^การเดินทางของความฝัน^
เรื่องราวบนเส้นทางแห่งความฝันของบรรดานักศึกษาแพทย์ บนทางเดินที่ไม่ได้โรยด้วยตำราหรือกลีบกุหลาบ แต่มีพร้อมทั้งอารมณ์ ความสับสน และอ่อนไหว
...เพราะชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย...
ญาตาวี...เด็กสาวผู้มีญาณพิเศษในการมองเห็นดวงวิญญาณ กับชีวิตวุ่น ๆ ในรั้วโรงเรียนแพทย์ที่มีวิญญาณหลงทางอยู่เคียงข้าง
ชลกานต์...เด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิตเสียจนน่าอิจฉา กับเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มและหัวใจที่มั่นคงราวจะไม่ไหวคลอน
ชนิสรา...เด็กสาวเจ้าของดวงตาคมวาวแห่งความมั่นคงและทระนง กับหัวใจอันอ่อนไหวที่ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกับความเชื่อมั่น
เรื่องราวของพวกเธอทั้งสาม และเพื่อน ๆ บนถนนสายความฝัน
เมื่อชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด
เมื่อความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
เมื่อการเดินทางครั้งนี้...ไม่มีเส้นทางลัด
มีแค่เพียงสองขา สองมือ และหนึ่งหัวใจเท่านั้นที่จะพาพวกเธอผ่านไป
...เพราะชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย...
ญาตาวี...เด็กสาวผู้มีญาณพิเศษในการมองเห็นดวงวิญญาณ กับชีวิตวุ่น ๆ ในรั้วโรงเรียนแพทย์ที่มีวิญญาณหลงทางอยู่เคียงข้าง
ชลกานต์...เด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิตเสียจนน่าอิจฉา กับเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มและหัวใจที่มั่นคงราวจะไม่ไหวคลอน
ชนิสรา...เด็กสาวเจ้าของดวงตาคมวาวแห่งความมั่นคงและทระนง กับหัวใจอันอ่อนไหวที่ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกับความเชื่อมั่น
เรื่องราวของพวกเธอทั้งสาม และเพื่อน ๆ บนถนนสายความฝัน
เมื่อชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด
เมื่อความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
เมื่อการเดินทางครั้งนี้...ไม่มีเส้นทางลัด
มีแค่เพียงสองขา สองมือ และหนึ่งหัวใจเท่านั้นที่จะพาพวกเธอผ่านไป
Tags: นักศึกษาแพทย์ ความฝัน ญาตาวี ชลกานต์ ชนิสรา
ตอน: Chapter 4.1 'คนเยอะมาก...ผมกลัวคุณจะหายไป'
บทที่ 4
…It’s like a dream where I met you...who lighted up my world, my crimson world
And for sure...I’ve still remembered...how I met you…
อาทิตย์สุดท้ายหลังการสอบลงกองเวชศาสตร์ชุมชน ภาควิชาต่อไปที่บรรดานักศึกษาแพทย์จะวนขึ้นไปพบคือกุมารเวชศาสตร์ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่จะต้องเริ่มราว์นวอร์ด บันทึกข้อมูลผู้ป่วยในแต่ละวัน ร่วมวางแผนการรักษากับรุ่นพี่อย่างเป็นกิจจะลักษณะ และสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยแทบตลอดเวลาทำงาน วันอาทิตย์ที่ควรจะเป็นวันพักผ่อนจึงกลายเป็นวันทำงานเสียเกือบครึ่งหนึ่ง
“โชคดีนะที่พวกเราได้อยู่ด้วยกัน” ชลกานต์บอกอย่างมีความสุข เมื่อเห็นตารางวนวอร์ดที่แบ่งบรรดานักศึกษาเป็นกลุ่มละ 8 คน กระจายไปตามหอผู้ป่วย
“อืม…ชล วี พัฒน์ เฟรมอยู่สาย A มี 12 เคส คนละ 3 พอดี ไล่วนตามนี้นะ” ชลกานต์เขียนไล่หมายเลขเตียง แล้วใส่ชื่อเพื่อนลงไป ก่อนยื่นให้ทุกคนดูพร้อมกัน
“ของวีมี 3, 14, 22 พัฒน์ 6, 17, 23 เฟรม 7, 19, 25 ส่วนเรา 12, 21, 27”
“ถ้ารับใหม่ก็เริ่มที่วีแล้ววนตามนี้เลยไหม” กิตติพัฒน์ออกความเห็น
“เอาแบบนั้นก็ได้”
หลังตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปศึกษาประวัติผู้ป่วยในความดูแล ญาตาวียกแฟ้มเอกสารสีน้ำเงินเล่มใหญ่ หน้าปกมีการ์ดเล็ก ๆ แปะชื่อผู้ป่วย และผลการวินิจฉัยเบื้องต้น มุมซ้ายล่างเป็นรูปเด็กหัวจุกบอกความเป็นหอผู้ป่วยกุมารเวช
…เตียง 22 เด็กชายปกรณ์ Dx. R/O Rhabdomyosarcoma…
ญาตาวีกระพริบตาปริบ ๆ ไล่อ่านประวัติผู้ป่วยด้วยความสนใจ
