ราคีกุหลาบ
เรื่องราวความรักของทริปท่องเที่ยวในสเปน
ระหว่างหญิงสาวชาวไทยกับหนุ่มหล่ออเมริกัน ^^

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: หวั่นไหว

บทที่ 7 หวั่นไหว

มื้อค่ำที่มาดริดมาจบลงที่ภัตตาคารโซบริโน เด โบตินที่เป็นร้านอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพราะเปิดทำการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1725 สนนราคานับว่าไม่แพงนักสำหรับชาวยุโรป แน่นอนว่าสำหรับชนชั้นกลางอย่างรมิตามื้อหนึ่งมีราคาอยู่ประมาณสองพันกว่าบาทก็นับว่าแพงโขอยู่ แต่ก็แลกกับรสชาติอาหารแสนอร่อยกับบรรยากาศในร้านที่เหมือนย้อนกลับไปเมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว หญิงสาวก็ยังยินดีที่จะจ่าย

ในระหว่างมื้ออาหาร อเล็กซ์กับรมิตาพูดคุยกันมากขึ้น เป็นที่น่าแปลกใจมากที่ทั้งสองชอบศิลปินคนเดียวกัน นั่นก็คือ ฟรานซิสโก เด โกยา ซึ่งรมิตาจะชอบผลงานในช่วงแรกของชีวิตโกยาที่ใช้สีสันสดใส มีชีวิตชีวา โลกที่สะท้อนผ่านสายตาของเขาแล้วถูกวาดขึ้นเป็นภาพอันงดงามแม้มันจะเป็นแค่เรื่องที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันอย่างการเล่นชิงช้าของเด็กและผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง

ส่วนอเล็กซ์กลับชอบผลงานในช่วงหลังของโกยาที่เขียนขึ้นหลังจากที่ทหารของฝรั่งเศสเข้ามายึดครองมาดริดและสังหารชาวเมืองที่ต่อต้านมากกว่า ภาพของโกยาในยุคนี้จะใช้สีดำหรือทึมทึบเป็นหลัก และสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้น เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความโศกเศร้า หดหู่ สิ้นหวัง

อเล็กซ์มองว่างานช่วงนี้ของโกยาเป็นภาพอันทรงพลังมาก สมจริง และชักนำให้ผู้ที่ดูรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ในภาพจริงๆ ซึ่งรมิตาเห็นด้วย แค่มองภาพเขียนเหล่านั้นเธอก็แทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว

การได้พูดคุยถึงสิ่งที่ชอบร่วมกันทำให้อเล็กซ์กับรมิตาสนิทกันมากขึ้น หญิงสาวนึกเสียดายที่ได้คุยกับอเล็กซ์ช้าไป หากได้แลกเปลี่ยนความคิดกันในช่วงที่ดูภาพวาดที่พิพิธภันฑ์ปราโดละก็ มันคงจะเป็นการเดินเที่ยวชมที่ออกรสชาติมากกว่านี้แน่

เมื่อกลับเข้าที่พักรมิตาจัดการถ่ายรูปทั้งหมดในกล้องของวันนี้เข้าไปในแล็ปท็อปเพื่อจะนำไปให้อเล็กซ์ซึ่งบอกว่าอยากดูภาพของเธอ หญิงสาวกดลบบางรูปที่เห็นว่าไม่โอเคทิ้งไป ก่อนจะมาหยุดลงที่ภาพของอเล็กซ์ยื่นลูกโป่งให้เด็กในสวนสาธารณะเรติโร ทั้งมุมของแบบ แสงที่ตกลงมากระทบ สีสัน และอารมณ์ของรูป หญิงสาวให้คำจำกัดความว่า ไร้ที่ติ

เธอจึงนั่งจ้องแล้วอมยิ้มอยู่หลายนาทีอย่างละสายตาไม่ได้

หญิงสาวติดใจรูปภาพนี้เป็นพิเศษและอยากให้คนอื่นได้เห็นด้วย เมื่อผ่านการไตร่ตรองอย่างหนัก รมิตาก็ตัดสินใจส่งรูปนี้เข้าประกวดซึ่งทำได้ไม่ยากเลย เพียงแค่กดส่งรูปภาพนี้เข้าอีเมล์ของบริษัทที่จัดประกวด แล้วหลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่จะตอบรับมาแล้วอัพเดตรูปนี้ขึ้นไปบนเว็บไซต์เพื่อให้คนอื่นเข้ามาดูได้และกดโหวตกัน โดยคะแนนจะแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนที่มีคนเข้ามาโหวตกับส่วนที่กรรมการที่เป็นคนมีชื่อเสียงมาตัดสิน นอกจากสามรางวัลแรกแล้วยังมีรางวัลประเภทป็อปปูลาร์โหวตอีกด้วย รมิตามั่นใจมากว่าด้วยรูปภาพของอเล็กซ์รูปนี้แล้ว เธอน่าจะได้สักรางวัลหนึ่งซึ่งเธอก็เล็งของรางวัลป็อปปูลาร์โหวตเอาไว้ เป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ-ฮ่องกง

‘สงสัยงานนี้จะได้ไปกินติ่มซำที่ฮ่องกงซะแล้วเรา’ หญิงสาวฝันหวานไปล่วงหน้าพอๆ กับที่น้ำลายสอยามคิดถึงอาหารขึ้นชื่อที่ฮ่องกง

จัดการลบรูปภาพที่ไม่ต้องการออกเสร็จ หญิงสาวก็เดินเอาแล็ปท็อปไปให้อเล็กซ์ที่อีกห้อง แล้วสะโหลสะเหลกลับห้องพักมานอนเอาแรง เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า และวันนี้เธอก็เหนื่อยมากในการตระเวนเที่ยวกรุงมาดริดในสภาพติดจะเมาค้างนิดๆ

เพราะเข้านอนเร็ว เช้าวันต่อมาหญิงสาวจึงรู้สึกสดชื่นเหมือนชาร์ตแบตเตอรี่จนเต็มแล้ว และพร้อมจะตะลุยสถานที่ท่องเที่ยวต่อไป นั่นก็คือเมืองโตเลโดที่เป็นเมืองหลวงเก่าของสเปนก่อนจะย้ายมามาดริดนี่เอง

ขึ้นรถไฟด่วนไฮสปีดสายมาดริด-โตเลโดเพียงแค่สามสิบนาทีก็มาถึงที่หมายตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี เธอกับอเล็กซ์ก็ช่วยกันหาทางเดินไปยังจุดชมวิวสุดฮิตของเมืองโตเลโดที่เป็นเนินเขาอีกลูกซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเนินเขาที่ตั้งเมืองโตเลโด เมื่อเดินขึ้นมาแล้วหันกลับไปมองก็จะพบภาพของอาคารบ้านเรือนยุคเก่าที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ตามระดับของเนินเขาที่สูงขึ้น และตัวเมืองทั้งหมดถูกโอบล้อมด้วยแม่น้ำสามสาย
ระหว่างที่กดชัตเตอร์บันทึกภาพของเมืองโตเลโดที่ถูกแสงอาทิตย์ยามเช้าอาบย้อมบ้านเรือนไปทีละน้อยๆ ปลุกให้เมืองตื่นขึ้นจากการหลับใหล คนข้างตัวที่ถูกละเลยไปชั่วขณะก็เอ่ยปากถามขึ้นมาว่า

“นี่คุณไม่คิดจะถ่ายรูปตัวเองหรือว่ายังไง?” อเล็กซ์ถามขึ้น เพราะรูปทั้งหมดที่เขาได้ดูนั้น ดันไม่มีรูปของตากล้องอยู่เลยสักภาพ

“อ๋า ลืมไปเลย” เพราะมัวแต่กังวลว่าจะไปเที่ยวได้แค่ไม่กี่ที่ กระทั่งรูปตัวเองเธอก็ลืมไปเลยว่าจะต้องถ่ายเอาไว้เป็นที่ระลึกบ้างว่าครั้งหนึ่งได้มายืนที่นี่ อเล็กซ์ส่ายศีรษะเล็กน้อย คำตอบช่างสมเป็นโรซี่เสียจริงๆ

“งั้นเอากล้องมา เดี๋ยวผมถ่ายให้”

“โอเค ขอบคุณค่ะ” รมิตาตอบรับเมื่อเห็นว่ารูปวิวที่ต้องการนั้นถ่ายไปมากพอแล้ว

หญิงสาวยื่นกล้องให้เขาโดยดี ตัวเธอเดินถอยห่างอเล็กซ์ออกไปเพื่อหามุมเหมาะๆ ในการถ่ายรูป ซึ่งหญิงสาวเห็นว่าฉากหลังเป็นภาพเมืองโตโลดีนี่สวยดีอยู่แล้ว แค่เธอไปยืน ณ จุดที่เหมาะสม รูปก็จะออกมาดูดีเองโดยไม่ต้องปรับแต่งอะไรให้ยุ่งยาก หญิงสาวไม่วายพูดว่า “ถ่ายออกมาดีๆ นะ ถ้ารูปไม่สวยแปลว่าคุณถ่ายรูปไม่เอาไหนนะ”

“หือ? ถ้ารูปไม่สวยก็แปลว่านางแบบไม่สวยต่างหากล่ะ” ชายหนุ่มยั่วกลับ

“อเล็กซ์!” นางแบบสาวทำแก้มป่องที่โดนตอกมาให้หน้าหงาย

“เอ้า ยิ้มหน่อยเร็ว ทำหน้าบึ้ง ถ่ายออกมายังไงก็ไม่สวยนะ”

แทนที่จะทำตามคำสั่ง หญิงสาวเลยแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกเขาอีกหน ซึ่งชายหนุ่มกดชัตเตอร์ไว้ได้ทันพอดี

