แผนลับ นักสืบ
กอหญ้าเพิ่งมาทำงานเป็นนักข่าวได้แค่ไม่ถึงหกเดือน เธอต้องการทำข่าวนายอิทธิกรติดผู้หญิงกับมั่วยาบ่อย ๆ เธอไม่ยอมแพ้ ไปแอบอยู่ข้างบ้านนายอิทธิกรแล้วปีนต้นไม้บ้านข้าง ๆ แต่หมอหนุ่มเห็นเข้าเขาจะเรียกตำรวจ แต่เธอร้องห้ามไป ๆ มา ๆ เลยขอแอบเข้าไปในบ้านหมอหนุ่มเสียเลย
Tags: ึความรัก,นักข่าว,คุณหมอ,ดารา

ตอน: ตอนที่ ๑๖ ความฝัน (ตอนอวสานแล้วค่ะ)

ความฝัน

“ทำอะไรนี่หมายถึงเรื่องอะไรล่ะ”

“แหม...ก็แบบในหนังที่ผู้ร้ายลักพาผู้หญิงไปข่มขืนอะไรแบบเนี้ย”

คนฟังถึงกับโขกหัวพุดซ้อนดังโป๊ก

“ดูหนังรอบดึกเยอะไปละสิ ไม่มีหรอก จะมีก็แต่โดนตบไปหลายทีกว่าจะรอดมาได้ แทบตายเลยละ” นักข่าวสาวกลั้นยิ้ม ส่วนพุดซ้อนถอนใจโล่งอก

“ค่อยยังชั่วหน่อย”

“อยู่ทางนี้ ฉันฝากงานหน่อยนะ”

“อ้าว เธอจะไปไหนล่ะ”

“ฉันจะกลับบ้านที่เชียงใหม่ เมื่อกี้เพิ่งส่งใบลาไปสองอาทิตย์”

“ดูแลตัวเองดีๆนะ ไปเถอะ”

เธอยิ้มให้กับพุดซ้อน นึกขอบคุณในใจว่า ถ้าไม่มีเพื่อนรักคนนี้ เธอคงไม่รู้ตารางงานของอิทธิกรจนสามารถแกะรอยทำข่าวนี้ได้สำเร็จ

หลังออกจากออฟฟิศ รสกรเงยหน้าดูท้องฟ้าแจ่มใสสีฟ้าสด แล้วเดินไปขึ้นรถเมล์สายหนึ่งเพื่อกลับบ้าน ระหว่างที่อยู่บนรถ ความคิดคำนึงบางอย่างก็ไหลผ่านเข้ามาในหัว...เธอจะต้องกลับไปเก็บของเครื่องใช้ส่วนตัวที่บ้านของคชินทร์ด่อน มันคงถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องย้ายออกมาสักที เพื่อให้เขาและข้าวฟ่างได้รักกัน ส่วนเธอก็ไม่มีทางอยู่ที่นั่นได้อีกแล้ว

เมื่อมาถึงบ้านสองชั้นอันคุ้นเคย นักข่าวสาวร่างบางไขกุญแจเปิดเข้าไป ภายในบ้านเงียบเหงามากเมื่อเธออยู่คนเดียวเช่นนี้ รสกรถอนหายใจยาวแล้วเดินขึ้นไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ของเธอใส่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ จากนั้นเธอเดินไปก็เปิดตู้ลิ้นชักข้างหัวเตียงแล้วหยิบของบางอย่างขึ้นมา...

ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กกับนาฬิกาที่เธอเก็บไว้อย่างดี

เธอวางทั้งสองสิ่งไว้ที่เตียงแทนการกล่าวคำอำลา

“ขอบคุณนะคะคุณชิน ที่ช่วยเหลือฉันทุกอย่าง” หญิงสาวกระซิบ


เมื่อลงจากรถโดยสารแล้ว รสรกรก็เดินไปที่ร้านขายต้นไม้และปุ๋ยของพ่อที่เป็นบ้านที่ครอบครัวของเธออาศัยอยู่ด้วย เธอยิ้มเมื่อเห็นพ่อ แต่ว่าในขณะนั้นพ่อของเธอกำลังยืนเถียงกับใครสักคนที่หน้าร้าน เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ๆก็เห็น อาแปะสมเลิศเจ้าของร้านขายของชำที่อยู่ร้านข้างๆ ซึ่งกำลังยืนส่งเสียงเอะอะล้งเล้ง หญิงสาวจึงรีบเดินเข้าไปห้าม

“อะไรกันเหรอคะ”

“ก็ไอ้นี่น่ะสิ มันมาบอกว่าจะพาตำรวจมาจับตาโอ๋ พ่อแค้นมันนัก”

“จริงหรือเปล่าคะ” เธอขมวดคิ้ว

“จริงน่ะสิ เมื่อไอ้ตี๋มันไปขี่รถเที่ยวกับน้องชายของลื้อ ตอนกลับมานะ อั๊วเห็นตาโอ๋ถือขวดเหล้ามาด้วย แบบนี้น้องลื้อต้องพาลูกอั๊วไปมั่วสุมกันมาแน่ๆเลย”

“พ่อถามตาโอ๋หรือยังคะ”

“ถามแล้ว น้องแกบอกว่าอาตี๋ชวนไปซื้อเหล้าให้ลูกค้าเป็นเพื่อน เพราะเหล้าที่ร้านพ่อมันหมด เลย”

“อาแปะคะ นี่คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดค่ะ”

“อั๊วไม่เชื่อ น้องชายลื้อต้องเป็นเด็กดื่มเหล้าติดยา แล้วมารีดไถเอาเงินอาตี๋ไปซื้อเหล้าแน่ๆ ดีนะที่ลูกอั๊วไม่กินเหล้าเมายาไปด้วย”

“ถุย...ไม่กินเรอะ” พ่อของรสกรสบถอย่างที่กำลังยั๊วะสุดขีด

“ทำไม ลื้อจะเถียงเรอะ”

“เออสิวะ มาหาเรื่องกันเป็นไง”

“ได้”

นักข่าวสาวเริ่มจะทนกับการทะเลาะวิวาทของพ่อและคนข้างบ้านไม่ไหว เธอร้องห้ามเสียงดังลั่น สองมือกำแน่นไว้ข้างลำตัว

“พอได้แล้ว!”

