ดวงใจอธิษฐาน ซีรีส์ชุด รอยรักข้ามกาลเวลา
คำอธิษฐานก่อนตายของเธอ ส่งผลมาทุกภพทุกชาติ และไม่ว่าชาติไหนเธอก็ยังเกลียดผู้ชายคนนี้สุดหัวใจ
Tags: ลินิน สาริน พีเรียเ อรุณ
ตอน: ตอนที่ 1 40%
กัณฐิการีบยกกล้องถ่ายรูปราคาแพงในมือขึ้นเมื่อร่างสูงสง่าของพริมาดา ดาราสาววัยยี่สิบต้นๆ กำลังดังจากละครเรื่องแรกแนววัยรุ่นสะท้อนสังคมซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วบ้านทั่วเมือง ขนาดว่าในวันที่ละครออนแอร์ท้องถนนที่เคยติดกันเป็นแพโล่งเตียนปรากฏกาย
ดาราสาวโพสท่าแล้วจิกตาให้กล้องด้วยท่วงท่าที่ได้รับการปรุงแต่งฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดี กล้องนับสิบพุ่งตรงเข้าหารวมทั้งกล้องในมือของกัณฐิกาด้วย
หลังถ่ายรูปดาราสาวจนพอใจแล้ว เหล่านักข่าวสายบันเทิงจึงเริ่มต้นยิงคำถามที่นานๆ ทีจะถามถึงงานแสดงเรื่องใหม่ที่กำลังจะมีขึ้น แต่มุ่งตรงไปยังข่าวฉาวลงหน้าหนึ่งตลอดหลายวันที่ผ่านมา เมื่อมีคนตาดีแอบเห็นพริมาดาลงมาจากคอนโดของชายหนุ่มนักศึกษาที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ก่อนหน้าที่ดาราสาวจะเข้าวงการ
“โอ้ย…” ดาราสาวลากเสียงยาวทำเป็นขบขันเมื่อได้ยินนักข่าวถามตามมาด้วยคำตอบที่ตระเตรียมมาล่วงหน้าดุจสคริปต์ที่มีผู้สั่งให้ท่องจำ “เพื่อนค่ะ เพื่อนในกลุ่มไม่มีอะไรเลยจริงๆ”
“แล้วทำไมต้องขึ้นไปหาถึงในห้องด้วยละคะ แล้วได้ยินมาด้วยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนคุณพริ” นักข่าวคนหนึ่งโพล่งคำถามออกไปตรงๆ แบบไม่มีอ้อมค้อม ดาราสาวจึงเผลอหลุดมาดตวัดสายตาไม่พอใจมาหาแวบหนึ่ง แวบสั้นๆ แล้วใบหน้าที่แต่งแต้มประณีตก็เบือนมายิ้มสู้กล้องดังเดิม
“ผู้ชายคนนั้นชื่อนนท์ค่ะ เป็นเพื่อนของพริมาตั้งแต่มัธยม แล้วเรื่องขึ้นคอนโดพริขึ้นไปจริงค่ะเพราะนนท์ไม่สบายมาก ในเวลานั้นเราจะคำนึงหรือคะว่าเราเป็นดารามีชื่อเสียงแล้วเพื่อนเราเป็นผู้ชาย” ดาราสาวย้อนถามด้วยสีหน้าซื่อๆ ทำให้คนตั้งคำถามสะอึกและทำให้คำถามที่กัณฐิกาคิดเอาไว้จ่ออยู่ที่ปลายลิ้น
พูดไม่ออก…
เท่านั้นดาราสาวก็แหวกกองทัพนักข่าวเข้าไปในงานเลี้ยงฉลองเรทติ้งที่ทางผู้จัดมีให้กับนักแสดงและสื่อมวลชนเพื่อเป็นการขอบคุณ
กัณฐิกาถอนหายใจแล้วหลบฉากออกไปเงียบๆ เบื่อกับงานที่ทำอยู่เต็มที เธออยากเป็นนักข่าวสายอาชญากรรมที่มีอะไรให้ตื่นเต้นเร้าใจมากกว่าการเป็นนักข่าวสายบันเทิงที่ดีแต่วิ่งไล่ตามข่าวชาวบ้าน ทั้งเรื่องในมุ้ง บนเตียงเหมือนหมาในล่าเหยื่อ ยิ่งใส่สีตีไข่ได้มากเท่าไหร่ข่าวก็ยิ่งดัง
เธอเบื่อ!
