หลานหมอถกลนี่ดูมีชีวิตชีวากว่า” พยาบาลคนหนึ่งซึ่งผมไม่ได้ดูหน้าว่าเป็นใครซุบซิบกับเพื่อนของเธอ

อ่า…หมอบดินทร์ครับ ผมยังไม่รู้จักคุณ ผมก็ทำร้ายคุณเสียแล้ว…ขอโทษด้วยนะฮะ

จริงๆผมก็รู้ตัวครับว่าผมก็หน้าตาใช้ได้อยู่ไม่น้อย แต่ไม่ได้ใส่ใจว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเท่าไร เพราะคุณพ่อมักบอกอยู่เสมอว่า สิ่งสำคัญของคนเราคือ การมีปัญญา สมัยมัธยมก็มีรุ่นน้องมาชอบบ้าง แต่ผมไม่ได้รู้สึกเป็นพิเศษกับใคร และนั่นทำให้ผมรู้สึกแย่มากจริงๆที่ต้องทำร้ายจิตใจผู้หญิงไปบ้าง…บางคน โทรมาหา ให้ของขวัญวันเกิด บางคนสารภาพรัก…แต่ผมก็บอกปฏิเสธไปแบบตรงๆ และบอกว่าคบเป็นพี่เป็นน้องกันก็ได้ แต่ก็ไม่มีรายไหนยอมเข้าใจ จากนั้นมาพวกหล่อนก็ไม่มองหน้าผมอีกเลย

จนผมมาพบนิชา…เห็นแวบแรกตอนเธอเดินผ่านคณะสถาปัตย์เมื่อผมยังเป็นเฟรชชี่ ก็ชอบเธอเสียแล้ว…เธอเป็นคนแรกที่ต้องใจผมจริงๆ

บ๊ะ…คิดถึงนิชาอีกแล้ว…เมื่อไรผมจะเอาเธอออกจากสมองได้สักที

ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อย แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลาลับไป ผมเดินผ่านบ้านพักไม้เก่าๆหลายหลังที่มีครอบครัวของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล อาศัยอยู่ รอบๆล้วนมีแต่ต้นไม้สูงใหญ่กำลังพัดไหวเสียดสีกัน อากาศยามเย็นเริ่มหนาวปะทะผิวกายขึ้นเรื่อยๆ…ช่วงหน้าหนาวของภาคเหนือ…ช่าง สงบและสบายใจ ผมเดินเรื่อยๆพร้อมๆกับซึมซับบรรยากาศรอบกาย ถ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมคงไม่สามารถทำอะไรอย่างนี้ได้ ไม่มีธรรมชาติและความสงบ ผมมองไปทางไหนก็พาลให้นึกถึงช่วงเวลาของผมกับนิชาตลอดเวลา….

“หยุดนะ!!!!!!” เสียงผู้หญิงแหลมสูงทำเอาผมสะดุ้งจากภวังค์ พอหันไปมองตามเสียงนั้นก็เห็นสาวนักกีฬา เอ้ย! หมออารดาในชุดวิ่ง มัดผมสูง แต่คราวนี้ใส่แว่น ยืนอยู่หน้าบ้านตัวเองซึ่งผมกำลังเดินผ่าน มองตรงมาด้วยความตกใจและเบิกตาโพลง

“อย่าขยับนะ หยุดอยู่อย่างนั้น!” เธอยังคงชี้นิ้วและสั่งเสียงเฉียบ ตอนแรกผมก็ตกใจ คิดว่าเธอรังเกียจผมมากเลยไม่อยากให้เข้าใกล้เขตบ้านเธอ แต่พอผมมองตามสายตาและนิ้วที่ชี้ลงต่ำ ผมก็เห็นว่าที่แทบเท้าของผมนั้นมีงูตัวยาวพอสมควรกำลังเลื้อยผ่านหน้าไป

ผมมองเจ้างูนั่นด้วยความตกใจสุดขีด ขณะที่ตัวแข็งทื่อ และรู้สึกว่าจะหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง

แต่แล้วงูก็เลื้อยผ่านหน้าผมหายไปในพงหญ้าอีกฟากฝั่งของถนน

ผมถอนหายใจดังเฮือก…และรีบหันไปขอบคุณหมออารดา แต่หล่อนหายไปไหนเสียแล้วล่ะ เป็นอย่างนี้เกือบทุกครั้งเลยไหมที่เธอช่วยผม

