หวานเล่ห์เสน่หา (เปลี่ยนชื่อเรื่องจากมนต์รักไผทค่ะ)
เรื่องราวของวิศวกรสาวกับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเกาะ เส้นทางของทั้งคู่ไม่น่าจะมาพบกันได้ แต่กามเทพก็แผลงศรให้คนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันเลย ต้องมามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างไม่ตั้งใจ เรื่องราวทุกอย่างจบลงเพียงแค่คืนนั้น...หากเมื่อคู่กันแล้วต่อให้ห่างไกลกันสักเพียงไหน เมื่อถึงเวลาคนสองคนก็ต้องโคจรกลับมาพบกันอยู่ดี และการพบกันในครั้งนี้จะสร้างความรักให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ไปช่วยกันลุ้นค่ะ
Tags: เกาะ

ตอน: บทที่ 8

บทที่ 8

รอยยิ้มแปลกๆ ที่ได้รับจากครอบครัวหยางลิ่วเจริญวงศ์ในเช้าวันนี้ ทำให้คณิตาสงสัย จนกระทั่งเพียงฤทัยจูงมือคีตศิลป์มาหยุดยืนหน้าบ้านเธอพร้อมกับมหาสมุทรและทิฆัมพร

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่สกุลหยางนะครับพี่สะใภ้” มหาสมุทรกล่าวเป็นคนแรก

“ดีใจจังค่ะที่พุทธมีพี่สะใภ้เพิ่มอีกคน”

“ยินดีด้วยนะคะ ได้เป็นคุณแม่เต็มตัวจริงๆ สักที” เพียงฤทัยก็อดแซวไม่ได้ “ต่อไปน้องเพลงต้องเรียกป้าเลขแล้วนะคะ ไม่ใช่น้าเลขอย่างที่ผ่านมา” แม่ของคีตศิลป์ก้มหน้าสอนบุตรสาวของตน

“เอ่อ...หมายความว่า”

“พี่ไทยเล่าให้พวกเราฟังหมดแล้วครับคุณเลข จากนี้ไปถือว่าเริ่มต้นชีวิตใหม่นะครับ ความผิดพลาดในอดีตอย่าได้ไปจดจำ และผมมั่นใจว่า หากคุณเลขไม่จากไปก่อน พี่ไทยก็พร้อมจะรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น คงไม่ปล่อยให้คุณเลขเลี้ยงน้องนาฏตามลำพัง” มหาสมุทรกล่าวด้วยความมั่นใจ

“ขอบคุณค่ะทุกคน แต่เลขขอได้ไหมคะ เรื่องของเลขกับคุณไทย ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า เลขขออยู่ในฐานะลูกจ้างต่อไปนะคะ อย่างที่เลขบอกกับคุณไทย เลขไม่เคยคิดขัดขวางเรื่องระหว่างน้องนาฏกับญาติๆ ของแก แต่ไม่ได้หมายความว่าเลขจะกลายเป็นคนหนึ่งในครอบครัวของพ่อของแก”

“ทำไมคะ” ทิฆัมพรไม่เข้าใจความคิดของพี่สะใภ้คนโต

“เลขไม่อยากอยู่กับคำว่ารับผิดชอบค่ะ ถ้าอยู่กันเพียงเพราะคำนี้ เราก็เป็นคนรู้จักกันเหมือนเดิมดีกว่า” คณิตาให้เหตุผล ซึ่งก็ทำให้ทุกคนนึกถึงเรื่องราวในหนหลังของเธอที่ได้รับฟังจากต้นกล และเมื่อได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดจากท่านหัวหน้าเผ่า ทุกคนก็ลงเป็นความเห็นเดียวกันว่า ต้นกลคงนึกสงสัยว่าหนึ่งในสองหนุ่มต้องมีคนใดคนหนึ่งเป็นพ่อของนาฏศิลป์ จึงยอมเปิดปากเล่าเรื่องส่วนตัวของคณิตาอย่างเสียมารยาท

“ถึงแม้หัวหน้าเผ่าของเราจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีความรับผิดชอบสูงผิดมนุษย์มะนาสักหน่อย แต่พุทธเชื่อว่าพี่ไทยจะใช้ใจในการตัดสินเรื่องนี้ค่ะ และถ้าไม่มีใจสักนิด พี่ไทยคงไม่ขอโอกาสให้ตัวเอง ที่พวกเรามาพบคุณเลขในเช้าวันนี้ เพียงแค่อยากจะบอกว่า พวกเราเต็มใจให้คุณเลขมาเป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ”

