กุหลาบซ่อนเพลิง‏
เพราะพวกมันพรากชีวิตลูกเมียเขา

จึงเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของสุจริตชนคนหนึ่งให้มุ่งหน้าสู่เพลิงโลกันต์

'ปภพ' ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้ ต่อให้ต้องข้ามผ่านกี่ชีวิตคน

รวมทั้งชีวิตของเด็กสาวอย่าง 'อัมพิกา' ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขศัตรู

กุหลาบแรกแย้มกำลังไหม้ไฟ ไฟที่เธอเต็มใจเข้าใกล้

แม้สุดท้ายทั้งกุหลาบและไฟอาจมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าธุลี
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ ภัยมืด - บทที่ ๑ ปาร์ตี้ริมสระ

บทนำ

บ้านทรงสี่เหลี่ยมหลังเล็กชั้นเดียวมุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีทึม ตั้งอยู่บนที่ดินผืนสุดท้ายของครอบครัวชิดชายป่าในจังหวัดแพร่ ด้านหน้ามีถนนคอนกรีตขรุขระสองเลนตัดผ่าน อีกฝั่งขนาบด้วยป่าเขาเช่นกัน ต้องขี่รถจักรยานยนต์ไปตามถนนนั้นกว่ากิโลเมตรจึงจะพบกับหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด

บ้านเล็กหลังนั้นล้อมด้วยรั้วไม้และแผ่นสังกะสี เทปูนหน้าบ้านเพียงครึ่งผืน อีกครึ่งยังเป็นพื้นดินสำหรับปลูกพืชผักสวนครัว ไม่มีสิ่งใดดูน่าปลอดภัยสำหรับบ้านหลังนี้ แต่สองแม่ลูกก็อยู่กันมาได้โดยปราศจากหัวหน้าครอบครัว ผู้เป็นแม่มีอาชีพรับจ้าง รับงานฝีมือจากกลุ่มแม่บ้านในหมู่บ้านมาทำระหว่างเลี้ยงลูกน้อยวัยสามขวบ

เสียงเด็กน้อยพูดคุยอ้อแอ้กับแม่ไก่สาวที่เลี้ยงไว้ดังมาจากหน้าบ้าน ขณะหญิงสาวกำลังกวาดบ้านทำความสะอาดภายใน พอให้ผู้เป็นแม่หายเหนื่อย มีรอยยิ้มกับความสุขเล็กๆ ได้บ้าง พร้อมกับไพล่นึกถึงพ่อของแก

สมพรอยู่กินกับปภพมากว่าห้าปีแล้ว ชีวิตรักของเธอกับเขาเหมือนความฝัน พวกเธอเคยเป็นเพื่อนเล่นกันสมัยเขาโตมากับตาและยาย กระทั่งเริ่มเรียนมัธยมศึกษา เขาก็ได้ย้ายไปอยู่กับพ่อซึ่งบวชเป็นพระจำวัดอยู่อีกจังหวัดหนึ่งหลังภรรยาเสียชีวิต และไม่ได้กลับไปบ้านตายายอีกเลยจนเขาเริ่มทำงานเต็มตัวเป็นคนขับรถส่งสินค้าระหว่างจังหวัด

หากก็เหมือนโชคชะตาลิขิต ชายหนุ่มกลับไปบ้านตายายอีกครั้งเมื่อท่านเสียชีวิต แล้วเธอก็ได้พบเขาอีกครั้งหนึ่ง เขาไม่ใช่เด็กขี้อายคนก่อนแต่ก็สุภาพ เป็นปภพคนที่เธอรักมานาน

หนุ่มสาวเริ่มสานสัมพันธ์อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปอยู่ร่วมกันยังบ้านที่พ่อกับแม่เขาสร้างจากน้ำพักน้ำแรง เพียงไม่กี่เดือนก่อนที่เขาจะไปทำงานยังตะวันออกกลาง มีกำหนดกลับเดือนหน้านี้เสียที

"แม่จ๋า แม่จ๋า" เสียงลูกน้อยร้องเรียกนำมาพร้อมกับร่างเล็กผอมของเด็กหญิงวิ่งจี๋เข้ามาในบ้าน

"จ๋า มีอะไร" เธอขานรับลูก ก่อนจะเยี่ยมหน้าไปมองหน้าบ้านตามนิ้วสั้นชี้ไป "อ้าว พี่วรรณ"

สาวใหญ่เจ้าของร้านขายของชำในหมู่บ้านนั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์ เห็นดังนั้นเธอจึงอุ้มลูกเดินออกไปหา

"มีโทรศัพท์ถึงแกแน่ะพร ฉันเลยมาตาม รีบไปรับล่ะ"

"ใครหรือพี่ ปภพหรือเปล่า"

"ไม่ใช่ บอกว่าเป็นพี่ชาย"

"อ๋อ"

เธอนึกถึง ‘สมหมาย’ พี่ชายที่แก่กว่าตนสี่ปีที่ปกติจะส่งจดหมายติดต่อกันเป็นระยะ เขาออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่เธอยังอายุยี่สิบ และเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อวันงานผูกข้อมือของเธอ

"ฝากพี่วรรณรับข้อความเขาให้ทีได้ไหม มอเตอร์ไซค์ฉันน้ำมันหมดน่ะจ้ะ ถ้าเดินไปจะเสียเวลา เดี๋ยวฉันไปซื้อน้ำมันมาเติมแล้วจะไปโทรกลับ"

