ใต้ร่มดอกรัก
ปฏิบัติการตามล่าหา "ผู้ชายในฝัน"
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ๘ : เร่ิม...เรียนรู้

ใต้ร่มดอกรัก
8
เริ่ม...เรียนรู้


หลังจากส่งข่าวครอบครัวให้หมดห่วงเรื่องที่พักแล้ว สองสามวันแรกคุณฉันท์ขยันโทรมาวันละหลายครั้ง ต่อเมื่อลูกสาวนั่งยันนอนยันว่าสามารถดูแลตัวเองได้จึงเริ่มซา ๆ การโทรหา สองสัปดาห์กับการฝึกนักเรียนตัวน้อยให้เข้าใจความสำคัญของคีตมวยไทย ส่งผลให้การแสดงออกของท่วงท่าเต็มไปด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้นสร้างความพึงพอใจให้ทั้งผู้สอนและครูพี่เลี้ยง รวมไปถึงผู้บริหารสถานศึกษาซึ่งแสดงความชื่นชมในการอุทิศตนเพื่อสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนของไอยเรศ จนหญิงสาวอดปลื้มใจกับผลตอบรับไม่ได้ ตลอดเวลาสองสัปดาห์ รถของรีสอร์ทสงบสุขเทียวรับเทียวส่งหล่อนอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย คนขับเปลี่ยนไปแทบทุกวันแล้วแต่ว่าใครจะว่างขับ นั่นทำให้ไอยเรศสามารถ ‘สืบ’ เรื่องของเจ้าของรีสอร์ทหนุ่มได้อย่างแนบเนียนตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเดินทางกันเลยทีเดียว

“คุณรัณย์เป็นลูกชายคนเล็กครับ ทั้งบ้านมีลูกชายสองคนลูกสาวสองคน ลูกชายคนโตเห็นว่าได้ดูแลบริหารโรงแรมแถวชายฝั่งตะวันออก แว่วว่าเป็นโรงแรมหรูห้าดาวร่ำรวยมหาศาลเชียวครับ ส่วนลูกสาวสองคนแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝากับนักธุรกิจฝรั่ง ตามสามีไปอยู่เมืองนอกนู่น ตอนนี้คุณท่านทั้งสองก็วางมือจากงานไปอยู่สงบสบายทางเมืองเหนือ คุณรัณย์แกเรียนจบเมืองนอกเมืองนากลับมาคงร้อนวิชา เลยขอคุณท่านมาฟื้นฟูสงบสุข เห็นว่าจะทำให้เป็นรีสอร์ทสงบสุขสมชื่อ ผมมันคนเก่าคนแก่เห็นอะไรมาเยอะก็ได้แต่เอาใจช่วยให้แกทำสำเร็จ เอ็นดูแกเหมือนลูกเหมือนหลานแหละครับ” คนขับรถวันแรกเป็นคนเก่าแก่ทำงานมาตั้งแต่รุ่นหนุ่มจนลูกหลานได้ดิบได้ดี แต่ไม่ยอมหนีหายจากรีสอร์ทสงบสุข...แค่วันแรกไอยเรศก็ได้พื้นฐานทางครอบครัว หญิงสาวได้แต่นึกขอบคุณเพื่อนหนุ่มทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องที่ทำให้หล่อน ‘รู้ทาง’ ตีสนิทผู้ชายหลายวัยได้ในเวลาอันรวดเร็ว

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณรัณย์แกคิดอะไรอยู่ จริง ๆ ก่อนหน้านั้นผมคิดว่ารีสอร์ทมันจะเจ๊งแล้วนะพี่ ได้ยินคุณโมทนาเปรย ๆ เหมือนกันว่าอาจจะขายกิจการ ผมเองก็มองงานอื่นไว้รอแล้ว ที่ไหนได้ พอแกกลับมาเท่านั้นแหละตกแต่งปรับปรุงใหม่หมดเลย...จริง ๆ ผมก็ดีใจนะที่ไม่ตกงาน...แต่...ไม่รู้สิ...ผมกลัวคุณรัณย์แกขาดทุนจังเลยพี่” คนงานหนุ่มซึ่งเป็นคนขับรถมารับส่งหล่อนอีกวันหนึ่งเอ่ยเล่าหลังถูกคำถามแยบยลของไอยเรศ

“แกยังไม่ลืมรักแรกแน่ ๆ เลยผมว่า” คนขับรายที่สามเอ่ยขึ้นหลังถูกไอยเรศเลียบเคียงถามเรื่องเจ้าของรีสอร์ทหนุ่ม ประโยคคาดเดาของเขาทำให้คนฟังหูผึ่งทันที

“รักแรก ?” หญิงสาวถามย้ำ คนขับพยักหน้ารับรัวเร็ว

“ครับ...อืม...คลับคล้ายคลับคลาว่าจะชื่อ จันทร์ ๆ อะไรนี่ล่ะครับ ผมเคยได้ยินพวกผู้หญิงเขาพูดถึงทำนองว่าคนชื่อจันทร์ ๆ อะไรนั่นเคยอยู่ที่รีสอร์ทสงบสุขด้วย แต่พอคุณรัณย์ไปเรียนต่อเมืองนอก คนชื่อจันทร์ก็หายไป เห็นเขาว่าหนีตามผู้ชายจนป่านนี้ยังไม่มีใครได้ข่าวเลย แม้แต่ทางกำนันที่เป็นญาติห่าง ๆ”

“กำนันไหน ?” ไอยเรศถามต่อ

“กำนันสมบัติครับ เป็นกำนันมาหลายสมัย ค่อนข้างมีอิทธิพลแถวนี้ ไร่แกก็อยู่ติด ๆ กับรีสอร์ทสงบสุขนี่แหละครับ ได้ยินมาว่าพ่อแม่คุณรัณย์เป็นพื่อนกับกำนัน พอได้ที่ใกล้กันก็เลยยิ่งสนิทกัน กำนันมีหลานสาวกำพร้าแม่อยู่คนหนึ่ง ไม่ค่อยถูกกับลูกสาวกำนันนักหรอกครับ แว่วว่าคุณนงเนตรเวลาโมโหทีบ้านพังเป็นแถบเลย กำนันกลัวหลานสาวจะตายเพราะน้ำมือลูกสาวเลยส่งมาทำงานที่สงบสุข ก็เลยได้มาปิ๊งปั๊งกันกับคุณรัณย์นี่ล่ะครับ” ไอยเรศพยักหน้าตามคำพูดเป็นเชิงเข้าใจ หล่อนมองคนขับอย่างชั่งใจว่าจะถามต่อดีไหม แต่ดูเหมือนเขาจะติดลมน้ำลาย จึงพูดต่อราวกับฟังคำขอในความคิดหล่อนได้

