หวานเล่ห์เสน่หา (เปลี่ยนชื่อเรื่องจากมนต์รักไผทค่ะ)
เรื่องราวของวิศวกรสาวกับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเกาะ เส้นทางของทั้งคู่ไม่น่าจะมาพบกันได้ แต่กามเทพก็แผลงศรให้คนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันเลย ต้องมามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างไม่ตั้งใจ เรื่องราวทุกอย่างจบลงเพียงแค่คืนนั้น...หากเมื่อคู่กันแล้วต่อให้ห่างไกลกันสักเพียงไหน เมื่อถึงเวลาคนสองคนก็ต้องโคจรกลับมาพบกันอยู่ดี และการพบกันในครั้งนี้จะสร้างความรักให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ไปช่วยกันลุ้นค่ะ
Tags: เกาะ

ตอน: บทที่ 9

บทที่ 9

คณิตายืนสูดอากาศยามเช้าตรงหน้าบ้านของตน พร้อมกับมองอาณาเขตแห่งนี้ บ้านสามหลังที่ปลูกเรียงรายต่อกัน หากก็เป็นเอกเทศ มีพื้นที่เป็นส่วนตัว แต่ทั้งหมดก็เชื่อมโยงกันด้วยแนวถนนที่จะตรงออกไปสู่โลกภายนอก ทั้งยังมีสวนหย่อมขนาดใหญ่ที่ตั้งเลยไปจากบ้านของพี่ชายคนโต มีศาลานั่งเล่น สำหรับเป็นที่สังสรรค์ของคนในครอบครัว ความร่มรื่นเขียวขจีไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ให้ความสดชื่นชุ่มปอดและให้ความสบายตาสบายใจ ปกติในเช้าวันเสาร์แบบนี้ มักจะเห็นไผทและมหาสมุทรวิ่งออกกำลังกายไปรอบๆ บริเวณ ในขณะที่เพียงฤทัยและคีตศิลป์ยืดเส้นยืดสายตรงสนามหญ้าเล็กๆ ข้างบ้าน ส่วนทิฆัมพรก็มักจะรดน้ำไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกอยู่ในเขตบ้านของตน เสียงพูดคุยกันระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสามีเต็มไปด้วยความสนิทสนมและรักใคร่กลมเกลียวกัน

แต่วันนี้ทุกอย่างสงบนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากบ้านสามหลังเลย เธอก็ไม่แน่ใจว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นนอกเหนือจากคำสั่งที่ได้รับจากไผทหรือเปล่า เขาบอกเพียงให้เธอดูแลลูกและระวังตัวให้ดี มีกลิ่นไม่ดีเกิดขึ้นบนเกาะ ซึ่งมหาสมุทรรับมือทุกอย่างได้ คณิตาตัดสินใจเดินไปที่บ้านของทิฆัมพร เพื่อสอบถามเรื่องราวที่คาดว่าเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน

“คุณพุทธคะ” คุณแม่ลูกหนึ่งตะโกนเรียกเจ้าของบ้านเพียงครู่ประตูก็เปิดออกพร้อมรอยยิ้มหวานๆ ของทิฆัมพร

“มีอะไรหรือคะคุณเลข”

“เอ่อ...เลขจะมาถามข่าวคุณศิลป์ค่ะ” คณิตาพูดไม่เต็มเสียงนักด้วยรู้สึกเกรงใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะตอนนี้ยังเช้ามากสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ ตอนนี้พี่ไทยกับพี่ศิลป์ก็คงอยู่ที่ลานต้องโทษนั่นแหละค่ะ” น้องสาวคนเล็กของตระกูลบอกด้วยน้ำเสียงปกติ
“ลานต้องโทษหรือคะ

“ค่ะ ใครที่ทำผิดกฎของเกาะจะมีการตัดสินความผิดที่นั่น ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปยกเว้นครอบครัวของผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้นำสี่ตระกูลที่ถูกแต่งตั้งสืบต่อกันมา โดยผู้ที่จะเป็นได้ต้องเป็นสายเลือดสายตรงของคนสกุลนั้นเท่านั้น”

“เข้ามาคุยในบ้านดีกว่าค่ะ ท่าทางจะได้คุยกันยาว” ทิฆัมพรเห็นคิ้วเรียวที่ขมวดกันเป็นปม เพราะไม่กระจ่างในเรื่องที่ได้รับฟัง “แล้วน้องนาฏล่ะคะ” ในขณะที่กำลังจะเดินนำแขกเข้าบ้านหญิงสาวก็นึกถึงหลานสาวตัวน้อยขึ้นมาได้

