กุหลาบซ่อนเพลิง‏
เพราะพวกมันพรากชีวิตลูกเมียเขา

จึงเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของสุจริตชนคนหนึ่งให้มุ่งหน้าสู่เพลิงโลกันต์

'ปภพ' ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้ ต่อให้ต้องข้ามผ่านกี่ชีวิตคน

รวมทั้งชีวิตของเด็กสาวอย่าง 'อัมพิกา' ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขศัตรู

กุหลาบแรกแย้มกำลังไหม้ไฟ ไฟที่เธอเต็มใจเข้าใกล้

แม้สุดท้ายทั้งกุหลาบและไฟอาจมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าธุลี
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒ ภารกิจแรก




ปภพเคลื่อนรถยุโรปสีบรอนซ์คันที่ลุงคนขับรถเก่าแก่บอกว่าคุณหนูของแกใช้ประจำจากโรงจอดมายังหน้าตึกใหญ่ ทว่าผ่านไปสามสิบนาทีแล้วก็ไร้วี่แววคนที่ทำท่ารีบหนักหนา

เขาใช้เวลานี้สอดส่ายสายตาหารุ่นพี่ที่พาเข้ามา แต่รถในโรงรถที่จอดอยู่เท่าเดิมกับเมื่อวานบ่งบอกว่าสมหมายคงออกไปกับเจ้าของบ้านหลังนี้แล้ว ไปด้วยกันแต่เช้ามืดทีเดียว

เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นแว่วมาทำให้เขารู้ว่าคุณหนูของบ้านกำลังมาทางนี้ แล้วก็เป็นดังคิดเมื่อร่างระหงที่ดูจะสูงชะลูดบนรองเท้าส้นสูงหยุดยืนมองเขาจากบันไดระเบียงหน้า ท่าทางเอาเรื่องทีเดียว

"ใคร...ใครให้แกมาขับ" อัมพิกาชี้นิ้วกราด

เขาไม่ตอบแต่เปิดประตูหลังให้เจ้าหล่อนแทน พร้อมกับเสียงตวาดแว้ดให้ไปตามคุณวิเชียรดังลั่น

"คุณวิเชียรไม่อยู่ค่ะ ออกไปตีกอล์ฟกับคุณท่านแต่เช้า" สาวใช้อ้อมแอ้มตอบ

ในที่สุดปภพก็ได้รู้ว่าพ่อเลี้ยงเรืองเดชไปไหนแต่เช้า อันที่จริงเขาอยากรู้ตารางชีวิต ความชอบ นิสัยใจคอของคนคนนั้นให้แม่นยำที่สุด เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง แม้จะต้องแลกกับเสียงกรีดร้อง กระทืบเท้าเร่าไม่ได้ดั่งใจของยัยเด็กแสบนี่ก็ตาม

"คุณอ้อม ไปหาหมอเถอะนะคะ ไม่สบายอยู่ เดี๋ยวฉันไปด้วยก็ได้" พี่เลี้ยงพยายามปะเหลาะเอาใจ

ชายหนุ่มได้แต่นึกหยันว่านี่ขนาดไม่สบายแล้วหรือ ถ้าบอกว่าเมาค้างเขายังจะเชื่อเสียกว่า

"ถ้าไม่ไปผมเอารถไปเก็บล่ะ" ปภพเอ่ยอย่างเหลืออด

อัมพิกาอ้าปากค้าง เสียงโวยวายก่นด่าติดอยู่แค่ลำคอ นอกจากชี้นิ้วสั่นเทาตามแรงอารมณ์ใส่หน้าคนงานใหม่

"ไปพี่ไป" สาวใช้รีบตอบ กึ่งบังคับกึ่งประคองคุณหนูของตนลงมา

เขาลืมตัวจะช่วยตามสัญชาตญาณ ทว่าเพียงปลายนิ้วสัมผัสข้อพับแขนอีกฝ่าย มือเรียวก็สะบัดเฉี่ยวหน้าเขาไปทีเดียว หนำซ้ำเจ้าหล่อนยังเบ้ปากหยัน สายตาดูแคลนอย่างร้ายกาจมองสบมา ก่อนเธอจะสะบัดแขนออกจากสาวใช้ ขึ้นไปนั่งหลังรถลำพัง