ได้ผล เพราะเมื่อเธอร้องสุดเสียง ทั้งสองก็หันหน้ามาหาเธอทันที อาแปะนั่นไม่เท่าไหร่ แต่คนที่เบิกตาโตคือพ่อของเธอเอง

“ยายกอหญ้า ลูกมาถึงเมื่อไหร่” พ่อของเธอเพิ่งรู้สึกตัวว่าลูกสาวอยู่ตรงนั้นหลังจากที่โมโหจนหน้ามืด จึงไม่สนใจว่าใครเป็นใคร

รสกรถอนหายใจยาว เมื่อกี้เธอก็พูดอยู่ปาวๆ แล้วพ่อเห็นเธอเป็นใครกัน

“มาถึงตั้งแต่เมื่อกี้แล้วค่ะ นี่มัวแต่ทะเลาะกันจนไม่สนใจกอหญ้าเลยใช่ไหม”

“เปล่าหรอก แหม มันโมโหไม่หายเลยไม่ทันได้สังเกตว่าใครไปใครมา”

“แล้วตอนนี้เลิกทะเลาะกันได้แล้วนะคะ”

“ไม่ อั๊วยังไม่หายโกรธ” อาแปะโพล่งขึ้น

“งั้นเหรอคะ ถ้างั้นต่อไปก็ไม่ต้องให้อาตี๋มาที่นี่อีกแล้ว ส่วนโอ๋ พ่อก็ต้องห้ามไปหาอาตี๋เด็ดขาด การบ้านอะไรก็ไม่ต้องให้ลอกให้สอนกัน แบบนี้ดีหรือเปล่าคะ”

อาแปะขมวดคิ้ว “มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้นด้วยล่ะ”

“เกี่ยวสิคะ เอาเป็นว่าสองบ้านนี้ไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกัน แต่ถ้าสองคนนั้นแอบไปคุยกันข้างนอกโดยไม่ให้ผู้ใหญ่รับรู้ อันนี้ก็ไม่รู้แล้วนะ”

“ไม่ได้นะ ห้ามอาตี๋ไปเที่ยวกับตาโอ๋อีก” อาแปะพูดเสียงดังลั่น

“แล้วถ้าเด็กๆแอบนัดไปเที่ยวกันใครจะรู้ล่ะคะ หรือว่าพ่อกับอาแปะจะสะกดรอยตามเด็กมันไปทุกที่ เอ...เห็นว่าคุณพ่อเป็นเบาหวาน ส่วนอาแปะก็ได้ข่าวว่าเป็นความดันโลหิตสูงไม่ใช่เหรอคะ ระวังนะคะสะกดรอยตามไป เดี๋ยวเป็นลมไปไม่มีใครช่วยหรอก”

“พอแล้ว ฉันจะเข้าบ้าน” อำนาจเหลือบสายตาไปมองอาแปะก่อนเดินเข้าบ้านไปไม่ยอมหันกลับมามองอีกเลย

“อั๊วก็เหมือนกัน”

สรุปแล้วคนทั้งสองก็เข้าบ้านใครบ้านมัน แม่ของเธอที่อยู่ในบ้านเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ นี่แหละที่เขาว่าคนเป็นพ่อ มักจะแพ้ลูกสาว

รสกรยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปกอดแม่

“หนูกลับมาแล้วค่ะ”

“ลูกคนนี้ จะกลับบ้านก็ไม่บอกไม่กล่าวเลยนะ นี่ลางานมานานเท่าไหร่ล่ะ”

ผู้เป็นลูกสาวชูสองนิ้วให้แม่ดู

“สองวันเองเหรอ” แม่เธอเอ่ยถาม

“ใครว่าล่ะคะ สองอาทิตย์ต่างหาก” เธอยิ้มหวาน “หนูจะได้อยู่กับพ่อและแม่ตั้งนานแน่ะ”

“จริงเหรอลูก ไป...เข้าไปข้างในเถอะ”

“ค่ะ”

จากนั้นสองแม่ลูกก็พากันเข้าไปในบ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างภายในบ้านก็ยังเหมือนเดิม วรยศอยู่ภายในห้อง และเมื่อเห็นเธอ เขาก็เรียกชื่อเธอเสียงดังพร้อมกับวิ่งมาหาเธอทันทีด้วยความดีใจ รสกรกอดน้องพร้อมกับถามว่าเขาไปทำเรื่องอะไรมาพ่อกับอาแปะแปะข้างบ้านถึงได้โมโห

“โธ่ พี่ครับ ผมกับไอ้ตี๋สนิทกันอยู่แล้ว ไปไหนก็ไปด้วยกัน พ่อของเรากับอาแปะข้างบ้านน่ะ เขาไม่ถูกกันเอง แล้วมาลงที่ลูก ไปเที่ยวเล่นกลับมาทีไร ไอ้ตี๋ต้องโดนรื้อค้นของในกระเป๋า เขาหาว่าผมพาลูกเขาเสีย”

“แล้วเธอพาเขาไปเสียจริงหรือเปล่าล่ะ”

“สาบานได้ ผมไม่เคยพาไอ้ตี๋ไปเที่ยวหรือไปกินเหล้าเลยนะครับ”

“จ้า พี่เชื่อเธอ เอาไว้สักวันสองวัน ให้พ่อใจเย็นลง แล้วพี่จะช่วยคุยกับพ่อให้ดีไหม”

“ดีครับ” วรยศยิ้มแป้น “พี่ครับ ผมดูข่าวนายอิทธิกรโดนจับข้อหาค้ายาไอซ์ พี่รู้หรือเปล่าครับ”

“รู้สิ” เธอยิ้ม เรื่องที่เธอไปแอบทำข่าวอิทธิกร เธอคิดว่าจะไม่ให้คนที่บ้านรู้ดีกว่า

“อืม...แล้วนี่พี่จะกลับมากี่วันครับ”

“สักสองอาทิตย์น่ะ แล้ว...พ่ออยู่ไหนล่ะ เมื่อกี้เห็นเดินเข้ามาแล้ว” เธอเอียงคอถาม

“อยู่ข้างในน่ะครับ เห็นเดินหน้าบึ้งไปทางหลังบ้าน”

“ขอบใจนะ”

คนเป็นพี่ยิ้มหวานให้น้องชายและแม่ แล้วเดินเลยไปยังหลังบ้านเพื่อไปหาพ่อที่กำลังนั่งดื่มโอเลี้ยงอยู่ที่โต๊ะนั่งเล่นในสวน เธอเห็นพ่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ พอหันมาเห็นเธอเข้าก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที เรียกให้เธอเข้าไปนั่งด้วยกัน

“อ้าวกอหญ้า มานั่งกับพ่อนี่มา” น้ำเสียงของเขาอ่อนลง

“พ่อคะ นี่ยังดื่มโอเลี้ยงอยู่เหรอ”

“ก็มันร้อนนี่นา”

“โอเลี้ยงน่ะมีคาเฟอีน ดื่มมากๆเข้ามันจะไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ”

“ฮึ่ย คาเฟอง คาเฟอีนอะไรกัน ไม่เป็นไรหรอกน่า ว่าแต่...เราน่ะทำไมถึงกลับมาได้ล่ะ” คุณพ่อหนวดเข้มเอ่ยปากถาม