“ว่ากันว่าที่คุณรัณย์มาฟื้นฟูรีสอร์ทสงบสุขนี่ก็เพื่อรอรักแรกนะครับ ดูเหมือนแกจะเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งคุณจันทร์ ๆ นั่นจะกลับมา...พูดตรง ๆ จากความรู้สึกผมเลยนะครับ โรงเรือนกล้วยไม้ที่คุณจะมาสร้างน่ะ คนปลูกอยู่ก่อนคือคุณจันทร์นะครับ” ฟังจบแล้วไอยเรศอดนึกไปถึงใบหน้าชายหนุ่มตอนพบกันครั้งแรกไม่ได้ ระหว่างขอร้องให้คุณฉันท์มาทำเรือนกล้วยไม้ สีหน้ายามเอ่ยถึงคนปลูกคนเก่าตอนนั้น มันแปลกเปลี่ยนเพราะเหตุนี้เองสินะ

“ถ้าอยากรู้เรื่องคุณจันทร์ ๆ อะไรนั่นต้องถามไอ้โยครับ มันวิ่งเล่นอยู่แถวรีสอร์ทมาตั้งแต่เด็ก รู้จักคนแถวนี้ดี” คนขับหนุ่มสำทับเมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งไป

และไอยเรศก็ไม่ได้รอนานเลย เพราะวันต่อมาคนขับรถของหล่อนก็เปลี่ยนมาเป็นคนชื่อโย หล่อนชวนคุยเรื่อยเปื่อยก่อนจะเกริ่นนำเข้าเรื่องเรือนกล้วยไม้

“เห็นมีเรือนกล้วยไม้อยู่แล้วจะให้ฉันมาทำให้ใหม่ทำไมก็ไม่รู้เนอะ” หล่อนเริ่มนำร่อง

“แหม คุณก็เห็นนะว่ามันเก่าจะพังมิพังแหล่ อีกอย่างกล้วยไม้ก็ถูกทิ้ง ๆ กองสุมไว้อย่างนั้น คุณรัณย์แกก็คงอยากทำให้มันดูดีสมกับที่คุณจันทร์แกรักแกชอบของแกแหละครับ” คำอธิบายของคนขับช่างเจรจาสร้างความรู้สึกคันยิบ ๆ ในหัวใจของไอยเรศยิ่งนัก ความรู้สึกนั้นส่งผลมาถึงริมฝีปากให้เอ่ยถาม

“แหม คุณรัณย์คงร้าก รักคุณจันทร์อะไรนั่นม้าก มากเนอะ !” หญิงสาวทำเสียงสูงต่ำอย่างหมั่นไส้ คนขับหนุ่มหัวเราะชอบใจก่อนตอบ

“ผมว่าน่าจะเป็นความผูกพันมากกว่านะครับ ก็แบบว่าอยู่ด้วยกันรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาคุณจันทร์ทะเลาะกับคุณเนตรก็วิ่งมาร้องไห้กับคุณรัณย์ มีปัญหาอะไรก็หอบมาปรึกษากัน คนเป็นหมาหัวเน่าของบ้านเหมือนกันคงเข้าใจกันดี” ท้ายประโยคของคนเล่าสะดุดหูไอยเรศอีกครั้ง

“หือ ? คุณรัณย์น่ะนะเป็นหมาหัวเน่า ? ลูกคนสุดท้องต้องเป็นที่รักสิ ?!” คนขับหนุ่มพยักหน้ารับร่าเริง

“แน่สิครับ แกเป็นลูกชายคนเล็กก็จริง แต่ไม่ชอบงานธุรกิจของครอบครัวนัก ท่านก็เลยไม่ค่อยปลื้ม ตอนแกจะเรียนต่อมหา’ลัย ผมได้ยินผู้ใหญ่เขาคุยกันว่าทะเลาะกันบ้านแทบแตก เพราะคุณรัณย์แกอยากเรียนศิลปะ เรียนพวกถ่ายหนังอะไรเทือกนั้น แต่คุณท่านบังคับให้เรียนบริหาร ตอนแรกก็ดูว่าแกจะดื้อเอาเรื่องเหมือนกัน แต่อีท่าไหนไม่รู้ แกยอมเรียนจนจบปริญญาตรีแล้วก็บินไปเรียนต่อเมืองนอกเฉยเลย”

ฟังแล้วไอยเรศก็คิดตาม เกิดผู้ชายหน้านิ่งคนนั้นผันตัวเองไปเป็นผู้กำกับภาพยนต์คงเป็นผู้กำกับประเภทนักแสดงให้ความยำเกรงเป็นแน่ หรือหากเขาจะเป็นนักศิลปะ...ภาพชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน สวมเอี้ยมกันสีเปื้อน...ก็ดูจะน่ารักดีมิใช่น้อย หญิงสาวคิดพลางอมยิ้มกับตัวเอง

“ว่าแต่ ผู้หญิงที่ชื่อสุขจันทร์อะไรนี่ เป็นคนยังไงเหรอ ?” หญิงสาวยิงคำถามต่อเมื่อเห็นคนขับเงียบไป

“โห คุณจันทร์เป็นคนสวยมากครับ...เอาอย่างนี้ คุณเคยเห็นคุณเนตรหรือยังครับ ?”

“ไม่แค่เห็นนะ...เคยถูกสัมผัสมาแล้วด้วย” ไอยเรศบอกอย่างอวด ๆ คนขับหนุ่มหัวเราะชอบใจจนหญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าสถานการณ์การพบกันระหว่างหล่อนกับหญิงสาวแสนสวยคนนั้นคงลือกระฉ่อนไปทั่วรีสอร์ทแล้วเป็นแน่

“คุณว่าคุณเนตรสวยไหมครับ ?” คนขับถามต่อ ไอยเรศพยักหน้ารับโดยไม่เสียเวลาคิด

“สวยสิ สวยมากด้วย ทั้งหน้าทั้งนม...เอ๊ย ! ทั้งหุ่นด้วย ยอมรับเลยล่ะ” คำตอบของหล่อนเรียกเสียงหัวเราะจากคนขับได้อีกครั้ง

“นั่นแหละ ๆ คุณเนตรผมว่าสวยแบบพระอาทิตย์ เจิดจ้าร้อนแรง ส่องประกาย มองพอได้แต่เข้าใกล้แล้วอยากกระโจนหนีเพราะความร้อน ส่วนคุณจันทร์แกสวยแบบเย็น ๆ เหมือนพระจันทร์เต็มดวงตอนกลางคืนนิ่ง ๆ เงียบ ๆ เรียบร้อยอ่อนหวาน มองได้ไม่รู้เบื่อ เรื่องความสวยนี่เรียกว่าสูสีกัน...แต่เรื่องนิสัย... ผู้ชายคนไหนก็ชอบคุณจันทร์ทั้งนั้นแหละครับ” เขาอธิบายกลั้วหัวเราะ

“เปรียบซะเห็นภาพชัดเจนเลยทีเดียว...อืม...แต่ฉันได้ยินข่าวแว่ว ๆ มาว่าคุณพระจันทร์ผู้เรียบร้อยอ่อนหวานคนนี้ หนีตามผู้ชายไม่ใช่เหรอ ?” คนขับหนุ่มแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วย

