^การเดินทางของความฝัน^
เรื่องราวบนเส้นทางแห่งความฝันของบรรดานักศึกษาแพทย์ บนทางเดินที่ไม่ได้โรยด้วยตำราหรือกลีบกุหลาบ แต่มีพร้อมทั้งอารมณ์ ความสับสน และอ่อนไหว

...เพราะชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย...

ญาตาวี...เด็กสาวผู้มีญาณพิเศษในการมองเห็นดวงวิญญาณ กับชีวิตวุ่น ๆ ในรั้วโรงเรียนแพทย์ที่มีวิญญาณหลงทางอยู่เคียงข้าง

ชลกานต์...เด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิตเสียจนน่าอิจฉา กับเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มและหัวใจที่มั่นคงราวจะไม่ไหวคลอน

ชนิสรา...เด็กสาวเจ้าของดวงตาคมวาวแห่งความมั่นคงและทระนง กับหัวใจอันอ่อนไหวที่ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกับความเชื่อมั่น

เรื่องราวของพวกเธอทั้งสาม และเพื่อน ๆ บนถนนสายความฝัน

เมื่อชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด

เมื่อความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

เมื่อการเดินทางครั้งนี้...ไม่มีเส้นทางลัด

มีแค่เพียงสองขา สองมือ และหนึ่งหัวใจเท่านั้นที่จะพาพวกเธอผ่านไป

Tags: นักศึกษาแพทย์ ความฝัน ญาตาวี ชลกานต์ ชนิสรา

ตอน: Season II Chapter 3.1

บทที่ 3

…Only you, who light up my life, and guide me to the star.
Wherever you are, I’m going to find and I’ll be with you.
…Even the sky fall down, I’ll find you out
Even the sun not rise, I’ll not let you go…


“วีขึ้นมาชั้นสองนะ จะมีร้านอาหารเวียดนาม แล้วเลี้ยวซ้ายตรงมาเรื่อยๆ ก็ถึง” เสียงใสเอ่ยบอกทางผ่านโทรศัพท์เครื่องเล็กที่ญาตาวีถือติดแก้ม เธอส่งเสียงตอบรับเบา ๆ ก่อนจะลดโทรศัพท์ลงถือไว้ในมือ หญิงสาวกวาดสายตามองจนพบร้านอาหารเวียดนามตามที่เพื่อนกล่าว ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นบอกทางให้ตัวเอง ก่อนหมุนตัวเดินไปเรื่อย ๆ มองหาร้านอาหารที่เธอนัดกับเพื่อนไว้

‘Eden Gardenia’ เป็นร้านอาหารเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมกึ่งห้างหรู ป้ายวงรียื่นตัวออกมาจากเสาเหล็กดัดลายอ่อนช้อยข้างร้านที่ตกแต่งแบบสวนอังกฤษโบราณ ญาตาวีมองดูหน้าร้านนิ่งอยู่ครู่ด้วยความสนใจในรูปแบบการตกแต่ง

เธอหมุนตัวเตรียมจะก้าวเข้าไปในร้าน แล้วก็ต้องเซถลาเมื่อรู้สึกถึงแรงปะทะบางอย่าง ในหูแว่วเสียงสนทนาเป็นภาษาที่เธอไม่แน่ใจว่าเป็นของชาติไหน มือเล็ก ๆ เผลอคลายออกเตรียมจะใช้ข้อมือยันพื้นเพื่อประคองตัวตามสัญชาตญาณ แต่ร่างเล็กกลับถูกรั้งไว้ด้วยวงแขนที่ประคองไม่ให้เธอทรุดลงไปจูบพื้น เธออ้าปากออกเกือบหลุดเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันจะมีเสียงใดรอดออกมาก ก็ได้ยินเสียงดังของวัตถุบางอย่างที่ร่วงลงกระทบพื้นแทน

เมื่อยืนได้เต็มเท้า ญาตาวีก็กระโดดออกห่างจากคนที่เพิ่งคว้าตัวเธอไว้ ก้มมองพื้นตามสัญชาตญาณเมื่อรู้สึกว่าโทรศัพท์ในมือหลุดหายไป ปากพึมพำ “ขอโทษนะคะ”