"เอ๊า ปล่อยให้หมดได้ไง" สาวใหญ่ร้องเสียงหลง "เอางี้ เดี๋ยวฉันไปบอกเขาให้แล้วจะแวะซื้อน้ำมันมาเติม แต่ขอค่ารถหน่อยนะ"

สมพรผงกศีรษะ เอ่ยขอบคุณยกใหญ่ ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์กันก็ตาม

รถจักรยานยนต์สีแดงเร่งเครื่องหายไปแล้ว พร้อมกับที่ฟ้ายามเย็นฉาบสีส้มฉานตัดกับภูเขาลูกใหญ่ สวยงาม...แต่ก็แอบซ่อนความน่าสะพรึงกลัวในสายตาคนมอง

เย็นนั้นอรวรรณไม่ได้กลับขึ้นมาอีก เจ้หล่อนลืมทั้งคำพูดตัวเองและคำเตือนจากปลายสายโทรศัพท์ เมื่อเพื่อนเกลอชวนกันไปตั้งวงเล่นไพ่เสียก่อน

........................................

สมพรก้มจูบหน้าผากลูกที่นอนหลับบนเสื่อข้างๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนตามด้วยความอ่อนเพลียมาทั้งวัน

เธอฝันถึงภาพครอบครัวพร้อมหน้าทุกครั้งที่หลับตา ยังจดจำทุกคำพูด รอยสัมผัสยามเขาแสดงความรักต่อเธอ และทุกครั้งก็ให้วาบหวามไปทั้งใจ เขาเป็นเหมือนสิ่งตรงข้ามที่มาเติมเต็ม ให้ความอบอุ่น มั่นคงสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เธอโหยหาวันที่เขากลับมาเหลือเกิน

หญิงสาวนอนห่อไหล่ในความมืด ลมหนาวซึ่งกรูเข้ามาผ่านหน้าต่างมุ้งลวดยังไม่เท่าหนาวรัก พาให้สะท้านไปทั้งกาย

ยังไม่ทันข่มตาหลับสนิทดีนัก เสียงไก่หลายตัวที่เลี้ยงไว้ก็ขันขึ้นมากลางดึก ลูกน้อยนอนขยับตัวอยู่ข้างๆ จนเธอเกรงลูกจะตื่นมาร้องโยเย ร่างบางงัวเงียลุกจากที่นอนออกไปดูหน้าบ้านด้วยความประหลาดใจ กระดกลิ้นเบาๆ ให้พวกไก่สงบลง

"เฮ้ย! มีคน" เสียงตะโกนไม่เบานักดังขึ้นพร้อมแสงไฟสปอร์ตไลท์ซึ่งฉายส่องมา

สมพรยกมือบังหน้า เธอหรี่ตามองย้อนแสงไปแต่ตาพร่าเลือนจนมองไม่เห็นอะไร นอกจากหูแว่วเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา แล้วเธอก็ถูกกระชากแขนไปไขว้หลังแรง

"โอ๊ย ปล่อยฉันนะ"

"ปล่อยให้โง่น่ะสิ แกเป็นสายตำรวจใช่ไหม ตอบมา!" เสียงห้าวกรรโชกถามพร้อมกับแรงกระชากเธอไปประชิดมันมากขึ้น

หญิงสาวมึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก รู้เพียงคนพวกนี้ไม่ใช่คนดีแน่ เธอปฏิเสธพลางพยายามดิ้นรนขัดขืนทั้งน้ำตา แต่ก็ไม่เป็นผล

"ฉันไม่รู้เห็นอะไรด้วยจริงๆ ก็นี่มันบ้านฉัน ปล่อยฉันไปเถอะนะ"

เธอแทบยกมือไหว้ขอชีวิต หากไม่ถูกจับมือไพล่หลังไว้มั่น

"เอาไงดีลูกพี่" เสียงลูกน้องร้องถามผู้ที่ย่างเท้าเข้ามา

ไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้าเครียดเขม็งในความมืด นี่เป็นการคุมงานชิ้นแรกของเขา อนาคตเขากำลังจะรุ่งโรจน์บนถนนสายนี้ เขาจะยอมแม้แต่เกิดความเสี่ยงผิดพลาดไม่ได้

จักริชโยนไฟฉายสปอร์ตไลท์ให้ลูกน้องอีกคน ก่อนตนจะชักปืนซึ่งเหน็บเอวขึ้นมาฟาดสันของมันไปที่เจ้าของเสียงร้องขอชีวิตนั้น ร่างบางทรุดลงไปกองกับพื้นโดยมีลูกน้องเขาหิ้วปีกไว้

"ลากมันเข้าไปในบ้าน" เขาสั่งพร้อมกับเดินคุมตามไป

แล้วชายหนุ่มก็ได้เห็นว่ามีเด็กน้อยอีกคนข้างใน แกแผดเสียงร้องไห้จ้าโผหาผู้เป็นแม่ ก่อนจะถูกเขากักตัวไว้โดยการล็อกคอ

"ชอบไม่ใช่เหรอไอ้เบิ้ม จัดการให้เป็นคดีฆ่าข่มขืนที่เนียนที่สุดที"

แววตาของชายร่างยักษ์สมชื่อพราวระยับขึ้นในความมืด ทันทีที่ได้ยินคำอนุญาตกลายๆ ของลูกพี่มัน

"เร็วนะ อย่าให้เสียงาน" เขากำชับก่อนออกไปแล้วปิดประตู

เสียงสองแม่ลูกกรีดร้องท่ามกลางป่าเขายามราตรีอนธการดังลอดออกมาเหมือนเสียงโหยหวนของกิ่งไม้ลู่ลม

................................