ถึงจะเบื่อแค่ไหนแต่หัวหน้าก็จัดให้เธอทำงานสายนี้ตั้งแต่วันแรกที่ย่างเหยียบเข้ามาทำงาน เบื่อแทบตายแต่เมื่อคิดว่าเป็นหน้าที่ก็ต้องทำ
ร่างสวยหย่อนกายลงบนเก้าอี้เหล็กดัดตัวยาวทาสีขาวด้านบนมีหลังคาขนาดใหญ่กว่าตัวเก้าอี้แค่ไม่กี่นิ้ว ปลูกพวงแสดให้ไต่เครือพาดพันปกคลุมจนมองไม่เห็นสีเดิมของหลังคา ดอกสีส้มสะท้อนกับแสงไฟประดับหน้าโรงแรมดูวับแวมเรืองรองพลอยทำให้อารมณ์เบื่อหน่ายของเธอดีขึ้นมาบ้าง
ในขณะที่นักข่าวคนอื่นเข้าไปในงานกันหมด หน้าโรงแรมคงมีเพียงเธอที่นั่งเหม่อแล้วทอดถอนใจดุจคนหมดอาลัยในชีวิต
เหงา…
ศัพท์ตัวนี้อยู่คู่กับเธอจนชาชินเสียแล้ว เมื่อก่อนนี้มันมาเยี่ยมเยียนเป็นพักๆ ทว่านับตั้งแต่เพื่อนในกลุ่มทยอยมีแฟนและแต่งงานเจ้าความเหงาก็ดูจะกลายเป็นเพื่อนสนิทของเธอแทน ทั้งที่เธอไม่อยากต้อนรับมันเลยซักนิด ใจอยากขับไล่ไสส่งมันไปให้ไกลทว่ามันยังหน้าด้านหน้าทนเซ้าซี้จะอยู่กับเธอ
นักข่าวสาวสายบันเทิงของสยามนิวส์ปล่อยตัวเองให้นั่งแหมะอยู่กับเก้าอี้เหล็กดัดนั้นนานอยู่หลายนาที กลิ่นหอมรวยรินของดอกโมกถูกลมพัดโชยเข้าจมูก
หอม…เย็น
หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาลงเพื่อสูดดมความหอมเย็นชื่นใจนั้นเข้าไปเต็มปอด คราวนี้รู้สึกว่าความเหงาโบกมือลาแล้วถอยห่างจากเธอไปหลายก้าว
ลมพัดแรงขึ้นพร้อมนำพากลิ่นหอมเย็นของดอกโมกให้ผ่านเข้ามามากขึ้น เย็นระรวยรินจนทนนั่งอยู่ไม่ไหวต้องลุกขึ้นเดินหาที่มา ปกติโรงแรมใหญ่ๆ ใจกลางเมืองอย่างนี้ไม่เคยเห็นปลูกดอกโมก
กัณฐิกาเดินเรื่อยเฉื่อยไปตามสนามกว้างที่ปลูกหญ้าญี่ปุ่นขึ้นเต็มพื้นที่แซมด้วยแผ่นหินกาบทาสีขาวเป็นระยะทว่าก็ยังมองไม่เห็นต้นดอกโมก ลองหยุดหลับตาเพื่อดูทิศทางลมก็เห็นว่ากลิ่นยังอยู่แถมยังแรงขึ้นเสียด้วย จรุงจมูกอยู่ใกล้ๆ แต่ทำไมไม่เห็นต้น
หญิงสาวถอนหายใจอย่างเสียดายกะว่าจะแอบเก็บดอกที่ร่วงหล่นเอาไปไว้ใต้หมอน เธอชอบและพิสมัยทุกอย่างที่เป็นของไทยโบราณดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ บ้านเรือนหรือแม้แต่คนเก่าๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หากใครจะเห็นว่าเธอมักหาเวลาว่างไปที่ร้านขายของเก่าสองชั้นทาสีเขียวของคุณปู่สุนทรอยู่เสมอ ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่เจอของถูกใจ จึงเป็นนักชมมากว่าจะเป็นนักสะสม อาจด้วยว่าราคาของเก่ายิ่งนานก็ยิ่งแพง
ของเก่าที่เธอชอบ บอกไม่ถูกว่าต้องเป็นแบบไหน รู้แต่ว่าเธอชอบของเก่าในสมัยอยุธยา ซึ่งอายุของพวกนั้นก็หลายร้อยปี ราคาก็ถีบตัวสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ลำพังเงินเดือนที่มีอยู่แค่พอใช้ไปให้พ้นเดือนก็ยากแล้ว และเนื่องจากพวกของเก่าของสะสมไม่ใช่ของจำเป็น เธอจึงไม่กล้าเอ่ยปากขอจากผู้เป็นมารดา แม้รู้ดีว่าทันทีที่เอ่ยปากว่าอยากได้อะไร ท่านก็ยินดีหามาให้
กลิ่นยังคงหอมขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คิ้วเรียวเรียงเส้นสวยไร้การแต่งแต้มเลิกขึ้นสูง ดวงตาสีนิลเปิดขึ้นอย่างฉงนและเมื่อหันหลังกลับก็เกือบชนเข้ากับใครคนหนึ่ง ช่อดอกโมกหลายช่อในมือเขาร่วงหล่น เจ้าของดอกโมกก้มลงเก็บทว่าหญิงสาวยังยืนนิ่งเฉย ร้อนวูบตามตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ขอโทษ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นห้วนๆ ทั้งที่อยากจะลงหางเสียงให้ดีกว่านี้ ทว่ามันหยุดอยู่แค่ปลายลิ้น แต่คนตรงข้ามไม่คิดถือสาตรงข้ามกลับส่งยิ้มให้ทั้งปากทั้งตา
“ไม่เป็นไรครับ ผมผิดเองที่มาเงียบๆ”
สายตาที่ชายหนุ่มแปลกหน้าทอดมองเธอทำให้กัณฐิกาเกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ ซีกหน้าด้านหนึ่งร้อนผ่าว สีแดงฉาดแก้ม แต่ไม่ได้เกิดจากการเขินอายแต่เป็นความโกรธ โกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุเสียด้วย ริมฝีปากสีกลีบบัวหยักขึ้นทว่าไม่เปิดปากถามแต่เมื่อดวงตาสีเข้มของผู้ชายตัวโตยังจับมาเช่นเดิมจึงเบือนใบหน้าหนี
“ขอตัวนะคะ”
หญิงสาวไม่รอให้เขาเอ่ยปากอนุญาตก็เดินหนีทันที เจ้าของดอกโมกมัวแต่ตกตะลึง จนเธอเดินผ่านไปได้หลายก้าวแล้วจึงวิ่งตาม
“เดี๋ยวก่อนสิครับคุณ”
เขาเรียกเสียงค่อนข้างดังทว่าเหยี่ยวข่าวสาวทำเป็นไม่ได้ยิน สองเท้ายังซอยไปข้างหน้า คนเรียกจึงวิ่งมาดักหน้าส่งผลให้เธอเกือบชน
“เอ๊ะ!”