"เธออยู่นี่แหละ ฉันไปคนเดียวได้ ใครมันจะกล้าทำอะไร" เสียงบอกนั้นท้าทาย ไม่เกรงว่าตนเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ

ชายหนุ่มปิดประตูตามแล้วจึงเดินอ้อมไปยังที่นั่งคนขับ เขาออกรถไปโดยไม่แม้แต่ชายตาไปยังกระจกมองหลังสักนิด ในใจมีแต่ความรังเกียจเด็กสาวคนนี้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ทั้งที่เธอเพิ่งจบการศึกษาชั้นมัธยมที่ห้า แต่กลับเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ดูถูก เหยียดหยามคนราวตนสูงส่งเสียเต็มประดา

ปภพขับรถไปยังโรงพยาบาลที่พี่เลี้ยงเจ้าหล่อนกระซิบบอกก่อนออกมาเงียบๆ กระทั่งเข้าสู่ตัวเมืองที่รถราพลุกพล่าน เขาเหลือบมองกระจกกลางก็เห็นอัมพิกากอดอกแน่น ตัวสั่นสะท้าน ทว่าใบหน้าสะสวยนั้นมีเม็ดเหงื่อเกาะพราว

ทันทีที่รถติดไฟแดง ร่างบางก็เปิดประตูลงไปอาเจียนริมขอบทางเท้าโดยที่คนขับอย่างเขาได้แต่ตกใจ ชายหนุ่มรีบตามลงไปก่อนเขาจะชะงักมือซึ่งกำลังจะลูบหลังเจ้าหล่อนไว้ได้ทัน เปลี่ยนเป็นค้นหาน้ำดื่มในรถมาส่งให้แทน ครั้งนี้เธอรับไปอย่างไม่เกี่ยงงอน

"ไหวหรือเปล่า"

อัมพิกาปิดเปลือกตาลงครู่หนึ่ง เธอคงบ้าไปแล้วที่อ่อนไหวกับประโยคคำถามนั้น

"คนอย่างฉันไม่ตายง่ายๆ หรอก"

เด็กสาวส่งขวดน้ำคืนแรงเป็นกระแทก พาร่างสะโหลสะเหลกลับขึ้นรถไป ทิ้งให้ปภพสบถพลางราดน้ำใส่เศษอาหารลงท่อระบาย เขากลับไปประจำตำแหน่งพร้อมกับที่สัญญานไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี

..........................................

หลังส่งคนป่วยลงหน้าตึกโรงพยาบาลโดยมีเวรเปลนำเก้าอี้เข็นมารับแล้ว ปภพก็จำต้องนำรถไปจอด มานึกได้อีกทีว่าตนไม่มีเบอร์ติดต่อคุณหนูตัวแสบก็ต่อเมื่อมายืนคว้างกลางแผนกต้อนรับในโรงพยาบาล

บ้าฉิบ! เขาสบถในใจพลางเสยผมแรง ท่าทางที่มักแสดงออกยามหัวเสียหนัก ไม่บ่อยนักที่คนใจเย็นอย่างเขาจะหงุดหงิดได้ เว้นแต่ไม่กี่วันมานี้ที่ทุกสิ่งในชีวิตดูจะเหนือการควบคุมของเขาไปทุกอย่าง

ชายหนุ่มเดินดุ่มไปถามเจ้าหน้าที่ยังเคาน์เตอร์ต้อนรับก็ไม่ได้รับคำตอบ ก่อนหางตาเขาจะเหลือบเห็นเวรเปลตัวอ้วนใหญ่เดินสวนมา จำได้จากรูปร่างอันเป็นเอกลักษณ์ทันทีว่าเป็นคนเดียวกับผู้ที่มารับอัมพิกาจึงรีบตรงไปถาม

"เด็กผู้หญิงเมื่อกี้ไปที่แผนกไหน"

สายตาฉงนมองหน้าชายที่เข้าถึงตัวรวดเร็วพลางขมวดคิ้ว

"ผู้หญิงที่ผมมาส่งเมื่อกี้ ตัวผอมๆ สูงๆ ใส่ชุดเอี๊ยมแขนกุดลายตาราง" เขาอธิบายละเอียด แล้วก็นึกโกรธเจ้าหล่อนที่ช่างหาเรื่องร้อนใจมาให้เสียจริง