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณทุกคนจริงๆ เลขโชคดีที่ได้มีโอกาสมาที่นี่” คณิตาผู้ซึ่งไม่เคยมีญาติมิตร เมื่อมีครอบครัวๆ หนึ่งยื่นมือมารับเธอเป็นวงศาคณาญาติ เธอก็อดรู้สึกตื้นตันไม่ได้

“มาชุมนุมอะไรกันแถวนี้” เสียงที่ดังมาจากทางด้านหน้าของตัวบ้าน ทำให้ทุกคนหันไปมองก็พบบุรุษท่านหนึ่งนั่งอยู่บนรถกอล์ฟ ในชุดเตรียมพร้อมจะไปทำงาน

“ป้อไทย” นาฏศิลป์วิ่งไปหาบิดาเกาะขายิ้มประจบ

“พุทธมารับน้องนาฏกับน้องเพลงไปโรงเรียนค่ะ” ทิฆัมพรรู้สึกหมั่นไส้พี่ชายขึ้นมาตะหงิดๆ จึงบอกพี่ชายว่าสิ่งที่ตนทำเป็นเรื่องปกติ แต่อีกฝ่ายต่างหากที่ผิดปกติ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยสนใจสองแม่ลูกคู่นี้เลย

“วันนี้พี่ไปส่งน้องเพลงกับน้องนาฏเอง” ไผทบอกโดยไม่สนใจคำพูดธรรมดาแต่แอบเหน็บของน้องสาว

“แล้วแม่ของลูกล่ะครับพี่ไทย” มหาสมุทรเย้าแหย่พี่ชายบ้าง

“ก็ไปกับนายไง ปกติก็ไปด้วยกันไม่ใช่หรือ” หัวหน้าเผ่าตอบหน้าตาเฉย

“อะไรกัน รักลูกเขาแต่ไม่รักแม่แบบนี้ เข้าข่ายเกลียดตัวกินไข่นะครับคุณพี่ชาย”

“ก็ดีกว่านายนั่นแหละที่ซดทั้งน้ำแกง แทะทั้งปลาไหล เพียงคุมความประพฤติมันหน่อยนะ พี่ได้กลิ่นตุ๊ๆ ลอยมาด้วย ระวังไข่มันจะฟักเป็นตัว สร้างความเดือดร้อนมาให้” พูดจบไผทก็โน้มตัวลงมาอุ้มบุตรสาวไปนั่งเบาะข้างๆ แล้วเดินลงจากรถไปรับกระเป๋านักเรียนจากคณิตา ต่อด้วยอุ้มหลานสาวที่ยืนข้างน้องสะใภ้

“พี่ศิลป์ที่พี่ไทยพูดหมายความว่ายังไงคะ ไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหน บอกเพียงมาเดี๋ยวนี้นะ” คนหย่อนระเบิด ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ก่อนโบกมือลาคนซวยเพราะปากของเขา

“เฮ้ย! มีที่ไหนกันเพียง ถ้ามีก็มีแต่ไข่นกนางแอ่นที่อยู่ในถ้ำนั่นแหละ อย่าไปฟังพี่ไทยสิ เขินเรื่องคุณเลขแล้วหาเรื่องกลบเกลื่อนไม่ว่า” มหาสมุทรแก้ตัวพัลวัน

“ถ้าเพียงจับได้นะว่าไข่ที่ฟักเป็นตัวน่ะมีแขนแทนปีก รับรองว่าเพียงเจี๋ยนแล้วโยนให้ปลากินแน่” เพียงฤทัยชี้นิ้วคาดโทษสามี

“พี่ไทยนะพี่ไทย หาเรื่องให้จนได้” มหาสมุทรเกาหัวอย่างขัดใจ ก่อนตามง้อภรรยาที่สะบัดหน้าหนี เดินนำโด่งกลับบ้านแล้ว

“เรื่องที่คุณไทยพูดจริงหรือคะคุณพุทธ” คณิตามองตามสองสามีอย่างสงสัย ด้วยที่ผ่านมาไม่เคยเห็นมหาสมุทรเจ้าชู้สักที