กัณฐิกาอุทาน คิ้วเรียงเส้นสวยขยับเข้าหากันอีกครั้ง ดวงหน้าอ่อนเยาว์แดงเข้มด้วยความโกรธ ที่จู่ๆ ผู้ชายแปลกหน้าก็คุกคามเธอแบบนี้
“จะทำอะไร”
น้ำเสียงจากเหยี่ยวข่าวสาวยังห้วนอยู่เช่นเดิม มือกระชับกล้องถ่ายรูปในมืออย่างระวังภัย สองเท้าถอยไปหลายก้าว หากจำเป็นเธอคงต้องยอมสละกล้องราคาแพงตัวนี้ด้วยการฟาดไปบนหัวของผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ทำให้เธอรู้สึกเกลียดชังตั้งแต่แรกเห็น
ปกติเธอเป็นคนใจเย็น เป็นมิตรกับคนทั่วไปง่ายเพราะโดยอาชีพจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลจากปากคน ทว่าในยามนี้ทั้งตัวและหัวใจร้อนรุ่มพลอยทำให้อารมณ์ขุ่นมัวอย่างไม่มีเหตุผล
“เปล่านะคุณ ผมไม่ได้คิดทำอะไร” ชายหนุ่มยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงบอกว่าเขามาดีทว่าสายตาหวาดระแวงของเธอทำให้เขาถอนหายใจ
ก็น่าอยู่หรอก…
เขาเสียมารยาทมองเธออย่างกับตกตะลึงพรึงเพริศ สายตาเมื่อครู่ไม่ได้ปิดบังความรู้สึกเลยซักนิดแล้วยังวิ่งตามมาดักหน้าเธอไว้ เป็นใครก็ต้องคิด
“ผมขอโทษ แค่อยากเอาดอกไม้นี่ให้คุณ” เขาว่าพลางส่งช่อดอกโมกช่อใหญ่ที่เขาเก็บติดมือมาจากบ้านให้ ดวงตาสีเข้มมีร่องรอยใสซื่อไร้แววกรุ้มกริ่มทว่าเหยี่ยวข่าวสาวไม่ไว้ใจ
“ให้ฉัน” คิ้วเลิกขึ้น น้ำเสียงโทนแหลมทำให้เขายิ้มแหย
“ผมเดาว่าคุณได้กลิ่นดอกโมกในมือผมแล้วเดินหา” เขาเอ่ยขึ้นและถูกต้องราวกับมานั่งอยู่กลางใจเธอทว่าหญิงสาวปฏิเสธ
“ไม่ใช่ ฉันเดินหาเพื่อน”
“อย่างนั้นผมต้องขอโทษด้วย” ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงต่ำแต่ยังยื่นดอกไม้ช่อสวยให้เช่นเดิม แม้ความตั้งใจแรกของกัณฐิกาก็คือเก็บดอกโมกสีขาวกลิ่นหอมไปไว้ใต้หมอนทว่าเมื่อดอกโมกสดทั้งช่อยื่นมาตรงหน้ากลับส่ายหน้าดิกไม่ยอมรับ
“ฉันไม่ชอบค่ะ”
“งั้นหรือครับ” เจ้าของดอกโมกทำหน้าผิดหวัง เมื่อรู้ว่าเธอไม่ชอบจึงโยนไปไว้บนเก้าอี้เหล็กดัดที่หญิงสาวเพิ่งลุกมาแล้วหันมาฉีกยิ้มกว้างแนะนำตัวเอง “ผมชื่อเอกลิขิต”
กัณฐิกาอยากจะตอกกลับไปเหลือเกินว่าไม่ได้ถามทว่ายังรักษามารยาทมากพอจะไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มรับ ไม่แนะนำตัวตอบแต่ยังเอ่ยถ้อยคำเดิม
“ขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยวสิครับคุณ ผมยังไม่ทราบชื่อคุณเลย” ชายหนุ่มทักท้วง เขาคงเสียดายจนนอนไม่หลับแน่หากไม่รู้ชื่อของสาวเจ้า
ผู้หญิงร่างสวยบอบบางทว่าเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดนั้นคือเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม ปากนิดจมูกหน่อยส่งผลให้เจ้าของวงหน้าดูจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แม้ไม่สวยขนาดผู้ชายต้องหันมองซ้ำแต่ก็น่ามอง และยิ่งเป็นเขามองด้วยแล้ววงหน้าใต้แสงจันทร์นั้นก็ยิ่งงามพิลาสล้ำ
พิศพักตร์ผ่องพักตร์ดังจันทร พิศขนงโก่งงอนดังคันศิลป์
พิศเนตรดั่งเนตรมฤคิน พิศทนต์ดั่งนิลอันเรียบราย
พิศโอษฐ์ดั่งหนึ่งจะแย้มสรวล พิศนวลดังสีมณีฉาย
พิศปรางดั่งปรางทองพราย พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง
พิศจุไรดั่งหนึ่งแกล้งวาด พิศศอวิลาสดั่งคอหงส์