“ยังหลับอยู่เลยค่ะ ถ้าคุณพุทธไม่ว่าอะไร เชิญที่บ้านพักของเลขดีกว่านะคะ”

“ไม่มีปัญหาค่ะ” ทิฆัมพรหันไปปิดบานประตู แล้วเดินมาหยุดเคียงข้างคณิตา ก่อนจะออกเดินไปยังที่พักของว่าที่พี่สะใภ้ทางนิตินัยในอนาคต

เจ้าของบ้านใจดีต้อนรับด้วยอาหารเช้าแบบง่ายๆ ประกอบไปด้วย ไส้กรอก ไข่ดาว ขนมปังปิ้ง และนมสดแก้วใหญ่ ระหว่างรอทิฆัมพรก็ลอบสังเกตกิริยาของคณิตา ท่าทางคล่องแคล่ว หยิบจับเครื่องครัวได้อย่างไม่เก้ๆ กังๆ นอกจากจะเป็นผู้หญิงเก่ง ผู้หญิงแกร่งแล้ว ยังมีเสน่ห์ปลายจวักด้วย เรียกว่าครบสูตรผู้หญิงเพียบพร้อม

“คุณเลขนี่เก่งทุกเรื่องเลยนะคะ ทั้งงานนอกบ้าน ทั้งงานในบ้าน” คุณครูใหญ่ประจำเกาะเอ่ยชม เมื่อแม่ของหลานสาวคนเล็กยกจานมาเสิร์ฟให้ถึงที่

“ก็แค่พอทำได้ค่ะคุณพุทธ อย่างพวกตระกูลไข่จะถนัดหน่อย ประเภทยากๆ อย่างพวกสารพัดแกงก็ทำไม่เป็นค่ะ ดีหน่อยที่น้องนาฏยังเล็กชอบทานอยู่ไม่กี่อย่าง แต่เลขก็ไม่รู้นะคะว่าน้องชอบทานหรือว่าเพราะแม่ทำได้แค่นี้เลยต้องทาน” คณิตาตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะ

“เลี้ยงลูกคนเดียวเหนื่อยไหมคะ”

“จะว่าเหนื่อยก็เหนื่อยค่ะ แต่ก็ทำให้ชีวิตมีสีสันขึ้นเยอะ แล้วก็ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกมากโข เพราะต้องรับผิดชอบชีวิตน้อยๆ ของเขาค่ะ” คณิตานั่งลงฝั่งตรงข้ามหลังจากวางจานอาหารของตนลงบนโต๊ะบ้าง

“พุทธต้องขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้คุณเลขมาอยู่ที่นี่ อย่างน้อยหลานสาวอีกคนของพุทธจะได้มีชีวิตสมบูรณ์มากขึ้น คุณเลขก็จะได้เหนื่อยน้อยลง”

“เลขต้องขอบคุณทุกคนมากกว่าค่ะที่เอ็นดูน้องนาฏ และไม่มองว่าเลขเป็นคนไม่ดี”

“คุณเลขอยากรู้เรื่องของเกาะนี้ต่อหรือยังคะ” เพราะเห็นแววตาวูบไหวไม่มั่นใจในตัวเองของว่าที่พี่สะใภ้ ทิฆัมพรจึงวกกลับเข้าเรื่องที่ทำให้เธอได้มาทานอาหารเช้าที่บ้านหลังนี้

“คุณพุทธคงไม่ถือใช่ไหมคะ ถ้าเราจะทานไปคุยไป” คณิตาถามอย่างเกรงใจ เพราะเธอเคยพบเจอคนเจ้าระเบียบจนนึกขยาด

“ไม่หรอกค่ะ ขอแค่เราไม่พูดตอนอาหารอยู่เต็มปากก็พอแล้ว” คุณครูใหญ่ยิ้มอย่างใจดี

“ถ้างั้นเลขขอถามก่อนนะคะ สี่ตระกูลที่คุณพุทธพูดถึงคืออะไรคะ”