"อ๋อ ผมไปส่งที่แผนกอายุรกรรมชั้นสอง"

ปภพเอ่ยขอบคุณก่อนขึ้นบันไดเลื่อนไป ป้ายไฟสีเขียวบนเพดานบอกทางไปแผนกอายุรกรรม แล้วเขาก็ได้เห็นคนที่ตนตามหานั่งกอดอกหนาวอยู่บนรถเข็นข้างม้านั่งยาวที่มีผู้คนบางตา เขาหยุดถอนหายใจตรงนั้น ไม่คิดเดินไปหาแม้ท่าทางของอีกฝ่ายจะนั่งหงอ ไร้แววเย่อหยิ่ง อวดดีดังเดิม

เขายืนมองไกลๆ จนเห็นพยาบาลมาเข็นเก้าอี้เจ้าหล่อนเข้าไปในห้องตรวจ แล้วจึงถอยมานั่งยังม้านั่งยาวข้างลิฟต์ มือหนาล้วงกระเป๋าสตางค์บนอกเสื้อออกมาเปิดดู ภาพใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใสแต่งแต้มของสมพรและลูกแอบอยู่ในนั้น คอยตอกย้ำความแค้นของเขาทุกเมื่อเชื่อวัน

ทำไมนะ แม้แต่ครอบครัวตัวเองเขายังปกป้อง ดูแลไม่ได้ แต่กลับต้องคอยดูแลรับใช้ลูกสาวของไอ้ฆาตกร ทำไม...

ปภพพับปิดกระเป๋าสตางค์พลางกำไว้แน่น ความดีความชั่วในใจต่อสู้กันอย่างหนัก ใจหนึ่งก็ไม่อยากทำลายชีวิตบริสุทธิ์นี้เลย เขามีลูกสาว แม้ไม่เคยได้อุ้มชูก็รักดั่งแก้วตาดวงใจ เด็กสาวคนนี้ก็เป็นเพียงผู้หญิงที่เพิ่งพ้นวัยเด็กมาได้ไม่ทันไร ถึงจะร้ายกาจก็เพราะพ่อไม่ใส่ใจอบรมสั่งสอนนั่นเอง

ร่างสูงใหญ่ตัดสินใจลุกยืนไปรอหน้าแผนกอีกครั้ง พอดีกับที่พยาบาลเข็นเก้าอี้เจ้าหล่อนออกมาจากห้องตรวจ เขารีบเข้าไปรับหน้าที่นั้นเสียเอง หากชายหนุ่มไม่ได้สังเกตใบหน้าซีดเซียวซึ่งมีน้ำตาคลอหน่วย

อัมพิกาตกตะลึงจนลืมกระทั่งความร้ายกาจของตน หลังแพทย์อ่านผลการตรวจปัสสาวะว่ามีสารเสพติดในร่างกายเธอ

................................

"ยังไม่กลับบ้านนะ ขับตรงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวฉันบอกทาง" เสียงสั่งระโหยดังมาจากเบาะหลัง

คนขับจำต้องทำตามคำสั่งทั้งที่ใจไพล่ไปนึกถึงสมหมาย บางทีหากเขาว่างช่วงบ่าย พวกตนก็คงได้ไปซ้อมยิงปืนดังที่เขาว่า แต่ดูท่าจะหมดหวังเสียแล้ว

รถยุโรปแล่นไปตามซอกซอยคับแคบ หลังคาผ้าใบร้านค้าต่างๆ ยื่นออกมาเกือบครึ่งถนน ลึกเข้าไปในซอยเป็นทาวน์เฮาส์หลายหลัง เขาขับไปเกือบสุดซอยถึงทางวนออก คุณหนูบนเบาะหลังจึงได้สั่งให้จอดยังหน้าบ้านที่มีรถจักรยานยนต์จอดอยู่คันหนึ่ง