พิศกรดั่งงวงคชาพงศ์ พิศทรงดั่งเทพกินรา
พิศถันดั่งปทุมเกสร พิศเอวเอวอ่อนดั่งเลขา
พิศผิวผิวผ่องดั่งทองทา พิศจริตกิริยาก็จับใจ
(กลอน ชมโฉมนางสีดา)
จู่ๆ เขาก็นึกถึงกลอนบทนี้ขึ้นมา กลอนที่แม่ชอบท่องให้ฟังเป็นประจำ แต่จำมาได้ขาดๆ เกินๆ แต่เมื่อเห็นหน้าของผู้หญิงคนนี้เขาก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
เขาไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้ที่เห็นผู้หญิงแล้วทำท่ากรุ้มกริ่มเข้าใส่ แต่เมื่อเห็นหน้าเธอผู้นี้เขากลับพอใจตั้งแต่แรกเห็น เหมือนบางสิ่งบางอย่างที่เขารอมานานแสนนานแต่เพิ่งพบเจอ
สวย…
เธอสวยมากสำหรับเขา แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกที่บรรยายออกมาให้ใครฟังไม่ได้ เขาผูกพันกับเธอ เอกลิขิตรู้สึกเช่นนั้นทั้งที่ออกจะแน่ใจว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเธอ
“คงไม่จำเป็นมั้งคะ เราคงไม่ได้พบกันอีก”
กัณฐิกาตอบแทนเขาด้วยประโยคแล้งน้ำใจที่ทำให้คนฟังสะอึก เกิดอาการแปลบปลาบในอก ดูเหมือนคนพูดเองก็จับกระแสความเจ็บปวดนั้นได้ดี ใบหน้าสวยจึงเผือดลงเล็กน้อยคล้ายรู้สึกผิดทว่าเสเบือนหลบ
ไม่อยากเห็น…ไม่อยากเห็นสายตาเว้าวอนแบบนั้นอีก
“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้เธออีกครั้งแล้วหมุนตัวจากไปไม่เหลียวหลัง หญิงสาวขยับเท้าแล้วหยุด ริมฝีปากที่เผยอดุจจะเรียกไว้กลับเม้มสนิท
ไม่!
เธอจะไม่ยอมใจอ่อนอีกแล้ว
เสียงหนึ่งค้านเอาไว้ในใจ ทว่าเจ้าของร่างหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงเกลียดชังชายแปลกหน้าที่พบปะกันในครั้งแรกรุนแรงอย่างนี้ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้แสดงความหยาบคายต่ำช้าอะไรเลยซักนิด ตรงข้ามกลับถามไถ่ด้วยกิริยาสุภาพ และแค่อยากรู้จักเธอเท่านั้นเอง
แล้วครู่นี้เสียงหนึ่งในใจบอกว่าไม่ให้เธอใจอ่อนอีกแล้ว
อีกแล้ว…ย่อมหมายถึงว่าเคยใจอ่อนมาก่อน แต่จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อเธอกับเขาเพิ่งจะได้รู้จักหน้าค่าตากันก็เดี๋ยวนี้เอง
ช่างเถอะ!
กัณฐิกาตวาดตัวเองอย่างฉุนเฉียว เท้าเรียวภายใต้รองเท้าคัชชูเรียบร้อยเพื่อให้เกียรติงานสีเดียวกับสูทที่สวมอยู่ขยับจะก้าวเดินทว่าชะงักไปเมื่อสายตาเหลือบแลไปยังช่อดอกโมกสีขาวที่ยังส่งกรุ่นกลิ่นกำจายตลบไปทั่วบริเวณอย่างยั่วเย้าเรียกร้องให้เธอสาวเท้าไปหา
เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง…
สุภาษิตไทยบทนี้วาบผ่านทำให้ปลายนิ้วเรียวสวยชะงัก แตะแค่ปลายกลีบ ขยับเข้าออกอยู่หลายทีคล้ายลังเลแต่ท้ายที่สุดก็ตวัดเข้ามาในอุ้งมือ
แค่ดอกไม้จะเป็นไรไป
กัณฐิกาบอกตัวเองแล้วยกช่อดอกโมกจรดจมูกโด่งคม สูดความหอมเข้าไปเต็มรักอย่างหลงใหล อารมณ์หงุดหงิดเมื่อครู่คลายลงและเมื่อเงยหน้าขึ้นจากช่อดอกโมก สายตาก็แลเลยไปยังทิศทางที่ชายร่างสูงเดินจากไป แวบหนึ่ง แค่แวบสั้นๆ มีร่องรอยอาลัย
จะหักอื่น ขืนหัก ก็จักได้
หักอาลัย นี้ไม่หลุด สุดจะหัก
สารพัด ตัดขาด ประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาด ประหลาดใจ
(ความตอนหนึ่งจากนิราศอิเหนา…สุนทรภู่)