“เริ่มแรกเดิมทีบนเกาะแห่งนี้เป็นที่อยู่ของคนสี่ตระกูลที่ล่องเรือสำเภามาจากประเทศจีนค่ะ ทั้งสี่ครอบครัวเป็นเพื่อนรักกัน เมื่อบรรพบุรุษของพุทธตัดสินใจลงรากปักฐานที่เกาะร้างแห่งนี้ ครอบครัวของเพื่อนรักอีกสามคนก็ตัดสินใจอยู่ที่นี่ด้วย ซึ่งก็ประกอบไปด้วยสกุลหยาง ลิ้ม จึง และก็หวัง ในครั้งนั้นทุกคนให้เกียรติคนสกุลหยางเป็นผู้นำกลุ่ม เพราะถือว่าเป็นคนตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ ซึ่งก็ต้องถือเป็นโชคดีที่ต้นตระกูลของพุทธนำพาทุกชีวิตสู่ความเจริญ เพราะถ้ามันดำเนินไปในทิศทางกลับกัน คนสกุลหยางคงถูกสาปแช่งไม่รู้จบอย่างแน่นอน” คณิตาพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“และเพราะความเจริญรุ่งเรืองที่ร่วมกันพัฒนา การจะทำการใดๆ ก็ต้องผ่านผู้นำทั้งสี่ก่อน ในอดีตมันก็ไม่ได้มีการตั้งกฎกติกาอะไรมากมายหรอกค่ะ ทุกคนอยู่กันด้วยใจและอยู่กันอย่างญาติมิตร แต่เมื่อสืบเชื้อสายกันต่อมาเรื่อยๆ ความเข้มข้นทางสายเลือดและมิตรภาพที่แน่นแฟ้นก็จางลง จึงต้องมีการร่างกฎกติกาขึ้นมาเพื่อความเป็นระเบียบและเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย”

“แล้วผู้นำเคยเปลี่ยนมือไปอยู่ที่คนสกุลอื่นบ้างไหมคะ” คณิตาถามอย่างอยากรู้

“ยังไม่เคยค่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครอยากได้นะคะ เพียงแต่พวกเขายังทำไม่สำเร็จมากกว่า” ทิฆัมพรกล่าว

“แล้วลานต้องโทษอยู่ที่ไหนคะ” คุณแม่ลูกหนึ่งซักถามต่อ

“ด้านหลังถ้ำรังนกค่ะ”

“แล้วบทลงโทษล่ะคะ” น้องสาวหัวหน้าเผ่าถึงกับยิ้มในความขี้สงสัยของว่าที่พี่สะใภ้

“ก็แล้วแต่ความผิดค่ะ พุทธก็บอกอะไรคุณเลขได้ไม่มากหรอกค่ะ เพราะพี่ไทยกับพี่ศิลป์กันพุทธออกจากเรื่องพวกนี้โดยสิ้นเชิง อย่าว่าแต่บทลงโทษเลยนะคะ ลานต้องโทษ พุทธก็ยังไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปเลยค่ะ”

“มันเป็นความลับมากขนาดนั้นหรือคะ หรือว่าบทลงโทษมันโหดร้ายทารุณ ป่าเถื่อนมาก”

“คงไม่ใช่มั้งคะ อาจจะเป็นเพราะพุทธเป็นผู้หญิง แล้วยังเป็นคุณครูด้วย พี่ๆ ก็เลยไม่อยากให้แม่พิมพ์ของชาติอย่างพุทธเข้าไปยุ่งเกี่ยว” ทิฆัมพรแย้งความคิดน่ากลัวของคณิตา

“แต่จะว่าไปกฎก็ต้องเป็นกฎใช่ไหมคะ ถ้าไม่ลงโทษกันอย่างจริงๆ จังๆ ใครจะกลัวกฎที่ตั้งเอาไว้ ถ้าเลขอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ไหมคะ” คณิตาถามต่อไปอีก

“รอถามพี่ไทยดีกว่านะคะ เพราะพี่ไทยจะตอบคำถามคุณเลขได้ดีกว่าพุทธ” ไม่ใช่ว่าไม่อยากเล่า แต่เรื่องบางเรื่องให้คนตรงหน้ารู้จากพี่ชายของเธอน่าจะดีกว่า ซึ่งคณิตาก็ไม่เซ้าซี้อะไรให้ลำบากใจอีก เรื่องราวที่พูดคุยกันจึงเปลี่ยนไปเป็นเรื่องทั่วๆ ไป ห่างไกลจากเรื่องตึงเครียดไปโดยปริยาย