เด็กชายวัยเพียง 3 เดือน มารดาเริ่มพบว่ามีก้อนที่ต้นขาขวาตั้งแต่อายุได้ครึ่งเดือน ก้อนโตใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จึงไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชน ก่อนส่งตัวมารับการรักษาต่อในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่
…เตียง 14 เด็กชายภูธัส Dx.UTI(การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ)…
…เตียง 3 เด็กหญิงมนธกานต์ Dx.AML(โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว)
ญาตาวีถอนใจเบา ๆ เมื่อไล่อ่านประวัติการรักษาของเด็กทั้งสามครบแล้ว เนื่องจากวอร์ดนี้เป็นหอผู้ป่วยเด็กเล็ก ผู้ป่วยแต่ละรายมีอายุตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 5 ปี
ชีวิตที่ยังเปราะบาง ไร้เดียงสา แต่กลับมีเรื่องราวมากมายที่ญาตาวีต้องเรียนรู้
ญาตาวีเดินไปที่เตียงผู้ป่วย สอบถามอาการ และประวัติการรักษาในแต่ละเตียงตามที่ได้รับมอบหมาย จนมาถึงเตียงสุดท้ายของเธอ เตียง 22 เด็กชายปกรณ์
เตียงนั้นอยู่ฝั่งริมหน้าต่าง ล็อกสุดท้าย เป็นเตียงเหล็กสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ทำเป็นซี่กรงสูงที่ยกขึ้นมาปิดได้ทั้งซ้าย-ขวา ป้องกันเด็กกลิ้งหรือปีนตกลงมาจากเตียง ข้างกันคือโซฟานอนสำหรับคนเฝ้าอยู่ติดฉากไม้ที่กั้นเป็นห้องเล็ก ๆ เพื่อความเป็นส่วนตัว หญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ตัวยาวยืนนั่งอยู่บนโซฟานั้น เธอกอดร่างเล็กราวตุ๊กตาที่เปราะบางไว้แนบอก ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ผืนฟ้ากว้างคงมืดมัว ดวงตาเธอจึงดูหม่นแสงอย่างเหม่อลอย
“สวัสดีค่ะ...นักศึกษาแพทย์ญาตาวี...นักศึกษาแพทย์ชั้นปี 4 ขอรบกวนสักครู่นะคะ” เธอบอกกับหญิงสาวผู้นั้น “น้องชื่ออะไรคะ”
“ปกรณ์ค่ะ...ชื่อเล่นชื่อน้องอ้น”
“น้องอ้น...3 เดือนแล้วใช่ไหมค่ะ”
“เพิ่ง 3 เดือนเมื่อ 5 วันก่อนเองค่ะ” เสียงนั้นเบา แต่แฝงด้วยอาการทอดถอนใจบางอย่างที่ทำให้ญาตาวีเลิกคิ้วมอง
“แกเป็นอะไรมาหรือคะ”
เธอดึงตัวเด็กน้อยออก จับกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในอ้อมแขนอุ่น ก่อนจะเลื่อนมือซ้ายมาเปิดผ้าที่ห่มตัวเด็กน้อยออก เผยให้เห็นต้นขาขวาที่มีก้อนนูนขึ้นความยาวเกือบครึ่งต้นขา “เป็นก้อนที่ขาน่ะค่ะ”
“เจอมาตั้งแต่เมื่อไรคะ”
“ตอนเขาเกือบเดือน พี่ก็อาบน้ำให้เขา พอทาออยก็สะดุด ๆ ว่ามันเหมือนเป็นก้อนนูน ๆ เลยไปหาคุณหมอ แกก็บอกให้ติดตามดูอาการ พี่ก็เลยรอดูมาเรื่อย ๆ ก้อนมันก็ใหญ่ขึ้นเลยมาตรวจอีกที่ เขาบอกว่าเป็นเนื้องอก เลยส่งตัวมานี่ล่ะ”
“อืม…แล้วคุณหมอที่นี่ว่ายังไงบ้างคะ”
“ก็นัดมานอนผ่าตัดเก็บชิ้นเนื้อไปดูน่ะค่ะ”
“ออ…แล้วนี่นอนมานานหรือยังคะ”
“สองวันแล้ว” เธอคลี่ยิ้มบาง ๆ แต่ดวงตายังหม่นแสงอย่างเห็นได้ชัด
ญาตาวีนิ่งไปครู่ ก่อนเอ่ยถาม “น้องอ้นมีพี่ไหมคะ”
“ไม่ค่ะ แกเป็นลูกคนแรก” เธอยิ้มตอบ “เป็นหลานชายคนแรกของบ้านด้วย...พอป่วย ทั้งบ้านเลยนั่งกันไม่ติด”
“เชื้อจีนด้วยหรือคะ”
“ใช่ค่ะ...ที่บ้านสามีพี่เป็นจีน อากงอาม่าเขารอหลานชายคนแรกมานาน” เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ กึ่งหยัน “พอได้มา...ก็ดันมาป่วย”
ความเศร้าบางอย่างคล้ายจะส่งผ่านมาแตะก้อนเนื้อนุ่ม ๆ ในอกของญาตาวี หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ครู่ ก่อนเปลี่ยนไปสอบถามเรื่องราวทั่วไปในชีวิตเด็กชายตัวน้อย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจุบันเพื่อเป็นข้อมูลในการเรียนรายงานประวัติการรักษา เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว ญาตาวีก็น่ิงไปครู่ ก่อนวางมือลงบนมือมารดาของเด็กชาย
“คุณแม่คงกังวลมาก...แต่พวกเราจะดูแลน้องอ้นอย่างเต็มความสามารถ ถ้าสงสัยอะไร หรืออยากให้หมอช่วยตรงไหนก็บอกได้นะคะ”
“เห็นคุณหมอว่าจะต้องผ่าเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ น้องจะเจ็บมากไหมคะ”