ร่างไร้วิญญาณของสมพรและลูกถูกเคลื่อนจากแผนกนิติเวชมาไว้ยังวัดใกล้บ้านเก่าของครอบครัวเธอ งานสวดพระอภิธรรมศพคืนที่สามผ่านไปท่ามกลางสมาชิกครอบครัวใหญ่ของผู้เสียชีวิต มีแขกเหรื่อบางตานับคนได้ พวกเขาทยอยกลับไปเมื่อพระสงฆ์กลับลงจากศาลาแล้วเรียบร้อย เว้นแต่ใครคนหนึ่งที่เพิ่งมา...

บนศาลาตั้งศพเวลาหนึ่งยามมีเพียงแสงไฟสาดส่องออกมาต่อกรกับความมืดภายนอก นำทางคนที่เพิ่งมาถึงให้ย่างเท้าเข้าไปด้วยใจกระชั้น แต่ละฝีเท้าที่มั่นคงเหยียบลงบนพื้นดินราวกับบรรจุไว้ด้วยความโกรธแค้น มันเป็นย่างก้าวเพื่อเผชิญความจริง ความจริงที่ว่าเขาสูญเสียครอบครัวเดียวที่ตนมีให้กับความชั่วช้าสามานย์ของเดรัจฉานในคราบคน

ร่างสูงใหญ่ก้าวช้าขึ้นสู่ศาลา เขาวางกระเป๋าเดินทางทิ้งริมเสา ก่อนจะทอดมองรูปภาพในกรอบทั้งสองรูปเหมือนไม่เคยพบเห็นคนทั้งสองมาก่อน แล้วสายตาไร้แววก็เหลือบแลไปยังโลงไม้สีขาวสองโลงท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้ ไม่มีน้ำตาอีกต่อไปเพราะไฟแห่งความโกรธแค้นได้แผดเผาใจเขาเป็นจุณ

"ปภพ"

เสียงเรียกจากด้านหลังชะงักมือซึ่งกำลังลูบไปบนกรอบรูปลูกน้อย เด็กผู้หญิงผมสั้นที่มีรอยยิ้มกว้างอวดฟันไม่เต็มปาก กับรถสามล้อพลาสติกสีสดของเล่นของแก

ชายหนุ่มหันไปเห็นบุรุษร่างสันทัด เตี้ยกว่าเขาสักสามนิ้ว เดินมาหยุดห่างจากเขาไปเล็กน้อย ในมือซึ่งมีเส้นเลือดปูดโปนถือถุงใส่ขวดเบียร์สีน้ำตาลที่คงเพิ่งไปซื้อมาด้วย ชายผู้นั้นมีโครงหน้าเล็กเรียวละม้ายหญิงสาวในรูป เว้นแต่สีผิวคล้ำจัดและริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นตามเวลาและภาระหน้าที่

"ดีใจนะที่นายมาทัน พรก็คงดีใจ" สมหมายเอ่ยพลางพยักเพยิดไปยังคนในรูป

"ผมมาไม่ทันต่างหากพี่ และพรคงเสียใจที่ผมไม่อาจดูแลเขากับลูกได้" ปภพเอ่ยลอดไรฟัน

ผู้อาวุโสกว่าอับจนคำพูด สะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องสาวและหลานตัวเล็กๆ ไม่น้อยกว่ากัน ชายฉกรรจ์ทรุดนั่งบนเสื้อซึ่งปูลาดในศาลา เขาใช้พวงกุญแจสวิสในกระเป๋ากางเกงเปิดขวดเบียร์ ก่อนยกขึ้นดื่มอั้กๆ เพื่อย้อมใจ

ไม่มีบทสนทนาอีกนอกจากชายหนุ่มสองคนจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกตนเองเงียบๆ คนหนึ่งมีแอลกอฮอล์ช่วยปลอบโยน ส่วนอีกคนก็เฝ้าแต่ทอดมองรูปภรรยากับลูกสาวที่ไม่เคยเห็นหน้ากันสักครั้ง แต่ก็มาถูกไอ้ฆาตกรใจเหี้ยมฆ่า...ย่ำยีฆ่าแกได้ลง มือหนากำเกร็งแน่นจนสั่นสะท้าน ก่อนเขาจะตัดใจราวปิดสวิตช์ฉับลุกมานั่งกับผู้มีศักดิ์เป็นพี่เขยที่ดวดเบียร์อยู่ลำพัง

"พี่หมายลางานมานานแล้วสิ" เขาถามไถ่อย่างชอบพอ

"สองวันเอง ไม่ทันรดน้ำศพ" อีกฝ่ายตอบพลางส่งขวดเบียร์ให้ "ไม่อยากไปเบียดกับน้องนุ่งที่บ้านมัน ก็เลยมานอนกับพรนี่แหละ แล้วนายล่ะ ลามาได้กี่วัน"

"ผมคงไม่กลับไปแล้วพี่"

สมหมายลดขวดเบียร์ในมือลง ตรงข้ามกับชายหนุ่มที่กำมันไว้แน่น

"พี่พอสืบได้ไหมว่าใครมันทำกับพรกับลูกได้ถึงขนาดนี้"

สมพรเคยบอกว่าพี่ชายเธอทำงานให้กับคนใหญ่คนโต นั่นคือสิ่งที่คนในบ้านรู้ แต่เขาเองพอรู้ระแคะระคายมากกว่านั้นว่าผู้ที่ชายฉกรรจ์ทำงานให้ถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลทีเดียว

"ปภพ มันไม่ใช่สิ่งที่นายจัดการได้หรอก"

"หมายความว่าพี่รู้..."