อัมพิกาผลักประตูรั้วเข้าไปโดยไม่กดกริ่ง แสดงถึงความคุ้นเคยกับเจ้าของบ้านนี้อย่างดี ชายหนุ่มไม่ได้ดับเครื่องขณะนั่งรอในรถ แล้วก็เห็นวัยรุ่นผู้ชายคนหนึ่งเปิดประตูออกมาต้อนรับเธอ จำได้ทันทีว่าเป็นคนเดียวกับที่เขาหมายตามันไว้ตอนที่เห็นมันแอบใส่บางอย่างลงในแก้วเครื่องดื่มเด็กสาว

เสียงเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ทำให้จับใจความไม่ได้ว่าทั้งสองพูดคุยสิ่งใด แต่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่เมื่อสังเกตจากสีหน้าท่าทาง ฝ่ายชายพยายามจับแขนเพื่อนสาวไว้ แต่ก็ถูกเจ้าหล่อนสะบัดหลุดพร้อมทั้งตบหน้าฉาดใหญ่ ปภพเห็นท่าไม่ดีรีบเปิดประตูลงจากรถ ขณะเด็กหนุ่มพยายามปล้ำกอดร่างบาง

โดยไม่ทันคิดอะไรทั้งนั้น เขาแทรกตัวเองเข้าไปขวาง จับแยกไอ้มือปลาหมึกออกมาได้ในที่สุดและกระชากคอเสื้อยืดมันไว้ ร่างของคนที่โตไม่เต็มหนุ่มแทบลอยจากพื้น มันมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาหันไปมองผู้ที่หลบอยู่หลังตนว่าจะเอาอย่างไร แล้วจึงได้รู้สึกตัวว่ามีมือสั่นสะท้านเกาะแขนตนไว้แน่น

"พา...พาไปส่งตำรวจ มันขายยา มันเอายาให้ฉันกิน"

"ก็บอกว่าเปล่าไงเล่า!" เด็กหนุ่มเถียงพลางพยายามดิ้นรนให้หลุดจากเงื้อมมือหนาสุดชีวิต

"ไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร ไอ้เพื่อนชั่ว! มีแต่แกที่ชงเครื่องดื่มให้ฉัน แล้วฉันก็เสี้ยนยานี่ไง"

"ไหนล่ะหลักฐาน ฉันจะทำไปเพื่ออะไรฮะ! คิดว่าอยากได้ตัวเธอ เงินเธอนักเหรอ ไปถามเพื่อนคนอื่นดูว่ามีใครอยากเอาเธอ..."

หมัดลุ่นๆ ตรงเข้าเสยหน้าคนปากมอมจนมันทรุดไปกองกับพื้น ครั้นร่างสูงใหญ่ทอดเงาทะมึนย่างเท้าตรงมา มันก็รีบยันพื้นลุกวิ่งเข้าไปในบ้าน เขาทำท่าจะตามเข้าไปเอาเรื่อง แต่เสียงวางอำนาจแปร่งปร่าก็ลอยมาเสียก่อน

"มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย ก็แค่คนขับรถ"

ปภพชะงักพลางกำหมัดแน่น ใช่ซี เขาลืมไป ลืมแม้กระทั่งความแค้นในใจตนเองและความร้ายกาจของผู้หญิงคนนี้ เมื่อเห็นเจ้าหล่อนถูกล่วงละเมิด ถูกคนที่เรียกว่า 'เพื่อนชาย' พูดจาจาบจ้วงจึงทนไม่ได้ ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดกับผู้หญิงคนไหนก็ตาม เขาคงทำแบบเดียวกันนี้ เว้นแต่กับเด็กสาวคนนี้คนเดียว

ชายหนุ่มกลับขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย เมื่ออีกฝ่ายไม่บอกจุดหมายปลายทาง เขาจึงขับรถพาเจ้าหล่อนกลับคฤหาสน์ของเจ้าตัว แล้วเขาจะได้เสร็จสิ้นภารกิจวันนี้เสียที
.......................