“เท่าที่ผมรู้จักคุณจันทร์มาตั้งแต่เด็ก ๆ ผมว่าไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ ถึงแม้ว่าแม่ของคุณจันทร์จะเคยเป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าลูกจะเจริญรอยตาม”

“แม่เป็นอย่างนั้น ? หมายความว่าไง ?” หญิงสาวถามอย่างสงสัย

“คือแม่คุณจันทร์ที่เป็นน้องของกำนัน สมัยสาว ๆ แกหนีตามผู้ชายไปน่ะครับ หูย แม่ผมเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นลือกันสนั่นเมือง เพราะพอหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมกับคุณจันทร์ อยู่เลี้ยงคุณจันทร์พอเดินได้เตาะแตะก็หนีตามผู้ชายไปอีกคราวนี้ไม่กลับมาอีกเลย...ตอนที่คุณจันทร์หายไปใหม่ ๆ มีคนเปรย ๆ ว่าคุณจันทร์เจริญรอยตามแม่ ทุกคนก็เลยเชื่อต่อ ๆ กันมาว่าแกหนีตามผู้ชาย” เขาอธิบาย ไอยเรศห่อปากร้องอู พยักหน้ารับคำบอกเล่า

“แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวใช่ไหม ? ว่าแต่...หายไปนานหรือยัง ?”

“อืม...ตั้งแต่คุณรัณย์ไปต่างประเทศ รวม ๆ แล้วก็ประมาณสามปีเห็นจะได้ล่ะครับ” ไอยเรศได้แต่พยักหน้ารับ “จะว่าไปเรื่องคุณจันทร์นี่ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกครับ วันที่คุณจันทร์หายไปแกบอกผมเองว่าจะไปบ้านกำนันสมบัติ แล้วก็ไม่กลับมา พอคุณโมทนาโทรไปตามคุณเนตรเป็นคนบอกว่าคุณจันทร์หนีตามผู้ชายไปแล้ว แรกทีเดียวไม่มีใครเชื่อหรอกครับ แต่คุณเนตรแกเอาจดหมายลายมือคุณจันทร์มาให้ดู คุณโมทนาก็ยอมรับว่าเป็นลายมือคุณจันทร์จริง ๆ ทุกคนก็เลยลงความเชื่อว่าคุณจันทร์คงหนีตามผู้ชายไปจริง ๆ ...แต่...เอาจริง ๆ นะครับ” คนขับหนุ่มทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนพูดต่อโดยคนฟังยังไม่ทันได้ซักไซ้

“คนมาชอบพอคุณจันทร์เยอะก็จริง แต่พอลองตามดูแล้วไม่มีใครต้องสงสัยว่าจะเป็นคนที่คุณจันทร์หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามเลยสักคน...จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” เขาบอกในที่สุด ไอยเรศพยักหน้ารับก่อนเอ่ยถามถึงชายหนุ่มอีกคนซึ่งดูมีความสำคัญกับรีสอร์ทสงบสุขไม่น้อย

“ว่าแต่คุณโมทนานี่...เป็นอะไรกับเจ้าของรีสอร์ทเหรอ ? เห็นสนิทสนมกับคุณรัณย์มาก”

“อ๋อ...คุณโมทนาเป็นลูกคนเก่าคนแก่ของคุณท่านน่ะครับ พ่อแม่คุณโมทนาเสียเพราะอุบัติเหตุคุณท่านเลยเมตตาเลี้ยงดู ส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาโทแล้วก็มอบหมายให้ดูแลรีสอร์ทสงบสุขตั้งแต่แกเรียนจบนั่นแหละครับ แกอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก สนิทกับคุณรัณย์อย่างกับพี่น้องคลานตามกันออกมาเลยล่ะครับ”

ไอยเรศได้แต่ซึมซับข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องกับขายหนุ่มเป้าหมายไว้ในใจ หล่อนรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอยู่มิใช่น้อยที่สามารถหาข้อมูลได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลามากมายอย่างที่นึกกลัวตั้งแต่แรก ...หรือจะเป็นบุญบันดาลนะ...หญิงสาวคิดลอยไปไกลถึงกล่องคำอธิษฐานหน้าศาลพระพรหมเมื่อวันนั้น คิดพลางก็อดยิ้มไม่ได้

...ถ้าใช่จริงก็แสดงว่า หล่อนมาถูกทางแล้วสิ !




สองสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของไอยเรศ ความสุขจากการได้ถ่ายทอดวิชาให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่ดูกระตือรือร้นอยากเรียนรู้เหมือนดังที่รุ่นพี่หนุ่มเคยคุยอวดไว้อบอวลอยู่ในหัวใจพองโต คำชมใด ๆ ก็ไม่มีค่าเท่าอ้อมกอดเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ พร้อมคำสัญญาว่าจะนำความภาคภูมิมาสู่ครูผู้ฝึกสอนให้ได้ นั่นทำให้การจากลาเต็มไปด้วยรอยยิ้มมากกว่าคราบน้ำตา

หญิงสาวหอบของที่ระลึกทั้งจากโรงเรียนและจากเด็ก ๆ พะรุงพะรังเมื่อเห็นรถกระบะของรีสอร์ทสงบสุขเคลื่อนมาจอดในบริเวณโรงเรียน อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นคนขับไม่ได้จอดตรงจุดเดิม จนเมื่อเดินเข้าไปใกล้ในระยะมองเห็นหน้าคนขับนั่นแหละ...หัวอกหัวใจของไอยเรศก็เต้นไหวระรัว

ตั้งแต่วันสัมผัสมือแล้วเกิดความรู้สึกประหลาดวันนั้น ไอยเรศก็ไม่ได้พบหน้าเจ้าของรีสอร์ทจริง ๆ จัง ๆ อีกเลย บ่อยครั้งที่ได้ยินเสียงเขาพูดคุยกับคนงาน เมื่อหันไปมองหาคราใดก็เห็นเพียงแผ่นหลังกว้าง หรือเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง...มุมซึ่งช่วยตอกย้ำภาพผู้ชายในฝันหล่อนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น...จะว่าไปดูเหมือนเขาเองก็จะหลบหน้าหล่อนเหลือเกิน สังเกตได้จากหลายครั้งเมื่อเห็นหล่อนเขาจะหันหลังเดินหนี ไม่ก็แสร้งคุยกับคนอื่นด้วยท่าทางเคร่งเครียดจนหล่อนไม่อาจไปแทรกได้...แต่วันนี้เขากลับมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเป็นโชเฟอร์ขับรถให้หล่อน...มีหรือจะปล่อยให้หลุดมือ !