“เฮ้ย! เมื่อกี้ไม่เอานะ ไม่นับ” รมิตาตกใจไม่คิดว่าชายหนุ่มจะทันได้กดชัตเตอร์

“โรซี่ คุณนี่ชอบทำหน้าแบบนี้จังนะ เมื่อวานก็แล้ว วันนี้ก็อีก” ว่าแล้วอเล็กซ์ก็หัวเราะขำเบาๆ เมื่อก้มดูรูปถ่ายล่าสุดที่ปรากฏอยู่ในกล้อง

“เฮ้! ลบทิ้งเลยนะ คุณเล่นทีเผลอนี่นา ฉันยังไม่ได้เก๊กหน้าอะไรเลย” รมิตาจะเดินกลับมาหาตากล้องมือใหม่ แต่อเล็กซ์โบกมือให้รมิตากลับไปยืนจุดเดิมขณะพูดว่า “โอเค รู้แล้ว ไปยืนที่เก่าเลย คราวนี้จะเอาจริงแล้วนะ”

แล้วอเล็กซ์ก็ถ่ายรูปของรมิตาไปอีกสี่ห้าภาพ สามใบแรกยังเป็นท่ายืนปกติ พอเริ่มใบที่สี่หญิงสาวก็ยกแขนขึ้นสองข้างทำเป็นรูปหัวใจพร้อมกับบอกชื่อท่าให้เขารู้ด้วย ส่วนใบที่ห้าเธอทำท่าซูเปอร์แมนบินขึ้นฟ้า จนอเล็กซ์ชักอยากจะถ่ายรูปรมิตาไปเรื่อยๆ เพราะอยากรู้ว่าเธอจะสรรหาท่าอะไรมาทำให้เขาขำได้อีก พอใบที่หกหญิงสาวกางแขนทั้งสองออกด้านข้าง อเล็กซ์เลิกคิ้วแล้วถามว่า

“แล้วนี่ทำท่าอะไร”

“ว้าย เชยมาก ไม่รู้เหรอ ท่าโรส-ไททานิคไงคะ” รมิตายิ้มกว้างแล้วยักคิ้วให้ด้วย

อเล็กซ์เย้าแหย่ นัยน์ตาสีฟ้าสวยพราวระยับ “ท่าแบบนี้ต้องโพสคู่นี่ถึงจะรู้ว่าใครเป็นใคร ต้องการแจ็คไหม?”

รมิตาคอแข็ง หน้ามุ่ยขึ้นมาก่อนจะตอบเสียงดังฟังชัด “ไม่!”

“เดี๋ยวคนไม่รู้คิดว่า คุณทำท่าหุ่นไล่กานะ”

“เดี๋ยวฉันเขียนติดไว้ในรูปเองว่า ฉันคือโรสค่ะ กำลังตามหาแจ็คอยู่ มีใครเห็นแจ็คบ้างไหมคะ? แค่นี้ก็คงไม่มีใครคิดว่าฉันกำลังไล่กาอยู่หรอก”

เสียงหัวเราะเบาๆ หลุดมาจากใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ขณะที่หญิงสาวเลิกโพสท่าแปลกๆ เดินกลับมาเอากล้องของตัวเอง อเล็กซ์เอ่ยขึ้น “คุณนี่น่านับถือจริงๆ ที่กล้าโพสท่าพวกนั้น ตรงนี้ไม่ได้มีเราอยู่แค่สองคนเสียหน่อย”

รมิตายักไหล่ พลางก้มหน้าดูรูปในกล้อง “ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายอะไรสักหน่อยนี่ ฉันไม่ได้ทำเรื่องผิดอะไรนี่นา”

ดูไปได้แค่สองรูป ก็มีเสียงเรียกขึ้นมาเสียก่อน

“ขอโทษนะครับ ช่วยถ่ายรูปให้พวกเราหน่อยได้ไหมครับ?” เสียงชายหนุ่มเอเชียคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอังกฤษอย่างสุภาพ ขณะเดินมายื่นกล้องดิจิทัลให้อเล็กซ์ ชายหนุ่มตอบรับก่อนจะเดินตามชายเอเชียคนนี้ไปยังที่ๆ แฟนสาวของเขายืนอยู่

หลังจากที่อเล็กซ์คืนกล้องให้ทั้งคู่แล้ว ชายเอเชียก็พูดขึ้นมา “เอ่อ เดี๋ยวผมถ่ายรูปให้คู่ของคุณบ้าง เป็นการตอบแทนแล้วกันนะครับ”
ชายหนุ่มงงเล็กน้อย ก่อนจะคิดได้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเขาเป็นรมิตาเป็นแฟนกัน เขาไม่ทันจะได้อธิบายอะไร ชายคนนี้ก็ไปหารมิตาเพื่อเสนอความช่วยเหลือแล้ว อเล็กซ์เลยปล่อยเลยตามเลย เพราะว่าเขาเองก็ยังไม่มีรูปคู่กับรมิตาเลย ด้านตากล้องสาวไม่ทันได้ตั้งตัว เธอก็โดนอเล็กซ์ลากไปยืนคู่กันแล้ว แต่เพราะว่าไม่ได้สนิทกันมากอะไร หญิงสาวเลยยืนอยู่เฉยๆ มือเก็บไว้ที่หน้าขา ส่งยิ้มให้กล้อง เรียบร้อยจนผิดกับหญิงสาวที่โพสท่าเล่นเมื่อครู่ อเล็กซ์ชำเลืองมองคนตัวเล็กที่มีทีท่าเหมือนจะไม่อยากร่วมเฟรมเดียวกับเขา ความรู้สึกบางอย่างผลักดันให้เขายกมือขึ้นโอบไหล่บอบบางไว้

ในวินาทีแรกหญิงสาวตัวแข็ง แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไรออกมา ยังคงปั้นหน้ายิ้มหวานให้กล้องไปพลางขบคิด…

เธอรู้สึกทะแม่งๆ แต่บอกไม่ถูกว่าตรงไหน เธอเป็นเพื่อนกับอเล็กซ์แล้ว ดังนั้นการจะถูกโอบไหล่แบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหม? รมิตาให้เหตุผลกับตัวเองว่าในธรรมเนียมฝรั่ง การโอบไหล่คงเป็นแค่การแสดงออกธรรมดา เธอแค่เคยถูกเพื่อนผู้ชายกอดคอมากกว่าโอบไหล่ ทำให้ไม่คุ้นอยู่บ้าง อเล็กซ์คงไม่คิดมากอะไรถึงได้ยกมือขึ้นโอบ

‘เขาเป็นคนหวงตัว ทำแบบนี้แสดงว่ายอมรับเธอเป็นเพื่อนเต็มตัวแล้วสินะ’

เมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วอเล็กซ์เดินไปรับกล้องคืนมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย

ส่วนรมิตายืนมองแผ่นหลังของผู้ชายตรงหน้านิ่งๆ เธอชอบทั้งยังดีใจที่เขายิ้มได้และหัวเราะมากขึ้นกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรก เธอจึงหวังว่า ถ้าหมดจากทริปนี้แล้วเขาไม่อยากตาย และดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติก็ดีสิ

...........................

รมิตาเชื่อแล้วว่า พระเจ้าเห็นเธอสบายเกินไปถึงได้มอบอุปสรรคมาทำให้ชีวิตเธอลำบากต่อไป...

เมื่อออกจากเมืองโตเลโดแล้ว สองหนุ่มสาวก็กลับไปเอากระเป๋าสัมภาระที่ฝากไว้ในล็อกเกอร์ฝากกระเป๋าที่สถานีอโตชาก่อนจะนั่งรถไฟไฮสปีดไปเมืองกอร์โดบา เยี่ยมชมเมซกิตา อันโด่งดัง เสาประตูโค้งสองชั้นซึ่งทำจากหินแดงและหินสีแดงไขว้ซ้อนกันไปเรื่อยๆ ทอดยาวราวกับไม่รู้จบ ยิ่งเดินสำรวจมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งเหมือนเดินผ่านกาลเวลานานกว่าพันปีกลับไปในช่วงที่แขกมัวร์เรืองอำนาจ

เมื่อสำรวจกอร์โดบาจนพอใจแล้ว หรืออันที่จริงแล้วขาของเธอเริ่มประท้วงบอกถึงความปวดเมื่อย รมิตาเลยแวะทานอาหารค่ำกับอเล็กซ์ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินทางต่อเพื่อไปพักค้างแรมที่เมืองเซบียา แต่ฝนฟ้าที่เมืองนี้ก็ไม่เป็นใจนัก เมื่อเท้าแตะพื้นถนน ฝนก็ตกลงมาทักทายเป็นอันดับแรก จนรมิตาต้องกัดฟันใช้บริการแท็กซี่ แต่เพราะตอนนี้เวลาสี่ทุ่มแล้วและเป็นหน้าเทศกาล ค่าแท็กซี่ทำให้รมิตาบ่นงึมงำอย่างเจ็บปวดไม่น้อย แม้ว่าจะหารครึ่งกับอเล็กซ์แล้วก็ตาม แต่อุปสรรคของเธอยังไม่หมดแค่นี้ พอถึงโรงแรมและเข้าเช็กอิน หญิงสาวก็เจอปัญหาใหญ่ที่สุด

นั่นก็คือ ไม่มีชื่ออเล็กซ์อยู่ในรายชื่อลูกค้าผู้จองห้อง! และที่แย่ไปกว่านั้นคือ ตอนนี้ไม่เหลือห้องว่างแล้ว!

รมิตาแยกตัวออกห่างจากชายหนุ่มโดยขอตัวไปห้องน้ำ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรมาสอบถามคนจองที่พักข้ามประเทศ แต่ผลของมันก็คือ อเลนปิดเครื่อง!