รสกรยิ้มกว้าง ครั้งสุดท้ายที่เธอกลับบ้านมันนานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผ่านมาเธอมัวแต่ทำงานจนลืมเวลาไปเลย จะกลับบ้านทีก็ช่วงปีใหม่วันสงกรานต์เท่านั้น โชคดีที่พ่อกับแม่ของเธอยังแข็งแรงดีอยู่เสมอ น้องของเธอก็โตเป็นหนุ่มจนดูแลตัวเองได้แล้ว เธอจึงไม่ห่วงทางบ้านมากนัก

“ลาพักไว้สองอาทิตย์น่ะค่ะ จะได้อยู่ดูแลพ่อและแม่บ้าง”

“ปากหวานมาเชียวนะ แล้วไอ้หมอนั่นล่ะ ไม่มาด้วยกันเหรอ”

“ใครเหรอคะ” เธอกระพริบตาถี่ๆอย่างงุนงง

“ไอ้หนุ่มชินไงล่ะ ไม่ชวนเขามาเที่ยวบ้านเรามั่งล่ะ แหม...พ่อละชอบหมอนี่จริงๆ”

รสกรหน้าแดงจัด พ่อเธอชอบใจคชินทร์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตอนนั้นเห็นพ่อฮึ่มฮั่นใส่เขาเสียขนาดนั้น

“ใครคะ คุณชินน่ะเหรอ จะชวนเขามาทำไมล่ะคะ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็...เอ่อ เขาเป็นแฟนกับเพื่อนกอหญ้าน่ะสิคะ แล้วจะชวนให้มาเที่ยวที่บ้านเราได้ยังไงล่ะ” เธอเอ่ยเสียงเบา

“อืม น่าเสียดายนะ”

“เสียดายอะไรกันคะ พ่อนี่อะไรก็ไม่รู้” ลูกสาวพึมพำเสียงอุบอิบ

อำนาจหัวเราะเสียงดัง ยกมือลูบศีรษะของเธอแผ่วเบา

“น่าเสียดายที่ลูกพ่อยังไม่มีแฟนนะสิ”

“ก็พ่อไม่กระจายข่าวออกไปละคะว่ากำลังจะหาแฟนให้หนู”

“ฮ่าๆ ผู้ชายแถวนี้ไม่เอานะ พ่อไม่มีทางให้เหยียบขึ้นกะไดบ้านมาจีบลูกได้หรอก”

รสกรมีความสุขมากที่ได้นั่งคุยเรื่องราวต่างๆกับพ่อ พ่อของเธอเป็นคนคุยสนุกเช่นเดียวกับแม่ที่เป็นคนช่างคุย เธอเข้าใจดีถึงความรู้สึกที่แท้จริงของคนที่ต้องไปทำงานต่างถินที่อยากกลับบ้าน เพื่อกลับมาหาไออุ่นของครอบครัว

“กอหญ้า งานของลูกเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ก็เรื่อยๆค่ะ”

“แล้วลูกตั้งใจจะทำไปจนถึงเมื่อไหร่”

“ไม่รู้สิคะ อาจจะทำไปเรื่อยๆจนแก่เลยก็ได้” เธอพูดติดตลก

“ไม่ได้นะ” พ่อทำเสียงเข้มขึ้น

นักข่าวสาวยิ้มขำ “เป็นอะไรไปคะ ดุหนูซะดังเชียว”

ดูเหมือนพ่อจะรู้ตัวว่าส่งเสียงดังไปหน่อย เลยกระแอมสองสาวครั้ง

“คือว่าพ่อสนิทกับปลัดที่เพิ่งมาใหม่คนหนึ่งน่ะ แล้ววันนี้เขาก็จะมากินข้าวที่บ้านเราด้วย”

“ปลัดเหรอคะ พ่อไปสนิทกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เรื่องมันนานมาแล้ว พ่อรู้จักคนเยอะ ก็สนิทกับเขาไปทั่วนั่นแหละ”

หญิงสาวขมวดคิ้ว ถ้าพ่อของเธอมีอาการกระสับกระส่ายทำนองนี้ มักจะมีเรื่องปิดบังอยู่เสมอ ดูท่าทางปลัดคนนั้นคงจะสนิทสนมกับพ่อมาก ไม่อย่างนั้นพ่อของเธอคงไม่ชวนเขามาทานข้าวที่บ้านหรอก แต่ว่าเธอแอบเห็นสายตากับรอยยิ้มของพ่อ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างไรก็ไม่รู้

“พ่อจะพาเขามาทานข้าวบ้านเราเหรอคะ”

“ใช่ ถึงตอนนั้นพ่อจะได้แนะนำให้เขากับลูกรู้จักกัน”

“แฟนเขาไม่มาด้วยเหรอคะ”

“แฟนเฟินอะไร ไม่มีหรอก เขาเป็นปลัดใหม่ เป็นหนุ่มโสด หน้าที่การงานดีซะด้วย”

รสกรถอนหายใจอย่างหนักใจ ว่าแล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้

“ต้องให้หนูแต่งตัวสวยๆ แบบนุ่งกระโปรงสั้นๆด้วยไหมคะ”

“เฮ้ย ไม่ต้องเลย ลูกน่ะแต่งตัวแบบนี้ก็พอแล้ว”

“พ่อคะ” เธอเน้นเสียงหนัก “หนูบอกพ่อแล้วไม่ใช่เหรอคะว่า หนูยังไม่อยากมีแฟน”

“แต่พ่อว่าลูกลองคุยกับเขาดูก่อนเถอะ ไม่แน่ว่าลูกอาจจะชอบเขาก็ได้นะลูก”

“พ่อ”

“เอ่อ...พ่อไปก่อนนะ พอดีพ่อนัดกำนันไว้ เดี๋ยวจะไปสาย” พ่อของรสกรลุกขึ้นยืนแล้วรีบออกไปจากบ้าน เกรงว่าลูกสาวจะโวยวายไม่พอใจอีก

หญิงสาวถอนหายใจแรง ดูเอาเถอะ ก็บอกว่าแล้วว่ายังไม่อยากมีแฟนก็ ยังจะไปสรรหาผู้ชายมาให้อีก...