“แหม มิน่าละวันนี้อากาศมันถึงดูโรแมนติกอย่างบอกไม่ถูก พระเอกมารับนางเอกกลับบ้านนี่เอง” ไอยเรศเอ่ยทักทายหลังจากเปิดประตูก้าวมานั่งคู่คนขับได้แล้ว หญิงสาวหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นชายหนุ่มหันไปมองทางอื่นที่ไม่ใช่หล่อนอย่างจงใจให้รู้ ไอยเรศไหวไหล่ไม่ยี่หระ ก่อนเอี้ยวตัวหมายเอาของขวัญไปไว้เบาะหลัง ประจวบเหมาะกับขายหนุ่มซึ่งติดเครื่องรออยู่ก่อนแล้วเลี้ยวรถหมายเคลื่อนออกนอกบริเวณโรงเรียน แรงเหวี่ยงทำให้ทั้งร่างของหญิงสาวเอนไปซบก่ายเกยอยู่แถวต้นแขนชายหนุ่มซึ่งรีบหยุดรถทันทีด้วยความตกใจ

เมื่อรถจอดสนิท การัณย์ได้แต่นั่งตัวแข็ง เพราะหญิงสาวที่เอนซบจากสถานการณ์เมื่อครู่ยังไม่ยอมดึงตัวเองออกจากต้นแขนของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าหล่อนยังค่อย ๆ เบือนศีรษะซึ่งซุกอยู่กับต้นแขนหันมาแหงนเงยหน้ามองเขาทั้งรอยยิ้ม...ประกายตาพร่างพราววิบวับนั้นพาลทำให้เขาสะดุ้งอยากขยับตัวหนี แต่ด้วยพื้นที่จำกัดเขาทำได้เพียงขยับตัวขยุกขยิก

“คิดถึงสัมผัสของฉันถึงขั้นต้องทำแบบนี้เลยหรือคุณ” คำถามเย้า ๆ มาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

“เพ้อเจ้อ !” เขาตอบเสียงขุ่นพร้อมกับความคิดขยับแขนเพื่อให้หลุดพ้นจากศีรษะทุยของหญิงสาว ทว่าดูเหมือนเจ้าหล่อนจะรู้ทัน

“อ๊ะ...ถ้าคุณขยับตอนนี้ฉันได้หล่นไปนอนหนุนตักคุณแน่เชียว ! ฉันเพิ่งสอนเด็กมาเหนื่อย ๆ หมดแรงจริง ๆ นะเออ” การัณย์ชะงักแขนกับคำขู่เล็ก ๆ เขาไม่เชื่อเรื่องที่เจ้าหล่อนบอกว่าหมดแรง...แต่เขาเชื่อว่าปฏิบัติการนอนหนุนตักเขาเกิดขึ้นแน่หากเขาขยับแขน !

“ติงต๊อง !” ชายหนุ่มเอ่ยห้วน ๆ พลางส่งมืออีกข้างยื่นนิ้วจิ้มศีรษะหญิงสาวและออกแรงดัน แม้ศีรษะนั้นจะแข็งขืนบ้างแต่ก็ยอมถอยหลับโดยดี

“แหม...หวงตัวชะมัด” ไอยเรศแสร้งบ่นกะปอดกะแปด มองชายหนุ่มหน้านิ่งซึ่งเริ่มพารถเคลื่อนอีกครั้ง...คราวนี้...อย่างนุ่มนวลกว่าเดิมเหมือนเกรงอุบัติเหตุซ้ำรอย เห็นแล้วหล่อนก็ได้แต่ตวัดตามองค้อน “ฉันเคยสงสัยเวลาดูหนังแล้วนางเอกชอบนอนหนุนแขนพระเอก คือ ไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกดีตรงไหน...แต่เมื่อกี้น่ะนะ...ซึ้งเลยล่ะ...เข้าใจแล้วว่าหมอนแขนมันดีอย่างนี้เอง...นู้มนุ่ม อู้น อุ่น” หญิงสาวทำเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างจงใจ เห็นคนขับปรายตามองแวบหนึ่งแล้วหล่อนก็ยิ้มระรื่น

“แต่ฉันยังสงสัยฉากนอนหนุนตักนะ...ต้องหาทางพิสูจน์สักวัน” หล่อนยังพึมพำงึมงำ หันมองคนขับเหมือนเจาะจงว่า...ตักใคร

“เพ้อเจ้อ”
“สองเพ้อแล้วนะคุณ พูดคำอื่นบ้างสิ ไม่ได้คุยกันตั้งหลายวันพูดอยู่ได้เพ้อเจ้อ ๆ น่ะ” ไอยเรศว่ากระเง้ากระงอด

“มันเป็นคำพูดที่เหมาะสมกับคุณที่สุดแล้ว” ชายหนุ่มบอกเรียบ ๆ

“คุณนี่พูดอะไรได้สะเทือนหูคนฟังดีนะ” หญิงสาวประชด

“เฉพาะบางคนเท่านั้นแหละ” การัณย์ตอบทันควัน คนฟังได้แต่หันไปมองทิวทัศน์ข้างทางทำปากขมุบขมิบอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น การปะทะคารมกับเขาหลายครั้งบอกหล่อนว่าการตอแยกับเขาด้วยวาจาควรทำแต่พอดี หากมากไปหล่อนอาจจะทำให้ ‘ไก่ตื่น’ ได้ง่าย ๆ เพื่อสนองความคิดของตัวเองไอยเรศจึงเลือกนั่งเงียบโดยไม่ยอมหันไปชายตามองคนขับจวบจนรถเคลื่อนมาได้ครึ่งทาง ชายหนุ่มจึงกระแอมเบา ๆ เรียกความสนใจ

“เย็นนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับคุณนะ” การัณย์เอ่ยทำลายความเงียบอดเหลือบมองผู้โดยสารที่ยังไม่ยอมหันหน้ามาไม่ได้...เห็นเพียงเนียนแก้ม จมูกโด่งรั้นและปากอิ่มยกเชิดคล้ายจะบอกให้รู้เป็นนัยว่าอาจงอนกับคำพูดเขาก่อนหน้านั้น...คิดเอาเองแล้วเขาก็เกิดรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“อยู่มาตั้งนานเพิ่งจะมาเลี้ยงอะไรตอนนี้” หญิงสาวเอ่ยคล้ายบ่น

“อยู่แต่ยังไม่ทำอะไรให้รีสอร์ทสักอย่างนี่” เขาสวนกลับทันควัน เห็นจากหางตาว่าผู้โดยสารหันขวับมาจ้องเขาจึงพูดต่อ “โมทนาบอกว่าไหน ๆ คุณก็จะเริ่มทำงานให้สงบสุขแล้ว ควรจัดงานต้นรับแนะนำให้คนงานรู้จักคุณอย่างเป็นทางการ”

“แหม...คุณโมทนานี่ดี๊ดีนะ มีทั้งความคิด มีทั้งน้ำใจ !” ไอยเรศอดแขวะไม่ได้

“ก็เขาเป็นมันสมองของรีสอร์ทสงบสุขจริง ๆ นี่” ชายหนุ่มตอบรับอย่างไม่ยี่หระคำประชด “ผมเชิญพี่สิงห์มาร่วมงานด้วย” เขาพูดต่อ