หญิงสาวแทบจะหลุดกรี๊ดออกมาด้วยความหงุดหงิดที่ทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจ เธอที่เหน็ดเหนื่อยและต้องการการพักผ่อนมากๆ แต่ต้องมานั่งเปิดแล็ปท็อปเพื่อหาโรงแรมให้อเล็กซ์ใหม่ แล้วก็เหลือเชื่อจริงๆ ที่โรงแรมละแวกนี้ต่างก็เต็มหมด แม้แต่โรงแรมใหญ่ๆ ก็ไม่มีห้องให้จองแล้ว

ผลสุดท้ายของมันก็มาลงเอยว่าเธอกับอเล็กซ์ต้องนอนห้องเดียวกันไปถึงสองคืน!

หญิงสาวสบถด่าอเลนในใจ และคิดว่าถ้ากลับไปถึงไทยเมื่อไร เธอจะเล่นงานเขาให้จั๋งหนับเลย

อเล็กซ์ไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงสาวเพิ่งมารู้ว่าห้องไม่ได้ถูกจองไว้ ซึ่งอันที่จริงห้องสมควรถูกจองเรียบร้อยเมื่อสามวันก่อนแล้ว รมิตาอ้อมแอ้มอธิบายว่าเธอฝากเพื่อนจองให้ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะลืมจองที่พักที่เมืองนี้ให้เธอ ชายหนุ่มฟังไปเรื่อยๆ และก็รู้อีกอย่างว่าคนที่เธอฝากให้จองห้องแทนเป็นผู้ชาย เพราะรมิตาใช้คำเรียกว่า ‘เขา’

อเล็กซ์ไม่มีปัญหากับการต้องนอนห้องเดียวกับรมิตา แต่สาวไทยต่างหากที่มีปัญหาเสียเอง อเล็กซ์มองออกว่าเธอมีอาการเครียด แต่ก็ปิดปากเงียบไม่พูดไม่จาระหว่างเดินตามพนักงานไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นสาม

ห้องที่รมิตาจองไว้เป็นห้องพักเดี่ยว มีเตียงเดียว อเล็กซ์มองหาโซฟาเป็นลำดับต่อมา เพราะว่ามันคงที่เป็นนอนของเขาในคืนนี้ แต่เพราะที่นี่เป็นโรงแรมขนาดเล็ก ราคาถูก เฟอร์นิเจอร์จึงมีน้อยชิ้น นอกจากโต๊ะ ตู้ เตียงแล้วก็ปราศจากเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่น ส่วนสาวไทยมองพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงหน้าที่สมควรกลายเป็นสวรรค์ให้เธอโถมตัวลงนอนทาบทับและกลิ้งไปมาสักสามสี่หนก่อนที่จะหลับไป แต่ตอนนี้เธอคงทำได้แค่มองมันด้วยสายตาโหยหาเท่านั้น

อเล็กซ์หันมามองไปที่รมิตาซึ่งมองเตียงอยู่ เขาจึงสบตาเข้ากับรมิตาพอดี เธอเอ่ยปากอย่างคนตัดใจแล้วว่า “เตียงนี่ คุณนอนไปเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะนอนพื้นเอง ขอแค่คุณอย่านอนตกเตียงมาทับฉันก็พอ”

“ผมจะปล่อยให้คุณนอนพื้นได้ยังไงกัน?” ถึงเขาจะไม่ใช่สุภาพบุรุษนัก แต่คงให้ผู้หญิงนอนพื้นไม่ได้

รมิตาย้อนถาม “หรือคุณจะเป็นฝ่ายนอนที่พื้นเองล่ะคะ?”

อเล็กซ์มองพื้นแล้วขมวดคิ้วทันที พื้นพรม สะอาดดี แต่...เขาก็ทำใจให้นอนพื้นไม่ได้

เห็นหน้าของอเล็กซ์ หญิงสาวก็ทราบคำตอบแล้ว เธอว่า

“นั่นไง ไม่ต้องห่วงหรอก ในเมื่อฉันจองที่พักให้คุณไม่ได้ ฉันก็จะรับผิด...” ยังไม่ทันจบประโยคก็โดนอเล็กซ์แทรกขึ้นมาว่า

“งั้นทำไมเราไม่มานอนบนเตียงด้วยกันล่ะ?” อเล็กซ์เสนอทางเลือกที่ดีที่สุด

รมิตาตัวแข็ง มองเขาตาปริบๆ อย่างนึกไม่ถึงว่ามีตัวเลือกนี้ด้วย ภาพตัวเองนอนกอดอเล็กซ์ในอพาร์ตเมนต์ของโมนิก้าปรากฏขึ้นมาในหัวสมองทันที

“หรือคุณกลัวผมทำอะไรคุณ? ดูเหมือนว่าเราจะผ่านจุดนั้นกันมาแล้วนะ ห้องเดียวกันก็เคยนอนด้วยกันมาแล้ว เตียงเดียวกันก็เคยใช้นอนร่วมกัน คุณยังจะกลัวอะไรอีก?” ชายหนุ่มให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ

“อ่า ใช่ แต่ตอนนั้นฉันเมานี่นา ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ากลับไปที่พักได้ยังไง” รมิตาคิดว่าถ้าชายหนุ่มจะฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบเธอ เขาคงทำไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ส่วนตอนที่เขามีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจนั้น...หากว่าเธอไม่ไปแหย็มเขาก่อนหรือยั่วโมโห เธอก็จะไม่ถูกกลั่นแกล้งแบบนั้นอีก ทว่าตอนนี้หญิงสาวกลัวว่า หากนอนเตียงเดียวกับอเล็กซ์อีก เธอจะต้องประดักประเดิดซ้ำสองเมื่อตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองนอนกอดอเล็กซ์ไว้...

ชายหนุ่มเปลี่ยนท่าทีเป็นพูดเหมือนคนเสียใจ “แปลว่าผมไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ปละ เปล่านะ ไม่ใช่แบบนั้น” เพราะมิตรภาพที่งอกงามขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก ทำให้รมิตาอยากรักษาน้ำใจอีกฝ่ายไว้

“ถ้าไม่ได้กลัวผม งั้นคุณก็รังเกียจผม?”

“เปล่า ก็ไม่ใช่อีก คือ...เอ่อ ฉันกรนเสียงดัง ถ้าคุณนอนข้างๆ เดี๋ยวจะนอนไม่หลับเอานะคะ” รมิตาหาข้ออ้างอย่างเร่งด่วน หญิงสาวคิดว่ามันไม่เหมาะสมที่ชายหญิงที่ไม่ได้เป็นอะไรกันจะนอนเตียงเดียวกันอยู่ดี แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องสุดวิสัยก็ตาม

“ไม่เป็นไร ผมเหนื่อยจะตายแล้ว ต่อให้คุณกรนดังเหมือนฟ้าผ่าลงมา ผมก็คงไม่ตื่นหรอก”

รมิตาเห็นข้ออ้างไม่ได้ผลก็ยิ่งกระสับกระส่าย แต่คนจอมบงการฟันฉับลงมาว่า

“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ นอนด้วยกันบนเตียงนี่แหละ”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ อ้าปากค้างอยากจะปฏิเสธ แต่ไม่ทันพูดขึ้นมา อเล็กซ์ก็ชิงพูดขึ้นมา

“คุณจะใช้ห้องน้ำก่อนไหม เดี๋ยวผมค่อยเข้าทีหลัง”

“เชิญคุณก่อนเถอะค่ะ” พอพูดประโยคนี้ออกไปปุ๊บ อเล็กซ์ก็พาตัวเองไปยังห้องน้ำตามคำอนุญาต รมิตาจึงหมดโอกาสปฏิเสธข้อเสนอเรื่องนอนเตียงเดียวกัน

ทั้งคู่สลับกันเข้าห้องน้ำ อเล็กซ์พออาบน้ำเสร็จก็ออกมาในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ เพื่อมาเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างนอก ทั้งที่ปกติเขานอนไม่ใส่อะไรเลยหรือใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวพอ รมิตามีทีท่าหวาดระแวงเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่วันนี้เหนื่อยกันมาทั้งวัน อเล็กซ์ไม่อยากทำให้รมิตาต้องอดหลับอดนอนเพิ่มเพราะเขาแกล้งเธอ ชายหนุ่มจึงล้มตัวลงนอน ครอบครองพื้นที่กึ่งหนึ่งของเตียงหลังแต่งตัวเรียบร้อย

เมื่อรมิตาออกจากห้องน้ำมา ก็ค้นพบว่าอเล็กซ์หลับลึกไปเรียบร้อยแล้ว ทำเอาสิ่งที่เธอคิดไว้อย่างเช่นแบ่งเขตเตียงเอย ห้ามล้ำเข้ามาเอย กลายเป็นหมันไปอีกจนได้ นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนพอดี หญิงสาวถึงได้ขึ้นเตียงแล้วลงนอนตะแคงข้าง หันหลังให้อีกฝ่ายที่นอนหงายอยู่ โดยไม่ลืมหยิบปากกาเอามาถอดปลอกแล้ววางไว้ที่โต๊ะเตี้ยที่หัวเตียง หากเกิดอะไรขึ้นก็คงจะพอมีอะไรยับยั้ง ช่วยดึงเวลาให้เธอหนีรอดไปได้

ความกังวลของหญิงสาวนับว่าเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ เพราะว่าเมื่อเธอตื่นมาในตอนเจ็ดโมง เสื้อผ้าของเธอยังอยู่ครบทุกชิ้นรวมไปถึงผ้าห่มที่ห่มมาถึงคอเพราะความหนาวในช่วงเช้าของที่นี่ อเล็กซ์ยังคงหลับอยู่ข้างๆ เธอเหมือนเดิม