ญาตาวีนิ่งไปครู่ ก่อนคลี่ยิ้มตอบ “เจ็บนิดหนึ่งตอนฉีดยาชา แต่ปกติเราก็จะให้ยานอนหลับอ่อน ๆ ให้แกเคลิ้ม ๆ นิ่ง ๆ อยู่แล้วน่ะค่ะ แกจะได้ไม่เจ็บมาก”
หญิงสาวตรงหน้าพยักหน้ารับ มองลูกชายที่นอนอยู่ในอ้อมกอด ก่อนพึมพำบอกเบา ๆ “ไม่เจ็บมากนะครับ...น้องอ้นไม่ต้องกลัวนะ” แล้วเธอก็คลี่ยิ้มปลอบ
ญาตาวีเดินออกมาจากหอผู้ป่วยด้วยท่าทางเหม่อลอย ความคิดบางส่วนเฝ้าวนเวียนอยู่กับร่างเล็ก ๆ ในอ้อมกอดของมารดา ชีวิตที่ยังเยาว์วัยและเปราะบาง
“…มันเป็นธรรมชาตินะ...ไม่เลือกเพศ วัย หรือฐานะหรอก” เสียงแว่ว ๆ ที่ข้างหูทำให้ญาตาวีหยุดเดิน มองร่างโปร่งแสงในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสีดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
เจ้าของเสียงนั้นคือชายหนุ่มร่างสูงท่าทางสุภาพ แต่อาการยักคิ้วเบา ๆ กึ่งแกล้งกวนประสาทนั้นทำให้ดูขี้เล่น ญาตาวีโคลงศีรษะเบา ๆ กึ่งทักทาย ก่อนคลี่ยิ้มให้ เขาคือพี่ยมฑูตท่านเดียวกับที่เธอพบที่พิพิธภัณฑ์บ้านควาย
“มนุษย์คิดว่าการเกิดเป็นสุข ที่จริงคือจุดเริ่มของทุกข์ต่างหาก เพราะไม่มีใครหนีความจริงของธรรมชาติไปได้” เขาบอกเบา ๆ อย่างรู้ทันว่าญาตาวีกำลังสับสนกับเรื่องราวของเด็กชาย “ทั้งวสุและท่านยมก็เคยบอกไม่ใช่หรือ”
“นั่นภาคทฤษฎีนี่คะ” ญาตาวีเอ่ยตอบในใจ ขณะเดินไปเรื่อย ๆ โดยมีร่างสูงนั้นลอยตามมา “วีไม่เคยรู้สึกเลยว่าโลกเรามีคนที่แก่ เจ็บ และตายมากแค่ไหน แต่วันนี้...วีเริ่มคิดแล้วว่าชีวิตมนุษย์มันเปราะบางและมีแต่ทุกข์จริง ๆ”
ยมฑูตหนุ่มคลี่ยิ้ม ยกมือลูบหัวญาตาวีเบา ๆ “ท่านยมถึงบอกว่าเจ้าอาจเสียใจ”
“ไม่หรอกค่ะ...วีว่า...เพราะชีวิตเป็นสิ่งเปราะบางนี่ล่ะ วีถึงต้องพยายามปกป้องแะรักษาไว้”
“วีกำลังประกาศเป็นฝ่ายตรงข้ามกับท่านยมและพี่นะ”
ญาตาวีย่นจมูกเบา ๆ “ขอสักเรื่องเถอะค่ะ”
ร่างบอบบางเดินออกจากลิฟต์ เธอก้าวเร็ว ๆ ไปยังระเบียงที่เชื่อมไปสู่อาคารเรียนนักศึกษาแพทย์ เดินลงไปชั้นล่าง ผ่านลานร้านอาหารเล็ก ๆ ก่อนจะไปถึงหน้าหอพักนักศึกษาแพทย์ เธอยังไม่ทันข้ามถนนที่กั้นระหว่างอาคารเรียนกับหอพัก พี่ยมฑูตก็ยกแขนขึ้นพลิกข้อมือมองนาฬิกาก่อนบอก
“ได้เวลาแล้ว พี่ต้องไปทำงานละ”
แล้วร่างสูงก็เลือนหายไป หัวใจของญาตาวีกระตุกวูบ เธอเคยได้ยินคำบอกลาไปทำงานของบรรดาพี่ ๆ ยมฑูตและลุงยมบ่อยครั้ง แล้วแต่โอกาส แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอจะรู้สึกใจหายเท่านี้ เมื่อเธอยืนอยู่ในชุดเสื้อกาว์นสีขาวที่ได้สัมผัสเข้าใกล้งานที่พยายามป้องกัน รักษาผู้ป่วย แต่กลับต้องรับรู้ว่าชีวิตหนึ่งกำลังจะจบลง
ญาตาวีนิ่งงันอยู่ครู่ สูดลมหายใจยาวเรียกสติให้ตัวเอง ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงมือใหญ่ที่คว้าแขนเธอไว้
หญิงสาวเงยหน้ามองร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อครู่ผมเห็น...คุณยมฑูตใช่ไหม”
“คุณ…มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“เมื่อวานคุณบอกว่าวันนี้ต้องมารับเคสก่อนขึ้นวอร์ด”
“แล้ว…”
“ผมไปที่คอนโดฯ จะไปรับคุณมา แต่ลุงเจ้าที่บอกว่าคุณออกมาแล้ว ผมเลยมารอที่นี่”
ญาตาวีได้แต่ถอนใจ ลุงเจ้าที่คงว่างมากไป ถึงมีเวลาเป็นสปายส่งข่าวให้ชายหนุ่มแทบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ เหอะ…ใช่สิ สมัยเขายังเป็นวิญญาณก็ขยันส่งข่าวหิ้วขนมไปฝากกันนัก พอมาเป็นมนุษย์ลุงเลยเอาอกเอาใจนักสินะ บางที…เธอควรหาเรื่องวุ่น ๆ ให้ลุงเจ้าที่ได้ทำงานบ้าง จะได้ไม่ว่างคอยส่งข่าวอย่างนี้
สีหน้าหมันเขี้ยวของหญิงสาวคงพอบอกชายหนุ่มได้ว่าเธอไม่พอใจนัก โฬมหัวเราะ “อย่าโกรธเลย ผมแค่อยากเจอคุณ”
แค่คำง่าย ๆ ของเขา กลับทำให้ญาตาวีลืมความโกรธกรุ่น ลืมกระทั่งเรื่องราวสับสนในใจ หญิงสาวเงยหน้ามองผ่านแว่นกันแดดสีชา เธอรู้ว่าดวงตาหลังเลนส์นั้นคงเป็นประกายจัดอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ใช่แววตาหม่นแสงของดวงวิญญาณหลงทางอีกแล้ว
หญิงสาวถอนใจเบา ๆ เธอไม่ควรยืนตรงนี้นาน โดยเฉพาะ...ยืนอยู่กับเขา!