คชินทร์ล่ะ เขาใช่คนที่เป็นคนรักของเธอหรือเปล่า

ไม่มีทางหรอก ก็เขาเป็นคนของคนอื่น เธอจึงไม่มีสิทธิ์จะคิดแบบนี้กับเขา

“แย่จัง” เธอพึมพำอย่างรู้สึกหน่วงใจ

“มีอะไรไม่สบายใจหรือจ๊ะ” แม่ของรสกรเดินมาหา “เมื่อกี้ยังเห็นคุยพ่ออยู่เลย ตอนนี้ออกไปข้างนอกซะแล้

“แม่คะ แม่รู้จักปลัดคนใหม่ไหม”

“คุณปลัดตรีน่ะหรือลูก รู้จักสิ เขาเพิ่งมาเป็นปลัดใหม่ที่อำเภอนะลูก”

หญิงสาวทำหน้าเซ้งจัด “เย็นนี้เขาจะมาทานข้าวเย็นที่นี่เหรอคะ พ่อบอกให้หนูคอยรับแขกด้วย สงสัยว่าจะยุให้อีตาปลัดคนนั้นจีบหนูแน่ๆเลย” เธอบ่น

“ตายจริง” แม่เธอหัวเราะ “พ่อนี่นะ ช่างเลือกจริงๆ”

“แม่คะ” หญิงสาวทำเสียงโอดครวญ

“เอาเถอะน่า เขามาเราก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีก็พอ ถ้าเขาเกิดจีบลูกขึ้นมา แต่หนูไม่สนใจ เรื่องมันก็จบไม่ใช่หรือ คิดอะไรมากล่ะ”

“หนูรักแม่ที่สุดเลย” รสกนโผเข้าไปกอดแม่แน่น

“จ๊ะๆ” แม่ของของเธอยิ้มบางๆ “ไป...ไปหาอะไรทำกินกันเถอะ”

จากนั้นสองแม่ลูกก็เข้าครัวช่วยกันทำกับข้าว ซึ่งก็คือแกงฟักทอง หลังจากนั้นรสกรก็ทอดไข่เจียวลงในกระทะใหญ่ ขณะนั้นก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นที่หน้าบ้าน เคียงจันทร์ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ แบบนี้มีหวังพ่อของเธอกับอาแปะข้างบ้านคงทะเลาะกันอีกตามเคย

“พ่อของลูกกับอาแปะข้างบ้านคงจะทะเลาะกันอีกแล้ว”

“คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะคะ”

“เรื่องไรสาระน่ะ หาเรื่องได้ทุกวัน แม่ละเบื่อจริงๆ”

“ขอโทษนะคะแม่ ช่วยมาทอดไข่ให้หนูหน่อย เดี๋ยวหนูจัดการเอง” รสกรถอดผ้ากันเปื้อนออก ตรงไปยังห้องนอนของน้องชาย แล้วเปิดประตูลากวรยศให้ออกไปที่หน้าร้าน ทำเอาเด็กหนุ่มอ้าปากค้าง

“พี่กอหญ้า จะพาผมไปไหนน่ะ”

“พี่ก็จะพาเธอ ไปให้อาแปะนั่นดูน่ะสิ”

เมื่อออกไปที่หน้าบ้าน เธอก็เห็นพ่อกับอาแปะกำลังทะเลาะกันหน้าดำคร่ำเครียด เมื่อเธอไปถึงเธอก็ตะโกนลั่น

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ มีอะไรก็พูดกันดีสิคะ”

“ยายกอหญ้า นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เกี่ยว” พ่อเธอหันมาดุ

“อ๋อ...แล้วเรื่องของเด็ก ผู้ใหญ่เกี่ยวด้วยเหรอคะ”

คำพูดของหญิงสาวทำให้ผู้ใหญ่สองคนถึงกับนิ่งอึ้งทันที รสกรหันหลังไปดันน้องชาย ซึ่งดูจะไม่ค่อยกล้าพบหน้าอาแปะ แต่เวลานี้เธอไม่ยอมให้เขาหนีอีกแล้ว

“เอาเลยสิ พูดไปเลยว่าเธอเป็นคนยังไง ที่พาอาตี๋ไปดึกๆดื่นๆน่ะ พาไปที่ไหน”

“เอ่อ...ผม”

“ลื้อพูดมาเลยนะว่า พาอาตี๋ไปกินเหล้าเมายาที่ไหน ลื้อพูดมาให้หมดเลย”

“บอกมาเลยว่าแกพาเขาไปที่ไหนมา” รสกรเร่งให้น้องพูด

“ผมพาอาตี๋ไปติวหนังสือที่บ้านอาจารย์ครับ ตอนนี้พวกเราก็ใกล้จะต้องสอบเข้ามหาลัยกันอยู่แล้ว พวกเราอยากเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันครับ”

“ไปติว” ทั้งพ่อของเธอและอาแปะร้องพร้อมกัน

“ไปติวที่ไหนกัน ทำไมอั๊วไม่รู้” อาแปะทำเสียงเขียวอย่างไม่เชื่อ

“ไปติวที่บ้านอาจารย์สอนพิเศษครับ แต่ตี๋แอบไปเรียนเลยไม่ให้บอกใคร”

“แล้วทำไมถึงไม่อ่านที่บ้านล่ะ” อำนาจถามขึ้นบ้าง

“ถ้าติวที่บ้าน พ่อกับอาแปะก็ทะเลาะกันอีก จะมีเวลาอ่านที่ไหนล่ะครับ”

“ไอ้หยา...อาตี๋นะอาตี๋ ไปเรียนทำไมไม่บอกอั๊วล่ะ”

“ก็อาแปะทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ตี๋มันเลยคิดว่าจะเรียนสูงๆ จบมาแล้วทำงานดีๆ หาเงินมาส่งเสียที่บ้านบ้างน่ะครับ” วรยศสารภาพความจริงให้พ่อเพื่อนได้รับรู้

รสกรถอนหายใจหนัก “แล้วทำไมพวกเธอไม่บอกคุณพ่อกับอาแปะไปตั้งแต่แรกล่ะ”

“ก็ผมกลัวพ่อกับอาแปะด่านี่ครับ” วรยศเอ่ยเสียงอ่อย

คำพูดของเด็กหนุ่มให้ให้ชายสูงวัยทั้งสองมองหน้ากัน แล้วทำหน้าเจื่อน

“หน้าตาอั๊วมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ใช่ใจร้ายซะเมื่อไหร่” อาแปะกล่าวเสียงอ่อนลง

“หน้าตาแก มันหาความดีไม่ได้เลย” อำนาจอดขัดขึ้นไม่ได้

“หน็อย ลื้อว่าไงนะ”

เมื่อเห็นว่าชักจะไม่เข้าที นักข่าวสาวจึงยกมือมาคั่นกลาง แยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน

“เอาละค่ะ คราวนี้ก็รู้เรื่องกันแล้ว คราวหน้ามีอะไรก็ถามจากลูกตรงๆไม่ดีกว่าเหรอ” เธอยิ้มละไม “เอ่อ ตอนนี้กอหญ้ากับแม่เพิ่งกับข้าว เชิญอาแปะมากินด้วยกันนะคะ”

“หา...อั๊วเหรอ”

“มีแกงฟักทองกับไข่เจียวด้วยนะคะ”