ดาราสาวโพสท่าแล้วจิกตาให้กล้องด้วยท่วงท่าที่ได้รับการปรุงแต่งฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดี กล้องนับสิบพุ่งตรงเข้าหารวมทั้งกล้องในมือของกัณฐิกาด้วย
หลังถ่ายรูปดาราสาวจนพอใจแล้ว เหล่านักข่าวสายบันเทิงจึงเริ่มต้นยิงคำถามที่นานๆ ทีจะถามถึงงานแสดงเรื่องใหม่ที่กำลังจะมีขึ้น แต่มุ่งตรงไปยังข่าวฉาวลงหน้าหนึ่งตลอดหลายวันที่ผ่านมา เมื่อมีคนตาดีแอบเห็นพริมาดาลงมาจากคอนโดของชายหนุ่มนักศึกษาที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ก่อนหน้าที่ดาราสาวจะเข้าวงการ
“โอ้ย…” ดาราสาวลากเสียงยาวทำเป็นขบขันเมื่อได้ยินนักข่าวถามตามมาด้วยคำตอบที่ตระเตรียมมาล่วงหน้าดุจสคริปต์ที่มีผู้สั่งให้ท่องจำ “เพื่อนค่ะ เพื่อนในกลุ่มไม่มีอะไรเลยจริงๆ”
“แล้วทำไมต้องขึ้นไปหาถึงในห้องด้วยละคะ แล้วได้ยินมาด้วยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนคุณพริ” นักข่าวคนหนึ่งโพล่งคำถามออกไปตรงๆ แบบไม่มีอ้อมค้อม ดาราสาวจึงเผลอหลุดมาดตวัดสายตาไม่พอใจมาหาแวบหนึ่ง แวบสั้นๆ แล้วใบหน้าที่แต่งแต้มประณีตก็เบือนมายิ้มสู้กล้องดังเดิม
“ผู้ชายคนนั้นชื่อนนท์ค่ะ เป็นเพื่อนของพริมาตั้งแต่มัธยม แล้วเรื่องขึ้นคอนโดพริขึ้นไปจริงค่ะเพราะนนท์ไม่สบายมาก ในเวลานั้นเราจะคำนึงหรือคะว่าเราเป็นดารามีชื่อเสียงแล้วเพื่อนเราเป็นผู้ชาย” ดาราสาวย้อนถามด้วยสีหน้าซื่อๆ ทำให้คนตั้งคำถามสะอึกและทำให้คำถามที่กัณฐิกาคิดเอาไว้จ่ออยู่ที่ปลายลิ้น
พูดไม่ออก…
เท่านั้นดาราสาวก็แหวกกองทัพนักข่าวเข้าไปในงานเลี้ยงฉลองเรทติ้งที่ทางผู้จัดมีให้กับนักแสดงและสื่อมวลชนเพื่อเป็นการขอบคุณ
กัณฐิกาถอนหายใจแล้วหลบฉากออกไปเงียบๆ เบื่อกับงานที่ทำอยู่เต็มที เธออยากเป็นนักข่าวสายอาชญากรรมที่มีอะไรให้ตื่นเต้นเร้าใจมากกว่าการเป็นนักข่าวสายบันเทิงที่ดีแต่วิ่งไล่ตามข่าวชาวบ้าน ทั้งเรื่องในมุ้ง บนเตียงเหมือนหมาในล่าเหยื่อ ยิ่งใส่สีตีไข่ได้มากเท่าไหร่ข่าวก็ยิ่งดัง
เธอเบื่อ!
ถึงจะเบื่อแค่ไหนแต่หัวหน้าก็จัดให้เธอทำงานสายนี้ตั้งแต่วันแรกที่ย่างเหยียบเข้ามาทำงาน เบื่อแทบตายแต่เมื่อคิดว่าเป็นหน้าที่ก็ต้องทำ
ร่างสวยหย่อนกายลงบนเก้าอี้เหล็กดัดตัวยาวทาสีขาวด้านบนมีหลังคาขนาดใหญ่กว่าตัวเก้าอี้แค่ไม่กี่นิ้ว ปลูกพวงแสดให้ไต่เครือพาดพันปกคลุมจนมองไม่เห็นสีเดิมของหลังคา ดอกสีส้มสะท้อนกับแสงไฟประดับหน้าโรงแรมดูวับแวมเรืองรองพลอยทำให้อารมณ์เบื่อหน่ายของเธอดีขึ้นมาบ้าง
ในขณะที่นักข่าวคนอื่นเข้าไปในงานกันหมด หน้าโรงแรมคงมีเพียงเธอที่นั่งเหม่อแล้วทอดถอนใจดุจคนหมดอาลัยในชีวิต
เหงา…
ศัพท์ตัวนี้อยู่คู่กับเธอจนชาชินเสียแล้ว เมื่อก่อนนี้มันมาเยี่ยมเยียนเป็นพักๆ ทว่านับตั้งแต่เพื่อนในกลุ่มทยอยมีแฟนและแต่งงานเจ้าความเหงาก็ดูจะกลายเป็นเพื่อนสนิทของเธอแทน ทั้งที่เธอไม่อยากต้อนรับมันเลยซักนิด ใจอยากขับไล่ไสส่งมันไปให้ไกลทว่ามันยังหน้าด้านหน้าทนเซ้าซี้จะอยู่กับเธอ
นักข่าวสาวสายบันเทิงของสยามนิวส์ปล่อยตัวเองให้นั่งแหมะอยู่กับเก้าอี้เหล็กดัดนั้นนานอยู่หลายนาที กลิ่นหอมรวยรินของดอกโมกถูกลมพัดโชยเข้าจมูก
หอม…เย็น
หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาลงเพื่อสูดดมความหอมเย็นชื่นใจนั้นเข้าไปเต็มปอด คราวนี้รู้สึกว่าความเหงาโบกมือลาแล้วถอยห่างจากเธอไปหลายก้าว
ลมพัดแรงขึ้นพร้อมนำพากลิ่นหอมเย็นของดอกโมกให้ผ่านเข้ามามากขึ้น เย็นระรวยรินจนทนนั่งอยู่ไม่ไหวต้องลุกขึ้นเดินหาที่มา ปกติโรงแรมใหญ่ๆ ใจกลางเมืองอย่างนี้ไม่เคยเห็นปลูกดอกโมก
กัณฐิกาเดินเรื่อยเฉื่อยไปตามสนามกว้างที่ปลูกหญ้าญี่ปุ่นขึ้นเต็มพื้นที่แซมด้วยแผ่นหินกาบทาสีขาวเป็นระยะทว่าก็ยังมองไม่เห็นต้นดอกโมก ลองหยุดหลับตาเพื่อดูทิศทางลมก็เห็นว่ากลิ่นยังอยู่แถมยังแรงขึ้นเสียด้วย จรุงจมูกอยู่ใกล้ๆ แต่ทำไมไม่เห็นต้น
หญิงสาวถอนหายใจอย่างเสียดายกะว่าจะแอบเก็บดอกที่ร่วงหล่นเอาไปไว้ใต้หมอน เธอชอบและพิสมัยทุกอย่างที่เป็นของไทยโบราณดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ บ้านเรือนหรือแม้แต่คนเก่าๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หากใครจะเห็นว่าเธอมักหาเวลาว่างไปที่ร้านขายของเก่าสองชั้นทาสีเขียวของคุณปู่สุนทรอยู่เสมอ ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่เจอของถูกใจ จึงเป็นนักชมมากว่าจะเป็นนักสะสม อาจด้วยว่าราคาของเก่ายิ่งนานก็ยิ่งแพง
ของเก่าที่เธอชอบ บอกไม่ถูกว่าต้องเป็นแบบไหน รู้แต่ว่าเธอชอบของเก่าในสมัยอยุธยา ซึ่งอายุของพวกนั้นก็หลายร้อยปี ราคาก็ถีบตัวสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ลำพังเงินเดือนที่มีอยู่แค่พอใช้ไปให้พ้นเดือนก็ยากแล้ว และเนื่องจากพวกของเก่าของสะสมไม่ใช่ของจำเป็น เธอจึงไม่กล้าเอ่ยปากขอจากผู้เป็นมารดา แม้รู้ดีว่าทันทีที่เอ่ยปากว่าอยากได้อะไร ท่านก็ยินดีหามาให้
กลิ่นยังคงหอมขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คิ้วเรียวเรียงเส้นสวยไร้การแต่งแต้มเลิกขึ้นสูง ดวงตาสีนิลเปิดขึ้นอย่างฉงนและเมื่อหันหลังกลับก็เกือบชนเข้ากับใครคนหนึ่ง ช่อดอกโมกหลายช่อในมือเขาร่วงหล่น เจ้าของดอกโมกก้มลงเก็บทว่าหญิงสาวยังยืนนิ่งเฉย ร้อนวูบตามตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ขอโทษ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นห้วนๆ ทั้งที่อยากจะลงหางเสียงให้ดีกว่านี้ ทว่ามันหยุดอยู่แค่ปลายลิ้น แต่คนตรงข้ามไม่คิดถือสาตรงข้ามกลับส่งยิ้มให้ทั้งปากทั้งตา
“ไม่เป็นไรครับ ผมผิดเองที่มาเงียบๆ”
สายตาที่ชายหนุ่มแปลกหน้าทอดมองเธอทำให้กัณฐิกาเกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ ซีกหน้าด้านหนึ่งร้อนผ่าว สีแดงฉาดแก้ม แต่ไม่ได้เกิดจากการเขินอายแต่เป็นความโกรธ โกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุเสียด้วย ริมฝีปากสีกลีบบัวหยักขึ้นทว่าไม่เปิดปากถามแต่เมื่อดวงตาสีเข้มของผู้ชายตัวโตยังจับมาเช่นเดิมจึงเบือนใบหน้าหนี
“ขอตัวนะคะ”
หญิงสาวไม่รอให้เขาเอ่ยปากอนุญาตก็เดินหนีทันที เจ้าของดอกโมกมัวแต่ตกตะลึง จนเธอเดินผ่านไปได้หลายก้าวแล้วจึงวิ่งตาม
“เดี๋ยวก่อนสิครับคุณ”
เขาเรียกเสียงค่อนข้างดังทว่าเหยี่ยวข่าวสาวทำเป็นไม่ได้ยิน สองเท้ายังซอยไปข้างหน้า คนเรียกจึงวิ่งมาดักหน้าส่งผลให้เธอเกือบชน
“เอ๊ะ!”