ณ.ลานต้องโทษ
นายปลิวกับนายขาม สองผู้กระทำผิด ถูกจับมัดหลังชนกันนั่งอยู่กลางลานหญ้าในสภาพอิดโรย ใบหน้ามีรอยฟกช้ำดำเขียว พร้อมผู้คุมตัวใหญ่บึกบึนยืนรอบทั้ง 4 ทิศ ถัดจากลานไปมีก้อนหินธรรมชาติขนาดใหญ่ตั้งอยู่เป็นจุดๆ ไม่ห่างกันนัก และบนก้อนหินเหล่านั้นก็มีผู้คุมกฎนั่งเป็นประธานอยู่ ถัดไปก็เป็นครอบครัวของผู้กระทำผิด นั่งร้องห่มร้องไห้ด้วยความผิดหวังหรือเพราะความกลัวก็ไม่มีใครทราบได้
มหาสมุทรผู้รักษากฎแห่งเกาะยืนหลังตรง กอดอก มองตรง ฉายความเด็ดเดี่ยวให้เห็น รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่เป็นนิจวันนี้ถูกเก็บเข้ากรุ เหลือเพียงความเฉยชาบนใบหน้า จนยากจะหยั่งความคิดของชายหนุ่มผู้นี้ได้

“เนื่องจากมีผู้กระทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ ทำให้ผมต้องเชิญท่านภูผา ท่านศิลา ท่านวายุ และนายหัวไผท ผู้นำสี่ตระกูล มาตัดสินคดีความในครั้งนี้” มหาสมุทรหันไปคำนับผู้นำกลุ่ม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้อาวุโส ยกเว้นพี่ชายของเขาที่ยังหนุ่มยังแน่น หากที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้เพราะบิดาจากไปอย่างกะทันหัน

“สองคนนั้นทำผิดอะไร” ภูผาผู้นำสกุลหวัง ถามเปิดทาง ทั้งๆ ที่ทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว

“จัดหาที่พักพิงน้ำมันเถื่อนให้กับคนข้างนอกแลกกับเงินจำนวนไม่น้อย” มหาสมุทรแจงอย่างเป็นการเป็นงาน

“มีอะไรจะแก้ตัวไหม ปลิว ขาม” วายุผู้นำสกุลจึง มองทั้งสองคนอย่างผิดหวัง แม้ว่าปัจจุบันทั้งสองคนจะไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกับเขาก็ตาม แต่ก็สืบเชื้อสายมาจากต้นตระกูลของเขา

“...” ไม่มีประโยคใดเล็ดลอดออกมาจากปากทั้งสองคน

“แสดงว่ายอมรับสินะ ก็ดีเป็นลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับ” อย่างน้อยทั้งคู่ก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดทำให้เสียชื่อสกุล

“ทำไมถึงได้ไปยุ่งกับสิ่งผิดกฎหมายพวกนั้น” ศิลาตัวแทนสกุลลิ้มถามบ้าง

“เอ่อ...ผมอยากได้เงิน” ปลิวอึกอักพอสมควรก่อนจะสารภาพ

“รายได้ของเราไม่พอใช้ เราก็จำเป็นต้องหาเงินด้วยวิธีอื่น” ขามตอบฉะฉานตามประสาคนกล้า

“ข้ออ้างของคนไม่รู้จักประมาณตนน่ะสิ รายได้จากการพานักท่องเที่ยวล่องเรือเที่ยวรอบเกาะไม่ใช่เงินน้อยๆ ไหนจะรายได้จากร้านขายอาหารของเมียนายอีก สาธารณูปโภคบนเกาะก็แทบจะฟรีทุกอย่าง ไอ้เหตุผลที่ให้มาฟังไม่ขึ้นสักนิด” มหาสมุทรยิ้มเยาะ คนพวกนี้ไม่รู้จักคำว่าพอ ปล่อยให้ความโลภเกาะกินใจ

“เราก็ได้แค่นั้น แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่บนเกาะสักกะพีก” นั่นไงความจริงเริ่มคายออกมาแล้ว ผู้คุมกฎมองหน้าขามอย่างสมเพช
“อยากเป็นเจ้าของที่บนเกาะอย่างนั้นสิ แล้วนายล่ะปลิวมีจุดประสงค์อย่างเดียวกับขามหรือเปล่า” นายหัวไผทเปรยกับคนกล้าก่อนหันไปถามคนทำผิดอีกคนหลังจากนั่งฟังอยู่นาน