รมิตาไล่สายตามองโครงหน้าหล่อเข้มอย่างห้ามใจไม่อยู่ ปอยผมสีดำตกลงมาปรกหน้าผากทำให้หญิงสาวยื่นมือไปหยิบมันขึ้น ปลายนิ้วเธอได้สัมผัสกับขนคิ้วเข้มที่เรียงตัวเป็นเส้นตรงของเขา เธอรู้สึกเหมือนตกอยู่ในมนตร์สะกดบางอย่าง อยากจะสัมผัสอเล็กซ์ให้มากขึ้นกว่านี้...รมิตาเลยทำตามเสียงกระซิบในใจโดยลากนิ้วช้าๆ ลงมาตามเส้นคิ้ว แตะลงที่เปลือกตาของเขาพลางหวนนึกถึงนัยน์ตาสีฟ้าที่เธอคิดว่ามันสวยเหมือนอัญมณี แล้วลากเส้นตามกรอบหน้าผ่านไรเคราเขียวให้ความรู้สึกสากระคายซึ่งเธอไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน...แม้อเลนจะมีใบหน้าเหมือนอเล็กซ์ แต่เขาก็ไม่ไว้เครา อย่าว่าแต่รมิตาจะระวังตัวมาก เธอแทบไม่เคยแตะใบหน้าของเพื่อนสนิทคนนี้เลย

ปลายนิ้วอุ่นเลื่อนขึ้นไปบนสันจมูกโด่งของชายหนุ่ม ซึ่งรมิตาอยากจะกัดเขาสักคำ เอาคืนที่มากัดเธอไว้ สันนิ้วชี้เคาะลงที่ปลายจมูกสองสามครั้งเป็นนัยว่าฝากไว้ก่อน แล้วขยับมาหยุดบนริมฝีปากบางของอเล็กซ์ ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย เป็นผลให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง ชักมือออกทันควัน ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เธอจ้องร่างสูงใหญ่เขม็งก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อเขาเพียงแค่เปลี่ยนท่าไปนอนตะแคง ยังไม่ได้ตื่นขึ้นมาแต่ประการใด แต่ถึงอย่างนั้นสาวไทยก็มีใบหน้าแดงซ่านเมื่อพบว่าตัวเองเริ่มมีพฤติกรรมไม่ต่างจากคนโรคจิตที่แอบแต๊ะอั๋งคนหน้าตาดี และสับสนไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้ทำเรื่องแปลกๆ แบบนี้ออกไปได้ ทั้งที่ปกติแล้วเธอไม่มีนิสัยจับเนื้อต้องตัวเพื่อนผู้ชายนัก อย่างมากก็แค่กอดคอเท่านั้น

หญิงสาวพยายามให้คำอธิบายกับตัวเองว่า เธอชอบของสวยๆ งามๆ และอเล็กซ์ก็เป็นคนสวยๆ งามๆ ดังนั้นไม่แปลกที่เธอจะอยากจับต้องสิ่งที่เรียกได้ว่าประติมากรรมมีชีวิตที่พระเจ้ารังสรรค์ขึ้น เพิกเฉยเสียงแย้งในใจที่ดังขึ้นว่า ถ้าเธอชอบของสวยๆ งามๆ จริงก็แปลว่า เธอชอบอเล็กซ์ และชอบมากถึงขนาดอยากจะสัมผัสเขา...

ชอบเหรอ?

ก็แค่เพื่อนเท่านั้น! ที่ทำไปเมื่อกี้ก็เป็นเพราะเผลอไปเมื่อเห็นคนหน้าตาดีต่างหาก!

ครั้นท่องเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาในใจหลายรอบ รมิตาก็หลับต่อไม่ลงแล้วจึงไปอาบน้ำและเดินไปดูอาหารเช้าที่ข้างล่างตึก โดยหารู้ไม่ว่าอเล็กซ์ตื่นก่อนเธอตั้งนานแล้ว และเห็นว่าเธอขยับมากอดเขาไว้เพราะอุณหภูมิตอนเช้ามันเย็นกว่าช่วงกลางวัน ชายหนุ่มไม่อยากเห็นเธอกระอักกระอ่วนใจ ก็เลยขยับจัดท่าทางให้คนขี้เซาใหม่ ห่มผ้าให้อย่างดี ก่อนจะล้มตัวนอนตามเดิม และยังไม่ทันหลับ รมิตาก็ตื่นขึ้นมาแล้วทำเรื่อง...ที่ทำให้เขาตื่นตัวเป็นพิเศษ อเล็กซ์ไม่แน่ใจว่าถ้ายังโดนแม่คุณลูบต่อไปอีกนิด เขาจะอดใจไม่จับเธอกดลงมาบนเตียงไหวไหม แต่ที่แน่ๆ ท่อนล่างเขามีปฏิกิริยาจนเขาต้องตัดสินใจพลิกตัวนอนตะแคงแทน แต่ความรู้สึกอึดอัดที่หาทางออกไม่ได้ในตอนนี้ทำให้อเล็กซ์ขบกรามแน่น นึกโกรธคนที่ปลุกปั่นให้เขาเจอปัญหาแต่เช้า

‘ผู้หญิงคนนี้นี่คิดจะปั่นหัวเขาเล่นรึไงกันนะ?’

...........................
ตอนที่อเล็กซ์ออกจากห้องลงมายังลานกลางตึกที่พักก็เป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้ว แต่ที่เซบียาเพิ่งจะมีแสงแดดสีทองเยี่ยมกรายออกมาจากปลุกผู้คนให้ตื่นเริ่มเช้าวันใหม่ รมิตานั่งอยู่ที่โต๊ะเหล็กดัดสีขาว แต่เธอไม่ได้อยู่คนเดียว มีชายชาวเอเชียคนหนึ่งที่อเล็กซ์สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชาวญี่ปุ่นนั่งอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าบทสนทนาจะดำเนินไปอย่างราบรื่นเพราะทั้งคู่ต่างมีรอยยิ้มแจ่มใสอยู่ในหน้า ซึ่งอเล็กซ์บอกไม่ถูกว่าทำไมตัวเองถึงขัดตากับรอยยิ้มที่รมิตามีให้อีกคนนัก

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆ ความหงุดหงิดก็เพิ่มขึ้นอย่างไร้สาเหตุ เขาไม่รู้ว่ารมิตารู้สึกยังไงกับอีกฝ่าย แต่อเล็กซ์มองปราดเดียวก็รู้จุดประสงค์ของชายญี่ปุ่นว่าอยากจะจีบรมิตาแน่ๆ ความคิดร้ายๆ ผุดขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ และสั่งการให้ตัวเขาเดินลิ่วไปที่โต๊ะของทั้งสอง อเล็กซ์หยุดข้างตัวรมิตาแล้วกางแขนออกเอาสองมือเท้าโต๊ะโดยคร่อมตัวหญิงสาวไว้ ก้มหน้าลงพลางถามเสียงทุ้มนุ่ม

“เขียนอะไรอยู่หรือ ที่รัก”

รมิตาเงยหน้าขึ้น ใจกระตุกเล็กน้อย ไม่ชินกับใบหน้าหล่อเหลาคมคายซึ่งอยู่ใกล้จนทำให้ตาพร่าไปชั่วขณะ

เธออยากจะแย้งเขาว่าเธอไม่ใช่ที่รักของเขา ไม่ต้องมาเรียกแบบนี้ แต่ก็คิดอีกที คำว่า ‘ที่รัก’ นี่เธอก็ใช้กับเพื่อนสนิททุกคน หากเขาจะเรียกเธอว่า ‘ที่รัก’ บ้าง มันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างหากต้องเถียงกับเขาตอนนี้ เกรงว่าสุดท้ายเธอจะอารมณ์เสียจนคลั่งรับมื้อเช้าแน่ รมิตาเลยปล่อยผ่านไป ดวงหน้าเนียนใสส่งรอยยิ้มรับอรุณให้คนที่ถือวิสาสะมายืนใกล้ๆ เอาเคล็ดว่า ถ้าเริ่มด้วยรอยยิ้มก่อน วันนี้เธอกับอเล็กซ์จะมีแต่รอยยิ้มและไม่ทะเลาะกัน

“กำลังจดว่ามีร้านอาหารตรงไหนที่อร่อยๆ และราคาถูกบ้างค่ะ”

“คุณมีลิสต์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ก็มีค่ะ แต่คิดว่า ไหนๆ คุณเคียวอิจิเขาว่างอยู่ แล้วก็อยู่ที่นี่มาได้หลายวันแล้ว ก็เลยลองถามดูค่ะ”

“อ้อ ว่างอยู่” อเล็กซ์พูดคำนี้ขึ้นมา ขณะที่จ้องไปทางหนุ่มญี่ปุ่นที่ชื่อเคียวคิจิ จนทำให้อีกฝ่ายหนาวสันหลังวูบเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่มากับคำพูดและสายตา ด้านรมิตาคิดว่าเสียงเขาแปร่งแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะกำลังว้าวุ่นที่อเล็กซ์ไม่ยอมเอาแขนที่เท้าโต๊ะอยู่ออกเสียที

“นี่...ช่วยถอยไปห่างๆ ได้ไหม ฉันอึดอัดนะ” หญิงสาวกำหมัดชกเบาๆ ไปที่หน้าอกของเขา อเล็กซ์เลยยอมขยับให้ เพราะรู้สึกได้ว่า เธอไม่ได้รู้สึก ‘อึดอัด’ แต่เป็น ‘ขัดเขิน’ ต่างหาก ก็ความรู้สึกมันฟ้องออกมาทางสีหน้าของเธอที่แดงขึ้นนิดๆ

“คุณเคียวอิจิคะ นี่อเล็กซ์ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยแนะนำ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เคียวอิจิยื่นมือไปจับทักทายตามมารยาท อเล็กซ์จับมือตอบ

“เช่นกันครับ” เขาเลิกให้ความสนใจอีกฝ่าย หันกลับถามรมิตาว่า “คุณตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกผมด้วยล่ะ”

“เอ่อ ฉันเห็นคุณหลับสบายนี่นา แล้ววันนี้เราก็ไม่มีโปรแกรมแน่นเหมือนวันอื่น สามารถนอนต่อได้นานขึ้นอีกหน่อย ฉันเลยไม่ได้ปลุกคุณ” หญิงสาวชี้แจงเหตุผลที่ด้นสดออกมาอย่างตะกุกตะกักในตอนแรก เพราะเผลอคิดถึงตอนที่เธอเอามือไปลูบใบหน้าของอเล็กซ์เข้า
รมิตาให้นิยามใหม่กับเหตุการณ์นี้อีกครั้งว่า ‘ผีเข้า’ เพราะถ้าเป็นตัวเธอจริงๆ จะต้องไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด!