สมหมายหลุบเปลือกตาลง เขากระดกเบียร์อึกใหญ่ หลังจากลังเลใจมาหลายวันว่าจะทำอย่างไรกับความแค้นนี้ดี ก็พอดีกับที่มีคนคิดไม่ต่างกันมาเพิ่มประกายไฟแห่งความโกรธแค้นให้ได้ลุกโชน

"นายรู้ใช่ไหมว่าฉันทำงานอะไร ให้ใคร"

ชายหนุ่มผงกศีรษะ 'ท่านเรืองเดช' หรือ 'พ่อเลี้ยงเรืองเดช' ตามแต่จะเรียก เป็นผู้ที่ใครๆ ก็รู้ว่ามากด้วยบารมีและอิทธิพลขนาดไหน เขาไม่ได้มีกิจการเพียงสวนส้มอย่างที่สร้างภาพไว้ แต่ยังร่วมเป็นหุ้นส่วนกับอีกหลายธุรกิจ ทั้งด้านการท่องเที่ยว...และด้านบ่อนพนันที่ไม่เคยมีตำรวจนายใดกล้าทลาย ว่ากันว่าเขามีเส้นสายนักการเมืองใหญ่ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงกำจัดทุกคนที่ขวางทางได้อย่างแนบเนียนที่สุด ขณะเดียวกันผู้ที่เขากรุยทางให้นั้นก็ตอบแทนให้อย่างสาสม ด้วยการเพิกเฉยต่อธุรกิจผิดกฎหมายที่เขาทำ

"มีอย่างหนึ่งที่นายต้องรู้ก่อนจะลงมาเล่นเกม กฎสั้นๆ ข้อเดียวเท่านั้น...ถ้าแพ้ เราตาย"

ไฟจากปลายมวนบุหรี่ถูกจุดติดโดยผู้พูดคาบมันไว้ในปาก ปภพมองฝ่าควันออกไปพร้อมกับจุดไฟสีส้มสะท้อนในดวงตาฉายแววแน่วแน่ เพราะเขารู้ว่าเขาจะไม่แพ้ จนกว่าจะล้างแค้นคนที่มันทำกับลูกเมียเขาให้สาสมเสียก่อน ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ตาม!

......................................

งานฌาปนกิจผ่านไปอย่างเรียบง่าย สมหมายต้องรีบเดินทางกลับเมื่อครบกำหนดวันลาในเช้าวันถัดมา หากคราวนี้เขาไม่ได้กลับไปคนเดียวแต่มีผู้ร่วมทางด้วย และพวกเขาจะต้องร่วมอุดมการณ์ ร่วมมือร่วมใจกันอีกนาน เพื่อชดใช้ให้คนที่พวกเขารักสองคนซึ่งจากไปอย่างเจ็บปวดทรมาน

รถทัวร์ปรับอากาศมาถึงสถานีขนส่งในจังหวัดเชียงใหม่เลยเวลาเที่ยงวันมาเล็กน้อย ก่อนสมหมายจะเรียกรถรับจ้างไปส่งยังสถานที่ทำงานซึ่งกลายเป็นบ้านของเขามากว่าสิบปี มันอยู่นอกอำเภอเมืองราวห้าสิบกิโลเมตร คฤหาสน์หลังใหญ่บนที่ดินเนินเขา มีถนนลาดยางตัดผ่านอย่างดี

"อยู่ที่นี่อย่าสงสัยอะไร ต้องคิดให้น้อย ทำให้จริง" เขาหันมาหยุดเตือนน้องเขย

ปภพผงกศีรษะ ท่าทีภายนอกของเขานิ่งเฉย เว้นแต่แววตาเท่านั้นที่เสมือนประจุไว้ด้วยกองเพลิง ขณะอีกฝ่ายผลักประตูเล็กหลังบ้านสำหรับคนงานเข้าไป

บ้านพักคนงานสร้างเป็นห้องแถวชั้นเดียวเรียงกันเป็นตับ แลละม้ายกำแพงหนาอีกชั้นหนึ่ง คนงานชายซึ่งเฝ้าประตูหลังจ้องมองคนแปลกหน้าอย่างสงสัย กระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้พามา

สมหมายพาชายหนุ่มเข้าไปเก็บกระเป๋าเดินทางยังห้องพักส่วนตัวของตน ภายในห้องปูพื้นกระเบื้อง มีเตียงเดี่ยวสองเตียงตั้งอยู่ชิดผนังห้องสองฝั่งและตู้เสื้อผ้าพร้อมสรรพ นับว่าสะดวกสบายกว่าค่ายพักคนงานที่เขาเคยอยู่ถมเชียว