“ตอนเป็นโสดก็มีบ้างค่ะ ตามภาษาผู้ชาย ยิ่งสมัยนั้นพี่ศิลป์ติดไต๋กงเรือแจ ออกทะเลเป็นเดือนๆ ก็มี แต่อย่างว่านะคะคุณเลข ชายโสดเห็นน้ำกับฟ้าเป็นเดือน ขึ้นบกมาพวกอยากเรื่องอย่างว่าก็มีไม่น้อย พี่ศิลป์นี่เป็นแนวพวกมากลากไปค่ะ บ้างก็ว่าพี่ศิลป์ไม่เคยมีอะไรกับสาวๆ ในนั้นหรอก แค่ไม่อยากปฏิเสธไต๋กงกับเพื่อนๆ ที่ลงเรือด้วยกัน ส่วนจะจริงหรือเปล่าพุทธก็ไม่รู้”

“แล้วคุณไทยล่ะคะ”

“แหม! แอบสืบราชการลับนะคะ” ทิฆัมพรหัวเราะ เมื่อเห็นใบหน้าของคณิตาขึ้นสีระเรื่อ ผู้หญิงเราต่อให้ก๋ากั่นขนาดไหน ก็คงไม่อยากมีสามีหลายคน ถ้าเลือกได้เราก็คงเลือกที่จะเป็นของผู้ชายเพียงคนเดียวในชีวิต ไม่ว่ามันจะเกิดจากเหตุผลใดก็ตาม

“พี่ไทยเขาเป็นนิ่งๆ ไม่ค่อยเอาเรื่องเอาราวกับใครถ้าไม่จำเป็น แม่เคยบอกเพียงว่า พี่ไทยใช้พระคุณกับทุกคนบนเกาะ ส่วนพี่ศิลป์ใช้พระเดชควบคุมความสงบเรียบร้อยของเกาะ ส่วนพ่อบอกว่าพี่ไทยน่ะเป็นฝ่ายบุ๋น ให้พี่ศิลป์เป็นฝ่ายบู๊ ดังนั้นคนที่จะไปคลุกคลีตีโมงกับพวกหัวแข็งบนเกาะจะเป็นพี่ศิลป์มากกว่า ส่วนพี่ไทยจะเป็นที่ปรึกษาและมองภาพรวมทั้งหมด แต่สำหรับพุทธนะคะ คนอย่างพี่ศิลป์ไม่น่ากลัวเท่าพี่ไทย เรียกว่าคมในฟักค่ะ”

“แบบนี้แสดงว่าไม่ใช่ย่อยใช่ไหมคะ”

“อิอิ ใช่ค่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องอย่างว่านะคะ เรื่องความเหี้ยมมากกว่าค่ะ”

“เคยมีใครต่อต้านไม่ยอมรับหัวหน้าเผ่าบ้างไหมคะ”

“มีมาเกือบทุกรุ่นนั่นแหละค่ะ อำนาจไม่เข้าใครออกใครนะคะคุณเลข ใครเป็นใหญ่ก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาล อยู่ที่ว่าจะรู้จักใช้มันอย่างคุ้มค่าหรือเปล่า ยิ่งบนเกาะเสมือนจันทร์แห่งนี้ ก็เหมือนขุมสมบัติดีๆ นี่เอง บรรพบุรุษรุ่นแรกๆ ของเราก็กลมเกลียวกันดีนะคะ อาจเพราะมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาก่อนจะมาพบสวรรค์บนดินแห่งนี้ แต่หลังจากรุ่นที่สาม สายเลือดเข้มข้นก็เริ่มจางลงค่ะ แต่ยังดีที่ผู้เฒ่าผู้แก่ตั้งกฎเอาไว้อย่างเคร่งครัด ตำแหน่งหัวหน้าเผ่าก็เลยยังตกอยู่ในมือคนรุ่นต่อๆ มาของคนสกุลหยาง พวกมาท้าชนตรงๆ ไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ พวกลอบกัดนี่สิคะน่ากลัว”

“เคยเกิดเรื่องหรือคะ”