เสียงปิดประตูรถดังก่อนคุณหนูของบ้านจะวิ่งขึ้นบันไดคฤหาสน์ไป ชายหนุ่มได้แต่มองตามก้าวย่างโซเซนั้น แล้วจึงเคลื่อนรถไปเก็บยังโรงจอดเมื่อเห็นเธอกลับเข้าบ้านแล้วเรียบร้อย แขวนกุญแจเก็บในตู้ล็อกเกอร์เหล็กข้างโรงจอดรถนั่นเอง

รถยุโรปสีเดียวกันแต่ต่างรุ่นอีกคันซึ่งจอดอยู่บ่งบอกว่าคนที่ออกไปแต่เช้าได้กลับมาแล้ว ปภพกำลังจะเดินอ้อมตัวบ้านใหญ่โตผ่านสนามหญ้าด้านข้าง แต่แล้วก็เห็นคนที่เขารอพบเจอก็เดินลงมาจากระเบียงบ้านมาตามพอดี

"ท่านอยากพบ เรื่องคุณอ้อม" สมหมายบอกสั้น

เขาจำต้องตามขึ้นบ้านใหญ่ไปโดยไม่มีคำถาม ผ่านโถงด้านหน้าที่มีบันไดขึ้นสู่ชั้นบนไปห้องทางขวา อันเป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวซึ่งมีกระจกใสเป็นผนังด้านหนึ่ง สำหรับมองออกไปเห็นสระว่ายน้ำภายนอก

เจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ผู้กุมกิจการมากมายในภาคเหนือนั่งเหยียดขาสบายอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวยาวซึ่งมีที่วางเท้ายื่นต่อ พ่อเลี้ยงเรืองเดชเป็นชายผิวขาวเจ้าเนื้อเล็กน้อย แลดูหนุ่มกว่าวัยในวัยห้าสิบเศษ บนพื้นข้างกายเขามีผู้หญิงสาวคราวลูกบีบนวดต้นขาอย่างเอาใจ ขณะจอโทรทัศน์แอลอีดีห้าสิบนิ้วก็ฉายภาพข่าวพร้อมเสียงหรี่เบา

จากท่าเอนกายเมื่อครู่บุรุษวัยกลางคนก็เปลี่ยนมาลุกนั่งทันทีที่คนงานใหม่ก้าวเข้ามา กวาดสายตาสำรวจสารรูปชายวัยหนุ่มฉกรรจ์ที่บอดี้การ์ดของเขาพามาสมัครงาน แล้วก็นึกพึงพอใจรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มเกรียมแดดมีหนวดเคราครึ้มเมื่อห่างมีดโกนแลดูดุดัน ถูกชะตาเขาทีเดียว

"คนนี้เรอะ คนขับรถใหม่ยัยอ้อม ท่าทางไม่เลว" เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยเป็นคำแรก

ปภพฝืนใจยกมือไหว้ สบตาตอบอีกฝ่ายเช่นกัน

"ไปไหนกันมา ทำไมท่าทางยัยอ้อมเป็นแบบนั้น" คราวนี้พ่อเลี้ยงเรืองเดชถามเสียงขรึม สีหน้าแสงตาจริงจัง

"คุณอ้อมไปโรงพยาบาลแล้วไปหาเพื่อนต่อครับ" เขาตอบตรง

"ใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย"

"ผมไม่ทราบชื่อ เป็นผู้ชาย"

"ฉันต้องการคำตอบมากกว่านั้น นายยังไม่ได้ตอบคำถามข้อสองของฉัน"

สมหมายผงกศีรษะเล็กน้อยให้พูดความจริงมาจากด้านหลังเจ้านายตน ปภพพยายามข่มความหงุดหงิดอย่างหนักที่ต้องทนให้ฆาตกรผู้นี้ซักไซ้ไล่เรียง เขาตัดสินใจตอบตรงใจที่สุด

"หากผมตอบแล้วท่านนำไปตำหนิคุณอ้อม ผมไม่ต้องถูกเธอไล่ออกเหมือนคนก่อนๆ หรือครับ"

พ่อเลี้ยงเรืองเดชจ้องหน้าคนตรงข้ามถทึง คำพูดคำจาของมันระคายหู ทว่าได้ใจ... เสียงหัวเราะลั่นดังตามมา

"เฮ้ย ไอ้นี่มันกล้าดีเว้ย ฉันชอบมันว่ะสมหมาย แถวบ้านแกมีอีกหรือเปล่า ไปหามาซิ"