“คุณเคยไปเยาวราชไหม” เธอเอ่ยถามเมื่อเดินข้ามถนนไปยังฝั่งหอพัก เขาเดินอยู่ข้าง ๆ กึ่งนำทางไปยังรถยนต์สีน้ำเงินเข้ม รูปทรงกึ่งสปอร์ตบอกนิสัยเจ้าของได้พอสมควร
“คุณหมายถึงไชน่าทาว์น...” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้เธอ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูเข้ามานั่งฝั่งคนขับ
“บ้านคุณปู่ผมอยู่แถวนั้น”
“ฉันอยากกินก๊วยจั๊บเยาวราช” เธอบอก “คุณกินอาหารข้างทางได้ใช่ไหม”
“ไม่กลัวคนจะเห็นผมเหรอ” เขาคลี่ยิ้มกึ่งขัน
ญาตาวีเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาที่เวลานี้ถอดแว่นกันแดดออกแล้ว เธอรู้ว่าเขารู้ว่าเธอกลัวอะไร ความที่เขาเป็นคนของสังคม การเข้าไปใกล้อาจสร้างความวุ่นวายในชีวิต แต่เธอไม่เหลือทางให้หนีเช่นกัน เมื่อเขาประกาศชัด
…Even the sun not rise, I’ll not let you go!…
หญิงสาวไหวไหล่เบา ๆ “ที่นั่นคนเยอะมากจนแทบไม่มีใครสนใจกัน และถ้าคุณคุ้นกับเยาวราช คนที่นั่นคงสนใจอาหารการกินและการทำมาหากินมากกว่าจะมาวิ่งตามดารา”
“คุณเลิกกลัวแล้วใช่ไหม”
“คะ” ญาตาวีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เขาหันมามองหน้าเธอแวบหนึ่ง
“ชีวิตที่อยู่กลางแสงไฟของผมน่ะ”
ไม่รู้ว่าใครปากโป้งไปบอกเขา หรือผู้ชายคนนี้อ่านเธอออกเอง แต่ญาตาวีรู้สึกแปลก ๆ ในใจพิกลเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนั้นทอดหางเสียงกึ่งตัดพ้อ
“มันเป็นทางที่คุณเลือกเองนี่...ฉันแค่พยายามทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ชีวิตต้องวุ่นวาย ก็เท่านั้น”
เธอบอกคล้ายไม่ใส่ใจ ทั้งที่รู้ว่าศิลปินอย่างบลูกายที่ไม่เผยใบหน้ของตนเองนั้นเคยหวงความเป็นส่วนตัวมากแค่ไหน และหากไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป เขาเคยบอกว่าเขายอมเดินออกมา...เพื่อตามหาผู้หญิงในฝันคนนั้น
เยาวราชยังคงเป็นเยาวราช ถนนมังกรที่แทบไม่เคยหลับไหล แสงไฟจัดจ้า ผู้คนคับคั่งจนไม่มีใครสนใจใคร โฬมจอดรถไว้ในซอยเล็ก ๆ หน้าสมาคมชาวจีนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่ เขาหยิบแว่นตากรอบบางมาสวม ก่อนจัดผมให้ปัดไปอีกด้าน ด้านข้างลู่ลงมาใกล้หู มองคล้ายเด็กหนุ่มที่คงแก่เรียน
สองหนุ่มสาวเดินไปข้าง ๆ กัน ญาตาวีเหลือบมองมือใหญ่ที่ครั้งหน่งเธอเคยจับไว้หลวม ๆ เมื่อเขายังเป็นแค่วิญญาณหลงทาง แล้วมือหนานั้นก็ยื่นมาตรงหน้าเธอ หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ล่ะค่ะ...เราคงยังไม่สนิทกันขนาดนั้น”
โฬมเบิกตาเพียงนิด แล้วยื่นมือคว้ามือเธอมากุมไว้ดื้อ ๆ “คนเยอะมาก ผมกลัวคุณจะหายไป”
หัวใจดวงน้อยสะท้านวาบ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้หมายถึงแค่คนในเยาวราช
หญิงสาวได้แต่กล่าวพึมพำเบา ๆ ไม่ให้เขาได้ยิน “คุณก็อย่าปล่อยให้ฉันหายไปสิ”
-----
'คนเยอะมาก ผมกลัวคุณจะหายไป' ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ แค่นี้ ไม่รู้ทำไม แต่ไอซ์แอบรู้สึกว่ามันหวานมาก ไม่รู้มีใครคิดเหมือนไอซ์ไหมนะคะ
หรืออาจเป็นเพราะ...ไอซ์แอบคิดว่านายโฬมไม่ได้หมายถความถึงแค่ผู้คน ณ ขณะนั้น แต่มันเป็นอารมณ์แบบ...เขากลัวจริง ๆ ว่าวีจะหายไปจากชีวิต
ยิ่งเขียนยิ่งหลงรักผู้ชายคนนี้จริง ๆ ค่ะ
คุณใบบัวน่ารัก : แบบนี้เรียกว่าเปิดใจหรือยังคะ Swot ใช้แทบทุกที่จริง ๆ ค่ะ
คุณsai : 555 วสุแย่งซีนตลอดค่ะ
คุณ goldensun : แต่นักศึกษาแพท์กะ swot นี่ไม่ค่อยถูกกันค่ะ เจอทีไรเอามือก่ายหน้าผากตลอด
คุณ คิมหันตุ์ : ไอซ์เขียนไปยังว่านายโฬมเธอร้ายขึ้นทุกวัน
คุณ เพาพะงา : คิดถึงเช่นกันค่ะ
-----
และเช่นเคย