“สมัยคุณพ่อของพุทธนะค่ะ แต่รุ่นของพี่ไทยยังไม่มีใครหาญกล้า ซึ่งพุทธไม่แน่ใจว่า เพราะคุณพ่อท่านแสดงให้ทุกคนเห็นหรือเปล่าว่า ถึงท่านจะไม่ใช่คนเหี้ยมแต่ไม่ได้หมายความว่าท่านเหี้ยมไม่เป็น และท่านก็ป่าวประกาศกับทุกครอบครัวบนเกาะ คนสกุลไหนคิดว่าดูแลผลประโยชน์ให้ทุกคนบนเกาะได้ดีกว่าคนสกุลหยาง ท่านยินดีลงจากตำแหน่งผู้รักษาผลประโยชน์ตามคำสั่งของบรรพบุรุษ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็รู้ดีว่าคนสกุลหยางปกป้องทรัพยากรบนเกาะเสมือนจันทร์เพื่อชาวเกาะทุกคน ไม่ใช่เพื่อลูกหลานสกุลหยางเท่านั้น ผู้สนับสนุนกลุ่มต่อต้านจึงเบาบางลงมาก เพราะรู้ดีว่ากลุ่มที่ตนกำลังสนับสนุนนั้นต้องการขายแผ่นดินถิ่นเกิดมากกว่าบำรุงรักษาให้อยู่กันอย่างยั่งยืน”

“พวกเขาคงคิดว่าเงินได้มาง่ายก็หมดไปง่าย แต่ทรัพย์ในดินสินในน้ำหากรู้จักใช้ รู้จักรักษา ก็ทำให้เราอยู่รอดได้ไปชั่วลูกชั่วหลาน” คณิตาเสนอความเห็นหลังจากนิ่งฟังอยู่ครู่ใหญ่

“นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งค่ะ แต่พุทธอยากให้ทุกคนคิดว่าที่นี่คือบ้าน บ้านที่เราต้องดูแลรักษา บ้านที่มีพี่น้องเราอยู่รวมกันมากมาย บ้านที่เราต้องรักษาไว้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว การรุกฮือขึ้นมาต่อต้าน นอกจากทำให้ที่นี่เป็นสนามรบแล้ว ยังทำให้เราเสียผลประโยชน์มากมายมหาศาล เศรษฐกิจซบเซา บ้านเราถูกมองจากคนรอบๆ บ้านว่า ป่าเถื่อน ใช้กำลังมากกว่าสมอง พวกมากลากไป ทุ่มเงินเพื่อแลกอำนาจ แต่ทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่เพียงหัวหน้าเผ่าเท่านั้นที่จะปกป้องแผ่นดินถิ่นเกิดได้ คนที่จะทำให้บ้านนี้เมืองนี้สงบสุขได้ก็คือสมาชิกทุกคนในบ้าน คนดีต้องควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้คนไม่ดีมามีอำนาจเหนือคนดี แล้วบ้านนี้เมืองนี้จะอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข”

“ฟังๆ ดูแล้ว คุณไทยกับคุณศิลป์งานหนักไม่ใช่เล่นนะคะ ทั้งต้องพัฒนา ทั้งต้องควบคุมสถานการณ์ให้ดำเนินไปอย่างปกติสุข” เมื่อได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ก็ทำให้คณิตาเข้าใจว่าเหตุใดไผทจึงน่าเกรงขาม ส่วนทำไมมหาสมุทรถึงต้องเป็นจอมโหด

“ก็หนักค่ะ แต่เราเน้นพัฒนาให้คนบนเกาะเห็นมากกว่าค่ะ อย่างโรงเรียนที่ตั้งขึ้น เราก็ทำให้เขารู้ว่าเราอยากให้เด็กของเราได้รับการศึกษาที่ดี สักวันหนึ่งเด็กของเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียนที่อื่นอีก เพราะที่นี่จะเป็นแหล่งรวมความรู้ตั้งแต่เริ่มเข้าวัยเรียนจนกระทั่งจบระดับอุดมศึกษา เมื่อพวกเขารู้ว่าเราทำเพื่อเขา เขาก็พร้อมจะปกป้องเราเหมือนกันค่ะ” ทิฆัมพรคิดว่าสิ่งที่เธอและพี่ชายทำนั้นเป็นเกราะป้องกันภัยที่ถาวรที่สุด

“เงินหรือจะซื้อความจริงใจได้ ใช่ไหมคะคุณพุทธ”

“ใช่แล้วค่ะ พุทธ พี่ไทย พี่ศิลป์ พยายามใช้ใจซื้อใจค่ะ เพราะมันมีค่ามากกว่าเงินมากมายนัก อุ้ย! สายแล้ว พุทธขอตัวก่อนนะ เม้าเพลินเลย ครูใหญ่ไปโรงเรียนสายกว่านักเรียนอายแย่ แล้วเจอกันตอนเย็นนะคะ” ทิฆัมพรอุทานออกมาอย่างนึกได้ว่ามันจวนเวลาโรงเรียนเข้าแล้ว