"เตียงนั้นไม่มีใครนอน ถ้าคุณวิเชียรรับนายก็พักอยู่ด้วยกันนี่แหละ" สมหมายหันมาบอกหลังโยนกระเป๋าใส่ตู้เสื้อผ้า

"คุณวิเชียรนี่ใคร"

"เป็นผู้จัดการบ้านนี้ จัดการทุกเรื่องของ 'ท่าน' ก็ว่าได้ คล้ายๆ เลขาฯ นั่นล่ะ" เขารีบเอ่ยต่อเมื่ออีกฝ่ายยังมีท่าทีติดใจสงสัย "แต่คุณวิเชียรเป็นคนดี พูดอีกอย่างคือแกถูกกันไว้ด้านดี"

ปภพรับฟังเงียบๆ เขาไม่ได้จัดการเช่นใดกับกระเป๋าทั้งนั้นขณะรอรุ่นพี่ผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดซาฟารีสีเทา เสียเวลาเปล่าตราบใดที่เขายังไม่ได้เข้าทำงานในบ้านหลังนี้ เขาเห็นสมหมายเหน็บปืนสั้นสีดำที่เอวเป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนจะพยักหน้าให้เขาตามออกมา

ผ่านห้องพักซึ่งเรียงติดกันเป็นตับเป็นลานซักล้าง ขนาบด้วยห้องน้ำชายหญิงสองฝั่ง แล้วพื้นปูนซีเมนต์ก็ถูกแทนที่ด้วยสนามหญ้าล้อมตัวบ้าน มีไม้ยืนต้นตัดแต่งสวยประดับตลอดทาง แม้เห็นเพียงด้านข้างและด้านหลังของคฤหาสน์ก็พอจินตนาการได้ว่ามันยิ่งใหญ่เพียงไร บันไดด้านข้างตัวบ้านสำหรับคนงานยังสูงเกือบท่วมหัวตามตัวบ้านยกสูง พวกเขาใช้ทางนั้นเข้าไปก็พบกับครัวฝรั่งสะอาดเอี่ยมบนพื้นหินแกรนิต มีคนงานหญิงสองคนยืนเตรียมอาหาร เขาตามสมหมายผ่านไป แว่วเสียงเพลงสากลจังหวะคึกคักดังไกลๆ

ภายในบ้านสว่างด้วยแสงจากภายนอกลอดผ่านกระจกบานใหญ่เข้ามา แทบไม่ต้องอาศัยไฟประดิษฐ์ก็มองเห็นความโปร่งโล่ง ไม่อึมครึมของโถงทางเดิน กระทั่งผู้ที่คุ้นเคยกับคฤหาสน์หลังนี้มาหยุดยังหน้าประตูไม้สัก สมหมายยกมือเคาะก่อนเปิดเข้าไปเมื่อได้รับอนุญาต เขาหันมาหรี่ตาให้น้องเขยรออยู่ข้างนอก ก่อนร่างสันทัดปิดประตูเข้าไปลำพัง

ปภพลอบถอนหายใจ ทุกอย่างในบ้านนี้ดูลึกลับผิดกับสถาปัตยกรรมสวยหรู ก็คงเหมือนตัวเจ้าของบ้านกระมังที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังต่างกัน เขาหันมองผ่านกระจกใสออกไปนอกตัวบ้าน หลังพุ่มไม้พรางตานั้นคือที่มาของเสียงเพลงอึกทึกครึกโครม ด้วยสระว่ายน้ำสีฟ้าใสสะท้อนประกายแดดมีกลุ่มวัยรุ่นชายหญิงอายุราวสิบหกถึงสิบแปดปีกำลัง 'ดีดดิ้น' ริมขอบสระ บ้างก็โยนลูกบอลหรือนอนบนแพเป่าลมอยู่ในสระน้ำนั่นเอง

เสื่อม... เขาปรามาสในใจเมื่อเห็นเด็กสาวในชุดว่ายน้ำน้อยชิ้นเต้นคลอเคลียเพื่อนชาย เหล้ายาปลาปิ้งวางเรียงรายบนโต๊ะริมสระ อดนึกเปรียบเทียบกับชีวิตคนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกตนไม่ได้ แม้ไม่มีความสุขจนล้นเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ได้เรียนรู้คุณค่าของชีวิต การมีชีวิตอยู่ที่ไม่ใช่อยู่ไปเปล่าๆ ในแต่ละวัน

พลันสายตาราวเพลิงสุมก็เหลือบเห็นวัยรุ่นชายหน้าตาดีเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งยืนเอาตัวบังแก้วจากสายตาเพื่อนฝูง มันหันมาทางนี้พอดีและกำลังเทผงสีขาวลงในแก้วก้านยาวบรรจุน้ำสีส้ม ก่อนใช้ก้านเสียบผลไม้ขอบแก้วคนให้เข้ากัน แล้วตนก็ต้องใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเสียงแหลมเกรี้ยวกราดดังขึ้นจากอีกฝั่งระเบียงทางเดิน

"นี่แก!"

เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับวัยรุ่นข้างนอก ทว่ามีส่วนสูงและรูปร่างสะโอดสะอง เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งสวยงามเมื่ออยู่ในชุดว่ายน้ำสองชิ้นเล็กสีเหลืองสด เจ้าหล่อนกระชับสาบเสื้อคลุมปิดบังเรือนร่างขณะย่างสามขุมตรงมา ท่าทางเอาเรื่องทีเดียว

"แกเป็นใคร เสนอหน้ามามองอะไรพวกเราตรงนี้"

วาจาเผ็ดร้อนอย่างที่คนฟังไม่เชื่อว่าจะออกมาจากปากเด็กมัธยม แต่ก็เป็นไปแล้ว ปภพได้แต่ก้มหน้าเล็กน้อย ทั้งที่ดูแคลนเจ้าหล่อนเต็มที

ประตูห้องซึ่งปิดสนิทเปิดผางออก ก่อนบุรุษวัยกลางคนจะก้าวออกมาคั่นกลาง สมหมายยืนเยื้องหลังไป สายตาหลังกรอบแว่นของผู้อาวุโสปรายมองชายแปลกหน้านิดหนึ่ง แล้วจึงถามนอบน้อมกับคุณหนูของตน

"มีอะไรหรือครับคุณอ้อม"

"นายนี่ยืนมองพวกฉัน มันเป็นใคร ไม่รู้กฎของบ้านนี้หรือไง"

"ขอโทษด้วยครับคุณอ้อม ปภพเป็นญาติผม มันเพิ่งมาทำงานที่นี่ ต่อไปผมจะอบรมมันไม่ให้ทำแบบนี้อีก" สมหมายออกรับแทน

ปภพหันมองรุ่นพี่ก็เห็นเขาผงกศีรษะแทนคำตอบ หมายความว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นี้รับเขาเข้าทำงานแล้วสินะ

เขาลืมสนใจเด็กสาวเจ้าอารมณ์ชั่วขณะ ในหัวมีแต่แผนการชำระแค้นที่วาดไว้ กระทั่งเจ้าหล่อนสะบัดผมยาวสยายจากไป ผู้จัดการทุกสิ่งอย่างในบ้านหลังนี้จึงได้มองสำรวจเขาลอดแว่นสายตา

"หน่วยก้านดีนะ เรากำลังหาคนขับรถเพิ่มพอดี" เสียงเบาอย่างสุภาพกล่าว

"แต่ผม..." ชายหนุ่มกำลังจะแย้ง หากเหลือบเห็นพี่ภรรยาหรี่ตาปรามเสียก่อน

"ทำไม มีปัญหาหรือ"

บทจะเด็ดขาด บุรุษท่าทางสุภาพก็ถามห้วน สั้น

"เปล่าครับ"

"ดี ต่อไปนายมีหน้าที่ขับรถให้คุณอ้อม ลูกสาวคนเดียวของท่าน รู้นะว่าหน้าที่นี้สำคัญยังไง"

ปภพอดปรายตามองเด็กสาวที่รับแก้วค็อกเทลสีส้มจากเพื่อนมาดื่มไม่ได้ วัยรุ่นชายคนเดียวกับที่เขาเห็นใส่ผงสีขาวลงไป ก่อนเสียงกระแอมจะดังขึ้นข้างๆ

"และถ้าอยากทำงานที่นี่นานๆ นายต้องรู้จักเก็บสายตาสอดรู้ ทำตัวเหมือนอากาศธาตุยิ่งดี" วิเชียรเอ่ยกลั้วหัวเราะ ทว่าจริงจัง "ระยะเวลาทดลองงานสามเดือน อันที่จริงฉันไม่ต้องบอกก็ได้ เพราะไม่มีใครอยู่เกินสามสัปดาห์สักคน เร็วสุดก็สามวัน"

"ผมจะไม่ทำให้คุณวิเชียรต้องเหนื่อยหาคนอีก" เขาให้ความมั่นใจ

ใบหน้าซูบตอบมีรอยยิ้ม มือเหี่ยวย่นตบลงบนไหล่หนาด้วยมัดกล้ามเนื้ออย่างชอบใจ

"สมหมายทำงานกับเรามานาน ไม่เคยทำให้ท่านผิดหวัง ฉันจึงกล้าตัดสินใจรับนาย หวังว่านายจะไม่ทำให้รุ่นพี่ที่รับรองแทนนายอย่างแข็งขันต้องเดือดร้อนนะ"

ถ้อยความตักเตือนนั้นขู่สำทับในที เขาสบตากับชายหนุ่มรุ่นพี่หลังผู้จัดการบ้านหลังนี้กลับเข้าห้องทำงานไป ต่างฝ่ายต่างไว้เนื้อเชื่อใจอีกคนเท่าชีวิต แม้ไม่ได้งาน 'บอดี้การ์ด' พ่อเลี้ยงเรืองเดชอย่างพี่ภรรยา แต่ต้องขอบคุณคุณวิเชียรที่ชี้ให้เห็นว่าหน้าที่ของเขาสำคัญเพียงไหน

ใครที่ทำกับลูกเขาได้ เขาก็ทำกับลูกมันได้เช่นกัน!

............................