ปล.1 เรื่องนี้อาจมีศัพท์แสงประหลาด เฉพาะทางเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อความสมจริงในการพูดคุยของตัวละคร แต่จะพยายามาอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง หากมีส่วนไหนขัดข้อง หรือทำให้เสียอรรถรสไป รบกวนติชมจะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ปล.2 เรื่องนี้เป็น season II ฉบับต่อจาก season I(ภาคพรีคลินิค) บรรดานศพ.กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ ที่ได้สัมผัสผู้ป่วยจริง เนื้อหาจะสปอยเรื่องราวในภาคแรกที่เด็ก ๆ ยังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่(ซึ่งไอซ์ยังเขียนไม่จบ เพราะติดเรื่องแรงบันดาลใจในชีวิตนักศึกษา เลยขอมาจับชีวิตในชั้นคลินิคที่ใกล้ตัวกว่าก่อน) มีปมบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ไอซ์พยายามเขียนโดยค่อย ๆ เผยปมและเนื้อเรื่องเดิมให้พอเข้าใจได้ หากติดขัดประการใดแจ้งได้นะคะ
คิดถึงทุกท่านค่ะ
…It’s like a dream where I met you...who lighted up my world, my crimson world
And for sure...I’ve still remembered...how I met you…
อาทิตย์สุดท้ายหลังการสอบลงกองเวชศาสตร์ชุมชน ภาควิชาต่อไปที่บรรดานักศึกษาแพทย์จะวนขึ้นไปพบคือกุมารเวชศาสตร์ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่จะต้องเริ่มราว์นวอร์ด บันทึกข้อมูลผู้ป่วยในแต่ละวัน ร่วมวางแผนการรักษากับรุ่นพี่อย่างเป็นกิจจะลักษณะ และสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยแทบตลอดเวลาทำงาน วันอาทิตย์ที่ควรจะเป็นวันพักผ่อนจึงกลายเป็นวันทำงานเสียเกือบครึ่งหนึ่ง
“โชคดีนะที่พวกเราได้อยู่ด้วยกัน” ชลกานต์บอกอย่างมีความสุข เมื่อเห็นตารางวนวอร์ดที่แบ่งบรรดานักศึกษาเป็นกลุ่มละ 8 คน กระจายไปตามหอผู้ป่วย
“อืม…ชล วี พัฒน์ เฟรมอยู่สาย A มี 12 เคส คนละ 3 พอดี ไล่วนตามนี้นะ” ชลกานต์เขียนไล่หมายเลขเตียง แล้วใส่ชื่อเพื่อนลงไป ก่อนยื่นให้ทุกคนดูพร้อมกัน
“ของวีมี 3, 14, 22 พัฒน์ 6, 17, 23 เฟรม 7, 19, 25 ส่วนเรา 12, 21, 27”
“ถ้ารับใหม่ก็เริ่มที่วีแล้ววนตามนี้เลยไหม” กิตติพัฒน์ออกความเห็น
“เอาแบบนั้นก็ได้”
หลังตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปศึกษาประวัติผู้ป่วยในความดูแล ญาตาวียกแฟ้มเอกสารสีน้ำเงินเล่มใหญ่ หน้าปกมีการ์ดเล็ก ๆ แปะชื่อผู้ป่วย และผลการวินิจฉัยเบื้องต้น มุมซ้ายล่างเป็นรูปเด็กหัวจุกบอกความเป็นหอผู้ป่วยกุมารเวช
…เตียง 22 เด็กชายปกรณ์ Dx. R/O Rhabdomyosarcoma…
ญาตาวีกระพริบตาปริบ ๆ ไล่อ่านประวัติผู้ป่วยด้วยความสนใจ
เด็กชายวัยเพียง 3 เดือน มารดาเริ่มพบว่ามีก้อนที่ต้นขาขวาตั้งแต่อายุได้ครึ่งเดือน ก้อนโตใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จึงไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชน ก่อนส่งตัวมารับการรักษาต่อในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่
…เตียง 14 เด็กชายภูธัส Dx.UTI(การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ)…
…เตียง 3 เด็กหญิงมนธกานต์ Dx.AML(โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว)
ญาตาวีถอนใจเบา ๆ เมื่อไล่อ่านประวัติการรักษาของเด็กทั้งสามครบแล้ว เนื่องจากวอร์ดนี้เป็นหอผู้ป่วยเด็กเล็ก ผู้ป่วยแต่ละรายมีอายุตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 5 ปี
ชีวิตที่ยังเปราะบาง ไร้เดียงสา แต่กลับมีเรื่องราวมากมายที่ญาตาวีต้องเรียนรู้
ญาตาวีเดินไปที่เตียงผู้ป่วย สอบถามอาการ และประวัติการรักษาในแต่ละเตียงตามที่ได้รับมอบหมาย จนมาถึงเตียงสุดท้ายของเธอ เตียง 22 เด็กชายปกรณ์
เตียงนั้นอยู่ฝั่งริมหน้าต่าง ล็อกสุดท้าย เป็นเตียงเหล็กสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ทำเป็นซี่กรงสูงที่ยกขึ้นมาปิดได้ทั้งซ้าย-ขวา ป้องกันเด็กกลิ้งหรือปีนตกลงมาจากเตียง ข้างกันคือโซฟานอนสำหรับคนเฝ้าอยู่ติดฉากไม้ที่กั้นเป็นห้องเล็ก ๆ เพื่อความเป็นส่วนตัว หญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ตัวยาวยืนนั่งอยู่บนโซฟานั้น เธอกอดร่างเล็กราวตุ๊กตาที่เปราะบางไว้แนบอก ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ผืนฟ้ากว้างคงมืดมัว ดวงตาเธอจึงดูหม่นแสงอย่างเหม่อลอย
“สวัสดีค่ะ...นักศึกษาแพทย์ญาตาวี...นักศึกษาแพทย์ชั้นปี 4 ขอรบกวนสักครู่นะคะ” เธอบอกกับหญิงสาวผู้นั้น “น้องชื่ออะไรคะ”