“ขอโทษด้วยนะคะ เลขชวนคุยเพลินไปหน่อย เลขก็คงต้องรีบไปเหมือนกันค่ะ เข้างานสายจะโดนตัดเงินเดือน” แล้วสองสาวต่างก็แยกย้ายไป ทิฆัมพรเดินกลับไปที่รถประจำตำแหน่งของตน ส่วนคณิตาก็เดินเข้าบ้านไปเอากระเป๋าสะพายเตรียมตัวไปทำงาน คาดว่าคงต้องอาศัยรถรางที่ให้บริการรอบเกาะ เพราะยังไม่เห็นมหาสมุทรเดินออกมาจากบ้าน สงสัยยังง้อเพียงฤทัยไม่สำเร็จ

“พุทธไปส่งไหมคะ” ทิฆัมพรจอดรถที่หน้าบ้านคณิตาอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ เลขไปรถรางได้ คุณพุทธรีบไปเถอะค่ะ จวนจะสายแล้ว”

“งั้นพุทธไปก่อนนะคะ” คณิตาส่งยิ้มให้ จากนั้นรถกอล์ฟที่มีหญิงสาวเป็นคนขับก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวจากไปอย่างรวดเร็วตามความรีบเร่งของผู้เป็นเจ้าของ


มหาสมุทรเดินหน้าเครียดเข้ามาในห้องทำงานพี่ชาย เจ้าของห้องเงยหน้าจากแฟ้มงานสบตาคุกรุ่นของผู้มาใหม่ การเข้ามาโดยไม่ให้สัญญาณแบบนี้มีมาไม่บ่อย แต่หากก็เป็นสัญญาณเตือนได้ว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติบนอาณาจักรของเขา ไผทจึงบุ้ยใบ้ให้น้องชายร่วมสายเลือดนั่งลง

“มีกลิ่นไม่ค่อยดีที่ท้ายเกาะครับ” มหาสมุทรไม่อารัมภบทให้เสียเวลา

“ที่มาของกลิ่นล่ะ”

“น้ำมันเถื่อน”

“จากคนของเรา?” ไผทถามด้วยนึกสงสัย บนเกาะนี้ถึงจะใช้น้ำมันแต่มันก็ไม่ใช่ปัจจัยหลัก เพราะเขาพยายามเอื้อความสะดวกให้กับทุกคนแล้ว ราคาน้ำมันที่ถีบตัวขึ้นสูงไม่น่าจะส่งผลให้กับชนชาวเกาะ นอกจากความโลภที่มีอยู่ในตัว

“ก็ไม่เชิงครับ แค่หาแหล่งพักพิงชั่วคราวให้แลกกับปัจจัยไม่น้อย”

“แล้วเจ้าของ?”

“ไม่ใช่คนที่พี่คิดครับ เป็นแค่มือใหม่หัดค้า”

“ปริมาณล่ะ”

“เยอะเหมือนกันครับ เพราะขนกันมาหลายรอบ ยังไม่เคยขนออก” มหาสมุทรรายงานอย่างที่ได้รับรายงานจากลูกน้อง

“งั้นที่มาบอกนี้เพราะมันกำลังจะขนออก” ไผทมองหน้าน้องชายอย่างรู้ทัน

“ทำนองนั้นครับ” มหาสมุทรตอบยิ้มๆ

“ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ”

“สามในสี่ครับ”

“เขายอมหรือ”

“ครับ เขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็รู้ดีว่าถ้าของอยู่กับเราจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่า” ท่านรองหัวหน้าเผ่าตอบอย่างคนไม่เคยคิดจะให้ใครเอาเปรียบ

“วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วนี่ จะมาบอกหาสวรรค์วิมานอะไร” ไผทอดแขวะน้องชายไม่ได้

“แหม! รายงานให้ทราบนิดหนึ่งสิครับ ท่านหัวหน้าเผ่าจะได้ไม่ตกข่าว อีกอย่างเดี๋ยวจะว่าผมทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา” แววตาระริกผิดกับตอนเข้ามาใหม่ๆ

“แล้วจะลงมือเมื่อไหร่ ต้องไปด้วยไหม”