ลูกน้องคนโปรดหัวเราะตามพลางลอบถอนใจ ผู้เป็นนายบอกให้หญิงสาวที่คอยปรนนิบัติรับใช้ออกไปก่อน ก่อนเขาจะลุกจากเก้าอี้เดินมาบีบไหล่หนา ลดเสียงมาพูดคุยจริงจังดังเดิม

"เอาล่ะ ทีนี้บอกมาเสียทีว่าคุณหนูของแกเป็นอะไร หน้าซีดเซียว ท่าทางเหม่อลอยไม่ฟังใครอย่างนั้น แล้วฉันสัญญาว่านายจะได้อยู่ทำงานต่อแน่นอน"

ในเมื่ออยากรู้นัก ปภพก็จะตอบให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง ว่ากรรมใดที่มันก่อ...ได้ย้อนเข้ามาถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของมันเช่นกัน

"คุณอ้อมทะเลาะกับเพื่อน นายคนนั้นใส่ผงบางอย่างลงในเครื่องดื่มที่ชงให้คุณอ้อมดื่มเมื่อวาน แล้ววันนี้เธอก็ไม่สบาย หนาวสั่น"

"!"

มือหนากำหมัดแน่นทุบลงบนผนังห้องหลังเข้าใจความหมายทั้งหมด

"มันเป็นใคร แกจะหาตัวมันเจอได้ไหม" ผู้เป็นใหญ่ในบ้านหันมาจ้องเอาคำตอบจากลูกน้องคนใหม่

เขารู้ว่าควรตอบอะไรเพื่อสร้างความไว้ใจจากอีกฝ่ายมากขึ้น "ครับ"

"สมหมาย เบิกปืนให้มัน ฉันต้องการฟังผล...คืนนี้!"

สมหมายผงกศีรษะให้น้องเขยตามออกไปด้วยกัน เขาพาเดินไปตามเส้นทางที่ชายหนุ่มไม่ทราบมาก่อน เมื่อห้องใต้บันไดนั้นมีบันไดเหล็กลงไปต่อยังชั้นใต้ดิน เขากดรหัสที่มีเพียงพวกบอดี้การ์ดอย่างตนและคุณวิเชียรเท่านั้นที่รู้ ปภพถูกสั่งให้รอภายนอกก่อนเขาจะกลับออกมาพร้อมปืนพกและกระสุนสำรองในมือ

"นายรู้ใช่ไหม ใครที่ได้ทำงานให้ท่านแล้วไม่มีวันเลิกไปได้ ฉันไม่น่าชวนนายมาเลยปภพ วิญญาณพรคงไม่มีความสุขแน่ถ้ารู้ว่าเรากำลังทำอะไร"

"ไม่จริง" น้องเขยโต้กลับอย่างลืมตัว "ถ้าเราอยู่เฉยต่างหากพรกับลูกถึงจะไม่มีความสุข พี่หมายอย่าโทษตัวเอง หากวันหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผม นั่นเป็นเพราะผมนี่ล่ะเลือกเอง"

ชายหนุ่มรับอาวุธมาก่อนหันกลับออกไป ทิ้งให้สมหมายยืนนิ่งพลางถอนหายใจในห้องมืดสลัวลำพัง พร้อมกับคิดทบทวนว่าพวกเขากำลังทำเพื่อตัวเองหรือดวงวิญญาณคนที่รักกันแน่ ที่ต้องโทษและหาทางชำระแค้นแทนที่จะรอกระบวนการทางกฎหมาย ก็เพื่อลบล้างความผิดในใจที่ไม่อาจดูแลผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนในครอบครัวจนเกิดโศกนาฏกรรม อย่างนั้นหรือเปล่า...

เขาห่วงก็แต่ปภพจะถลำลึกลงไป

..................................