กัณฐิกาอุทาน คิ้วเรียงเส้นสวยขยับเข้าหากันอีกครั้ง ดวงหน้าอ่อนเยาว์แดงเข้มด้วยความโกรธ ที่จู่ๆ ผู้ชายแปลกหน้าก็คุกคามเธอแบบนี้
“จะทำอะไร”
น้ำเสียงจากเหยี่ยวข่าวสาวยังห้วนอยู่เช่นเดิม มือกระชับกล้องถ่ายรูปในมืออย่างระวังภัย สองเท้าถอยไปหลายก้าว หากจำเป็นเธอคงต้องยอมสละกล้องราคาแพงตัวนี้ด้วยการฟาดไปบนหัวของผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ทำให้เธอรู้สึกเกลียดชังตั้งแต่แรกเห็น
ปกติเธอเป็นคนใจเย็น เป็นมิตรกับคนทั่วไปง่ายเพราะโดยอาชีพจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลจากปากคน ทว่าในยามนี้ทั้งตัวและหัวใจร้อนรุ่มพลอยทำให้อารมณ์ขุ่นมัวอย่างไม่มีเหตุผล
“เปล่านะคุณ ผมไม่ได้คิดทำอะไร” ชายหนุ่มยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงบอกว่าเขามาดีทว่าสายตาหวาดระแวงของเธอทำให้เขาถอนหายใจ
ก็น่าอยู่หรอก…
เขาเสียมารยาทมองเธออย่างกับตกตะลึงพรึงเพริศ สายตาเมื่อครู่ไม่ได้ปิดบังความรู้สึกเลยซักนิดแล้วยังวิ่งตามมาดักหน้าเธอไว้ เป็นใครก็ต้องคิด
“ผมขอโทษ แค่อยากเอาดอกไม้นี่ให้คุณ” เขาว่าพลางส่งช่อดอกโมกช่อใหญ่ที่เขาเก็บติดมือมาจากบ้านให้ ดวงตาสีเข้มมีร่องรอยใสซื่อไร้แววกรุ้มกริ่มทว่าเหยี่ยวข่าวสาวไม่ไว้ใจ
“ให้ฉัน” คิ้วเลิกขึ้น น้ำเสียงโทนแหลมทำให้เขายิ้มแหย
“ผมเดาว่าคุณได้กลิ่นดอกโมกในมือผมแล้วเดินหา” เขาเอ่ยขึ้นและถูกต้องราวกับมานั่งอยู่กลางใจเธอทว่าหญิงสาวปฏิเสธ
“ไม่ใช่ ฉันเดินหาเพื่อน”
“อย่างนั้นผมต้องขอโทษด้วย” ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงต่ำแต่ยังยื่นดอกไม้ช่อสวยให้เช่นเดิม แม้ความตั้งใจแรกของกัณฐิกาก็คือเก็บดอกโมกสีขาวกลิ่นหอมไปไว้ใต้หมอนทว่าเมื่อดอกโมกสดทั้งช่อยื่นมาตรงหน้ากลับส่ายหน้าดิกไม่ยอมรับ
“ฉันไม่ชอบค่ะ”
“งั้นหรือครับ” เจ้าของดอกโมกทำหน้าผิดหวัง เมื่อรู้ว่าเธอไม่ชอบจึงโยนไปไว้บนเก้าอี้เหล็กดัดที่หญิงสาวเพิ่งลุกมาแล้วหันมาฉีกยิ้มกว้างแนะนำตัวเอง “ผมชื่อเอกลิขิต”
กัณฐิกาอยากจะตอกกลับไปเหลือเกินว่าไม่ได้ถามทว่ายังรักษามารยาทมากพอจะไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มรับ ไม่แนะนำตัวตอบแต่ยังเอ่ยถ้อยคำเดิม
“ขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยวสิครับคุณ ผมยังไม่ทราบชื่อคุณเลย” ชายหนุ่มทักท้วง เขาคงเสียดายจนนอนไม่หลับแน่หากไม่รู้ชื่อของสาวเจ้า
ผู้หญิงร่างสวยบอบบางทว่าเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดนั้นคือเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม ปากนิดจมูกหน่อยส่งผลให้เจ้าของวงหน้าดูจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แม้ไม่สวยขนาดผู้ชายต้องหันมองซ้ำแต่ก็น่ามอง และยิ่งเป็นเขามองด้วยแล้ววงหน้าใต้แสงจันทร์นั้นก็ยิ่งงามพิลาสล้ำ
พิศพักตร์ผ่องพักตร์ดังจันทร พิศขนงโก่งงอนดังคันศิลป์
พิศเนตรดั่งเนตรมฤคิน พิศทนต์ดั่งนิลอันเรียบราย
พิศโอษฐ์ดั่งหนึ่งจะแย้มสรวล พิศนวลดังสีมณีฉาย
พิศปรางดั่งปรางทองพราย พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง
พิศจุไรดั่งหนึ่งแกล้งวาด พิศศอวิลาสดั่งคอหงส์
พิศกรดั่งงวงคชาพงศ์ พิศทรงดั่งเทพกินรา
พิศถันดั่งปทุมเกสร พิศเอวเอวอ่อนดั่งเลขา
พิศผิวผิวผ่องดั่งทองทา พิศจริตกิริยาก็จับใจ
(กลอน ชมโฉมนางสีดา)