“ก็ดี” หญิงสาวตอบพลางไหวไหล่ “ตั้งแต่มายังไม่ได้เจอกันเลย อย่างน้อยก็พอมีคนรู้จักบ้าง ขอบคุณนะ” คำห้วน ๆ ไร้จริตทำให้การัณย์เหลือบตามอง...ไม่มีท่าทีประชดประชันในท่าทีของหญิงสาว ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นก็เช่นกัน...เขารู้สึกสบายใจ...แบบแปลก ๆ

“ตกลงคุณจะใช้ที่ตรงนั้นทำเรือนกล้วยไม้จริง ๆ ใช่ไหม ? ถ้าใช่ ทำไมจนป่านนี้ฉันไม่เห็นจะมีการปรับหน้าดินเลย ?” ไอยเรศเอ่ยถามเป็นการเป็นงาน

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะพาไปดูที่ใหม่ ไม่ไกลจากที่เดิมหรอก แต่น้ำพร้อมอย่างที่คุณต้องการ” ชายหนุ่มตอบ

“อ้าว ถ้ามีที่ดี ๆ แบบนั้น ทำไมไม่บอกฉันตั้งแต่แรกล่ะ ถ้าบอกป่านนี้ได้ดูที่ทาง ได้เริ่มแปลนก่อสร้างแล้ว” หญิงสาวโวยวาย มองเสี้ยวหน้าคนขับอย่างไม่เข้าใจ ความรู้สึกบางอย่างบนใบหน้าชายหนุ่มทำให้ไอยเรศ ได้แต่มองอย่างสงสัย หญิงสาวนิ่งรอฟังคำตอบอย่างใจเย็น และดูเหมือนเขาจะใช้เวลานานพอสมควรก่อนจะกลั่นกรองคำพูดเพื่ออธิบาย

“ความจริงแล้วถ้าเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากใช้พื้นที่ตรงนั้นหรอก แต่พอลองคิด ๆ ดูแล้วที่มันก็ว่างตรงกับความต้องการที่จะใช้ เก็บไว้ก็...เปล่าประโยชน์...เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ถ้าดูแล้วคุณเห็นว่าเหมาะก็ใช้ได้เลย” ชายหนุ่มบอกเรียบ ๆ น้ำเสียงและสีหน้าในความรู้สึกของคนมองอย่างไอยเรศ สวยทางกันโดยสิ้นเชิงกับปฏิกิริยาเหล่านั้นทับถมบนเนินสงสัยในความคิดของหญิงสาวมากยิ่งขึ้น

“ก็ตกลงตามนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ถ้ามันไม่โอเคก็...ที่เดิม น้ำน่าจะพอปรับแต่งได้” หญิงสาวรับคำ ก่อนหันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างคล้ายหมดเรื่องคุยแต่เพียงเท่านั้น และดูเหมือนคนขับเองก็จมอยู่ในภวังค์

กระทั่งรถเคลื่อนเข้ามาจอดในรีสอร์ทสงบสุข อากาศยามพลบค่ำขมุกขมัว บางจุดมีไฟเปิดส่องสว่าง ที่โล่งว่างข้างเรือนใหญ่มีโต๊ะยาววางอาหารและเครื่องดื่มจัดไว้ให้หยิบได้เองตามความพอใจ ไม่ไกลกันนักมีโต๊ะอาหารขนาดสี่คนนั่งวางกระจายรอบโต๊ะวางอาหาร พนักงานหลายคนกำลังสาละวนจัดวางจานชามอย่างขะมักเขม้น ไอยเรศหยิบของขวัญจากเด็ก ๆ หอบเดินผ่านอดส่งยิ้มให้พนักงานหลายคนซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากัน รอยยิ้มตอบกลับของคนเหล่านั้นพอทำให้หล่อนรู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง

“หกโมงครึ่งพี่สิงห์น่าจะมาถึง ตอนนี้ก็หกโมง...ครึ่งชั่วโมงคุณอาบน้ำแต่งตัวทันไหม ?” การัณย์เอ่ยถามหลังจากลงจากรถได้แล้ว

“คือ...ถ้าจะบอกว่าไม่อาบน้ำลงมาทั้งชุดนี้ก็จะดูซกมกไปเนอะ” ไอยเรศบอกยิ้ม ๆ คนฟังเหลือบมองผ่าน ๆ เห็นสายตานั้นแล้วหญิงสาวก็ได้แต่หัวเราะ “แต่เอาเถอะ เห็นแก่จมูกคนนั่งใกล้ ขอเวลาสิบนาทีก็เสร็จแล้ว แต่งอะไรกันมากมายตั้งครึ่งชั่วโมง” ท้ายประโยคหญิงสาวบ่นพึมพำเบา ๆ เพราะมัวแต่มองพนักงานไอยเรศจึงไม่เห็นว่ามีรอยยิ้มพึงใจและสายตาประหลาดจากชายหนุ่มมองมาแวบหนึ่ง

“งั้นก็...แล้วเจอกัน” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินกลับเรือนใหญ่ ไอยเรศได้แต่เหลือบตามองค้อนก่อนเดินกลับเรือนพัก หล่อนไม่ได้พูดเกินจริงเลยที่บอกว่าการอาบน้ำแต่งตัวสำหรับหล่อนแล้วไม่ได้ใช้เวลามากมาย สมัยเรียนมหาวิทยาลัยหล่อนเที่ยวสมัครเป็นอาสาสมัครของชมรมหลากหลายซึ่งบ่อยครั้งมีการจัดค่ายอาสาและหล่อนก็ไม่พลาดที่จะโดดเข้าร่วมด้วย เพื่อนร่วมค่ายส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ชายและสถานที่อาบน้ำก็ไม่สะดวกสบายพอจะแช่อยู่นาน ๆ ได้ ความรวดเร็วเพื่อประหยัดเวลาและเพื่อคนรอคิวจึงติดเป็นนิสัยมาตั้งแต่นั้น

หกโมงสิบนาทีไม่ขาดไม่เกินไอยเรศในชุดเสื้อยืดคอกลมสีเหลืองนวลกับกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบดูทะมัดทะแมงก็ปรากฏขึ้นในงาน พนักงานหลายคนซึ่งหมดภาระหน้าที่ประจำวันพร้อมสำหรับงานเลี้ยงมานั่งจับจองที่นั่ง บ้างก็จับกลุ่มคุยกันอยู่ก่อนแล้วหลายโต๊ะ หญิงสาวส่งยิ้มเป็นมิตรนำไปก่อน ยังไม่ทันจะได้เดินไปทักทายก็ถูกทักเสียก่อน

“คุณอาย สวัสดีครับ” เมื่อหันไปทางต้นเสียงร่างหนาใหญ่ของสิงห์ปรากฏขึ้น ใบหน้าคมเข้มดูดุดันยามปกติกลับสว่างสดใสยิ่งขึ้นเมื่อเขาคลี่ยิ้ม

“อ้าว คุณสิงห์สวัสดีค่ะ มานานหรือยังคะ ?” ไอยเรศเอ่ยทักพลางยกมือไหว้

“เพิ่งลงจากรถก็เห็นคุณอายเดินมาพอดีนี่แหละครับ” เขาตอบกลั้วยิ้มยกมือรับไหว้ก่อนหันมองซ้ายขวาคล้ายมองหาใคร “ว่าแต่...แขกคนอื่นยังไม่มาอีกหรือครับ ?”