การตามหาตัวเด็กหนุ่มนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อมันหายตัวออกจากบ้านหลังเดิมไปแล้วพร้อมรถจักรยานยนต์ที่เคยจอดอยู่ ลำบากเขาต้องออกตามหายังที่ที่คิดว่ามันจะไปละแวกนั้น ทั้งร้านเกมอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ร้านข้าว ร้านเหล้าปั่นก็ตาม โดยมีจุดสังเกตคือมอเตอร์ไซค์สีแดงซึ่งจำได้ว่ามีเลขทะเบียนตรงกับวันเดือนเกิดของเขาเอง

ความที่ซอยหมู่บ้านเล็กๆ นั้นอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย หอพักจึงผุดขึ้นราวดอกเห็ด แล้วความตาไว ช่างสังเกตของปภพก็ช่วยให้เขาสังเกตเห็นรถจักรยานยนต์ผู้ต้องหาจอดอยู่หน้าตึกหอพักสูงห้าชั้นที่เพิ่งขี่เลยไป เขาเลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์ของตนเข้าไปจอดยังหอพักถัดไป ยังคงสวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบปิดบังหน้าตา ทว่าจนแล้วจนรอดไอ้คนขี้ขลาดก็ยังไม่โผล่หัวออกมา

ชายหนุ่มยืนหลบใต้เงาต้นไม้ใหญ่ จากแดดแรงจ้ายามบ่ายแก่ก็เริ่มลดอุณหภูมิลงหลังดวงตะวันคล้อยต่ำลง แล้วเขาก็ได้เห็นคนที่ตนดักรอเดินคุยโทรศัพท์ออกมานอกตึก เมื่อมันทำท่าจะเดินไปที่รถ เขาก็รีบเหวี่ยงขาคร่อมรถจักรยานยนต์ทันที ขี่ตามมันไปห่างๆ โดยไม่ให้คลาดสายตา

ปภพใจเย็นพอที่จะรอให้อีกฝ่ายขี่รถไปจนสองข้างทางเริ่มปลอดผู้คน เขาเร่งเครื่องรถซึ่งไม่ได้เปิดไฟหน้าขึ้นไปในความมืด เสียงบิดเครื่องนั้นดังพอที่จะให้วัยรุ่นบนรถคันหน้าหันมามอง มันเบิกตาตกใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อไม่ได้สวมหมวกนิรภัย ทันทีที่เห็นผู้ตามมาชักอาวุธปืนขึ้นเล็งไปทางตน

"จอด!" เสียงห้าวตะโกนดังผ่านหมวกพลาสติกใบหนา "จอดรถเดี๋ยวนี้!"

เด็กหนุ่มพยายามเร่งเครื่องหนีเพิ่มแรงโทสะให้คนที่รอมาทั้งวัน เขายิงปืนขึ้นฟ้าข่มขู่ เสียงแผดดังก้องป่าทำลายขวัญอีกฝ่ายจนสูญเสียการควบคุมรถ รถจักรยานยนต์สีแดงล้มคว่ำไถลไปตามพื้นถนน รวมทั้งร่างของผู้ขับขี่กลิ้งหลุนไปตามทาง ชายหนุ่มดับเครื่องมอเตอร์ไซค์ตนก่อนตวัดขาลงไปถอดกุญแจรถอีกคัน ตัดทางหนีหากมันคิดตุกติก

"แกเป็นใคร ต้องการอะไร เอานี่ ฉันให้แกหมดเลย" เสียงถามละล่ำละลักพลางพยายามค้นหาของมีค่าติดตัวให้มัน

ปภพย่างสามขุมเข้าไปพร้อมกับยกอาวุธปืนจ่อ...เพื่อข่มขู่เท่านั้นเมื่อเขาก็ไม่มั่นใจฝีมือตนเองเหมือนกัน เขาเปิดหน้ากากหมวกกันน็อกให้อีกฝ่ายเห็นหน้าตน แล้วมันก็ยกมือไหว้ปลกพลางกระถดตัวหนีไปขอบทางเรื่อยๆ

"บอกมาว่าแกต้องการอะไร เอายาใส่ให้คุณอ้อมกินทำไม หวังว่าคราวนี้คงไม่ปฏิเสธนะไอ้หนุ่ม"

"ก็ได้ๆ ฉันใส่เอง ฉันยอมรับแล้ว แกอย่าฆ่าฉันเลยนะ" มันยอมรับเสียงสั่น

"กูถามว่าทำไม!"