"คุณอ้อมแกเป็นลูกสาวคนเดียวของท่าน คุณนาย...แม่ของแกหนีไปตั้งแต่แกยังเล็ก ก่อนฉันมาทำงานที่นี่เสียอีก ตอนฉันทำงานที่นี่คุณหนูก็สักห้าหกขวบได้มัง แกดื้อเอาแต่ใจอย่างนี้แหละเพราะพี่เลี้ยงทุกคนลงให้ ท่านก็ไม่มีเวลาอบรม" สมหมายเล่าเบาขณะขัดปืนภายในห้องพักส่วนตัว

เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองผู้ฟังที่มีสีหน้าเคร่งเครียด กระทั่งได้ยินเสียงตอบกลับมาอย่างคั่งแค้น

"แปลกนะพี่ ทั้งที่เขาก็มีลูกสาว ทำไมถึงทำกับลูกคนอื่นได้"

ปภพวางมือที่กำลังจัดเสื้อผ้าซึ่งเพิ่งเบิกมาเก็บ เขาต้องกำเกร็งมือแน่นไม่ให้ร่างกายสั่นเทิ่มด้วยไฟแค้นแผดเผา

"เฮ้ย ปภพ งานของเราท่านกับคุณอ้อมไม่เกี่ยวนะ ไม่เกี่ยวกับทุกคนในบ้านหลังนี้ แต่เป็นเพราะไอ้ลูกน้องปลายแถวอีกธุรกิจหนึ่งของท่าน มันบ้าเกินไปเอง ฉันเคยบอกนายแล้ว" ผู้อาวุโสกว่าเตือน

ทำไมมันจะไม่เกี่ยว! ชายหนุ่มเถียงในใจ ในเมื่อพ่อเลี้ยงเรืองเดช ลูกสาวของมัน และทุกคนในบ้านหลังนี้ต่างก็เสวยสุขอยู่บนสิ่งผิดกฎหมายและชีวิตคนบริสุทธิ์ต่อมิกี่คนที่ต้องถูกกำจัดไปให้พ้นทางของพวกมัน มันก็ผิดด้วยกันทั้งนั้น! โดยเฉพาะตัวบงการเรื่องทั้งหมด...ไอ้พ่อเลี้ยงเรืองเดช เขาจะทำให้มันรู้จักความสูญเสียอย่างเขาให้ได้!

ปภพคิดอย่างโกรธแค้น แม้ท่าทีภายนอกจะสงบลง แต่ภายในใจเขานั้นกำลังเดือดปุดชนิดที่แพร่งพรายให้ใครรู้ไม่ได้ รวมถึงผู้ที่เขาควรไว้ใจที่สุดก็ตาม

สมหมายซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเกินไป เขาไม่ตำหนิข้อนั้น นั่นเพราะคนอย่างพวกเขามันดี มันซื่อเกินกว่าจะเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคนพวกนี้อย่างไรล่ะ

"แล้วฉันต้องทำอะไรบ้างพี่ เด็กปิดเทอมอย่างนี้คงไม่ได้ทำอะไรกระมัง" เขาแสร้งถามเรื่องงาน

"คุณอ้อมเธออยู่ไม่ติดบ้านหรอก เดี๋ยวก็ไปหาเพื่อน เดี๋ยวก็ไปในเมือง"

ชายหนุ่มทำเสียงรับรู้ ทั้งที่เซ็งจัดที่ต้องคอยรับใช้เด็กร้ายกาจพรรค์นั้น

"ไว้ถ้าหยุดตรงกันฉันจะพานายไปฝึกใช้ไอ้นี่..." สมหมายเอ่ยพลางควงปืนมันปลาบ "ท่านมีบ้านพักบนเขา เงียบสงบ มีสนามซ้อมยิงปืนด้วย"

ผู้มีศักดิ์เป็นน้องเขยค่อยยิ้มออก แต่ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้นจนคนมองอดนึกถึงวันแรกเจอไม่ได้ แม้ชายผู้นี้จะสุภาพและค่อนข้างขี้อาย หากเขาก็มีรอยยิ้มแจ่มใส จริงใจ ไม่ต่างจากน้องสาวของเขา เป็นคู่ที่เขาชื่นชมเสมอ ทว่าบัดนี้ผู้ที่เคยมองคนขาดอย่างเขายังยากจะเดาใจชายคนนี้ได้เลย ราวกับกลายเป็นคนละคนกัน

....................................

คนขับรถคนใหม่ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ฟ้าสาง สวมชุดซาฟารีที่เบิกมาจากคุณวิเชียร กระนั้นตอนเขาตื่นมาอีกเตียงหนึ่งในห้องก็ว่างเปล่าเสียแล้ว สมหมายดูจะยุ่งและสำคัญกับเจ้าของบ้านนี้ไม่น้อยทีเดียว

ปภพออกมาหาอะไรรองท้องยังโรงเรือนซึ่งก่อปูนขึ้นมาห่างจากตัวคฤหาสน์เล็กน้อย เป็นครัวเลี้ยงทุกคนในบ้านและยังเป็นโรงอาหารย่อมๆ สำหรับคนงานกว่ายี่สิบชีวิต อาหารของคนงานจะแยกต่างหากในถาดสแตนเลส มีหม้อหุงข้าวใบใหญ่วางข้างกัน ใครหิวก็เพียงหยิบจานมาตักไปนั่งทานยังโต๊ะม้านั่งเหล็กต่อยาว

ชายหนุ่มเดินไปตักพะแนงราดข้าวโดยมีสายตาใคร่รู้ของคนงานหญิงติดตาม บางคนก็ไม่เคยเจอกันมาก่อนเพราะเวลาทำงานจะหมุนเวียนกันไป ที่กล้าหน่อยมานั่งทานข้าวฝั่งตรงข้ามก็มี หากเขาเพียงก้มหน้าก้มตาจัดการธุระตนให้เสร็จ ไม่แม้แต่ชายตามอง