วันแรกที่บอกทาง เธอก็รีบหายไปตัวไป วันต่อมาเธอมาช่วยทำกับข้าว ก็ร้อนรนจะกลับบ้าน ส่วนวันนี้ เธอช่วยให้ผมรอดตายจากงู แล้วก็หายตัวเข้าบ้านอีกแล้ว…

ผมเดินไปหยุดอยู่หน้าบ้านของเธอ ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูไม้เก่าคร่ำคร่า

“หมออารดาครับ” ผมเรียก และไม่นานนักประตูก็เปิดออก

คราวนี้ผมเห็นหน้าเธอจังๆ ในแบบที่ใส่แว่นและผมเผ้าปล่อยตามธรรมชาติ แต่ยังคงอยู่ในชุดออกกำลังกาย
อืม…เธอเหมือนคุณหมอผู้คงแก่เรียนจริงๆ

เธอยิ้มให้ผมจางๆ…มีลักยิ้มสองข้างเสียด้วยแน่ะ

“มีอะไรเหรอคะ”

ผมฉีกยิ้มกว้างอย่างจริงใจ “ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมอีกแล้ว”

หมออารดาอมยิ้ม “อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทีหลังเวลาเดินคุณก็ดูทางดีดีบ้างนะคะ พงหญ้าเยอะค่ะแถวนี้…อ้อ…คุณมาก็ดีแล้ว สักครู่นะคะ” เธอตอบแจ๋วๆ ก่อนจะเดินตัวปลิวหายเข้าไปที่หลังบ้าน ปล่อยให้ผมยืนอยู่หน้าบ้านสำรวจบริเวณห้องรับแขกของเธอ

บ้านหมออารดาก็คล้ายๆบ้านอาเขย(ซึ่งอยู่ติดกัน) แต่ตกแต่งออกจะหวานแหววตามฉบับสาวโสดมากกว่า เธอมีเคเบิ้ลทีวี ตอนนี้กำลังเปิดช่องซีรีส์อยู่ มีลู่วิ่งไฟฟ้า และ…นั่นมันอะไรน่ะ กองหนังสือเหรอ…แทบจะเอามาสร้างบ้านได้เลยมั้ง หนังสือของเธอผมเห็นมีอยู่ในสองตู้ใหญ่ๆ แถมยังวางเป็นตั้งๆ อีกหลายกองติดฝาผนัง…เธออ่านหรือต้มมันกินกันแน่

หมออารดาเดินกลับมาพร้อมถาดอาหารใบโต เธอยื่นให้ผม “ดาทำผัดซีอิ๊วไว้เยอะเชียวค่ะ เลยแบ่งไว้ให้อามณ กับอาถกล….อ้อ….ให้คุณด้วยค่ะ” ประโยคหลังเธอดูเก้อเขิน

ผมรับมาด้วยความยินดี กลิ่นหอมยวนน้ำลายของผัดซีอิ๊วลอยแตะจมูก

“ขอบคุณนะครับ ว่าแต่ คุณหมออ่านหนังสือเยอะขาดนี้เลยเหรอฮะ” ผมทำท่ามองกองหนังสือพวกนั้นด้วยความทึ่ง

หมออารดาหัวเราะเบาๆ “ค่ะ มันเยอะมากเลยเหรอคะ ถ้าคุณชอบอ่านมายืมบ้างได้นะ คือ…เห็นอาถกลบ่นให้ฟังว่า คุณมาพักผ่อน แต่กลัวจะเบื่อเพราะไม่ค่อยมีอะไรทำ”

ผมมองเธอด้วยความขอบใจ “ขอบคุณนะครับ แหมคุณหมอนี่ใจดีจัง” ผมแกล้งแหย่

คราวนี้หมออารดายิ้มกว้าง จนลักยิ้มสองข้างบุ๋มลง และผมคิดว่าเธอน่ารักดี

“อย่าเรียกดาว่าหมอเลยค่ะ เรียกว่า ดา เฉยๆดีกว่านะ”

เราปราศรัยพอเป็นพิธีอีกเล็กน้อย ก่อนผมจะเดินหาบผัดซีอิ๊วจานโตไปให้อาหญิงจัดการแบ่งใส่จาน อาหญิงบอกว่าคุณดา (ผมเรียกตามที่เธอบอกแล้วนะ) มักทำกับข้าวเผื่ออาสองคนเสมอ

เย็นวันนั้นผมนั่งทานผัดซีอิ๊วของเธอและคิดว่าคุณหมออารดาคนนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวไปเสียทีเดียว



ฝากตัวด้วยค่ะ



ภาพพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ธ.ค. 2556, 22:21:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2556, 22:21:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1151





<< เริ่มต้น   (3)ไปด้วย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account