“ขอโทษครับ...” เสียงทุ้มดังขึ้นแทบพร้อมกัน ขณะที่ญาตาวีมัวสนใจกับโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นนิยมสองเครื่องในเคสซิลิโคนสีดำสีพื้นที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น หญิงสาวก้มลงหยิบเครื่องหนึ่งขึ้น พร้อม ๆ กับที่เขาหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันสังเกตว่าโทรศัพท์สองเครื่องนั้นไม่ได้มีอะไรต่างกันแม้สักนิด

“คุณ…” ผู้ชายตรงหน้าเลิกคิ้วมองหน้าเธอ ขณะที่ญาตาวีได้แต่ยืนะลึงงันเมื่อเห็นหน้าเขา ใบหน้าที่ยังคุ้นเคยอยู่ในความทรงจำ ผู้ชายคนเดียวกับที่ยื่นกระป๋องน้ำอัดลมให้เธอที่พิพิธภัณฑ์บ้านควาย

“ขอโทษนะคะ...” หญิงสาวรีบพึมพำบอกก่อนจะหมุนตัวกึ่งเดินกึ่งวิ่งหนีไปอีกทาง ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งไปครู่ ก่อนจะร้องเรียก

“คุณ…เดี๋ยวครับ”

เธอได้ยินเพียงเสียงแว่ว ๆ แต่ไม่สนใจจะหยุดฟัง สองเท้าก้าวเร็ว ๆ ผ่านกลุ่มชาวต่างชาติที่ยืนคุยกันอยู่ พนักงานในโรงแรมมองเธออย่างประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทางเร่งร้อน ญาตาวีลดฝีเท้าลงเล็กน้อย เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หนังสายลับที่พระเอกหรือนางเอกจะไปวิ่งไล่ล่าผู้ร้ายในโรงแรมได้ง่าย ๆ โดยไม่มีใครสงสัยหรือคิดมาขวาง อย่างน้อยก็ต้องเกรงใจเจ้าของถิ่นอย่างพนักงานที่คอยดูแลความเรียบร้อยกันบ้างล่ะ

หญิงสาวเดินเร็ว ๆ มาจนถึงตัวช่วยชิ้นสำคัญของบรรดาสายลับที่ถูกจับได้

ลิฟต์...ใช่แล้ว ตรงหน้าเธอคือลิฟต์ที่กำลังจะปิด ต่อให้คนโง่ที่สุดในโลกถ้ามาเจอสถานการณ์ที่ต้องการหนีใครสักคน เชื่อเถอะร้อยทั้งร้อยก็ต้องกระโดดเข้าไปโดยไม่ต้องลังเลใจ ญาตาวีรีบก้าวเข้าไปในลิฟต์แล้วยกมือขึ้นกดปิดประตูอย่างรวดเร็ว

จบเสียที...การพบเจอโดยไม่คาดคิด หญิงสาวเอนตัวพิงผนังลิฟต์ด้วยความเหนื่อยจากการเดินเร็ว ๆ หรือบางทีมันอาจจะปนอยู่ด้วยความเหนื่อยล้าในใจกับการได้พบเขาอีกครั้ง

สวรรค์...อย่าแกล้งกันนักเลย ปล่อยให้เราอยู่กันคนละฟาก เป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบต่อไป

เมื่อดวงวิญญาณของเขาได้พบร่างของตนแล้ว จะมีเหตุผลใดอีกที่เราจะมาพบกัน


ญาตาวีรีรออยู่นานกว่าจะยอมเดินกลับมาที่ร้านอาหารที่เธอนัดกับเพื่อนไว้อีกครั้ง เมื่อมาถึงหน้าร้าน เธอยังเผลอมองรอบ ๆ ไม่รู้ว่ากลัว หรือจะเป็นความหวังเล็กๆที่เผลอจุดประกายขึ้นในใจเสียแล้วว่าอาจจะมีร่างหนาที่คุ้นเคยรีรอมองหาเธออยู่บ้างเช่นกัน

เธอยืนอยู่นานจนชลกานต์เดินออกมาเรียก ท่าทางของเธอคงดูแปลกไป เพราะเพื่อนรักต้องเอ่ยถาม “เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่…ไม่มีอะไร ชลมาถึงนานหรือยัง”

“สักพักน่ะ ชลสั่งอาหารไว้แล้ว”

สองสาวเดินไปที่โต๊ะอาหาร ชายหนุ่มกับอีกหนึ่งสาวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ชนิสราโบกมือให้เพื่อน ขณะที่ร่างสูงลุกขึ้นยืนรับตามมารยาทสุภาพบุรุษที่คุ้นชิน เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากญาตาวี

“ยังเหลือเจนเทิลแมนอยู่บนโลกด้วยหรือนี่”

“เหอะ…ตระกูลเขาสอนกันมาดี” ชลกานต์บอกเบา ๆ แต่ยังดังพอจะเข้าหูชายหนุ่มจากธิติชล

“กลัวสอนไม่ดีแล้วกานต์จะไม่อยากร่วมตระกูล” ชายหนุ่มเงยหน้าบอกทำตาพราว ชลกานต์ขึงตา ย่นจมูกใส่คล้ายไม่ใส่ใจ แต่เพื่อนฝูงลอบอมยิ้มให้กัน รู้ดีว่านี่คืออาการเขินของหญิงสาว

“วีสั่งอะไรเพิ่มไหม เราสั่งมัชฉะฉันนี่โทส เครปเค้กสตรอเบอรรี่ ชอกโกแลตลาวาไปแล้ว” ชลกานต์ส่งรายการอาหารให้เพื่อน

“ขอเป็นสโคนแล้วกันจ้ะ”

“น้ำล่ะ”

“ฮอร์ลิคลาเต้ร้อนจ้ะ”

“ที่นี่มีเบย์ลี่ย์ด้วยนะ สนใจไหม” ชลกานต์ขยิบตาให้อย่างซุกซนเมื่อพูดถึงเหล้าไอริชผสมครีมนม เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ที่เธอโปรดปรานที่สุด “น่า…นาน ๆ กินที ลุงยมคงไม่ว่าอะไรหรอก”

“ลุงยมน่ะไม่ว่าหรอก แต่วสุสิ...รู้เข้าคงบ่นหูชา” ญาตาวีย่นจมูก ทำท่าขนลุกขนพองเมื่อนึกถึงเทพประจำตัวที่คอยดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก “อย่าเสี่ยงเลยชล ทำให้วสุโกรธน่ะเรียกว่าคิดสั้นชัด ๆ”

“นิดเดียวก็ไม่ได้เหรอ”

“ไม่…ไม่อยากเห็นหน้ายักษ์ของวสุมาดุว่าเราผิดศีล”

อาการสั่นเบา ๆ ของโทรศัพท์ในกระเป๋าทำให้การสนทนาขาดช่วงไป ญาตาวีค้นกระเป๋าถือใบเล็ก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะนิ่งไปครู่เมื่อเห็นชื่อ‘Punn’ กับหน้าจอสีน้ำเงินเข้มรูปหยดน้ำที่อยู่กลางวงคลื่น ภาพหน้าปกอัลบั้มพิเศษของ’บลูกาย’ เธอเคยใช้ภาพนี้เป็นภาพหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะเปลี่ยนไปเมื่อไม่นานมานี้

สัญชาตญาณทำให้เธอลากนิ้วลงบนจอเพื่อรับสาย เสียงที่ผ่านมาไม่คุ้นหู “เฮ้ย…ถึงไหนแล้ว”

“คะ” หญิงสาวกรอกเสียงไปด้วยความประหลาดใจ

“อ้าว…” ปลายสายอุทานเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิง ก่อนจะเงียบไปครู่ “ขอโทษครับ ใช่โทรศัพท์โฬมไหมครับ”

คราวนี้ญาตาวีนิ่งงันเมื่อได้ยินชื่อเจ้าของโทรศัพท์จากปลายสาย เธอดึงโทรศัพท์มองดูหน้าจอด้วยความประหลาดใจ ก่อนยกขึ้นแนบหูอีกครั้ง

“พี่ปุณณ์...”

“เฮ้ย…” ปลายสายอุทานก่อนเงียบไปครู่ “วีใช่ไหม...ขอโทษ พี่คงโทร.ผิด”

“ไม่ค่ะ ไม่ ไม่” ญาตาวีรีบบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะกดวางสาย “หนูคิดว่าหนูหยิบโทรศัพท์เขามา”

“ยังไง”

“หนูเจอเขาค่ะ เราเดินชนกันแล้วโทรศัพท์ก็หล่น หนูไม่ทันมอง...โทรศัพท์เราเหมือนกันมาก”

“แล้ววีจะทำยังไง”

“พี่ปุณณ์อยู่ไหนคะ หนูฝากโทรศัพท์พี่ปุณณ์ไปคืนเขาได้ไหมคะ” ญาตาวีคิดหาทางที่จะไม่ต้องพบหน้าชายหนุ่มอีก