“ไม่ดีกว่า ฉันจะไปกินกับอาตี๋สองคน ว่าจะไปกินอาหารภัตตาคารกันเสียหน่อย”

“ถุย หมั่นไส้” พ่อของรสกรสบถอย่างหมั่นไส้

“พ่อคะ” หญิงสาวมองหน้าพ่อเธอ “อาแปะคะ ถ้าวันนี้ไม่ว่าง ไว้วันหลังเราเชิญอาแปะกับอาตี๋มากินข้าวด้วยกันนะคะ”

“พูดกับลูกสาวค่อยดีหน่อย ไปก่อนละ” กล่าวจบ อาแปะเดินกลับบ้านไป ทิ้งให้เธอยืนอยู่กับน้องชายและพ่อซึ่งยังมีสีหน้าบอกบุญไม่รับ

“เออ ไปเลย ไม่ได้ง้อ” อำนาจยังไม่วายเข่นเขี้ยว

“พ่อคะ” ลูกสาวหันมาหาพ่อ “พ่อรู้ใช่ไหมคะว่าตาโอ๋พาอาตี๋ไปติวข้อสอบที่บ้านอาจารย์ แล้วทำไมถึงไม่เล่าให้อาแปะฟังล่ะคะ”

“ไหน ใครรู้...พ่อก็เพิ่งรู้จากลูกนี่แหละ”

“จริงหรือคะ”

“จริงสิ พ่อจะโกหกลูกทำไมล่ะ” พ่อพูด พลางเปลี่ยนเรื่อง “พ่อออกไปตลาดดีกว่า ว่าจะไปซื้ออะไรมากินแกล้มเหล้าเสียหน่อย ลืมไปว่าต้องไปทำธุระบ้านผู้ใหญ่” พูดจบพ่อของเธอก็เดินออกไปจากร้าน รสกรส่ายหน้า ดูเอาเถอะ พ่อนะพ่อ ทำกันได้ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆดังมาจากแม่ของเธอที่ยืนถือตะหลิวอยู่ที่ประตูบ้าน

“หัวเราะอะไรคะแม่”

“ก็หัวเราะพ่อของเราน่ะสิ ดีนะที่กอหญ้ากลับมาเยี่ยมบ้าน ไม่อย่างนั้นละก็ คงทะเลาะกันไปอีกนานเลยล่ะ” ใบหน้าของคุณแม่ยังสวยยิ้มหวาน

“ก็พ่อสิคะ ดื้อซะไม่มี”

“นั่นสินะ”

เธอยิ้มหวาน ดูท่าทางแล้วสองบ้านคงจะสงบศึกได้ชั่วคราว...

อาหารมื้อเย็นวันนี้มีแกงฟักทอง หน่อไม้ต้ม น้ำพริกกะปิ ไข่เจียวดูน่ากินไปหมด ตรีปลัดอำเภอคนใหม่ซึ่งเป็นแขกของบ้านเป็นชายที่มีรูปร่างสูง หน้าตาหล่อเหลาและยิ้มเก่ง รสกรสังเกตเห็นว่าเขามักจะมองมาที่เธอพร้อมกับยิ้มให้ พ่อจัดแจงให้เธอนั่งใกล้เขาเพื่อจะพูดคุยทำความรู้จักกันได้สะดวก เธอยกจานข้าวมาให้กับชายหนุ่ม และเขาก็เอื้อมมือมารับด้วยรอยยิ้มและสายตาแพรวพราว ปลายนิ้วสัมผัสกัน

“ขอบคุณครับคุณกอหญ้า”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอยิ้มเฝื่อน ดูท่าแล้วอีตาปลัดนี่คงจะเจ้าชู้น่าดู

“อาหารของที่นี่อร่อยมากเลยนะครับ”

“ขอบใจจ้ะ ว่าแต่อาหารของป้าจะอร่อยสู้ฝีมือคุณทำเองหรือเปล่า”

“อร่อยมากครับ อร่อยกว่าที่ผมทำตั้งเยอะ”

ชายหนุ่มดูจะเอาใจว่าที่พ่อและแม่ของเธอเป็นพิเศษ กุลีกุจอตักกับข้าวให้ตลอด เธอชำเลืองมองแขกหนุ่มและพ่อของเธอซึ่งกำลังยิ้มแก้มแทบปริ

“กอหญ้า ลูกตักหน่อไม้ให้คุณปลัดเขาหน่อยสิ”

“ตักเองก็ได้นี่คะ” เธอตอบทำตาใสซื่อ

“ไม่เอาน่า เราเป็นเจ้าบ้านต้องดูแลแขกให้ดีๆสิ”

หญิงสาวถอนหายใจยาว แล้วตักหน่อไม้ให้ตรี

“ขอบคุณมากนะครับ” ตรีตอบยิ้มๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ”

ทั้งห้าคนรับประทานอาหารกันไป พ่อและปลัดหนุ่มคุยกันตามประสาผู้ชาย โดยที่รสกรเอาแต่นั่งเงียบ สักพักพ่อของเธอก็หันมาหาแล้วบอกกับเธอว่า

“ เป็นอะไรไปเราน่ะ ทำไมนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจาเลย”

“ก็แค่เซ็งนิดหน่อย” เธอตอบตรงๆ

รสกรนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เพราะเธอถูกพ่อหยิกเอาแรงๆที่หลัง

“ปลัดอำเภอหล่อขนาดนี้ สาวๆแถวนี้คงจะหาเรื่องไปอำเภอบ่อยๆแน่เลยใช่ไหมคะ” เธอแสร้งยิ้มหวาน

“ครับ แต่ไม่เห็นมีใครจีบผมสักที”

“เหรอคะ”

อำนาจมองลูกสาวและปลัดหนุ่มอย่างอดยิ้มไม่ได้ เมื่อกินอาหารอิ่มแล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า

“เอาละ กอหญ้าพาปลัดไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านหน่อยสิ จะได้ย่อยอาหารไปด้วยไงล่ะ”

“อะไรนะคะ” รสกรขมวดคิ้ว “ตอนนี้เนี่ยนะ”

“เป็นอะไร ตอนนี้หรือว่าตอนไหนๆ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ สวนหลังบ้านของเรามีต้นไม้ตั้งเยอะแยะ ทั้งมังคุด ทั้งลำไย พาเขาไปดูหน่อยเถอะลูก คุณปลัดเขาอยากเห็น”

“มีสวนลำไยด้วยหรือครับ”

“ใช่ มีตั้งเยอะแยะ มีชมพู่ด้วยนะ” พ่อของเธอรีบบอกอย่างภูมิใจ

รสกรแอบถอนใจเบาๆ ดูท่าแล้ว พ่อของเธอคงจะคะยั้นคะยอให้เธอพาเขาไปดูสวนผลไม้ที่อยู่หลังบ้านให้ได้