“ไม่ต้องครับ รายนี้ผมจัดการเอง เอ่อ..มีอีกเรื่องครับ”

“ว่ามา”

“คนที่พี่สงสัยเริ่มเคลื่อนไหวทำอะไรบางอย่าง ไม่ห่างจากเกาะเท่าไหร่ มีต่างชาติมาด้วยครับ” สีหน้าระรื่นเมื่อครู่กลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง

“ล่องเรือชมธรรมชาติมั้ง” ไผทตอบไปเรื่อยเปื่อย

“จะให้ทำยังไงครับ” มหาสมุทรไม่สนใจคำประชดประชันนั้น ด้วยรู้ดีกว่าพี่ชายกำลังใช้ความคิด วิเคราะห์และตรึกตรอง ประมวลผลทุกอย่างก่อน

“เขาแค่มาเยี่ยมชมความงามของเกาะ เราทำรีสอร์ตนะจะไปทำร้ายนักท่องเที่ยวได้ยังไง เอาไว้ให้เขาเสนอหน้ามาก่อน เราค่อยออกไปต้อนรับอย่างเจ้าบ้านที่ดี” ผู้เป็นน้องพยักหน้ารับคำสั่ง ฟังดูง่ายๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง ไม่ต้องทำอะไรนี่แหละคือสั่งให้เตรียมพร้อม ใครเข้ามาเหยียบถึงถิ่นให้จัดการได้ทันที

“ก่อนนายจะจัดการอะไร ส่งลูกเมียขึ้นฝั่งก่อนล่ะ ถึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราก็ไม่ควรประมาท” ไผทวกกลับเข้าเรื่องด่วนอีกครั้ง

“แล้วน้องนาฏกับคุณเลข”

“ฉันจะบอกให้เขาระวังตัว แต่คงส่งออกนอกเกาะไม่ได้ มันน่าสงสัย อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับน้องนาฏก็ยังไม่มีใครรู้” หลังจากไปส่งบุตรสาวที่โรงเรียนในเช้าวันนั้น เขาก็ไม่เคยมีโอกาสทำหน้าที่พ่อที่ดีอีกเลย ด้วยเหตุผลหลายประการ หากก็ไม่ได้ทำให้ความใกล้ชิดบุตรสาวน้อยลง เพราะหลายค่ำคืนที่ได้นอนกอดเจ้าตัวเล็กจนถึงเช้า เพราะออดอ้อนมาขอนอนด้วย

“ถ้างั้นผมขอไปเตรียมการก่อนนะครับ”

“ทำอะไรคิดถึงลูกเมียด้วยล่ะ ไม่ใช่คิดแต่สนุกอย่างเดียว”

“ผมจะระวังตัวครับพี่” มหาสมุทรยกมุมปากขึ้น ทำให้ใบหน้าคร้ามดูอ่อนละมุนลง คำเตือนของพี่ชายแม้จะอ้างลูกอ้างเมียของเขา แต่เขาก็รู้ดีว่าพี่ชายเป็นห่วงเขาไม่แพ้ใคร

“ขอให้โชคจงอยู่กับนายนะศิลป์”

“ขอบคุณครับพี่”


เงาวูบไหวไถลตัวไปตามหน้าผา สไลด์ดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างชำนิชำนาญ ใกล้ถึงจุดหมายเท่าไหร่การเคลื่อนตัวก็เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น หากก็ยังคล่องแคล่วว่องไวกลืนไปกับความมืด รหัสที่ใช้สื่อสารกันเฉพาะกลุ่มถูกส่งโต้ตอบกันไปมา เพื่อให้ไม่ให้เกิดความผิดพลาดจากแผนที่วางไว้ สายตาที่เริ่มคุ้นชินกับความมืด เพ่งมองไปยังเป้าหมายของงานคืนนี้ ก็ยังไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ทำให้ต้องเฝ้ารออย่างใจเย็น จนกระทั่งเห็นแสงไฟเป็นจุดเหนือพื้นน้ำ รอยยิ้มผุดขึ้นเล็กน้อยบนใบหน้าของผู้รอคอย เมื่อแสงไฟเหล่านั้นค่อยๆ เคลื่อนจากผิวน้ำสู่ผิวดิน การสื่อสารของผู้มาถึงก่อนก็เริ่มต้นกันอีกครั้ง หลังจากได้รับคำสั่งคนที่เหลือก็กระจายตัวกันไปปฏิบัติหน้าที่ ส่วนคนเป็นหัวหน้าก็โรยตัวลงไปใกล้เป้าหมายมากกว่าเดิม เพื่อประมวลผล และเตรียมสั่งการคนของตนต่อไป