“งั้นจำไว้ พรุ่งนี้คุณตื่นตอนไหน ต้องปลุกผมตอนนั้น เข้าใจไหม?” คนจอมบงการออกคำสั่งให้ทาสสาว แต่ทาสของเขากลับขมวดคิ้วอย่างงุนงงแล้วเอ่ยว่า
“คุณนี่ก็แปลกคน ห้องน้ำมีห้องเดียวนะ แทนที่จะนอนต่ออีกสักหน่อย” รมิตามองว่าห้องน้ำมีห้องเดียวยังไงก็ต้องผลัดกันใช้ ดังนั้นเวลาที่อีกคนกำลังอาบน้ำทำธุระส่วนตัวอยู่นั้นก็ยังจะพอนอนต่อได้อีกสักสิบห้านาที

คำพูดของหญิงสาวทำให้หนุ่มญี่ปุ่นที่ฟังอยู่เข้าใจผิดไปคิดว่ารมิตาเป็นแฟนอเล็กซ์ เพราะที่โรงแรมเล็กๆ แห่งนี้มีห้องน้ำทุกห้อง ก็แสดงว่าหญิงสาวมาพักห้องเดียวกับอเล็กซ์นี่เอง เขาหน้าม่อยลงเมื่อต้องกินแห้วทั้งที่เพิ่งจะเริ่มต้นคุย ต่างจากหนุ่มอเมริกันอีกคนที่อารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง

“ทำตามผมว่าเถอะน่า”

“ก็ได้ โอเคค่ะ พ่อคนชอบตื่นเร็ว” คนที่ไม่ชอบการทะเลาะตอบตกลงเมื่อเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไร รมิตาหันกลับมาหาคู่สนทนาคนเดิม แล้วพูดถึงเรื่องที่คุยค้างอยู่

“คุณเคียวอิจิคะ แล้วมีร้านไหนอยากแนะนำฉันเพิ่มไหมคะ?”

“ไม่ละครับ หมดแล้ว อ่า ผมขอตัวก่อนนะครับ” หนุ่มญี่ปุ่นส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยขอตัวจากไป เพราะรู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากสายตาคมกริบ ซึ่งรมิตาก็ไม่ได้รั้งตัวไว้แต่อย่างใด คนที่สังเกตอยู่เงียบๆ ยิ่งบังเกิดความพึงพอใจมากขึ้น หญิงไทยก้มลงอ่านสิ่งที่ตนจดลงไปอีกครั้ง เพื่อกำหนดว่ามื้อกลางวันวันนี้จะไปร้านไหนและอยู่ที่ไหนในเมืองนี้

อเล็กซ์จึงเลื่อนสายตาลงมา เมื่อเห็นสมุดจดวางแบไว้อยู่หน้าหญิงสาวก็เกิดอยากอ่านขึ้นมาบ้าง “ไว้ขอผมอ่านเรื่องที่คุณเขียนไว้ในสมุดบ้างได้ไหม?”

“ไม่ได้” หญิงสาวเผลอตอบไปอย่างลืมตัว

“หือ? หมายความว่ายังไง?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสนเท่ห์

“ปละ เปล่า คือลายมือฉันอ่านยากออก” เธอปฏิเสธอย่างอึกๆ อักๆ

“เท่าที่เห็น ผมก็พออ่านออกอยู่นะ” อเล็กซ์ปรายตามองอีกครั้ง ลายมือบนกระดาษสมุดสีครีมเป็นตัวหวัด แต่ก็ยังอ่านออกได้ว่าเธอเขียนอะไรลงไปบ้าง

“เอาไว้เรื่องถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสารแล้ว ฉันจะส่งไปให้คุณอ่านฟรีๆ เลย” รมิตารีบปิดสมุดหวังจะเก็บให้พ้นมือของอเล็กซ์ แต่มือหนายื่นมาจับมือเธอที่อยู่บนสมุด ไม่ให้เก็บหลักฐานหนีไปเสียก่อนแล้วเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยแต่ให้ความรู้สึกอันตรายว่า

“มีพิรุธแบบนี้ แปลว่าคุณเขียนอะไรที่ให้ผมอ่านไม่ได้งั้นเหรอ”

รมิตายิ้มจืด ในสมุดจดเล่มนี้ที่หน้าแรกมีชื่อจริงของเธอและข้อมูลทุกอย่างที่เธอเขียนไว้เผื่อว่าตัวเองจะเป๋อจนทำสมุดจดตกหล่น คนที่เก็บสมุดจดนี่ได้จะได้เอามาคืนให้เธอได้ หนำซ้ำยังมีชื่ออเลนเขียนไว้ในนี้ด้วย เพราะเธอใช้สมุดเล่มนี้เป็นสมุดบันทึกนัดหมายด้วย นัดกับอเลนไว้ก็จดไปว่าที่ไหน เวลาอะไร และกับใคร

ถ้าอเล็กซ์ได้เห็นชื่ออเลน แม้ไม่รู้นามสกุล แต่เขาต้องฉุกใจคิดได้แน่นอน นอกจากนี้ยังมีเขียนระบายอารมณ์ที่ถูกอเล็กซ์แกล้งจนต้องติดปลาสเตอร์ยาที่จมูกถึงสองวัน...อ๊ะ!

นัยน์ตาดำขลับเผยแววยินดีที่นึกออกว่า ควรใช้ข้ออ้างไหนดี ริมฝีปากที่ทาลิปมันเริ่มขยับอย่างไหลลื่น พร้อมกับแสร้งทำเป็นไม่พอใจที่ถูกชายหนุ่มจับได้

“ฉันยอมรับก็ได้ ว่าฉันเขียนด่าคุณไว้ในนี้ ฉันจะไปกล้าให้คุณอ่านได้ยังไงกัน”

อเล็กซ์คาดไม่ถึงว่าเธอจะสารภาพง่ายดายขนาดนี้ แต่ก็ให้ฉุนกึกขึ้นมา “ด่าว่าอะไร?”

“คุณอยากรู้จริงเหรอ?” รมิตาเซอร์ไพรส์เล็กๆ เธอไม่เคยเจอใครที่อยากฟังว่าตัวเองถูกด่าว่าอะไร

“อื้อ” อเล็กซ์พยักหน้าให้

เมื่อเขากล้าขอ เอ่อ...กล้ารับฟัง เธอก็กล้าจะด่าให้ฟังต่อหน้าเหมือนกัน

รมิตาจะเปิดสมุดเพื่ออ่านให้เขาฟัง ถึงได้พบว่ามืออุ่นๆ ของอเล็กซ์จับมือเธออยู่ “เอามือออกไปสิ ไม่งั้นฉันจะเปิดสมุดอ่านยังไง”

ชายหนุ่มเลยชักมือถอยออกมา ก่อนจะเท้าข้อศอกสองข้างกับโต๊ะ ประสานมือไว้ ตั้งอกตั้งใจรอฟังอย่างยิ่ง

รมิตายกสมุดจดปิดหน้า แอบเศร้าที่เคล็ดยิ้มสู้ไม่ได้ผลเลย หลังเขารับฟังคำที่เธอด่า มิตรภาพของเธอกับอเล็กซ์คงจะกลายเป็นเถ้าถ่าน และหลังจากนี้เธอคงจะต้องอยู่กับพ่อมนุษย์น้ำแข็งปากจัดที่พร้อมจะจิกกัดเธอตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง พลิกไปสี่ห้าหน้าก็พบกับข้อความที่ต้องการ จึงได้เริ่มอ่านออกเสียง

“วันนี้เขากัดฉัน...เขากัดจมูกกับคอฉัน! ตานี่เป็นบ้าอะไรขึ้นมา คิดว่าตัวเองเป็นแวมไพร์รึไง? หรือว่าชอบเลียนแบบหนัง แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตานี่ต้องเป็นโรคจิต หื่นวิปริต และซาดิสต์แน่นอน นอกจากจะปากร้าย ชอบพูดจาทิ่มแทงชาวบ้านแล้ว ยังจะชอบกัดอีก! เขาคงไม่ได้ฉีดวัคซีนกันพิษบ้าไว้ชัวร์ ฉันจะโดนแพร่เชื้อบ้าใส่หรือเปล่าเนี่ย?”