“ใครคะ ? เห็นคุณรัณย์บอกว่าเชิญแค่คุณสิงห์นี่คะ ?” หญิงสาวตอบ

“เอ๊ะ ? ไหนมันบอกว่าจะมีสาวสวยมาด้วย ?” สิงห์รำพึงครุ่นคิด คำว่าสาวสวยทำให้ไอยเรศดีดนิ้วเปาะเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“อ๋อ...มีคนสวย ๆ ชื่อเนตร ๆ อะไรนี่แหละมาด้วยคนหนึ่งค่ะ” คำตอบของหล่อนดูจะสร้างความพึงใจให้กับคนฟัง ซึ่งสีหน้าแววตาเริ่มเปลี่ยนจนไอยเรศเริ่มเอะใจ

“นงเนตรครับ เธอชื่อนงเนตร เป็นนางแบบ” สิงห์อธิบายยิ้ม ๆ ไอยเรศพยักหน้ารับชายหนุ่มผายมือเชื้อเชิญให้หล่อนนั่ง ไอยเรศปฏิบัติตามโดยดี เมื่อต่างฝ่ายต่างนั่งลงได้แล้วเขาก็พูดต่อ “คุณเคยได้ยินชื่อนิตยสารอีฟกับเอเดนไหมครับ ?”

“อืม...เอเดนที่มีปกแจ่มจรัสแทบทุกปกใช่ไหมคะ ? เพื่อนฉันเคยโชว์ปกให้ดูบ่อย ๆ” หญิงสาวตอบรับยิ้ม ๆ ชายหนุ่มมีท่าทีสนใจหลังได้ยินคำตอบ

“นั่นแหละครับ เนตรเขาขึ้นปกหลายครั้ง แฟนคลับเขาเยอะ...จริง ๆ เจ้าของนิตยสารเอเดนนี่ก็หลานชายผมเองนะ” สิงห์บอกยิ้ม ๆ ไอยเรศเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น

“โอ้โห คุณสิงห์มีญาติไฮโซก็ไม่ยอมบอกนะคะ แหม...ถ้าอายรู้มาก่อนนะ จะขอใช้เส้นสายขอขึ้นปกกับเขาดูสักหน่อยนะเนี่ย” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ สิงห์แสร้งกวาดตามองคนพูดอย่างไม่ให้น่าเกลียดก่อนจะทำหน้าเครียด

“เอาไว้...ให้นายหม้อหรือคุณนายต้นหอมเขาอยากเปิดนิตยสารการเกษตร เดี๋ยวผมจะเสนอคุณอายเป็นคนแรกเลยครับ” เขาบอกจริงจัง ไอยเรศฟังแล้วได้แต่หัวเราะชอบใจ

“แหม...เอาเถอะค่ะ ๆ ยังไงถึงอายอยากไปขึ้นปกเอเดนใจจะขาด แต่คงต้องยอมถูกตัดออกจากกองมรดกก่อนถึงจะได้ถ่าย...ว่าแต่...ชื่อหลานชายคุณสิงห์นี่...ชื่อหม้อจริง ๆ เหรอคะ ?” ไอยเรศถามอย่างสงสัย สิงห์หัวเราะชอบใจ

“ชื่อทะนนครับ พี่สาวผมเขาเป็นพวกเชื่อเรื่องดวง แกเอาเวลาตกฟากลูกชายไปให้พระดูให้ก็เลยได้ชื่อทะนนมา ทีนี้พี่สาวผมเขาก็ไปเปิดดูความหมาย ทะนนมันแปลว่าหม้อโบราณ หมอนั่นเลยได้ชื่อเล่นว่าหม้อมาแต่กำเนิดแหละครับ” เขาอธิบายยิ้ม ๆ ไอยเรศพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ “จะว่าไปนายหม้อนี่ก่อนแต่งงานก็หน้าหม้อใช่ย่อยนะครับ ดูจากที่มันเปิดนิตยสารสนองความชื่นชอบส่วนตัวของมันนั่นเถอะ...แต่พอเจอคนแสบมาปราบก็เล่นเอาซะอยู่หมัด คนปราบก็เจ้าของอีฟนั่นแหละครับ”

“แหม...ดับฝันสาวโสดอย่างอาย กำลังจะถามอยู่เชียวว่าคุณหม้อคนนี้ยังว่างอยู่ไหม” ไอยเรศพูดพลางมองค้อนอย่างแกล้งทำ สิงห์หัวเราะเบา ๆ

“ไม่ว่างแล้วครับ เป็นคุณพ่อลูกหนึ่งแล้ว ครั้งล่าสุดที่ได้คุยกันเห็นโม้ว่ากำลังพยายามเป็นคุณพ่อลูกสองอยู่” ไอยเรศได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก

“เชื่อเลยค่ะว่าเป็นเจ้าของเอเดนจริง ๆ” สิงห์ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับคำของหญิงสาว “ว่าแต่...คุณนงเนตรนี่ ถ้าขึ้นปกหลายครั้ง แสดงว่าเป็นนางแบบฮอตมาก ๆ น่าจะได้เล่นละครบ้างนะคะ” ไอยเรศอดวกกลับมายังหญิงสาวแสนสวยที่เป็นประเด็นเมื่อแรกคุย

“อืม เห็นว่ามีค่ายละครมาทาบทามแล้วนะครับ คิดว่าเร็ว ๆ นี้คงได้เห็นหน้าค่าตากันทางทีวี” สิงห์บอกยิ้ม ๆ

“บทนางร้ายขาวีนแน่เลย” ไอยเรศพึมพำหลังฟังจบ

“โอ๊ะ ! ทำไมคุณอายรู้ละครับ ? ไหนเจ้าตัวบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยใด ๆ” สิงห์ถามหน้าตื่น ไอยเรศหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบ

“ฉันเดาค่ะ...ประมาณว่าดูจากรูปร่างหน้าตาและกิริยา...เอ่อ...จากเสียงวี้ด ๆ ของเธอ คิดว่าคงเป็นคาแรคเตอร์ประมาณนั้น หรือถ้าจะเป็นนางเอกคงเป็นนางเอกที่ควบตำแหน่งนางร้ายไว้กับตัวชนิดคนดูอาจจะแยกไม่ออก” หญิงสาวบอกกลั้วหัวเราะ คำอธิบายนั้นพลอยทำให้คนฟังหัวเราะตาม