“มึงแน่ใจนะว่าเรื่องนี้จะไม่รู้ไปถึงหูนาย” เสียงแหบสำเนียงใต้บ่งบอกพื้นเพของคนพูดได้เป็นอย่างดี

“แน่ใจสิวะ ช่วงนี้นายวุ่นกับเรื่องนั้นมากกว่า ไม่มาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้หรอก” คนถูกถามตอบด้วยความมั่นใจ

“ถ้าครั้งนี้รอดไปได้ ครั้งหน้ากูไม่เอากับมึงด้วยแล้วนะ ถ้านายจับได้จะได้ไม่คุ้มเสีย”

“ถ้ามึงกลัวนัก แล้วมึงมากับกูทำไม” คนชวนชักหัวเสีย

“ก็ก่อนหน้านี้กูไม่กลัวนี่หว่า แต่ตอนนี้กูขอบอกว่า กูกลัวมาก มึงก็รู้กฎของเกาะดีไม่ใช่หรือ”

“กฎมีไว้แหกโว้ย” คนไม่กลัวพูดอย่างคะนองปาก

“ครั้งต่อไปมึงก็แหกไปคนเดียวแล้วกัน”

“ก็ดี กูจะได้รวยคนเดียว แต่ตอนนี้กูว่าไปอำนวยความสะดวกให้นายทุนของเรากันก่อนดีกว่า” จบแล้วคนกล้าก็เดินนำคนขี้ขลาดไปยังจุดนัดพบ

คนโลภสองคนไม่รู้เลยว่าไม่มีโอกาสได้แหกกฎอีกแล้ว คนที่ภายนอกดูอารมณ์ดี พูดคุยสนุกสนานเฮฮา และพร้อมจะช่วยเหลือทุกคนบนเกาะ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเป็นการเยาะเย้ยโชคชะตาของสองคนที่เพิ่งเดินห่างออกไป เขาพร้อมจะให้โอกาสคน แต่ไม่ใช่สำหรับพวกชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน เขาไม่ต้องการให้แผ่นดินถิ่นเกิด แปดเปื้อนไปด้วยสิ่งผิดกฎหมาย ดังนั้นการทำผิดในลักษณะอื่นอาจจะให้อภัยได้ แต่การกระทำผิดแบบนี้ เข้าข่ายเผาเรือนเกิด ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงไม่สามารถรอลงอาญาได้

การสื่อสารโดยไม่ใช้เสียงเริ่มต้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นการบอกให้ลูกทีมเตรียมตัวให้พร้อม ที่นี่อาจจะเป็นปราการปกป้องเกาะเสมือนจันทร์จากภัยธรรมชาติและผู้บุกรุกได้เป็นอย่างดีเยี่ยม แต่มันก็เป็นหนทางซุกซ่อนสิ่งแปลกปลอมได้อย่างมิดชิดเช่นเดียวกัน หากมองแหงนหน้ามองจากด้านล่างขึ้นไปก็จะพบหน้าผาสูงชัน การสัญจรไปมาทำได้สองทาง เส้นทางแรกคือโรยตัวลงมาจากหน้าผา เส้นทางที่สองก็โดยสารมาทางเรืออย่างพวกที่กำลังเดินตามคนของเกาะเข้ามาอย่างระแวดระวัง และเพราะธรรมชาติเป็นผู้มีศิลปะ จึงได้บรรจงสร้างสรรค์ถ้ำลับแลแห่งนี้เอาไว้ โดยปกติหากต้องการแวะมาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ทางน้ำ ก็ต้องดูฤกษ์ดูยามให้ดีว่าเวลาใดที่ระดับน้ำทะเลจะสูงพอให้เรือเทียบชะงอนผาที่จะเดินเข้ามายังปากถ้ำได้พอดิบพอดี ดังนั้นบุคคลที่สัญจรผ่านไปมา ไม่มีทางรู้ดีไปกว่าคนที่เคยสำรวจทุกพื้นที่บนเกาะแห่งนี้กับผู้เป็นนาย ความผิดของคนใกล้ชิดย่อมร้ายแรงกว่าชาวเกาะทั่วไป