“ใช่ค่ะ มีตั้งเยอะแยะ ถ้าคุณสนใจจะไปดู ฉันพาไปก็ได้ค่ะ”

“จริงหรือครับ ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับ”

“ค่ะ”

สองหนุ่มสาวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปยังสวนผลไม้หลังบ้านที่มีอยู่กว่าสิบไร่ เธอไม่ได้มาดูสวนตั้งนานแล้ว ต้นชมพู่ออกผลดกจนกิ่งลู่จนเธอเอื้อมไปเก็บได้ ปลัดหนุ่มโหนกิ่งลำไยจะเด็ดพวงลำไย แต่ถูกฝูงมดแดงตรงกิ่งลำไยรุมกัด

“มดที่นี่เยอะจังนะครับ” ปลัดหนุ่มสะบัดแขนแรงๆ

“ใช่ค่ะ เวลาจะเก็บต้องดูดีๆว่า จะมีมดหวงไข่หรือเปล่า”

“แปลว่าอะไรนะครับ”

“มดหวงไข่ ก็มดแดงที่อยู่ตรงกิ่งลำไยนั่นแหละค่ะ เขาว่ามดมันหวงไข่” เธอหัวเราะคิก นัยน์ตาพราวระยับ จนปลัดหนุ่มมองดูเธอด้วยรอยยิ้ม

“คุณกอหญ้าเป็นนักข่าวเหรอครับ” จู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยขึ้นมา

“ค่ะ เพิ่งทำได้ปีกว่าเองค่ะ”

“เหรอครับ แล้วเป็นยังไงบ้าง ลำบากไหม คุณมีคนช่วยหรือเปล่า”

พูดถึงคนช่วยแล้ว สีหน้าของเธอก็หมองลงทันที

“เคยมีค่ะ และเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีซะด้วย”

“อ้าว แล้วคุณทิ้งงานมาแบบนี้ เขาก็ต้องทำคนเดียวสิครับ”

“เปล่าหรอกค่ะ เขาเป็นผู้ช่วยของฉันแค่งานเดียวเท่านั้น” เธอยิ้มหวาน “ตอนนี้เขาน่าจะกลับบ้านได้แล้ว” ประโยคหลังหญิงสาวทำเสียงพึมพำ

“กลับบ้าน หมายถึงอะไรเหรอครับ”

“เอ่อ...คือเขาบาดเจ็บจนต้องเข้าที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ”

“เหรอครับ”

“ค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆให้เขา

“ถ้างั้นคุณคงจะมาเที่ยวแค่ไม่กี่วัน แล้วก็กลับไปทำงานต่อใช่ไหมครับ”

“ค่ะ ฉันลางานมาสองอาทิตย์”

“แล้ว...คุณมีแฟนหรือยังครับ” คำถามที่เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนเธอชะงัก

“อะไรนะคะ”

“ผมอยากรู้ว่าคุณมีแฟนหรือเปล่า ถ้าไม่รังเกียจผมจีบคุณได้ใช่ไหมครับ” ปลัดหนุ่มยิ้มกว้างหยุดเดินแล้วก็จับมือบางขึ้นมา “คุณจะรังเกียจหรือเปล่า”

“คุณปลัด”

“ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ว่าจริงใจนะครับ”

“แต่ว่า...เราเพิ่งรู้จักกันวันนี้เองนะคะ”

“ผมรู้จักคุณจากปากคุณพ่อคุณตั้งนานแล้ว ในที่สุดวันนี้ผมก็มาเจอคุณจริงๆ แล้วคุณก็น่ารักและสวยมากทีเดียว”

“เอ่อ...แต่ว่า”

“นะครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ”

เธอรู้สึกอึดอัดใจ เขาชอบเธองั้นเหรอ...แต่หัวใจเธอล่ะยังอยู่กับใครอีกคน คำถามในใจทำให้เธออดคิดถึงเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลไม่ได้

นักข่าวสาวนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ในสวน เหม่อมองไปข้างหน้า เธอถอนหายใจยาวไม่รู้ว่าคำตอบของเธอจะทำให้อะไรแย่ลงหรือเปล่า... มองต้นไม้ในสวนที่แข่งกันออกดอกออกผล ตรงที่เธอนั่งมีไฟส่องสว่างสลัว เธอยังไม่อยากเข้าบ้าน และยังไม่อยากคุยกับพ่อตอนนี้ ทันใดนั้นหยิงสาวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ วรยศคงถูกพ่อใช้ให้มาตามเธอเข้าบ้านแน่ๆ แต่เธอยังไม่อยากกลับเข้าไป

“พี่ยังไม่อยากกลับน่ะ...” เธอเอ่ยเบาๆ โดยไม่หันกลับไปมอง

“ไปบอกพ่อด้วยนะ ว่าพี่ขอนั่งอยู่เงียบๆตามลำพัง “เมื่อกี้พี่เพิ่งบอกกับปลัดตรีไปว่าพี่มีแฟนแล้ว”

ใบหน้าหวานเม้มปากแน่น

“มันช่วยไม่ได้นี่ ถึงเขาคนนั้นจะมีข้าวฟ่างอยู่แล้ว...แต่พี่ก็ตัดใจไม่ได้อยู่ดี”

“แล้วทำไมถึงไม่ยอมตัดใจล่ะ” เสียงทุ้มนุ่มจากด้านหลัง ทำเอารสกรสะดุ้งโหยงหันกลับไปมองทันที เขาไม่ใช่น้องชายเธอ แต่เป็นผู้ชายที่เธอเพิ่งคิดถึงเขาอยู่หยกๆ ตอนนี้เขาคิ้วขมวดหน้าตาบอกบุญไม่รับ

“คุณชิน”

“คุณนี่จริงๆเลย เล่นเก็บข้าวของออกจากบ้านมาโดยไม่ร่ำลา จะให้ผมทำยังไงดี”

“เอ่อ...คุณชินมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ได้สักครู่ใหญ่แล้ว ผมนั่งอยู่ภายในบ้าน ฟังพ่อคุณด่าซะไม่มีดีเลย”

“พ่อเหรอ คุณไปหาพ่อฉันมาเหรอ”

“ใช่ ก็ผมมาตามหาคุณ”

“ตายละ แล้วพ่อว่ายังไงบ้างเรื่องคุณมาที่นี่....จริงสิ คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันกลับบ้าน”

“แล้วคิดว่าผมจะไปถามใครล่ะ”

“นี่คุณ ฉันถามดีๆนะ”

“ผมก็ตอบดีๆเหมือนกัน”

หมอหนุ่มเริ่มฉุนขึ้นนิดๆ มีอย่างที่ไหนเขานอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล แต่หญิงสาวที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องนอนโรงพยาบาลดันหนีกลับบ้านไปเสียนี่