“ปกรณ์ค่ะ...ชื่อเล่นชื่อน้องอ้น”
“น้องอ้น...3 เดือนแล้วใช่ไหมค่ะ”
“เพิ่ง 3 เดือนเมื่อ 5 วันก่อนเองค่ะ” เสียงนั้นเบา แต่แฝงด้วยอาการทอดถอนใจบางอย่างที่ทำให้ญาตาวีเลิกคิ้วมอง
“แกเป็นอะไรมาหรือคะ”
เธอดึงตัวเด็กน้อยออก จับกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในอ้อมแขนอุ่น ก่อนจะเลื่อนมือซ้ายมาเปิดผ้าที่ห่มตัวเด็กน้อยออก เผยให้เห็นต้นขาขวาที่มีก้อนนูนขึ้นความยาวเกือบครึ่งต้นขา “เป็นก้อนที่ขาน่ะค่ะ”
“เจอมาตั้งแต่เมื่อไรคะ”
“ตอนเขาเกือบเดือน พี่ก็อาบน้ำให้เขา พอทาออยก็สะดุด ๆ ว่ามันเหมือนเป็นก้อนนูน ๆ เลยไปหาคุณหมอ แกก็บอกให้ติดตามดูอาการ พี่ก็เลยรอดูมาเรื่อย ๆ ก้อนมันก็ใหญ่ขึ้นเลยมาตรวจอีกที่ เขาบอกว่าเป็นเนื้องอก เลยส่งตัวมานี่ล่ะ”
“อืม…แล้วคุณหมอที่นี่ว่ายังไงบ้างคะ”
“ก็นัดมานอนผ่าตัดเก็บชิ้นเนื้อไปดูน่ะค่ะ”
“ออ…แล้วนี่นอนมานานหรือยังคะ”
“สองวันแล้ว” เธอคลี่ยิ้มบาง ๆ แต่ดวงตายังหม่นแสงอย่างเห็นได้ชัด
ญาตาวีนิ่งไปครู่ ก่อนเอ่ยถาม “น้องอ้นมีพี่ไหมคะ”
“ไม่ค่ะ แกเป็นลูกคนแรก” เธอยิ้มตอบ “เป็นหลานชายคนแรกของบ้านด้วย...พอป่วย ทั้งบ้านเลยนั่งกันไม่ติด”
“เชื้อจีนด้วยหรือคะ”
“ใช่ค่ะ...ที่บ้านสามีพี่เป็นจีน อากงอาม่าเขารอหลานชายคนแรกมานาน” เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ กึ่งหยัน “พอได้มา...ก็ดันมาป่วย”
ความเศร้าบางอย่างคล้ายจะส่งผ่านมาแตะก้อนเนื้อนุ่ม ๆ ในอกของญาตาวี หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ครู่ ก่อนเปลี่ยนไปสอบถามเรื่องราวทั่วไปในชีวิตเด็กชายตัวน้อย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจุบันเพื่อเป็นข้อมูลในการเรียนรายงานประวัติการรักษา เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว ญาตาวีก็น่ิงไปครู่ ก่อนวางมือลงบนมือมารดาของเด็กชาย
“คุณแม่คงกังวลมาก...แต่พวกเราจะดูแลน้องอ้นอย่างเต็มความสามารถ ถ้าสงสัยอะไร หรืออยากให้หมอช่วยตรงไหนก็บอกได้นะคะ”
“เห็นคุณหมอว่าจะต้องผ่าเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ น้องจะเจ็บมากไหมคะ”
ญาตาวีนิ่งไปครู่ ก่อนคลี่ยิ้มตอบ “เจ็บนิดหนึ่งตอนฉีดยาชา แต่ปกติเราก็จะให้ยานอนหลับอ่อน ๆ ให้แกเคลิ้ม ๆ นิ่ง ๆ อยู่แล้วน่ะค่ะ แกจะได้ไม่เจ็บมาก”
หญิงสาวตรงหน้าพยักหน้ารับ มองลูกชายที่นอนอยู่ในอ้อมกอด ก่อนพึมพำบอกเบา ๆ “ไม่เจ็บมากนะครับ...น้องอ้นไม่ต้องกลัวนะ” แล้วเธอก็คลี่ยิ้มปลอบ
ญาตาวีเดินออกมาจากหอผู้ป่วยด้วยท่าทางเหม่อลอย ความคิดบางส่วนเฝ้าวนเวียนอยู่กับร่างเล็ก ๆ ในอ้อมกอดของมารดา ชีวิตที่ยังเยาว์วัยและเปราะบาง
“…มันเป็นธรรมชาตินะ...ไม่เลือกเพศ วัย หรือฐานะหรอก” เสียงแว่ว ๆ ที่ข้างหูทำให้ญาตาวีหยุดเดิน มองร่างโปร่งแสงในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสีดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
เจ้าของเสียงนั้นคือชายหนุ่มร่างสูงท่าทางสุภาพ แต่อาการยักคิ้วเบา ๆ กึ่งแกล้งกวนประสาทนั้นทำให้ดูขี้เล่น ญาตาวีโคลงศีรษะเบา ๆ กึ่งทักทาย ก่อนคลี่ยิ้มให้ เขาคือพี่ยมฑูตท่านเดียวกับที่เธอพบที่พิพิธภัณฑ์บ้านควาย
“มนุษย์คิดว่าการเกิดเป็นสุข ที่จริงคือจุดเริ่มของทุกข์ต่างหาก เพราะไม่มีใครหนีความจริงของธรรมชาติไปได้” เขาบอกเบา ๆ อย่างรู้ทันว่าญาตาวีกำลังสับสนกับเรื่องราวของเด็กชาย “ทั้งวสุและท่านยมก็เคยบอกไม่ใช่หรือ”
“นั่นภาคทฤษฎีนี่คะ” ญาตาวีเอ่ยตอบในใจ ขณะเดินไปเรื่อย ๆ โดยมีร่างสูงนั้นลอยตามมา “วีไม่เคยรู้สึกเลยว่าโลกเรามีคนที่แก่ เจ็บ และตายมากแค่ไหน แต่วันนี้...วีเริ่มคิดแล้วว่าชีวิตมนุษย์มันเปราะบางและมีแต่ทุกข์จริง ๆ”
ยมฑูตหนุ่มคลี่ยิ้ม ยกมือลูบหัวญาตาวีเบา ๆ “ท่านยมถึงบอกว่าเจ้าอาจเสียใจ”
“ไม่หรอกค่ะ...วีว่า...เพราะชีวิตเป็นสิ่งเปราะบางนี่ล่ะ วีถึงต้องพยายามปกป้องแะรักษาไว้”
“วีกำลังประกาศเป็นฝ่ายตรงข้ามกับท่านยมและพี่นะ”