อ่านจบแล้ว รมิตาก็ค่อยๆ เลื่อนสมุดลงแล้วชำเลืองไปด้านข้างเพื่อดูหน้าของอเล็กซ์

ดวงหน้าคมเข้มของเขาไม่มีวี่แววอารมณ์เสียอย่างที่รมิตาคาดไว้ แถมมุมปากยังโค้งขึ้นนิดๆ ซึ่งหญิงสาวแน่ใจว่านั่นเป็นรอยยิ้มของเขา นัยน์ตาสีฟ้าสวยฉายแววขบขันอย่างไม่คิดปิดบัง

“คุณยิ้ม? ยิ้มอะไร ชอบที่ถูกด่าเหรอ?” ปฏิกิริยาของเขาทำให้เธอมึนงง

“เปล่า ผมแค่นึกตลกบางประโยคที่คุณเขียนไว้”

“ประโยคไหน?” หญิงสาวถามอย่างสงสัยและระแวงว่าเขาจะมาไม้ไหน

“หึ! ถ้าผมจะมีเชื้อบ้าอยู่ในตัว มันก็คงไม่ติดไปที่คุณหรอก เพราะในตัวคุณน่าจะมีเชื้อชนิดนี้มากกว่าผม ผมต่างหากที่ต้องกลัวว่าจะติดเชื้อบ้าจากคุณหรือเปล่า หวังว่าแปรงฟันให้สะอาดกับบ้วนปากคงจะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้นะ”

“คุณว่าฉันบ้าเหรอ?” หญิงสาวผู้ไม่ได้สำนึกตัวเองเลยว่าด่าอีกฝ่ายไว้เยอะแค่ไหนทำหน้ามุ่ย นัยน์ตากลมโตเริ่มมีดวงไฟเล็กๆ อยู่ข้างใน
อเล็กซ์กล่าวแก้ “อันที่จริงเรียกว่า บ้า คงไม่ถูกนัก น่าจะเรียกว่า บ๊องๆ มากกว่า”

แก้มนวลสองข้างป่องขึ้นอย่างขุ่นเคือง เธอค้อนใส่พลางว่า “คุณกล้าว่าฉันบ๊องเหรอ? เดี๋ยวฉันเอาชื่อจริงคุณไปเขียนใส่ในต้นฉบับตีพิมพ์เลย” หญิงสาวข่มขู่เล่นๆ

“เอาสิ”

“แล้วจะเขียนเพิ่มไปด้วยว่า เป็นคนหน้าตาดีที่ปากร้ายมาก”

“ตามสบาย แต่อย่าลืมเขียนไปด้วยล่ะว่า ผู้ชายรูปหล่อปากร้ายนั่นเป็นชายในฝันของคุณที่คุณถึงขั้นทำตัวโรคจิตตามติดเขาแล้วเสนอการพนันให้ ก่อนจะชนะพนันได้ตัวเขาไปครอบครองเป็นเวลาห้าวัน เอ...อย่าเลย คุณไม่ต้องเขียนก็ได้ เดี๋ยวผมเขียนแฉเองดีกว่าว่าเจออะไรบ้างในทริปนี้ คนอ่านคงจะชอบแน่ๆ เลยว่าไหม?”

“ฉันไม่รู้! แต่ถ้าคุณเอาเรื่องฉันไปเขียน เราได้เจอกันในศาลแน่!” รมิตากระแทกเสียงใส่ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่โดนย้อนให้รำลึกว่าตัวเองทำตัวน่ารำคาญและหน้าด้านแค่ไหนในการตามตื๊อเขา ทั้งที่ปกติเธอไม่ใช่แบบนี้สักนิด

“สนุกเลย หนังสือพิมพ์คงจะเอาเรื่องนี้ขึ้นหน้าหนึ่ง คุณได้เป็นคนดังแน่ ยอดขายหนังสือคงจะพุ่งทะลุเพดาน น่าสนนะ” อเล็กซ์กวนประสาทต่อ

รมิตาผุดลุกขึ้นอย่างหงุดหงิดเพราะสำนึกว่าฝีปากตนสู้อีกฝ่ายไม่ได้ เธอตัดสินใจไม่ต่อปากต่อคำกับเขาอีก

“อ้าว จะไปไหนล่ะ?” อเล็กซ์ยื่นมือไปจับข้อมือของรมิตาไว้ เธอหันมาแยกเขี้ยวใส่พร้อมบอกว่า

“หาอะไรกิน หิว!” แน่ละว่า อาหารมื้อนี้เธอจะเพิ่มคำสาปแช่งลงไปให้หนักขึ้น ให้มันรู้ไปว่าภายใต้การสาปแช่งหลายสิบข้อของเธอ อเล็กซ์จะรอดไปได้ทุกข้อ ถ้าเขาเก่งกาจขนาดนั้น เธอก็ได้แต่ยอมจำนนแล้ว

รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนดวงหน้าหล่อเหลาดูดีไร้ที่ติ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า “ขอกาแฟดำให้ผมด้วย ขอบคุณครับ โรซี่”
รมิตาอยากบีบคอพ่อคนหน้าตาเพอร์เฟ็กต์คนนี้ให้ตายคาที่จริงๆ

...........................

ครึ่งวันเช้าหมดไปกับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเซบียาซึ่งสามารถเดินถึงกันได้อย่างมหาวิหารแห่งเซบียา ซึ่งแค่เห็นไกลๆ ตากล้องสาวผู้ใฝ่ฝันว่าจะต้องมาเยือนที่นี่ให้ได้สักครั้งในชีวิตก็ปลื้มปริ่มน้ำตาแทบไหลกับความงดงามอลังการที่ปรากฏสู่สายตา อารมณ์หงุดหงิดที่เถียงไม่ชนะอเล็กซ์หายไปเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวเริงร่าเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ รีบกดชัตเตอร์ถ่ายภาพที่ต้องการไว้ทันที ซึ่งในสายตาของอเล็กซ์แล้ว เธอแทบจะเดินไปหนึ่งก้าวก็ถ่ายภาพหนึ่งหนหรือมากกว่านั้นเพื่อมองหามุมที่ตนชอบใจที่สุด

อเล็กซ์คิดว่าหญิงสาวคงจะลืมจุดประสงค์เสียแล้วว่าให้เขามาเป็นนายแบบ เพราะเธอให้ความสนใจกับอาคารสถานที่จนเพิกเฉยเขาไปในที่สุด แต่อเล็กซ์ก็ไม่คิดจะทักท้วงอะไร ทำเพียงเดินตามหลังเงียบๆ เฝ้ามองหญิงสาวที่เคลิบเคลิ้มไปกับความงดงามของอาคารสถานที่อย่างไม่คิดจะขัดคอใดๆ แต่ชายหนุ่มคิดผิด เพราะรมิตาเริ่มให้เขาทำหน้าที่นายแบบอย่างขมีขมันหลังจากที่เธอสำนึกได้ว่า เธออยู่ในที่ๆ สวยงามและเธอมี ‘แบบ’ ที่สวยงามอยู่ติดตัว เพื่อไม่ให้ทริปเที่ยวนี้เสียเปล่า เธอจะต้องใช้เขาให้คุ้มที่สุด...

เมื่อเยี่ยมชมสุสานฝังศพคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ค้นพบทวีปอเมริกาเสร็จสรรพ หญิงสาวก็แล่นขึ้นไปยังหอระฆังฆีรัลดา ต่อทันที แม้จะเหนื่อยจนนึกบ่นอยู่ในใจเพราะความสูงเกินเก้าสิบเมตร แต่เมื่อได้เห็นภาพเมืองเซบียาด้านล่าง รมิตาก็เลิกบ่นแล้วถ่ายรูปกับหยิบสมุดมาจดสิ่งต่างๆ ที่ได้พบเจอ

ออกจากมหาวิหารได้ เธอก็ไปพระราชวังอัลกาซาร์ ซึ่งเป็นวังที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป มีอายุราวหกร้อยกว่าปี เยี่ยมชมลานสาวพรหมจารี อันลือชื่อและสวนเขียวขจีที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ และเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอยเล็กน้อยแถวย่านเมืองเก่าเพื่อเก็บบรรยากาศกลิ่นอายของเมืองที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างอิสลามและคริสเตียนได้อย่างลงตัว พร้อมกับแวะทานมื้อกลางวันง่ายๆ ก่อนจะไปแลนมาร์กสำคัญอีกแห่งหนึ่งของเซบียานั่นคือ ปลาซา เด เอสปันญา จัตุรัสกว้างโค้งครึ่งวงกลมซึ่งเรียงต่อกันเป็นแนวยาวที่อยู่ในใจกลางสวนสาธารณะมาเรีย ลุยซา แล้วข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งที่เป็นสถานที่จัดงานเฟเรีย เด อะบริล

ไม่ทันเข้าไปในพื้นที่จัดงานก็ได้ยินเสียงเพลงสนุกสนานมาแต่ไกล ยิ่งเมื่อเข้าไปในพื้นที่หญิงสาวก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเหล่าสาวๆ ที่อยู่ในชุดกระโปรงบานฟูฟ่องสีสวยสด รถม้าที่วิ่งกุบกับส่งผู้โยสารให้เข้าไปในเต็นท์ซึ่งจัดไว้ให้ผู้คนเข้าไปดื่มกินสังสรรค์กันอย่างสุดเหวี่ยงจนถึงช่วงตีสองตีสามของอีกวัน

ด้วยความคึกจัด ในเต็นท์ใหญ่ที่จัดไว้ให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัสวัฒนธรรมพื้นบ้าน รมิตาก็ลากตัวอเล็กซ์ที่ไม่เต็มใจจะเข้าไปสัมผัสวัฒนธรรมต่างชาตินักเท่าไร เพราะเขาไม่ชอบสถานที่อึกทึกครึกโครมและวุ่นวาย ซึ่งที่นี่เป็นทุกอย่างที่เขาไม่ชอบ แต่ชายหนุ่มก็ยินยอมถูกลากไป แถมยังถูกบังคับให้ฝึกเต้น ‘เซบียานาส ’ เป็นเพื่อนรมิตาอีกด้วย

เมื่อใช้พลังงานอันล้นเหลือไปกับการเต้นรำจนหมดแล้ว รมิตาก็มานั่งพักเหนื่อยที่เก้าอี้ในเต็นท์พร้อมเครื่องดื่มค็อกเทลสีสวยและตาปัสอีกสองสามจานที่ซื้อจากครัวในเต็นท์นี่เอง

“คุณนี่มันฮ็อตจริงๆ เลยนะ” หญิงสาวผู้เป็นหนังหน้าไฟบ่นขึ้นมา หลังจิ้มขนมปังทางมะเขือเทศขึ้นมากินแล้ว เพราะวันนี้เธอจำต้องแสดงตัวเป็นแฟนของอเล็กซ์ไปแบบแกนๆ อย่างตอนที่เต้นๆ กันอยู่ก็มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาเข้ามาขออเล็กซ์เต้นด้วย เจ้าตัวที่ขี้เกียจเต้นบุ้ยใบ้มาทางเดียวว่ามีแฟนขี้หึง ทำให้เธอตกเป็นเป้าสายตาอำมหิตหลายคู่ และถ้าหากสายตาพวกนี้กลายเป็นลูกกระสุนได้ เป้าอย่างเธอคงพรุนเป็นรังผึ้งแล้ว

“เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” อเล็กซ์ส่งยิ้มบางๆ ให้ เป็นผลให้รมิตาหมั่นไส้สุดๆ ก่อนจะตั้งคำถามตามมา

“พวกที่กล้าเข้ามาชวนคุณมีแต่คนสวยเด็ดดวงทั้งนั้นเลยนะ ทำไมไม่เลือกควงสักคนล่ะ”

‘...ฉันจะได้ไม่ต้องมาเป็นไม้กันสาวให้’

“โรซี่ คุณคิดยังไงกับวันไนต์แสตนด์”

รมิตาซึ่งกำลังจิบค็อกเทลแทบจะสำลัก ดวงหน้าน้อยๆ ร้อนฉ่ากับคำถามที่โผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เอ่อ...อะแฮ่ม มันก็...เป็นความพอใจของแต่ละบุคคลที่จะเลือกว่าตัวเองจะมีความสัมพันธ์กับคนอีกคนยังไงละมั้ง” ผู้หญิงที่ไม่เคยมีวันไนต์แสตนด์และไม่คิดจะมีเอ่ยอธิบายได้อย่างสับสนวกวนมาก

อเล็กซ์เอ่ยต่อมา “ผู้หญิงที่เข้าหาต้องการเซ็กส์จากผมทั้งนั้น เป็นเรื่องวันไนต์แสตนด์ล้วนๆ”

“แล้วคุณไม่ชอบเหรอ? ฉันคิดว่าผู้ชายน่าจะชอบความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกผูกมัดนะ”

“สำหรับผมแล้ว ถ้าไม่รู้สึกอะไรกับอีกฝ่าย มีเซ็กส์ไปมันก็ไม่มีความหมายหรอก หลังจากคุณมีวันไนต์แสตนด์กับใครสักคนเพียงเพราะคุณต้องการปลดปล่อย พอผ่านพ้นคืนนั้นไป คุณจะรู้สึกว่างเปล่า กลวงข้างใน และถามตัวเองว่ามาทำบ้าอะไรอยู่ในห้องคนแปลกหน้า ผมไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ซ้ำอีก ก็เลยปฏิเสธผู้หญิงทุกคนที่เข้ามา” นัยน์ตาสีฟ้าสวยนั้นมองตรงมายังรมิตาขณะที่พูดถึงเรื่องนี้

รมิตานึกทบทวนพฤติกรรมเขาแล้วอดคิดถึงพฤติกรรมอีกคนที่หน้าเหมือนอเล็กซ์ไม่ได้

“คุณนี่แตกต่างจาก...”

‘น้องชายของคุณจังนะ’

ถ้อยคำหลังไม่ได้หลุดออกไปจากกลีบปากบาง แต่ก็เรียกความสงสัยของอเล็กซ์ให้ผุดขึ้นมาอยู่ดี

“จาก?”

“เอ่อ คนที่ฉันรู้จัก” หญิงสาวหลบสายตาคมกริบไปด้วยการก้มลงให้ความสนใจกับอาหารที่เหลืออยู่

อเล็กซ์หรี่ตาแคบ แล้วถามไปโต้งๆ “ผู้ชายที่คุณแอบชอบงั้นเหรอ?”

รมิตาเบิกตากว้าง ขึ้นมองผู้ชายที่เธอชักอยากจะเรียกเขาว่า ‘อับดุล’ ให้รู้แล้วรู้รอดไป

“คุณรู้ได้ยังไง?”

‘อับดุล’ ขยายความให้อีกฝ่ายฟัง

“เพราะส่วนใหญ่เวลาเราเล่าเรื่องที่ไม่อยากให้ผู้รับฟังรู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนใกล้ชิดหรือตัวเอง เรามักจะใช้คำว่า คนรู้จัก เพื่อนของเพื่อน อะไรทำนองนี้ ไม่ยอมระบุชื่อออกมา ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังเดาไม่ได้ว่าคนรู้จักคนนั้นเป็นใคร ส่วนกรณีคุณ ผมเพียงแค่เดาสุ่มออกมาซึ่งปฏิกิริยาที่คุณมีกลับเป็นคำตอบที่ชัดเจนให้ผม...ว่าไง ผมต่างจากเขายังไงล่ะ?”

‘เดาถูกเผงเลย แต่ให้ตายเขาต้องนึกไม่ถึงแน่ว่านี่เป็นเรื่องของอเลน’

หัวใจในอกสาวไทยเต้นโครมคราม นึกกลัวว่าอเล็กซ์จะจับได้ว่าเธอเป็นเพื่อนของอเลน หากว่าเธอเผยพิรุธออกมาเล็กๆ น้อยๆ ตากล้องสาวจึงไม่อยากจะเสวนาถึงอเลนอีก

“ฮึ! คุณนี่มันฉลาดแกมโกงชัดๆ” รมิตาแค่นเสียงใส่อีกฝ่าย หวังจะชักพาบทสนทนาให้เบี่ยงไปยังเรื่องอื่น จะทะเลาะกันให้เธอหน้าเขียวหน้าเหลืองก็ได้ ถ้าผลของมันคืออเล็กซ์ยังคงไม่รู้เรื่องอเลนต่อไป

“ขอบคุณที่ชม...ผู้ชายคนนั้นเป็นยังไงเหรอ?” ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณตามคำพูด แต่รมิตายิ่งกว่ารู้ดีว่าเขากำลังกวนประสาทเธออยู่ และยังคงกัดประเด็นเดิมไม่ปล่อย

หญิงสาวถอนหายใจออกมา รู้ว่าอเล็กซ์คงไม่ปล่อยผ่านจนกว่าจะได้รู้ เธอปลุกปลอบใจตัวเองว่า แค่เล่าให้ฟังอย่างไม่ลงลึกในรายละเอียด อเล็กซ์คงไม่มีเบาะแสอะไรให้ปะติดปะต่อได้หรอก ตัดสินใจได้แล้วก็เลยเล่าไปตามจริงว่า

“เขาแทบจะไม่ปฏิเสธผู้หญิงที่เข้ามาหาเลย แต่ก็คบใครไม่รอดเสียที บางทีคบกันได้หนึ่งอาทิตย์เขาก็เลิกแล้ว”

“ถ้าไม่ค่อยปฏิเสธคนที่เข้ามาหา แล้วทำไมคุณไม่บอกรักเขาไปล่ะ?” อันที่จริงแล้ว อเล็กซ์จะไม่ค่อยสนใจเรื่องราวของคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติหรือเพื่อนสนิทเลย แต่เขากลับอยากรู้เรื่องของรมิตา...มากขึ้นทุกวัน ตั้งแต่รูปที่เธอถ่ายไว้ เรื่องราวที่เธอเขียนขึ้น และอดีตที่ผ่านมาของเธอ

“เพราะฉันรู้ดีว่าถ้าฉันสารภาพรักไป เขาจะตอบรับฉัน แต่เราจะลงเอยด้วยการเลิกรากันอยู่ดี เพราะรู้ดีข้อเสียของกันและกันอย่างทะลุปรุโปร่ง และฉันทราบดีไปอีกขั้นว่าเขาจะไม่ปรับปรุงนิสัยบางอย่างให้ดีขึ้น ทั้งนี้เพราะฉันไม่ใช่คนที่ตรงใจเขาตั้งแต่แรก แต่คบเพราะสงสาร ดังนั้นหากเราต้องเลิกกัน เขาน่ะกลับไปเป็นเพื่อนฉันได้ แต่ฉันคงทนเป็นเพื่อนเขาต่อไปไม่ได้แน่ๆ และนั่นก็คือสิ่งที่ฉันไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมากที่สุด...ว่าแม้แต่ในฐานะเพื่อนของเขา ฉันก็เป็นไม่ได้”

น่าแปลกที่การเล่าเรื่องในอดีตไม่เจ็บปวดมากอย่างที่เคยเป็น แม้ว่าจะยังมีความโศกเศร้าเสียใจลอยอวลอยู่จางๆ แต่มันไม่มากพอจะทำให้เธอหลั่งน้ำตาได้แล้ว

แววตาใสนั้นปรากฏความปวดร้าวขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นเวลาแค่สั้นๆ ชั่วพริบตา แต่ก็ทำให้อเล็กซ์พลอยรู้สึกเศร้าไปด้วย

“ทำไมคุณไม่ลองคบกับเขาดูก่อนล่ะ มันอาจไม่เป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้นะ”

รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเยาะหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรมิตา เธอว่า

“เพราะฉันขี้ขลาดเกินไป ฉันเหมือนเต่าตัวหนึ่ง หลบอยู่ในกระดองเพราะคิดว่ามันปลอดภัยมากกว่าที่จะเสี่ยงยืดหัวและขาออกไป”

“ผมว่าหากคุณเจอใครที่ชอบคราวหน้าก็บอกเขาไปดีกว่า การมานั่งเสียใจทีหลังน่ะครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว” ประโยคนี้ไม่ได้บอกให้รมิตาฟังคนเดียว แต่เป็นบอกให้ตัวเขาเองฟังด้วย อเล็กซ์คิดว่าหากเขาเจอความรักครั้งใหม่ เขาจะบอกให้ผู้หญิงที่เขารักรู้โดยเร็วที่สุดว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอ...จะไม่เก็บงำความรู้สึกตัวเองจนกระทั่งมันสายเกินไป

หญิงสาวย่นจมูกให้

“ทีงี้ละมาสอนฉัน คุณเองก็อกหักมาเหมือนกันนี่ คนอกหักอย่ามาสอนคนอกหักหน่อยเลยน่ะ”