“แล้วโทรศัพท์วีล่ะ”

“หนูไม่รีบค่ะ ไว้พี่ปุณณ์แวะเข้าคอนโดแล้วค่อยเอาให้หนูก็ได้”

ปลายสายเงียบไปครู่ ก่อนบอกเสียงขรึม อย่างที่ญาตาวีรู้ว่าเขากลายเป็นพี่ชายที่พร้อมจะดุเมื่อเห็นน้องสาวทำในสิ่งที่ตนเห็นว่าไม่ถูก ไม่ควร
“พี่ว่าวีไม่ควรหนีนะ ถ้าโชคชะตาขีดเส้นให้วีมาเจอกับโฬมอีก ทำไมไม่ลองคิดว่ามันอาจมีเหตุผลบางอย่าง”

“หนูไม่อยากให้มันวุ่นวายค่ะ เขาอยู่ในที่ของเขาก็ดีอยู่แล้ว”

“วีคิดเองคนเดียวหรือเปล่า โฬมมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นอย่างปกติสุขนักหรอกนะ” เขาแค่นหัวเราะเบา ๆ “พี่จะถือว่าวีไม่ได้ฝากพี่ โทร.เข้าเบอร์วีซะ แล้วนัดแลกโทรศัพท์กันเอง”

“แต่ว่า...”

“ถ้าวีคิดว่าเรื่องมันจบแล้ว ทุกอย่างมันก็จะจบแค่พวกเธอได้โทรศัพท์คืน” เขาขัดโดยไม่รอฟังเธอแย้งให้จบ “จะกลัวทำไมกับคนที่แค่บังเอิญผ่านมา”

ญาตาวีนิ่งไปครู่ ก่อนผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “แปปนะ...เดี๋ยวเรามา”

เธอวิ่งออกมาหน้าร้าน มองหาชายหนุ่มที่เธอรู้ดีว่าเขาอาจไม่ได้อยู่ในบริเวณนี้ แล้วโทรศัพท์ในมือก็สั่นอีกครั้ง หมายเลขที่แสดงอยู่หน้าจอโทรศัพท์เป็นหมายเลขโทรศัพท์ของเธอเอง หญิงสาวจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่มันจะนิ่งไป พร้อมคำว่า miss call ที่ปรากฏบนหน้าจอ

“คุณครับ...” เสียงทุ้มทำให้ญาตาวีที่กำลังเดินวนไปมาต้องหยุดเท้า เงยหน้ามองก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า

“เจ้าที่บอกผมว่าคุณอยู่ที่นี่” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คนที่มองเห็นวิญญาณเหมือนกัน หากันเจอไม่ยากหรอกนะครับ”

หญิงสาวกลอกตามองฟ้า นึกงอนเจ้าที่ประจำโรงแรมอยู่ในใจ แต่เธอก็รีบตัดบท ยื่นโทรศัพท์ในมือไปให้เขา “คุณคงมาเอาโทรศัพท์คืน...นี่ค่ะ”
เขามองหน้าเธออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนส่งโทรศัพท์ของเธอคืนให้ “อ้อ…ครับ นี่ของคุณ”

หมดธุระแล้วญาตาวีก็รีบหมุนตัวกลับไปที่ร้านอาหารแห่งเดิม แต่เขากลับดึงแขนเธอเอาไว้ สัมผัสของปลายนิ้วอุ่นที่แตะต้นแขนเปลือยเพราะชุดเสื้อแขนกุดทำให้หญิงสาวชะงักไป เขาเองก็อาจนึกได้ถึงมารยาทของสุภาพบุรุษที่คงถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก มือนั้นจึงคลายออกแล้วถูกดึงกลับไปไว้ข้างตัวอย่างที่ควรเป็น

“เอ้อ...ผมไม่แน่ใจว่าเราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า”

ญาตาวีได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ สาบานได้ว่าเป็นเพราะความไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไร ไม่ใช่เพราะจะไล่เจ้าหยาดน้ำใส ๆ ที่ล้นขึ้นมาสักนิดเดียวจริง ๆ

“ค่ะ…ที่พิพิธภัณฑ์บ้านควายไงคะ”

“ไม่…ผมหมายถึงก่อนหน้านั้น” เขาบอกทันที “เราเคยพบกันมาก่อนใช่ไหมครับ”