“ตอบผมมาว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ แล้วปลัดหนุ่มที่ว่านั้นเป็นใคร”

“เอ่อ...” เธอเริ่มอึกอัก “ฉันพูดอะไรไปเหรอ”

“ปลัดตรี หรือจะให้ผมต้องบอกซ้ำ” น้ำเสียงของเขาต่ำลึก

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ปลัดอำเภอคนใหม่ที่มากินข้าวเย็นที่บ้านเท่านั้นเอง” เธอปฏิเสธ ขืนบอกไปสิว่าเขามาจีบเธอคงเป็นเรื่อง

แต่อีกใจหนึ่งเธอก็อยากรู้จริงๆว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร หากรู้ว่าตรีจะจีบเธอ

“ถ้าเขามาจีบฉัน คุณจะทำไมล่ะ”

เขาขมวดคิ้ว “ถ้าเขามาจีบคุณ ผมก็จะจูบคุณให้เขาดูแล้วบอกว่าเราเป็นแฟนกัน”

“ตาบ้า” เธอหน้าแดงก่ำ “ฝันไปเถอะว่าฉันจะแย่งแฟนเพื่อน”

“เพื่อนเหรอ ใครกัน”

“ก็จะมีใครเสียอีกล่ะ ตอนคุณอยู่โรงพยาบาลเห็นเขาเป็นห่วงคุณอย่างกับอะไรดี”

“ข้าวฟ่างน่ะหรือ” เขาซ่อนยิ้ม

“ใช่น่ะสิ”

“คุณนเรนท์กับข้าวฟ่างตกลงเป็นแฟนกัน แล้วคุณจะให้ผมเป็นแฟนคุณข้าวฟางได้ยังไงล่ะ”

หญิงสาวงุนงง กระพริบตาถี่ๆ

“อะไรนะ คุณนเรนทร์กับข้าวฟ่างคบกันแล้วเหรอ”

“นเรนทร์บอกผมว่า เขารักข้าวฟ่าง และขอความรักจากเธอ ตอนแรกข้าวฟ่างก็ตกใจ แต่ข้าวฟ่างก็ตอบตกลงกับเพื่อนผมว่าจะคบกันดู”

“แล้วคุณล่ะ” เธอพลั้งปากพูดออกไป

“ผมหรือ ผมทำไมล่ะ”

“ก็คุณ...เอ่อ กับข้าวฟ่าง”

“คนที่ผมรัก ไม่ใช่ข้างฟ่าง แต่เป็นคุณต่างหาก”

คำสารภาพจากปากผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เธอคิดว่าสุดท้ายเขาจะเลือกข้าวฟ่างเหมือนคนอื่นๆ รสกรแก้มแดงจัดไปถึงใบหู

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น...แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะต้องเอาตัวเองไปเทียบกับคุณข้าวฟ่างด้วย เพราะคุณเองก็มีดีในส่วนที่เขาไม่มีเหมือนกัน”

รสกรจ้องหน้าเขา มีด้วยเหรออะไรดีๆในตัวเธอที่ข้าวฟ่างไม่มี

“ความกล้าหาญ และความอ่อนโยนไงล่ะ” เขายิ้ม “คนที่ผมรักต้องเป็นคุณเท่านั้น”

“คุณชิน”

และวินาทีนั้นเองรสกรก็ถูกรวบเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนแน่น เธอสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงใต้อกซ้ายของเขา และก็ราวกับมันเต้นเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจของเธอด้วยเช่นกัน วงแขนโอบเอวบางกับมือที่ลูบศีรษะเธอ ทำให้ร่างบางหลับตาลงพริ้ม มีเพียงเขาและเธอตลอดไป...หัวใจเธอกลายเป็นของเขาและมันไม่มีวันจะแปรเปลี่ยนได้ แขนของเธอโอบกอดเขาแนบแน่น อยากหยุดเวลาแล้วอยู่ตรงนี้ไปนานๆ...

เธอกระซิบ “ฉันกลัวเหลือเกิน กลัวว่าสุดท้ายคุณจะหลงรักข้าวฟ่าง แต่ฉัน...”

“ตัดใจไม่ลงล่ะสิ”

“น่าตลกนะ ที่ฉันมัวแต่คิดไปเอง”

“นั่นน่ะสิ”

จู่ๆเธอก็เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ เมื่อกี้ที่เขาไปหาพ่อเธอ เขาไปพูดอะไรกับพ่อเธอล่ะ

“เมื่อกี้ที่คุณไปหาพ่อ แล้วพ่อฉันว่ายังไงบ้าง คุณอธิบายเรื่องของเราให้พ่อฟังว่ายังไง”

“อธิบายว่าอย่างไรน่ะเหรอ...ผมก็สารภาพว่าผมรักคุณ และไม่มีวันยอมเสียคุณไปเด็ดขาด” น้ำเสียงของเขาต่ำลึก

หญิงสาวแก้มแดงปลั่ง

“อะไรนะ นี่คุณบอกพ่อไปอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ พ่อคุณน่ะแทบจะเอาไม้ตะพดมาฟาดหัวผมเลยนะ” คชินทร์เหยียดยิ้ม “ผมเจอข้อหาหนักที่หลอกพ่อและแม่ว่าเป็นแฟนเพื่อนคุณ ทั้งๆที่เราอยู่บ้านนั้นกันแค่สองคน”

“หา? แล้วคุณพ่อว่ายังไงบ้าง” เธอใจเต้นตึกตัก

“เขาก็โกรธมาก แล้วบอกให้ผมรับผิดชอบด้วยการรีบแต่งงานกับลูกสาวเขาให้เร็วที่สุด”

คนฟังทำตาโต แต่งงานเนี่ยนะ

“อะไรกัน จะให้แต่งงานเหรอ”

“ใช่ หรือคุณจะปฏิเสธ” ชายหนุ่มโน้มตัวลงมา “ผมบอกกับพ่อคุณไปแล้วว่าผมจะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอคุณ พ่อคุณก็ตกลงรับปากแล้วด้วย”

“บ้า คุณนี่บ้าที่สุดเลย ไปบอกพ่อว่าอย่างนั้น แต่ไม่ถามฉันสักคำเลย” เธอทุบแรงๆที่ไหล่ข้างขวาเขา ลืมไปว่าเป็นรอยแผลที่โดนยิงยังไม่หาย เขานิ่วหน้าด้วยความเจ็บจนเธอหน้าซีด “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ เจ็บที่ร่างกายดีกว่าเจ็บที่หัวใจ”

“บ้า” หน้าเธอแดงก่ำ “คุณนี่...”