“เปล่าครับนาย ผมแค่อยากได้เงินใช้เท่านั้น”

“นายขามคิดว่าการกระทำแบบนี้ จะทำให้นายเป็นเจ้าของที่บนเกาะอย่างนั้นหรือ ไม่ว่าเงินที่นายหามาได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางนำมันมาซื้อที่บนเกาะได้ เพราะฉันไม่ขาย แล้วนายสองคนรู้หรือเปล่าว่าการกระทำของนายสองคน เป็นการทำร้ายคนทั้งเกาะทางอ้อม นายรู้ไหมว่าสิ่งที่นายสองคนทำอาจจะทำให้ความเป็นเอกเทศของเกาะเสมือนจันทร์หมดไป” บุรุษคนเดิมพูดเสียงเข้ม ใบหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาดุดัน สมกับตำแหน่งผู้นำรุ่นใหม่ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ทั้งสามคน

“นายไทยอย่าหาข้ออ้างมาลงโทษผมด้วยข้อหาหนักเกินความจำเป็น” ขามโยนข้อกล่าวหากลับคืนผู้สืบทอดอำนาจต่อจากบรรพบุรุษ

“หึหึ โง่แล้วยังอวดฉลาดอีกนะไอ้ขาม” สรรพนามเปลี่ยนไปทันควัน เมื่อมหาสมุทรเห็นว่าคนเช่นนี้ถ้าไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา

“นายศิลป์ฉลาดกว่าผมสักเท่าไหร่เชียว ถ้าฉลาดจริงคงไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างให้นายไทยหรอก งานที่ทำก็หนักกว่า แต่ได้อะไรตอบแทนบ้าง” ขามเริ่มเสี้ยม หวังให้พี่น้องทะเลาะกันเอง แต่มหาสมุทรกลับหัวเราะเสียงดังลั่น

“แกไม่ต้องมายุแยงตะแคงรั่วหรอก เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ถือคติเลือดข้นกว่าน้ำ และขอแสดงความฉลาดที่มีมากกว่าแกไม่รู้กี่เท่า ฉันจะจาระไนให้คนโง่ๆ อย่างแกฟังว่าที่นายหัวไผทพูดถึงหมายความว่ายังไง เกาะเสมือนจันทร์เป็นเกาะส่วนตัวที่ไม่มีหน่วยงานราชการใดๆ มาเกี่ยวข้องเลย ทำให้คนบางกลุ่มซึ่งนายก็รู้ว่าเป็นใครอยากครอบครอง การที่เกาะเสมือนจันทร์ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม มันก็เป็นเหตุให้ทางราชการหรือผู้หวังผลประโยชน์ใช้เป็นข้ออ้างในการจะเข้ามาสอดส่องดูแล เข้มงวดกับทุกคนบนเกาะ อิสระที่ทุกคนเคยได้จะได้กันอีกไหม และหากสิ่งที่พวกนายทำมันเลวร้ายกว่าครั้งนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้น เกาะแห่งนี้อาจจะต้องอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ไอ้ที่เคยอยู่กันอย่างสุขสบาย มันจะมีอีกหรือเปล่า”

“นายศิลป์พูดเกินไป จะมีใครรู้ได้ถ้าเราไม่พูด ท้ายเกาะนั้นก็ไม่ค่อยมีใครไปหรือให้ความสนใจ” ขามยังเถียงคอเป็นเอ็น

“ไม่ค่อยมีคนไป ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนไปใช่ไหมขาม” ศิลาถามเสียงนุ่มแต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม

“เอ่อ...” คราวนี้คนทำผิดถึงกับพูดไม่ออก

“จริงๆ แล้วครั้งนี้เป็นความผิดครั้งแรกของทั้งสองคน ผมจะยกโทษให้ก็ได้ แต่ผิดตรงที่ทั้งสองคนเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้คอยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยบนเกาะ ความผิดจึงดูหนักหนาสาหัสกว่าชาวเกาะทั่วไป กฎของเกาะข้อ 4 บอกเอาไว้ว่าใครทำผิดเกี่ยวกับอะไรให้ลงโทษด้วยสิ่งนั้น ทั้งสองคนแอบขนน้ำมันเถื่อน จะให้นั่งซดน้ำมันเถื่อนคนละถังสองถังก็คงดูโหดร้ายทารุณเกินไป จะให้ยึดเงินที่ได้จากค่าตอบแทนก็คงจะกล่าวหาว่าผมเอาเปรียบอีก เมื่อทั้งสองคนเป็นคนของสกุลจึง ผมขอยกการตัดสินโทษครั้งนี้ให้กับท่านวายุก็แล้วกันครับ” ถึงจะเป็นผู้นำสูงสุดของเกาะ แต่ไผทก็ไม่เคยทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาผู้ใหญ่เลยสักครั้ง เขามักจะให้เกียรติและให้ความเคารพบุคคลทั้งสามเฉกเช่นเดียวกับบิดาของตน

“บทลงโทษแรกก็คงต้องปลดทั้งสองคนออกจากผู้คุ้มครองเกาะ บทลงโทษที่สองให้ทั้งสองคนสำนึกผิดอยู่ที่นี่เป็นเวลาสองวันสองคืน งดอาหาร ให้ดื่มน้ำเท่าที่จำเป็น รายได้ที่หามาได้ให้หักเข้าส่วนบำรุงสาธารณูปโภคห้าสิบเปอร์เซนต์เป็นเวลาสามเดือน หากยังกระทำผิดซ้ำอีกครั้ง ต้องโทษสถานหนักขับออกจากเกาะ ยึดทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมด พ้นสถานภาพชาวเกาะเสมือนจันทร์ไปตลอดชีวิต ไม่ทราบว่าท่านภูผากับท่านศิลาเห็นด้วยหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงของวายุเฉียบขาด ไม่เคยคิดปราณีลูกหลานที่ไม่รักดี แม้จะรู้สึกสงสารและเสียใจมากแค่ไหนก็ตาม

“สำหรับความผิดครั้งแรก เท่านี้ก็คงพอให้สำนึกแล้วครับ” ภูผาตอบ ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย เมื่อไผทยกให้เป็นหน้าที่ของวายุ เขาก็คิดว่าสิ่งที่บุรุษผู้นี้กระทำมันก็สมเหตุผลแล้ว

“ผมก็เห็นด้วย” ศิลาก็ไม่คัดค้านเช่นเดียวกัน

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอสรุปโทษของทั้งสองคนให้เป็นไปตามคำสั่งของท่านวายุ และขอเพิ่มเติมรายละเอียดอีกสักเล็กน้อย” ไผทกล่าวสรุปปิดท้าย

“สำหรับนายขาม หลังจากรับโทษเสร็จสิ้นแล้ว ยังอยากมีที่ดินเป็นของตนเอง อยากสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับตัวเองอีกหรือเปล่า” สิ้นเสียงนายหัวหนุ่ม มหาสมุทรก็หันไปมองพี่ชายด้วยดวงตาฉงน ไม่เข้าใจว่าพี่ชายต้องการทำอะไร

“นายไทยจะให้ผมหรือครับ” ขามถามอย่างยินดี ไม่คิดว่าจะได้รับความปรานีเช่นนี้

“อยากได้หรือเปล่าล่ะ”

“ครับ ผมอยากได้”

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะจัดการให้ แต่ต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร สำหรับวันนี้ฉันขอสัญญาลูกผู้ชายก่อน หากนายขามได้รับที่ดินเป็นชื่อของตัวเองเรียบร้อยแล้ว จะไม่มาเรียกร้องสิทธิ์ใดๆ เพิ่มเติมอีก เพราะฉันถือว่านายขามได้ในส่วนที่ควรจะได้ไปแล้ว ตกลงไหม”

“ตกลงครับ” ขามตอบอย่างไม่รีรอหรือคิดตรึกตรองอะไร เพราะมัวแต่ดีใจที่บุญหล่นทับ

“ส่วนนายปลิว หลังพ้นโทษสองวันนี้แล้ว จะกลับไปทำมาหากินตามเดิมหรือต้องการแบบนายขาม” ไผทหันไปถามคนทำผิดอีกคนที่ไม่คิดจะเถียงหรือคัดค้านอะไรเลย ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าพื้นนิสัยของผู้ชายคนนี้ค่อนข้างดี ความผิดครั้งนี้ก็คงมาจากเพื่อนชักชวนมากกว่าคิดการณ์ใหญ่เสียเอง

“ผมขอกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิมครับ” แม้จะไม่ใช่คนฉลาดปราดเปรื่อง แต่เขาก็มีสมองอยู่พอตัว เขาคิดว่านายไม่มีทางยื่นหมูเข้าปากหมาง่ายๆ แน่ มันต้องมีอะไรแอบแฝงมากกว่านั้น ซึ่งเขาจะไม่ยอมเสี่ยงเด็ดขาด เมื่อเขารู้ทั้งรู้ว่าการได้อยู่ในความปกครองของไผทเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

“ฉันถือว่าเหตุการณ์ในวันนี้เป็นไปตามความพอใจของทุกฝ่าย และทุกเหตุการณ์มีพยานรู้เห็นทั้งสิ้น หากมีการบิดเบือนไปจากข้อตกลงในวันนี้ คนที่ละเมิดข้อตกลงจะถูกลอยแพกลางทะเล ไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น เข้าใจกันตามนี้นะ” ไผทกล่าวปิดศาลอย่างง่ายๆ ปล่อยให้มหาสมุทรสั่งการลงโทษผู้กระทำผิดสองคนตามบทลงโทษที่ตัดสินไปแล้ว

นายขามกับนายปลิวถูกมัดมือและเท้า ในลักษณะมือไขว้หลังติดกับเสาไม้ที่ถูกแบกมาตั้ง เท้าเหยียดตรงไปข้างหน้า ลานแห่งนี้แม้จะปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ แต่ก็มีแสงแดดรอดผ่านมาให้คนถูกตากเป็นปลาแดดเดียวร้อนระอุได้ และในยามค่ำคืนความชื้นก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณ อุณหภูมิลดต่ำลง แผ่ความเย็นไปทั่วผืนป่า บทลงโทษแม้จะดูไม่โหดร้าย หากก็สาหัสสากรรจ์สำหรับคนทั่วไป

ในระหว่างรอบุคคลที่มีหน้าที่ทำโทษผู้กระทำผิดทั้งสอง ผู้นำเกาะทั้งสี่ก็ยืนปรึกษาหารือกัน โดยเฉพาะเรื่องธุรกิจที่ค้ำจุนให้คนบนเกาะเสมือนจันทร์อยู่กันอย่างสุขสบาย

“ไทยจะแบ่งที่ให้ขามจริงๆ หรือ” วายุถาม

“เปล่าหรอกครับอาลม ผมคิดว่าจะจัดหาที่บนฝั่งให้ ในเมื่อเขาไม่มีความสุขที่จะอยู่ที่นี่ ผมก็ไม่อยากให้เขาอึดอัดครับ อีกอย่างผมต้องบอกว่า ผมกลัวครับ ขามเป็นคนมุทะลุดุดัน กล้าคิดกล้าทำ ถ้าคุมเขาได้ก็เป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้าไม่ผมกลัวว่าจะเป็นการทำร้ายเราครับ”

“ทำไมไทยไม่บอกทุกคนว่าพื้นที่บนเกาะนี้ สกุลหยางครอบครองโดยชอบธรรม” ศิลาถามบ้าง

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นสมัยคุณปู่ทวดของเขา ครั้งนั้นทุกคนต้องการพัฒนาเกาะเสมือนจันทร์ให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมบนฝั่ง คนที่ดิ้นรนและหาเม็ดเงินมาลงทุนก็คือคุณทวดของไผท เริ่มแรกมิได้ลงทุนที่นี่ แต่ลงทุนทำธุรกิจบนฝั่ง ต่อยอดจนกระทั่งได้เม็ดเงินจำนวนมหาศาล ส่วนหนึ่งได้มาจากการเล่นหุ้น อีกส่วนมาจากการร่วมธุรกิจกับพันธมิตรทางการค้า และเมื่อคุณทวดของไผทเรียกประชุมผู้นำทุกสกุลมาปรึกษาหารือด้วยเรื่องการค้า ท่านอยากให้ทุกสกุลเป็นหุ้นส่วนในกิจการที่กำลังเจริญเติบโตอย่างมั่นคง ในขณะนั้นท่านไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดเลย แค่ขอนำชื่อผู้นำกลุ่มเข้าไปมีอำนาจในกิจการเหล่านั้น เพื่อลูกหลานจะได้อยู่กันอย่างสุขสบายและมีส่วนร่วมในการบริหารงานต่อๆ ไป เพราะความใจกว้างและมิตรภาพที่แน่นแฟ้น ทำให้คนสกุลจึง หวัง และลิ้ม ตกลงยกพื้นดินที่แบ่งเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กันบนเกาะเสมือนจันทร์ให้กับสกุลหยาง ถือว่าเป็นการนำที่ดินไปต่อยอดให้เกิดรายได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และในพันธะสัญญานั้นก็ระบุว่า ถึงแม้คนสกุลหยางจะเป็นผู้ครอบครองเกาะเสมือนจันทร์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ห้ามทำการขายหรือขับไล่ชนชาวเกาะ ทุกคนมีสิทธิ์ในการดำรงชีวิตเฉกเช่นที่ผ่านมา และคนสกุลหยางก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ว่าจะผ่านมากี่รุ่นพันธะสัญญาในครั้งนั้นก็ยังศักดิ์สิทธิ์เสมอ