ญาตาวีย่นจมูกเบา ๆ “ขอสักเรื่องเถอะค่ะ”
ร่างบอบบางเดินออกจากลิฟต์ เธอก้าวเร็ว ๆ ไปยังระเบียงที่เชื่อมไปสู่อาคารเรียนนักศึกษาแพทย์ เดินลงไปชั้นล่าง ผ่านลานร้านอาหารเล็ก ๆ ก่อนจะไปถึงหน้าหอพักนักศึกษาแพทย์ เธอยังไม่ทันข้ามถนนที่กั้นระหว่างอาคารเรียนกับหอพัก พี่ยมฑูตก็ยกแขนขึ้นพลิกข้อมือมองนาฬิกาก่อนบอก
“ได้เวลาแล้ว พี่ต้องไปทำงานละ”
แล้วร่างสูงก็เลือนหายไป หัวใจของญาตาวีกระตุกวูบ เธอเคยได้ยินคำบอกลาไปทำงานของบรรดาพี่ ๆ ยมฑูตและลุงยมบ่อยครั้ง แล้วแต่โอกาส แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอจะรู้สึกใจหายเท่านี้ เมื่อเธอยืนอยู่ในชุดเสื้อกาว์นสีขาวที่ได้สัมผัสเข้าใกล้งานที่พยายามป้องกัน รักษาผู้ป่วย แต่กลับต้องรับรู้ว่าชีวิตหนึ่งกำลังจะจบลง
ญาตาวีนิ่งงันอยู่ครู่ สูดลมหายใจยาวเรียกสติให้ตัวเอง ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงมือใหญ่ที่คว้าแขนเธอไว้
หญิงสาวเงยหน้ามองร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อครู่ผมเห็น...คุณยมฑูตใช่ไหม”
“คุณ…มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“เมื่อวานคุณบอกว่าวันนี้ต้องมารับเคสก่อนขึ้นวอร์ด”
“แล้ว…”
“ผมไปที่คอนโดฯ จะไปรับคุณมา แต่ลุงเจ้าที่บอกว่าคุณออกมาแล้ว ผมเลยมารอที่นี่”
ญาตาวีได้แต่ถอนใจ ลุงเจ้าที่คงว่างมากไป ถึงมีเวลาเป็นสปายส่งข่าวให้ชายหนุ่มแทบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ เหอะ…ใช่สิ สมัยเขายังเป็นวิญญาณก็ขยันส่งข่าวหิ้วขนมไปฝากกันนัก พอมาเป็นมนุษย์ลุงเลยเอาอกเอาใจนักสินะ บางที…เธอควรหาเรื่องวุ่น ๆ ให้ลุงเจ้าที่ได้ทำงานบ้าง จะได้ไม่ว่างคอยส่งข่าวอย่างนี้
สีหน้าหมันเขี้ยวของหญิงสาวคงพอบอกชายหนุ่มได้ว่าเธอไม่พอใจนัก โฬมหัวเราะ “อย่าโกรธเลย ผมแค่อยากเจอคุณ”
แค่คำง่าย ๆ ของเขา กลับทำให้ญาตาวีลืมความโกรธกรุ่น ลืมกระทั่งเรื่องราวสับสนในใจ หญิงสาวเงยหน้ามองผ่านแว่นกันแดดสีชา เธอรู้ว่าดวงตาหลังเลนส์นั้นคงเป็นประกายจัดอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ใช่แววตาหม่นแสงของดวงวิญญาณหลงทางอีกแล้ว
หญิงสาวถอนใจเบา ๆ เธอไม่ควรยืนตรงนี้นาน โดยเฉพาะ...ยืนอยู่กับเขา!
“คุณเคยไปเยาวราชไหม” เธอเอ่ยถามเมื่อเดินข้ามถนนไปยังฝั่งหอพัก เขาเดินอยู่ข้าง ๆ กึ่งนำทางไปยังรถยนต์สีน้ำเงินเข้ม รูปทรงกึ่งสปอร์ตบอกนิสัยเจ้าของได้พอสมควร
“คุณหมายถึงไชน่าทาว์น...” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้เธอ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูเข้ามานั่งฝั่งคนขับ
“บ้านคุณปู่ผมอยู่แถวนั้น”
“ฉันอยากกินก๊วยจั๊บเยาวราช” เธอบอก “คุณกินอาหารข้างทางได้ใช่ไหม”
“ไม่กลัวคนจะเห็นผมเหรอ” เขาคลี่ยิ้มกึ่งขัน
ญาตาวีเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาที่เวลานี้ถอดแว่นกันแดดออกแล้ว เธอรู้ว่าเขารู้ว่าเธอกลัวอะไร ความที่เขาเป็นคนของสังคม การเข้าไปใกล้อาจสร้างความวุ่นวายในชีวิต แต่เธอไม่เหลือทางให้หนีเช่นกัน เมื่อเขาประกาศชัด
…Even the sun not rise, I’ll not let you go!…
หญิงสาวไหวไหล่เบา ๆ “ที่นั่นคนเยอะมากจนแทบไม่มีใครสนใจกัน และถ้าคุณคุ้นกับเยาวราช คนที่นั่นคงสนใจอาหารการกินและการทำมาหากินมากกว่าจะมาวิ่งตามดารา”
“คุณเลิกกลัวแล้วใช่ไหม”
“คะ” ญาตาวีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เขาหันมามองหน้าเธอแวบหนึ่ง
“ชีวิตที่อยู่กลางแสงไฟของผมน่ะ”
ไม่รู้ว่าใครปากโป้งไปบอกเขา หรือผู้ชายคนนี้อ่านเธอออกเอง แต่ญาตาวีรู้สึกแปลก ๆ ในใจพิกลเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนั้นทอดหางเสียงกึ่งตัดพ้อ
“มันเป็นทางที่คุณเลือกเองนี่...ฉันแค่พยายามทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ชีวิตต้องวุ่นวาย ก็เท่านั้น”
เธอบอกคล้ายไม่ใส่ใจ ทั้งที่รู้ว่าศิลปินอย่างบลูกายที่ไม่เผยใบหน้ของตนเองนั้นเคยหวงความเป็นส่วนตัวมากแค่ไหน และหากไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป เขาเคยบอกว่าเขายอมเดินออกมา...เพื่อตามหาผู้หญิงในฝันคนนั้น