จู่ๆ เขาก็นึกถึงกลอนบทนี้ขึ้นมา กลอนที่แม่ชอบท่องให้ฟังเป็นประจำ แต่จำมาได้ขาดๆ เกินๆ แต่เมื่อเห็นหน้าของผู้หญิงคนนี้เขาก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
เขาไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้ที่เห็นผู้หญิงแล้วทำท่ากรุ้มกริ่มเข้าใส่ แต่เมื่อเห็นหน้าเธอผู้นี้เขากลับพอใจตั้งแต่แรกเห็น เหมือนบางสิ่งบางอย่างที่เขารอมานานแสนนานแต่เพิ่งพบเจอ
สวย…
เธอสวยมากสำหรับเขา แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกที่บรรยายออกมาให้ใครฟังไม่ได้ เขาผูกพันกับเธอ เอกลิขิตรู้สึกเช่นนั้นทั้งที่ออกจะแน่ใจว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเธอ
“คงไม่จำเป็นมั้งคะ เราคงไม่ได้พบกันอีก”
กัณฐิกาตอบแทนเขาด้วยประโยคแล้งน้ำใจที่ทำให้คนฟังสะอึก เกิดอาการแปลบปลาบในอก ดูเหมือนคนพูดเองก็จับกระแสความเจ็บปวดนั้นได้ดี ใบหน้าสวยจึงเผือดลงเล็กน้อยคล้ายรู้สึกผิดทว่าเสเบือนหลบ
ไม่อยากเห็น…ไม่อยากเห็นสายตาเว้าวอนแบบนั้นอีก
“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้เธออีกครั้งแล้วหมุนตัวจากไปไม่เหลียวหลัง หญิงสาวขยับเท้าแล้วหยุด ริมฝีปากที่เผยอดุจจะเรียกไว้กลับเม้มสนิท
ไม่!
เธอจะไม่ยอมใจอ่อนอีกแล้ว
เสียงหนึ่งค้านเอาไว้ในใจ ทว่าเจ้าของร่างหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงเกลียดชังชายแปลกหน้าที่พบปะกันในครั้งแรกรุนแรงอย่างนี้ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้แสดงความหยาบคายต่ำช้าอะไรเลยซักนิด ตรงข้ามกลับถามไถ่ด้วยกิริยาสุภาพ และแค่อยากรู้จักเธอเท่านั้นเอง
แล้วครู่นี้เสียงหนึ่งในใจบอกว่าไม่ให้เธอใจอ่อนอีกแล้ว
อีกแล้ว…ย่อมหมายถึงว่าเคยใจอ่อนมาก่อน แต่จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อเธอกับเขาเพิ่งจะได้รู้จักหน้าค่าตากันก็เดี๋ยวนี้เอง
ช่างเถอะ!
กัณฐิกาตวาดตัวเองอย่างฉุนเฉียว เท้าเรียวภายใต้รองเท้าคัชชูเรียบร้อยเพื่อให้เกียรติงานสีเดียวกับสูทที่สวมอยู่ขยับจะก้าวเดินทว่าชะงักไปเมื่อสายตาเหลือบแลไปยังช่อดอกโมกสีขาวที่ยังส่งกรุ่นกลิ่นกำจายตลบไปทั่วบริเวณอย่างยั่วเย้าเรียกร้องให้เธอสาวเท้าไปหา
เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง…
สุภาษิตไทยบทนี้วาบผ่านทำให้ปลายนิ้วเรียวสวยชะงัก แตะแค่ปลายกลีบ ขยับเข้าออกอยู่หลายทีคล้ายลังเลแต่ท้ายที่สุดก็ตวัดเข้ามาในอุ้งมือ
แค่ดอกไม้จะเป็นไรไป
กัณฐิกาบอกตัวเองแล้วยกช่อดอกโมกจรดจมูกโด่งคม สูดความหอมเข้าไปเต็มรักอย่างหลงใหล อารมณ์หงุดหงิดเมื่อครู่คลายลงและเมื่อเงยหน้าขึ้นจากช่อดอกโมก สายตาก็แลเลยไปยังทิศทางที่ชายร่างสูงเดินจากไป แวบหนึ่ง แค่แวบสั้นๆ มีร่องรอยอาลัย
จะหักอื่น ขืนหัก ก็จักได้
หักอาลัย นี้ไม่หลุด สุดจะหัก
สารพัด ตัดขาด ประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาด ประหลาดใจ
(ความตอนหนึ่งจากนิราศอิเหนา…สุนทรภู่)
สาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ม.ค. 2557, 08:38:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ม.ค. 2557, 08:38:55 น.
จำนวนการเข้าชม : 1616
ตอนที่ 1 100% >> |
วิรัตต์ยา 20 ม.ค. 2557, 20:15:45 น.
ต๊ะเอ๋ มาเยี่ยมหนูกัณจ้า
ต๊ะเอ๋ มาเยี่ยมหนูกัณจ้า
สาริน 30 ม.ค. 2557, 21:55:04 น.
ขอบคุณค่า
ขอบคุณค่า
แว่นใส 30 ม.ค. 2557, 23:18:22 น.
อดีตตามรังควาน
อดีตตามรังควาน