เจ้าของถิ่นปล่อยให้คนในปกครองและคนต่างถิ่นทำในสิ่งที่ต้องการไปเรื่อยๆ โดยไม่แสดงตัวหรือต่อต้าน มองพวกแมงเม่าอย่างใจเย็น สิ่งของล็อตแรกถูกส่งออกไปเต็มลำเรือ และคนนอกก็ได้เคลื่อนขบวนออกจากเกาะของเขาไปยังมือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่เตรียมตัวต้อนรับอยู่ไม่ห่างจากเกาะนัก นั่นหมายความว่าถึงเวลาการปรากฏตัวของเขาแล้ว ร่างในชุดดำทะมึน ปล่อยสลักที่ที่ยึดเชือกเอาไว้ให้ส่งตัวเขาลงไปยังปากถ้ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยืนพิงกำแพงธรรมชาติตรงหน้าถ้ำอย่างใจเย็น จนกระทั่งคนทรยศสองคนเดินกลับมาสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ใครพบสิ่งผิดปกติที่ตนทำ ทั้งสองชะงักไป ตัวแข็งทื่อราวกับเห็นมัจจุราชยืนรอรับวิญญาณของตน

“นายศิลป์” กว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ ร่างกายก็ชาไปกว่าครึ่ง ขาก้าวไม่ออกแม้แต่เพียงก้าวเดียว

“แวะมาเที่ยวถ้ำเหมือนกันเหรอ นายปลิว นายขาม” มหาสมุทรถามยิ้มๆ

“ปะ เปล่าครับ” นายปลิวคนขี้ขลาดปฏิเสธเสียงสั่น

“พวกผมมาตรวจตราตามปกติครับนายศิลป์ เห็นว่าช่วงนี้ฝ่ายนั้นมาป้วนเปี้ยนรอบเกาะบ่อยๆ” นายขามคนกล้าแก้ตัวจนคล่องปาก

“แล้วเจออะไรผิดปกติไหม”

“ไม่ครับ นี่ก็กำลังจะชวนไอ้ปลิวกลับแล้วครับ”

“ขอบใจมากที่คอยเป็นหูเป็นตาให้กับคนชาวเกาะทุกคน” คนเป็นนายยังมีน้ำใจมอบให้กับคนที่ยืนตัวสั่นกับคนฝีปากกล้า

“ที่นี่ก็บ้านพวกผมเหมือนกันนี่ครับ แล้วนี่นายจะกลับพร้อมพวกผมเลยหรือเปล่า” นายขามถามพร้อมเอ่ยชวนกลายๆ

“กลับสิ ในเมื่อทั้งสองคนยืนยันแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ไม่รู้จะอยู่ให้เมื่อยตุ้มทำไม กลับไปนอนดีกว่า ง่วงจะตายแล้ว” ท่าทีไม่ใส่ใจของมหาสมุทรทำให้ปลิวกับขามถอนใจอย่างโล่งอก

“ถ้างั้นเชิญนายศิลป์ก่อนดีกว่า ผมขอตรวจบริเวณอีกสักรอบแล้วจะค่อยกลับ นายศิลป์ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“จัดการการให้เรียบร้อยล่ะ ฉันจะรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน” ท่านรองหัวหน้าเผ่ากล่าวขึ้นลอยๆ ไม่ได้ระบุว่าคำสั่งนั้นบ่งบอกใครเป็นพิเศษ ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจึงรับคำทันควัน ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะปีนหน้าผาหายไปกลับความมืด ทิ้งบุคคลสองคนไว้เบื้องหลังพร้อมกับคำสั่งที่ได้รับการปฏิบัติตามทันที


* บอกให้ทราบล่วงหน้าเลยนะคะ พระเอกเรื่องนี้ไม่หวานเจี๊ยบ แต่จะหวานปะแล่มๆ หวานแบบมีฟอร์ม หวานแบบเรียกร้องความสนใจ หวานแบบแปลกๆ....555



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ม.ค. 2557, 09:33:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ม.ค. 2557, 09:43:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1520





<< บทที่ 7   บทที่ 9 >>
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 23 ม.ค. 2557, 16:33:08 น.
จะหวานแบบไหน ก็ได้ใจคนอ่าน ค่ะ writer ถ้าให้ดีมาก ๆ ต้อง up ทุกวันค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account