เยาวราชยังคงเป็นเยาวราช ถนนมังกรที่แทบไม่เคยหลับไหล แสงไฟจัดจ้า ผู้คนคับคั่งจนไม่มีใครสนใจใคร โฬมจอดรถไว้ในซอยเล็ก ๆ หน้าสมาคมชาวจีนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่ เขาหยิบแว่นตากรอบบางมาสวม ก่อนจัดผมให้ปัดไปอีกด้าน ด้านข้างลู่ลงมาใกล้หู มองคล้ายเด็กหนุ่มที่คงแก่เรียน
สองหนุ่มสาวเดินไปข้าง ๆ กัน ญาตาวีเหลือบมองมือใหญ่ที่ครั้งหน่งเธอเคยจับไว้หลวม ๆ เมื่อเขายังเป็นแค่วิญญาณหลงทาง แล้วมือหนานั้นก็ยื่นมาตรงหน้าเธอ หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ล่ะค่ะ...เราคงยังไม่สนิทกันขนาดนั้น”
โฬมเบิกตาเพียงนิด แล้วยื่นมือคว้ามือเธอมากุมไว้ดื้อ ๆ “คนเยอะมาก ผมกลัวคุณจะหายไป”
หัวใจดวงน้อยสะท้านวาบ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้หมายถึงแค่คนในเยาวราช
หญิงสาวได้แต่กล่าวพึมพำเบา ๆ ไม่ให้เขาได้ยิน “คุณก็อย่าปล่อยให้ฉันหายไปสิ”
-----
'คนเยอะมาก ผมกลัวคุณจะหายไป' ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ แค่นี้ ไม่รู้ทำไม แต่ไอซ์แอบรู้สึกว่ามันหวานมาก ไม่รู้มีใครคิดเหมือนไอซ์ไหมนะคะ
หรืออาจเป็นเพราะ...ไอซ์แอบคิดว่านายโฬมไม่ได้หมายถความถึงแค่ผู้คน ณ ขณะนั้น แต่มันเป็นอารมณ์แบบ...เขากลัวจริง ๆ ว่าวีจะหายไปจากชีวิต
ยิ่งเขียนยิ่งหลงรักผู้ชายคนนี้จริง ๆ ค่ะ
คุณใบบัวน่ารัก : แบบนี้เรียกว่าเปิดใจหรือยังคะ Swot ใช้แทบทุกที่จริง ๆ ค่ะ
คุณsai : 555 วสุแย่งซีนตลอดค่ะ
คุณ goldensun : แต่นักศึกษาแพท์กะ swot นี่ไม่ค่อยถูกกันค่ะ เจอทีไรเอามือก่ายหน้าผากตลอด
คุณ คิมหันตุ์ : ไอซ์เขียนไปยังว่านายโฬมเธอร้ายขึ้นทุกวัน
คุณ เพาพะงา : คิดถึงเช่นกันค่ะ
-----
และเช่นเคย
ปล.1 เรื่องนี้อาจมีศัพท์แสงประหลาด เฉพาะทางเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อความสมจริงในการพูดคุยของตัวละคร แต่จะพยายามาอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง หากมีส่วนไหนขัดข้อง หรือทำให้เสียอรรถรสไป รบกวนติชมจะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ปล.2 เรื่องนี้เป็น season II ฉบับต่อจาก season I(ภาคพรีคลินิค) บรรดานศพ.กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ ที่ได้สัมผัสผู้ป่วยจริง เนื้อหาจะสปอยเรื่องราวในภาคแรกที่เด็ก ๆ ยังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่(ซึ่งไอซ์ยังเขียนไม่จบ เพราะติดเรื่องแรงบันดาลใจในชีวิตนักศึกษา เลยขอมาจับชีวิตในชั้นคลินิคที่ใกล้ตัวกว่าก่อน) มีปมบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ไอซ์พยายามเขียนโดยค่อย ๆ เผยปมและเนื้อเรื่องเดิมให้พอเข้าใจได้ หากติดขัดประการใดแจ้งได้นะคะ
คิดถึงทุกท่านค่ะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ม.ค. 2557, 20:22:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ม.ค. 2557, 20:22:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 1384
<< Season II Chapter 3.1 | Chapter 4.2 'คุณจะฝันถึงผม...อย่างที่ผมฝันถึงคุณบ้างไหม???' >> |

ใบบัวน่ารัก 31 ม.ค. 2557, 21:38:05 น.
วันดีๆๆไปเที่ยวเยาวราชคนก็เยอะเน้อ
จับมือกันไว้แน่นๆ. ไม่หายแน่คะ
วันดีๆๆไปเที่ยวเยาวราชคนก็เยอะเน้อ
จับมือกันไว้แน่นๆ. ไม่หายแน่คะ


sai 31 ม.ค. 2557, 23:12:02 น.
ไปเที่ยวเยาวราชรับตรุษจีนเลยยย
ไปเที่ยวเยาวราชรับตรุษจีนเลยยย

คิมหันตุ์ 1 ก.พ. 2557, 04:26:29 น.
แอร๊!! เขินแทนอ่ะ กลัวหายๆ
แอร๊!! เขินแทนอ่ะ กลัวหายๆ

kraten 1 ก.พ. 2557, 13:57:35 น.
น่ารักจัง
น่ารักจัง


goldensun 3 ก.พ. 2557, 21:30:42 น.
จริงค่ะ เยาวราชคนเยอะ เร่งรีบ ไม่ค่อยใส่ใจกัน
กลัวหาย คำพูดจากใจจริงของโฬม จะเริ่มทำให้วีใจอ่อนยังคะ
สงสารอ้น
จริงค่ะ เยาวราชคนเยอะ เร่งรีบ ไม่ค่อยใส่ใจกัน
กลัวหาย คำพูดจากใจจริงของโฬม จะเริ่มทำให้วีใจอ่อนยังคะ
สงสารอ้น