“คุณจะแต่งงานกับผมไหม” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ รัดวงแขนให้แน่นขึ้น

“เรื่องอะไร ใครจะแต่งงานกับคุณกันล่ะ”

“งั้นผมจะจูบคุณตรงนี้แหละ จะจูบจนกว่าคุณจะพูดว่ายอมแต่งงานเลย” ไม่พูดเปล่า แต่คชินทร์ยังทำท่าจะโน้มตัวลงมาจูบเธอ ทำเอารสกรดิ้นเป็นพัลวัน

“อย่านะ ไม่เอานะ”

“คุณจะยอมแต่งงานกับผมไหม”

คนถูกขอแต่งงานเม้มปากแน่น จะว่าอย่างไรดีล่ะ ใจเธอน่ะรักเขาแล้ว เพียงแต่เมื่อก่อนยังปากแข็ง พูดไม่ตรงกับใจ ทว่าตอนนี้เริ่มใจอ่อนเสียแล้ว

“ค่ะ” เธอตอบรับเสียงเบา

“อะไรนะ”

“ไม่พูดแล้ว คุณอยากฟังไม่ชัดเองทำไมล่ะ”

เขายิ้มกว้าง ก่อนล้วงนาฬิกากับผ้าเช็ดหน้ามาคืนให้เธอ “ของขวัญที่คุณวางไว้บนเตียง ผมเอามาให้คุณนะ”

“คุณชิน”

“มันเป็นของของคุณคนเดียวเท่านั้น” เขายิ้มบางๆ รสกรพูดไม่ออกมองดูนาฬิกาและผ้าเช็ดหน้าในมือเขา คชินทร์อุตส่าห์เอามาคืนให้เธอ ทั้งๆที่ตอนแรก รสกรวางทั้งสองสิ่งไว้ที่เตียงแทนการกล่าวคำอำลา เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมรับคืน คชินทร์ก็เลยดึงแขนเธอไปใส่นาฬิกาให้ เมื่อใส่เสร็จแล้วก็ชูผ้าเช็ดหน้าขึ้นตรงหน้าเธอ ใบหน้าคมสันยิ้มละไม

“ไม่อยากได้คืนงั้นเหรอ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้”

“อยากได้สิ เอาคืนมา”

รสกรเอ่ยปากพลางจะคว้าเอาผ้าเช็ดหน้าจากมือเขา แต่คชินทร์ก็ยื่นมือถอยห่างออกไปไม่ให้เธอได้เอื้อมถึง หญิงสาวเดินเข้าไปจะคว้าเอาคืนมา คชินทร์ได้จังหวะยกแขนขึ้นโอบรอบเอวบางโอบกระชับแน่น เธออุทานแผ่วอย่างตกใจ เมื่อสายตาของเธอประสานเข้ากับดวงตาคมกริบของเขา ที่ซ่อนรอยยิ้มไว้บาง ๆ ระยะใกล้จนหญิงสาวได้กลิ่นลมหายใจผะแผ่วจนต้องก้มหน้าหลบสายตาของเขา

“นี่...คุณปล่อยก่อนสิ”

“ไม่ปล่อย ผมยังไม่ได้ฟังคำตอบจากคุณเลยนะ”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ก็เรื่องแต่งงานกับผมยังไงล่ะ” เสียงของเขาทุ้มนุ่ม

“ฉันบอกไปแล้ว คุณอยากไม่ฟังเองทำไมล่ะ”

“ผมอยากฟังคำตอบจากคุณ ไม่ว่าจะฟังอีกสักร้อยรอบ ผมก็อยากฟังอยู่แบบนี้ไปตลอด คุณอยากแต่งงานกับผมไหมกอหญ้า” คชินทร์โน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ริมหู จนเธอแก้มร้อนผ่าว เพราะไม่เพียงแค่ริมฝีปากอบอุ่นที่เคลียไล้ริมหูเท่านั้น แต่จมูกของเขาก็ยังซอกซอนไปตามริมหูอีกด้วย

“คุณชิน ปล่อยก่อนเถอะค่ะ”

“ผมอยากอยู่กับคุณแบบนี้ไปนาน ๆ ไม่อยากจะปล่อยมือจากคุณเลย”

“นี่คุณ ที่นี่มันบ้านของฉันนะ เดี๋ยวพ่อก็มาดุเอาหรอก” รสกรทำเสียงดุแต่ในใจกำลังหวั่นไหวอย่างหนัก

“คุณก็ตอบผมมาก่อนสิ”

รสกรก้มหน้างุด พยักหน้าเบาๆ

“ค่ะ ฉันจะแต่งงานกับคุณ แต่ว่า...หลังจากแต่งงานแล้วฉันต้องได้ทำงานเป็นนักข่าวเหมือนเดิมนะ ห้ามคุณมาสั่งห้ามฉันทำนู่นทำนี่อีก” หญิงสาวซ่อนยิ้มนัยน์ตาพราวระยับ

“ครับ คุณนักข่าว” คชินทร์หัวเราะเสียงแผ่ว “ช่วยไม่ได้ ผมอยากตกหลุมรักนักข่าวสาวคนนี้ซะแล้วนี่ เอาเป็นว่าจะให้ผมเป็นผู้ช่วยนักข่าวตะลอนๆไปนู่นมานี่ก็ตามใจคุณเถอะ”

รสกรก็ถูกรวบเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่น หญิงสาวหลับตาลงช้าๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่า ความรักระหว่างนักข่าวกับนายแพทย์จะแปรเปลี่ยนไปเช่นไรในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ได้ก็คือ ไม่ว่าต่อไปจะมีอุปสรรคขวากหนามมากางกั้นเธอและเขา แต่จะไม่มีวันที่เธอจะเปลี่ยนใจไปจากเขาได้

เพราะหัวใจของรสกร ตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของคุณหมอหนุ่มคนนี้เสียแล้ว...

จบ




เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.พ. 2557, 10:06:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.พ. 2557, 10:06:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1581





<< ตอนที่ ๑๕ เสียสละ   
เบลินญา 17 ก.พ. 2557, 10:11:15 น.
ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้วค่ะ
หนังสือออกเมื่อไหร่ จะเอาเ่ล่มเกมกันนะคะ

ขอบคุณค่ะ


แว่นใส 17 ก.พ. 2557, 20:46:09 น.
กว่าจะเข้าใจนะ


Zephyr 18 ก.พ. 2557, 00:28:22 น.
อ้าว เป็นหมอจริงๆเรอะ
ฮ่าๆๆๆ แอบคิดช่วงนึงว่า เอ รึจะปลอมตัวสืบขข่าวเหมือนกัน
สารวัตรตำรวจไรงี้
หมอแค่บังหน้า ฮ่าๆๆๆ ตกลงเป็นหมอจริงๆแฮะ


pkka 18 ก.พ. 2557, 01:10:08 น.
ชอบนะ:)


เบลินญา 18 ก.พ. 2557, 09:22:25 น.
ก็หมอจริง ๆ สิคะ 55555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account