“นั่นสินะครับ” เขาเออออหลังจากคิดตามแล้วเห็นภาพ

“พี่สิงห์มานานหรือยังครับ ?” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยขัดเสียงหัวเราะ เรียกสายตาของคนนั่งอยู่ก่อนให้หันกลับไปมอง

“สักพักแล้วล่ะ คุยกับคุณอายกำลังสนุกเลย” สิงห์ตอบรับพลางกวักมือเรียกให้หนุ่มรุ่นน้องมานั่งใกล้ ๆ “ว่าแต่แขกสาวสุดฮอตของนายเมื่อไร่จะมา ?” คำถามต่อเนื่องของเขา การัณย์หรี่ตามองอย่างรู้ทัน มุมปากยกยิ้มอย่างล้อเลียน

“เห็นว่าถ่ายแบบเสร็จแล้วจะรีบบึ่งกลับน่าจะใกล้ถึงแล้ว...ใจเย็น ๆ เถอะพี่...เล่นกับไฟต้องใจเย็น ๆ” เขาบอกกลั้วหัวเราะก่อนหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานที่อยู่ใกล้ ปฏิกิริยาของชายหนุ่มอยู่ภายใต้สายตาสังเกตการณ์ของหญิงสาวผู้ร่วมโต๊ะและดูเหมือนเขาจะเริ่มรู้สึกถึงพลังของสายตาจึงได้แต่ขยับตัวอย่างอึดอัด

“แมงเม่าแก่ ๆ อยากโดดเข้ากองไฟจะแย่” สิงห์เอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนชวนเปลี่ยนเรื่องคุย “มัวแต่คุยสนุก ลืมถามเรื่องการซ้อมเด็กของคุณอายเลย ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีไหมครับ ?” คนถูกถามสะดุ้งตื่นจากภวังค์ก่อนหันมาหาคนถาม

“ก็ดีค่ะ เด็ก ๆ น่ารัก ทางโรงเรียนก็ดูแลดีมาก ๆ ประทับใจค่ะ อยากมาอยู่ที่นี่เลย...เอ่อ...อยากมาสอนเด็ก ๆ น่ะค่ะ” ไอยเรศว่ายิ้ม ๆ

“คนถิ่นนี้นิสัยดีน่ารักกันทั้งนั้นแหละครับ ผมรับรองได้” สิงห์ยืนยันทั้งสีหน้าและคำพูด ไอยเรศยิ้มเหนียม ๆ ก่อนหันมาช้อนตามองชายหนุ่มอีกคน

“อย่ามายั่วกันอย่างนี้สิคะ...อายไม่ชอบให้ใครท้าเสียด้วย นี่...ถ้าเป็นไปได้อายล่ะอยากอยู่พิสูจน์ ‘คนแถวนี้’ ให้รู้ใจกันไปเลยทีเดียว” คำพูดเลี่ยน ๆ และแววหวานปรุงแต่งฟังประดักประเดิดนั้น สิงห์ได้แต่ขมวดคิ้วมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ แต่ด้วยสายตาของผู้มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า ซ้ำเห็นกิริยาทอดสายตาไปยังหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเสมองไปทางอื่นดูอิหลักอิเหลื่อ...พลันสถานการณ์วันพบกันครั้งแรกระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวก็แวบผ่านเข้ามาในห้วงคิด นั่นทำให้เขาได้แต่อมยิ้มพลางพยักหน้าให้กับความคิดของตัวเอง

“ผมสนับสนุนเต็มที่ครับคุณอาย...พร้อมพิสูจน์เมื่อไหร่บอกมาได้เลย ผมช่วย !” คำยืนยันของสิงห์ทำให้สองหนุ่มสาวหันไปมองเขาด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน

...ฝ่ายหนุ่มมองพลางขึงตาให้อย่างปราม ๆ...แสดงว่าเข้าใจนัยคำพูดของสาวเจ้า

...ฝ่ายสาวส่งสายตาราวกับเห็นเทวดาตัวเป็น ๆ ปรากฏต่อหน้า...ปฏิกิริยาชัดเจนยิ่งนัก

คิดเองเออเองแล้วสิงห์ได้แต่หัวเราะลงลูกคออย่างพออกพอใจ

“น่าสนุกจังเลยนะครับ ผมขอร่วมวงด้วยคนสิ” เสียงระรื่นมาพร้อมกับร่างผอมสูงของโมทนาไม่ได้ทำให้สิงห์สะดุดหัวเราะลงได้ เขากวักมือเรียกชายหนุ่มผู้มาใหม่พลางตบเก้าอี้ว่างข้าง ๆ ตัวเป็นเชิงบอกให้มานั่งตรงนี้ซึ่งโมทนาก็ทำตามอย่างว่าง่าย

“พี่ว่ากำลังจะมีเรื่องสนุก ๆ เกิดขึ้นที่รีสอร์ทสงบสุขแหละโม พี่เอาหัวเป็นประกันเลยเอ้า อนุมัติให้หัวเราะล่วงหน้าไว้ก่อนก็ได้นะ” สิงห์บอกกระท่อนกระแท่นเพราะเขายังคงหัวเราะอยู่ โมทนาอมยิ้มมองอย่างไม่เข้าใจ

“เรื่องสนุกแบบดี ๆ หรือเปล่าครับ ?” โมทนาถาม

“ดีสิวะ...พี่ว่าน่าจะดีมาก ๆ สำหรับนายรัณย์ด้วย” สิงห์ตอบพร้อมพยักพเยิดไปยังบุคคลเป้าหมายซึ่งเริ่มหน้าตึงอย่างเห็นได้ชัด...ตรงกันข้ามกับหญิงสาวเพียงคนเดียวในโต๊ะที่รอยยิ้มเริ่มจะฉีกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนน่ากลัว

“เรื่องอะไรน่ะรัณย์ ? บอกกันบ้างสิ ?” โมทนาหันมาถามคนถูกพาดพิง

“พี่สิงห์ก็พูดมั่วไปเรื่อยแหละ นายอย่าใส่ใจเลย...ว่าแต่ทำไมนายมาช้าจัง ?” ท้ายประโยคการัณย์จงใจชวนคนในกลุ่มเปลี่ยนเรื่องคุย

“มีลูกค้าขาจรมาสองกลุ่ม คนรับออเดอร์ไม่ประสานกับคนจัดห้องเลยไม่มีห้องว่างน่ะ จะไล่ลูกค้ากลับก็ไม่อยากเสียโอกาสฉันเลยสละเรือนฉันให้พักชั่วคราวก่อน” โมทนาอธิบาย