"คนนี้เหรอคนขับรถคนใหม่ของคุณหนู" เสียงทักแหบแห้งทว่าแจ่มใสดังมาจากชายชราร่างผอมแกร็นที่ยืนมองผ่านแว่นสายตาอยู่ตรงหัวโต๊ะ

ปภพหันมองก็เห็นเขาสวมเสื้อกล้ามกับผ้าขาวม้าเผยผิวหนังเหี่ยวย่นตามวัย กำลังลากจานมาตามโต๊ะพลางเดินตรงมา

"ใช่ลุง" เขาตอบสั้น ระวังตัวในที

"เดี๋ยวนี้คุณวิเชียรเขาคัดหน้าตาคนงานด้วยเหรอ แหม ถ้าสามสิบปีที่แล้วฉันคงพอสูสี"

คนฟังอดขำประโยคอวดอ้างนั้นไม่ได้ แต่หญิงสาวที่ถูกทำลายบรรยากาศกลับแลบลิ้นใส่แกก่อนลุกหนี

"ลุงทำอะไรที่นี่ล่ะ"

"ฉันก็เหมือนแกแล้ ขับรถให้ท่านมาสิบกว่าปีแล้ว แก่หน่อยท่านก็ให้พักมากกว่าเพื่อน นี่เพิ่งกลับมาเมื่อคื้น" แกตอบด้วยน้ำเสียงสูงแปร่งหู

ปภพคิดได้อย่างหนึ่งว่าคนรอบตัวพ่อเลี้ยงเรืองเดชดูจะรักและชื่นชมเจ้านายพวกตนมาก เหมือนพวกเขาพร้อมใจหลับตาข้างหนึ่งให้กับความชั่วที่เจ้านายทำ นึกมาถึงตรงนี้เขาก็รวบช้อน อิ่มตื้อขึ้นมา

ชายหนุ่มกำลังคิดจะกลับห้อง หากคนงานหญิงที่เขาไม่เคยเห็นหน้าจะมาประกาศตามหาเขาลั่นครัวเสียก่อน

"คนไหนคนขับรถใหม่คุณหนูน่ะ คุณวิเชียรบอกว่าชื่อ..."

"ปภพ!" หลายเสียงในครัวตอบพร้อมกันพลางหันมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนถือจานไปเก็บพอดี

คนมาตามตะลึงงันไปชั่วขณะ ท่าทางห้าวหาญเมื่อกี้แปรเปลี่ยนเป็นพินอบพิเทาทันที

"รีบไปเตรียมรถไว้เถอะจ้ะพี่ ถ้าแอร์รถไม่เย็นคุณอ้อมจะไม่พอใจ"

อ้อ นี่ถึงกับต้องติดเครื่องมาจอดรอกันเชียวหรือ ยิ่งเห็นการใช้ชีวิตของคนพวกนี้แล้วเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าตนตัดสินใจไม่ผิดที่รอวันล้างแค้น มันไม่เคยสำนึก สลด ละอายกับบาปที่พวกมันก่อเลย นอกจากเสวยสุขบนกองเงินกองทองของพวกมัน กองทุกข์ของผู้อื่นนั่นเอง

...................................


สวัสดีค่ะ

เอ่อ วันนี้แพรวก็มาเปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว แหะๆ ปกติไม่เคยลง 2 เรื่องควบแบบนี้เลยค่ะ แต่เรื่องนี้แพรวคงลงได้ไม่จบจริงๆ เพราะใกล้ได้ตีพิมพ์อย่างที่แพรวก็คาดไม่ถึงเหมือนกันค่ะ แต่ยังไงก็จะพยายามลงให้ได้มากที่สุดจนวางแผงนะคะ
ถึงเรื่องนี้จะเป็นแนวแก้แค้นเหมือนตลาดนิยมสมัยนี้ แต่แพรวก็ตั้งใจให้มันดาร์คหน่อยน่ะค่ะ ไม่ใช่แนวตบจูบแน่นอน เพราะว่ากันด้วยความแค้นและการเดินทางผิดของพระเอกล้วนๆเลยค่ะ บทสรุปสุดท้ายก็อยู่ที่กรรมหรือผลของการกระทำแต่ละตัวละครเนอะ แฮ่ โม้มาเยอะแล้ว ยังไงก็ขอฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ พูดคุยหรือติชมแพรวได้ตามสบายเลยค่ะ คนเขียนก็เขินเหมือนกันเวลาเหงาๆ 55

ขอบคุณค่ะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ม.ค. 2557, 16:16:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ม.ค. 2557, 16:16:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1476





   บทที่ ๒ ภารกิจแรก >>
ปริยาธร 25 ม.ค. 2557, 20:08:33 น.
เรื่องนี้อ้อมเป็นนางเอกเหรอคะ


ภาพิมล_พิมลภา 25 ม.ค. 2557, 20:16:38 น.
พี่นุ้ย - ใช่แล้วค่ะ เป็นนางเอกที่แรงสุดของแพรวเลย


จิงโกะ 23 ก.พ. 2557, 13:05:08 น.
เริ่มต้นอ่านแล้วเครียด แบบนี้ต้องกลับไปตั้งหลักก่อนอ่านตอนต่อไป แฮ่!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account