“คนอกหัก?” ชายหนุ่มทวนคำอย่างสงสัย

เพราะรมิตาไม่ได้ถามเขาว่า ‘อกหักมาใช่ไหม?’ แต่ใช้คำว่า ‘อกหักมาเหมือนกัน’ ซึ่งมันทำให้อเล็กซ์งุนงง เพราะเขาแทบไม่ได้บอกข้อมูลส่วนตัวอะไรให้เธอฟังเลย

รมิตารีบด้นสดในทันใดเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอหลุดไปอีกแล้ว

“ก็ตอนที่คุณนั่งตากฝนอยู่น่ะ แค่ฉันมองก็รู้แล้วว่าคุณอกหักมา สีหน้านิ่งเป็นปลาตายแบบนั้นมีแค่ปัญหาเรื่องความรักเท่านั้นแหละ”
อเล็กซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง กึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อคำพูดของหญิงสาว เขานิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะเปิดปากขึ้น

“มันซับซ้อนกว่าคำว่าอกหัก...” ชายหนุ่มเว้นวรรคไปเหมือนลังเลใจอยู่

“ผมกับน้องชายเจอผู้หญิงคนหนึ่งในงานเดบูตองส์ แน่นอนว่าเราทั้งสองต่างชอบเธอ แต่เธอคนนั้นเลือกที่จะออกเดตกับผมหลังจากพบหน้ากันครั้งแรก ความสัมพันธ์เราพัฒนาขึ้นตามลำดับ ผมมีธุระต้องไปต่างประเทศสองสัปดาห์ ตั้งใจว่ากลับมาแล้วจะขอเธอคบเป็นแฟน แต่จู่ๆ เธอกลับตอบตกลงแต่งงานกับน้องชายผม...มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ถูกทรยศจากคนสองคน คนหนึ่งคือน้องชายผมเอง อีกคนคือผู้หญิงที่ผมตั้งใจจะคบหาด้วย และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นความเจ็บใจตัวเองที่ทำพลาดไปในหลายๆ เรื่องแล้วก็เหนื่อย...”

อเล็กซ์แปลกใจที่ตัวเองยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้รมิตาฟัง แต่เขาก็ละบางเรื่องสำคัญไว้ไม่เล่าออกไป เพราะดีชั่วอย่างไร น้องชายก็ยังเป็นน้องชายของเขาอยู่วันยันค่ำ เรื่องชั่วๆ ที่น้องตัวเองทำ ยังไงก็ไม่ควรเล่าให้คนนอกฟังอยู่ดี

คิ้วเรียวขมวดหากันแน่น หญิงสาวทบทวนความทรงจำอย่างหนัก เรื่องที่อเล็กซ์เล่ามาแตกต่างจากเรื่องที่อเลนเล่ามาลิบลับ อเลนเล่าว่าเขากับพี่ชายรักผู้หญิงคนเดียวกัน ซึ่งเธอคนนั้นก็เลือกแต่งงานกับอเลน พี่ชายเขาทำใจไม่ได้ มีอาการซึมเศร้า แล้วในวันแต่งงานอเล็กซ์ได้เข้าไปคุยกับน้องสะใภ้แล้วถูกย้ำว่าเลือกอเลนเข้าให้ อเล็กซ์เสียใจมากจึงหนีมาที่บาร์เซโลนาโดยไม่บอกไม่กล่าว คนในครอบครัวเป็นห่วงกันมาก แต่ไม่กล้าตามมา เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นตัวกระตุ้นให้อเล็กซ์ประชดด้วยการคิดสั้น หากได้เห็นหน้าน้องชายฝาแฝดซึ่งได้คนที่เขารักไปครอบครอง หรือหน้ามารดากับบิดาที่อนุญาตให้งานแต่งงานนี้เกิดขึ้น อเลนเลยต้องมาไหว้วานเธอที่เผอิญอยู่บาร์เซโลนาพอดีในตอนนั้นให้ไปดูอเล็กซ์ให้หน่อย

‘เรื่องเดียวกัน แต่ทำไมเหมือนหนังคนละม้วนแบบนี้นะ’

มองแววตาของคนข้างตัวแล้วรมิตาไม่คิดว่า อเล็กซ์จะแต่งเรื่องโกหกเธอ แต่อเลนก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะโกหกเธอเหมือนกัน มันต้องมีจุดไหนผิดพลาดจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นระหว่างพี่น้องแน่ๆ

“แล้วคุณรักเธอหรือเปล่า?” รมิตาไม่รู้ตัวเองว่าทำไมคำถามนี้ถึงหลุดมาเป็นคำถามแรกไปได้ หนำซ้ำยังจับจ้องชายหนุ่มอย่างไม่ยอมพลาดทุกกิริยาที่เขาแสดงออกมา

อเล็กซ์ครุ่นคิดถึงความต้องการของหัวใจ หาคำตอบให้กับรมิตาและตัวเอง แล้วพลันถอนหายใจออกมา

“รัก? บางทีผมก็เคยถามตัวเองนะว่า ผมรักผู้หญิงคนนี้ไหม? คุณรู้ไหมว่าผมได้คำตอบยังไงให้ตัวเอง”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง”

“นั่นสินะ คุณจะรู้ได้ยังไง อืม ผมชอบเธอ...แต่มันไม่มากพอจะใช้คำว่ารัก เพราะถ้าผมรักเธอ ผมไม่มีทางปล่อยให้เธอเดินเข้าสู่พิธีวิวาห์โดยที่เจ้าบ่าวไม่ใช่ผม”

คำตอบของเขาทำให้รมิตาเกิดความยินดีแปลกๆ ขึ้นมาซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าจะดีใจไปทำไม แต่แล้วก็งุนงงซ้ำอีกครั้ง

‘ไม่ได้รัก...โอเค งั้นก็ไม่น่าจะอยากฆ่าตัวตายสิ แปลว่าอเลนเข้าใจผิดสินะ’ หญิงสาวคิดทบทวนอย่างเคร่งเครียด

“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้ว” ปลายนิ้วชี้จิ้มใส่หัวคิ้วที่ผูกกันจนเหมือนโบของฝ่ายหญิง

“ไม่ได้เครียดเสียหน่อย” รมิตาเบนหน้าหนีมือซุกซนที่เปลี่ยนจากจิ้มระหว่างคิ้วเป็นไต่มาตามสันจมูกแล้วบีบปลายเล่นตามใจชอบ และถึงแม้ว่าเธอจะหนี แต่มือหนาก็ตามไปรังควาญด้วยการหยิกแก้มเธออย่างมันเขี้ยว

“งั้นก็ท้องผูก” อเล็กซ์แซวเล่นทั้งที่เขาไม่ค่อยมีอารมณ์เย้าแหย่ใครเสียหน่อย

“ไม่ใช่ย่ะ นี่หยุดเล่นหน้าฉันได้แล้วนะ” เธอเสียงแข็งขึ้นเพราะเริ่มมีน้ำโห และจับข้อมือของเขาไว้ไม่ให้มากลั่นแกล้งรังแกเธอได้อีก

“ไม่เล่นก็ได้...” น้ำเสียงต่ำพร่า นัยน์ตาของชายหนุ่มเป็นประกายแวววาวขณะที่มองหญิงสาว รมิตารู้สึกเหมือนตกหลุมพรางไปแล้วครึ่งตัว...ตอนนั้นเองก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหยุดที่โต๊ะทั้งคู่

“เอ่อ ขอโทษครับ คุณผู้หญิงโต๊ะนั้นส่งมาให้ครับ” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็ยื่นกระดาษที่พับครึ่งไว้มาให้อเล็กซ์ พอหันไปมองตามที่เด็กหนุ่มชี้ ก็เห็นผู้หญิงสาวสวยในชุดกระโปรงบานฟูฟ่องส่งยิ้มให้เขา

รมิตาได้ทีรีบเปลี่ยนเรื่อง เธอเหลือกตาขึ้นเพดานอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วว่า

“ใครเป็นแฟนคุณนี่ต้องลำบากมากแน่ๆ ต้องคอยกันผู้หญิงที่คอยส่งสายตาหรือถึงเนื้อถึงตัวคุณ”

อเล็กซ์ให้ข้อดี “แต่เธอจะโชคดีที่ได้ผู้ชายที่จะซื่อสัตย์กับเธอตลอดช่วงเวลาที่คบหากันนะ”

“ดีแต่พูดมากกว่า” รมิตาเบะปากออกเป็นเชิงดูถูกเขาเต็มเปา

“งั้นลองมาเป็นแฟนผมไหม คุณจะได้รู้ว่าผมไม่ได้ดีแต่พูด”

คำชวนของอเล็กซ์เป็นผลให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามตาค้าง อ้าปากหวอ

*************************************************

เนื่องจากว่าเป็นหนังสือทำมือ ^^"
จึงต้องทิ้งท้ายไว้แค่นี้

หากใครต้องการหนังสือราคีกุหลาบ ส่งข้อความหาฟ้าหลังไมค์ได้เลยจ้า

ฉบับอีบุ๊ก ดาวน์โหลดที่นี่ได้ค่า

http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=10807

ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การติดตามและสนับสนุนนะค้า
.....
ปล. คาดเดาว่า เรื่องใหม่เรื่องต่อไปคือ เรื่อง เงาดอกเหมย
กล่าวถึงหญิงสาวที่จับผลัดจับผลูข้ามเวลาไปราชวงศ์ถังโดยไม่ได้ตั้งใจ
ขอโม้ว่า สนุกมาก แนวฟ้าด้วย หุหุ

แล้วเจอกันค่ะ





ท้องฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.พ. 2557, 04:17:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.พ. 2557, 04:17:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1315





<< กัด   
ree 28 ก.พ. 2557, 19:45:34 น.
ลิงค์ที่ให้มาเข้ามะได้นะเออ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account