“อ้าว แล้วคืนนี้นายจะนอนไหนล่ะ ?” สิงห์ถามหลังฟังจบ

“ผมนอนเรือนพนักงานก็ได้ครับ” โมทนาตอบยิ้ม ๆ

“เฮ้ย ได้ไง คืนนี้นายนอนห้องเรือนกลางสิ ห้องว่างตั้งหลายห้อง...ห้ามปฏิเสธ” การัณย์เอ่ยขัดเมื่อเห็นโมทนากำลังอ้าปากแย้ง

“ไปนอนเรือนพนักงานได้ไง เป็นถึงผู้จัดการเชียวนะโว้ย” สิงห์เอ่ยยิ้ม ๆ

“ถึงยังไงก็เป็นลูกจ้างอยู่ดีนี่ครับ นอนเรือนคนงานก็ไม่เสียหายอะไร อีกอย่างเรือนกลางก็เป็นห้องไว้ให้คุณท่านมาพัก ผมไม่อยากละลาบละล้วง” เขาบอกอย่างเกรงใจ

“คิดมากไปได้นะนาย ไม่รู้ล่ะ คืนนี้นายนอนห้องใหญ่ไปเลย เอ้า ! กุญแจ !” การัณย์ตัดบทพร้อมล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจพวงใหญ่มาคลายล็อกเลือกลูกกุญแจดอกใหญ่ส่งให้โมทนาซึ่งรับไปด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน “อย่าคิดมากเลยโม เราเป็นครอบครัวนะ” ชายหนุ่มสำทับเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังมีท่าทีเกรงใจ แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘เราเป็นครอบครัว’ ดูเหมือนโมทนาจะมีสีหน้าดีขึ้น เห็นได้จากรอยยิ้มบาง ๆ เกลี่ยอยู่เต็มใบหน้า

“ขอบคุณนายมากนะรัณย์” เขาบอกเสียงอ่อน

“เฮ้ย นี่มันงานรื่นเริงจะมาทำซึ้งหาอะไรวะนี่...เด็ก ๆ เอาเครื่องดื่มมาบริการหน่อยสิ ใครชงอร่อยมีของดีแจกด้วยนะ !” สิงห์เปลี่ยนบรรยากาศพลางหันไปสั่งกับพนักงาน ซึ่งหลายคนพอรู้จักคุ้นเคยกันบ้างรีบกุลีกุจอปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว

เสียงเพลงเปิดคลอแผ่วเบา และจำนวนพนักงานซึ่งเริ่มหนาตาขึ้นช่วยผ่อนคลายความอึดอัดของบรรยากาศในโต๊ะได้เป็นอย่างดี ไอยเรศยกเครื่องดื่มขึ้นจิบสายตาก็สังเกตชายหนุ่มร่วมโต๊ะอย่างสนใจ ดูเหมือนสิงห์จะเป็นคนชวนคุยและช่วยเชื่อมสัมพันธไมตรีของคนร่วมโต๊ะ บ่อยครั้งที่หล่อนพยายามส่งสายตาให้ว่าที่ผู้ชายในฝันตัวจริงแต่เขาก็พยายามเลี่ยงหลบอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวได้แต่มองค้อนเล็ก ๆ กระนั้นก็ยังไม่ละความพยายาม ขณะเดียวกัน หลายครั้งที่สายตาของไอยเรศสานสบเข้ากับสายตาของผู้จัดการหนุ่ม และทุกครั้งมักจบลงที่รอยยิ้มของทั้งสองฝ่ายพร้อมการยกแก้วเชิญชวนดื่ม...หญิงสาวได้แต่ปลอบใจตัวเองหลังสานสบสายตานั้น...ประกายวับวาวแปลก ๆ จากโมทนาอาจจะเป็นเรื่องที่หล่อนคิดไปเอง




คุณคนอ่านที่น่ารัก

ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่สาวกล้วยไม้จะลงจอนะคะ ตอนนี้ปกมาแล้ว เล่มออกจากโรงพิมพ์แล้วพร้อมลงแผงแบบเต็มพิกัด เชิญรับชมได้ที่ https://www.facebook.com/mydreambooks?ref=stream สามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์กันได้ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ นี้นะคะ เเละพบกันได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปในวันที่ 6 มีนาคม 2557

ใต้ร่มดอกรัก เป็นงานเรื่องแรกที่รัมย์ได้รับโอกาสจากสำนักพิมพ์มายดรีม หวังอย่างสุดหัวใจว่าคุณคนอ่านที่น่ารักจะให้การต้อนรับหนุ่มสาวคู่นี้ไว้ในอ้อมใจบ้างไม่มากก็น้อย (ถ้าเห็นหน้าคนเขียนตอนพิมพ์จะเห็นการกะพริบตาถี่และทำหน้าน่ารัก(?!!!) อ้อนเต็มพิกัด >///<) หากมีข้อพกพร่องประการใด รัมย์ขอรับไว้ทั้งหมด หากใต้ร่มดอกรักจะมีข้อดีบ้าง ขอยกให้คนอ่านที่น่ารักหมดเลย (อร๊ายยยยย เขินนนนนน)

ขอบคุณคนอ่านทั้งที่แวะมาอ่าน แวะมาถูกใจ และแวะมาทักทายกันในทุกตอน ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้กันเสมอมา รักรัมย์น้อย ๆ แต่ขอให้รักนาน ๆ นะคะ ฮิ้ววววววววว

แล้วพบกันใหม่เรื่องต่อไป...ช้า ๆ นี้ค่ะ
ด้วยรักและกล้วยไม้ไอยเรศ
รัมย์



รัมย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.พ. 2557, 21:57:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.พ. 2557, 22:22:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1700





<< ๗ : ลงมือ   
Sukhumvit66 22 ก.พ. 2557, 03:02:25 น.
เห็นปกแล้วสวยมากเลยค่ะ อุดหนุนแน่นอน ไม่พลาด..


Zephyr 24 ก.พ. 2557, 00:03:07 น.
ต้องหามาอ่านต่อแน่ๆค่ะ


nasa 24 ก.พ. 2557, 11:47:47 น.
โอย ต้องตามไปอ่านในเล่มแล้ว หมั่นไส้พระเอก เล่นตัวนะ


กาซะลองพลัดถิ่น 25 ก.พ. 2557, 04:19:16 น.
โห จะได้อ่านแบบรูปเล่มทีเดียวจบแล้ว ....ดี ๆ คะ ชอบ อยากจะรู้ว่านางเอกจะรุกฆาตแบบไหน


chuwub 26 ก.พ. 2557, 16:40:27 น.
ชักชอบคุณสิงห์แล้วสิคะ รอลุ้นตอนต่อไปค่ะ


chuwub 26 ก.พ. 2557, 16:42:00 น.
อุ๊ยเพิ่งเห็นจะออกเล่มแล้ว เดี๋ยวจะไปซื้อมาอ่านนะคะ ติดตามผลงานคุณรัมย์ทุกเล่มเลยค่ะ


Padawan 4 มี.ค. 2557, 13:49:49 น.
จะบอกว่าเค้าสั่งซื้อไปแล้วแหละ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account