ร่างสูงใหญ่ก้าวยาวก้าวเดียวพรวดไปหา เด็กหนุ่มถึงกับหน้าเสีย หยาดน้ำตาสะท้อนแสงจันทร์ มันสารภาพแทบฟังไม่เป็นศัพท์

"ก็อ้อมมันรวย ฉันแค่อยากหาลูกค้า ถ้าอ้อมติดใจมาซื้อกับฉัน ฉันก็จะได้มีเงินบ้าง"

"สารเลว" เขาเค้นเสียงลอดไรฟัน

ปภพลืมตัวโกรธแค้นแทนคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อเดนนรกพวกนี้ เหยื่อ...ที่เขาก็ซุกซ่อนจุดประสงค์บางอย่างไม่ต่างจากพวกมัน

"ไปรับยาจากไหน"

"ฉันก็ไม่รู้ พวกนักศึกษามหาวิทยาลัยมันชวนฉัน แต่ฉันไม่รู้ว่ามันเอามาจากไหน ไม่พ่ออี... พ่ออ้อม...ก็เสี่ยเพ้งนั่นแหละ" มันพูดพล่ามด้วยความกลัวสุดชีวิต

ชายหนุ่มแสยะยิ้มใต้หมวกใบหนา ข้อสันนิษฐานของเขาที่แม้แต่สมหมายก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงได้รับการยืนยันจากปากไอ้ขี้ขลาดแล้ว เขาก้าวไปใกล้ร่างที่ได้รับบาดเจ็บเต็มตัวพลางคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น มันหลับตาปี๋เมื่อมือหนากระชากศีรษะให้เงยขึ้น

เสียงเยียบเย็นเอ่ยช้าชัด "แกมีเวลาแค่คืนนี้ ไปจากที่นี่ซะ แล้วอย่ากลับมาให้เห็นหน้าอีก ฉันสาบานได้ว่าจะไม่ให้โอกาสอีกเป็นครั้งที่สองแน่"

มันค่อยหรี่ตาจ้องใบหน้าภายใต้หมวกนิรภัยอย่างประหลาดใจ ปภพโยนกุญแจรถลงบนอกเสื้ออีกฝ่าย ก่อนตวาดไล่มื่อมันยังคงนอนนิ่งอย่างตกตะลึง

"ไป!"

เด็กหนุ่มรีบยกมือไหว้ มันวิ่งกะโผลกกะเผลกไปยกรถจักรยานยนต์ที่เสียหายขึ้นขี่ แสงไฟท้ายดวงเล็กสีแดงห่างออกไปลิบๆ ในราตรีกาล

ผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งถอยไปยืนพิงรถของตนเอง เขาทำไม่ได้ เขาฆ่ามันตามที่คนเลือดเย็นสั่งไม่ลง มือที่ถือปืนสั่นเทา ใครจะรู้ว่าภายใต้ท่าทางคุกคามข่มขู่นั้น เขาต้องเก็บซ่อนความกลัวความผิดพลาดมากแค่ไหน ประสาททุกส่วนตื่นตัว เหงื่อกาฬชื้นทั่วสรรพางค์กาย

หวังว่ามันจะฟังคำเตือนของเขาแล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก เพราะปภพเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะละเว้นการทำบาปไปได้ถึงเมื่อไร
................................

ปภพงานเข้าแล้วค่ะ แต่ตอนนี้เขายังใจไม่แข็งพอจะทำตามคำสั่งพ่อเลี้ยงได้
การปล่อยตัวเด็กหนุ่มไปจะมีผลดีหรือผลเสียตามมาในอนาคต
ฝากติดตามด้วยนะคะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ม.ค. 2557, 16:33:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ม.ค. 2557, 16:33:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1241





<< บทนำ ภัยมืด - บทที่ ๑ ปาร์ตี้ริมสระ   บทที่ ๓ เด็กนิสัยเสีย >>
ปริยาธร 31 ม.ค. 2557, 17:22:26 น.
จับส่งตำรวจก็ไม่ได้ใช่ไหมคะ แต่คนแบบนี้ปล่อยไปก็ไปทำกับคนอื่นต่อ


ภาพิมล_พิมลภา 31 ม.ค. 2557, 19:25:50 น.
พี่นุ้ย - ขืนมีตร.มาเกี่ยว พ่อเลี้ยงคงไม่ปลื้มแน่ค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account