“เกาะเสมือนจันทร์เป็นของทุกคนครับอาหิน ผมอยากให้ทุกคนคิดเช่นนั้นตลอดไป เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ทุกคนรักแผ่นดินเกิด ช่วยกันปกป้องรักษาผืนดินแห่งนี้เพื่อลูกหลานของเราครับ ส่วนเอกสิทธิ์ทางกฎหมายก็ปล่อยมันไปเถอะครับ ผมยึดมั่นไว้ก็เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาครอบครองที่ดินบนเกาะก็เท่านั้น” นี่คือคำสั่งรวมถึงเป็นคำสอนของบรรพบุรุษของเขา และมันจะสืบสานต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานของเขาด้วย

“ได้ข่าวว่า...กลับมาป้วนเปี้ยนแถวนี้อีกแล้วเหรอ” ภูผาถามถึงคนบางคนบ้าง

“การข่าวของอาภูยังแม่นยำเหมือนเดิมเลยนะครับ ผมก็ได้ข่าวมาแบบนั้นเหมือนกัน ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกรากันไปนะครับ” ไผทถอนใจอย่างเอื้อมระอา

“เพราะอาเลี้ยงเขาไม่ดี เขาเลยคิดเผาบ้านตัวเอง” ภูผาพูดอย่างรู้สึกผิด

“ไม่ใช่หรอกครับอา ทุกคนมีสิทธิ์คิดนะครับ เขาอาจคิดว่าเขาสามารถดูแลเกาะนี้ได้ดีกว่าพวกผมก็ได้”

“เรื่องมันผ่านไปนานแล้วภู อย่าคิดมากเลย เขาอาจแค่อยากกลับมาเยี่ยมบ้านก็ได้” วายุตบบ่าเพื่อนรักอย่างเข้าใจหัวอกคนเป็นพี่ น้องทำผิด มีหรือพี่จะไม่รู้สึกระอายใจ

“กลับกันเถอะ เจ้าศิลป์มานั่นแล้ว” ศิลาเอ่ยตัดบทก็เหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนอาชาตัวใหญ่สีดำสนิท คนที่เหลือจึงปฏิบัติตามบ้าง เพราะนี้เป็นเขตแนวป่า การเดินทางด้วยพาหนะสี่ขาจึงสะดวกที่สุด เมื่อทุกคนพร้อม ทั้งหมดก็กระทุ้งสีข้างของม้าให้กระโจนไปข้างหน้า ปล่อยให้ลานต้องโทษทำหน้าที่ของมันต่อไปอย่างซื่อสัตย์และเที่ยงตรง


ปล. บทนี้ให้เฮียไทยจัดการเรื่องบนเกาะไปก่อน ส่วนเจ๊เลขก็ศึกษาการใช้ชีวิตของคนเกาะไปพลางๆ บทหน้าค่อยมาพบซีนสองสามีภรรยาปะทะฝีปากกันเล็กน้อย และแอบหวานนิดๆ พอให้ชุ่มชื่นหัวใจ...^_^ แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ ขอให้คุณผู้อ่านมีความสุขกับวันหยุดสุดสัปดาห์นะคะ



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ม.ค. 2557, 08:44:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ม.ค. 2557, 08:44:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1569





<< บทที่ 8   
koffee 25 ม.ค. 2557, 16:20:50 น.
จับไก่ค่ะ "รู้สึกละอายใจ" ล.ลิงค่ะ ไม่ใช่ ร.เรือ


พลอยจำปา 25 ม.ค. 2557, 16:28:11 น.

รออ่านต่อค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account