“ไม่ค่ะ...เราไม่เคยพบกัน” ญาตาวีตอบพร้อมกับใช้นิ้วชี้ไขว้กับนิ้วกลางอยู่ข้างตัว เธอไม่ได้อยากจะผิดศีลข้อสี่ แต่สถานการณ์มันบังคับ หรือบางที...ญาตาวีคิดว่าเธออาจจะไม่ได้ผิดศีล เพราะคนที่เธอเคยพบไม่ใช่เขาคนนี้

ไม่ใช่...ผู้ชายคนนี้ แต่เป็นแค่ดวงวิญญาณที่หลงทางและความจำเสื่อมเท่านั้น

“แต่ผมรู้สึกเหมือนเคยพบคุณ” เมื่อเขาพูดมาเช่นนี้ ญาตาวีก็ได้แต่ถอนใจเบาๆ เมื่อความจริงเธอไม่คิดอยากพบเจอเขาให้ทรมานใจตัวเองอีกแล้ว เห็นทีทางเดียวที่จะไล่ผู้ชายคนนี้ได้คงมีแต่จะต้องสร้างภาพนางมารร้ายให้เขาเห็นนั่นล่ะ

หญิงสาวหันกลับไปเชิดหน้าขึ้นมองหน้าเขาแล้วกอดอก “นี่...คุณไม่รู้จริง ๆ หรือคะว่ามุกแบบนี้มันเก่าไปแล้ว”

จบ…แล้วนางมารร้ายญาตาวีก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่ทิ้งรองเท้าแก้วไว้แม้แต่ข้างเดียว หยาดน้ำตาหยดเล็กรื้นปริ่มอยู่ที่ปลายหางตา หญิงสาวเชิดหน้ายกมือแตะซับก่อนจะสูดลมหายใจยาว

“พอแล้ว…ญาตาวี”

เมื่อเขาเป็นผู้ชายที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ มีเหตุผลอะไรจะต้องมาใส่ใจกับผู้หญิงในเงามืดที่เพียงผ่านมาในห้วงแห่งความทรงจำของวิญญาณหลงทาง

------
คุณใบบัวน่ารัก : จัดเต็มค่ะ^^

คุณ mhengjhy : แหม...หนุ่มเขาก็พอคุ้น ๆ ค่ะ

-----
และเช่นเคย
ปล.1 เรื่องนี้อาจมีศัพท์แสงประหลาด เฉพาะทางเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อความสมจริงในการพูดคุยของตัวละคร แต่จะพยายามาอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง หากมีส่วนไหนขัดข้อง หรือทำให้เสียอรรถรสไป รบกวนติชมจะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

ปล.2 เรื่องนี้เป็น season II ฉบับต่อจาก season I(ภาคพรีคลินิค) บรรดานศพ.กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ ที่ได้สัมผัสผู้ป่วยจริง เนื้อหาจะสปอยเรื่องราวในภาคแรกที่เด็ก ๆ ยังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่(ซึ่งไอซ์ยังเขียนไม่จบ เพราะติดเรื่องแรงบันดาลใจในชีวิตนักศึกษา เลยขอมาจับชีวิตในชั้นคลินิคที่ใกล้ตัวกว่าก่อน) มีปมบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ไอซ์พยายามเขียนโดยค่อย ๆ เผยปมและเนื้อเรื่องเดิมให้พอเข้าใจได้ หากติดขัดประการใดแจ้งได้นะคะ

คิดถึงทุกท่านค่ะ



ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ม.ค. 2557, 18:34:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ม.ค. 2557, 18:34:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1265





<< Season II Chapter 2.2   Chapter 4.1 'คนเยอะมาก...ผมกลัวคุณจะหายไป' >>
ใบบัวน่ารัก 22 ม.ค. 2557, 19:18:29 น.
น้อยใจอะดิที่เค้าจำไม่ได้
ไม่ต้องไปสน ไปกินข้าวให้สบายท้องดีกว่านะ
หรือกินไม่ลงอีก


goldensun 22 ม.ค. 2557, 22:30:29 น.
ปกติที่จะจำไม่ได้นี่นา ถ้าตัดใจ ทำไมเหมือนน้อยใจ แต่จะบอกยังไงดีล่ะคะ


sai 23 ม.ค. 2557, 07:55:32 น.
หนูวีๆๆๆๆๆใจร้ายจังเลยยยย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account