^การเดินทางของความฝัน^
เรื่องราวบนเส้นทางแห่งความฝันของบรรดานักศึกษาแพทย์ บนทางเดินที่ไม่ได้โรยด้วยตำราหรือกลีบกุหลาบ แต่มีพร้อมทั้งอารมณ์ ความสับสน และอ่อนไหว
...เพราะชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย...
ญาตาวี...เด็กสาวผู้มีญาณพิเศษในการมองเห็นดวงวิญญาณ กับชีวิตวุ่น ๆ ในรั้วโรงเรียนแพทย์ที่มีวิญญาณหลงทางอยู่เคียงข้าง
ชลกานต์...เด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิตเสียจนน่าอิจฉา กับเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มและหัวใจที่มั่นคงราวจะไม่ไหวคลอน
ชนิสรา...เด็กสาวเจ้าของดวงตาคมวาวแห่งความมั่นคงและทระนง กับหัวใจอันอ่อนไหวที่ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกับความเชื่อมั่น
เรื่องราวของพวกเธอทั้งสาม และเพื่อน ๆ บนถนนสายความฝัน
เมื่อชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด
เมื่อความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
เมื่อการเดินทางครั้งนี้...ไม่มีเส้นทางลัด
มีแค่เพียงสองขา สองมือ และหนึ่งหัวใจเท่านั้นที่จะพาพวกเธอผ่านไป
...เพราะชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย...
ญาตาวี...เด็กสาวผู้มีญาณพิเศษในการมองเห็นดวงวิญญาณ กับชีวิตวุ่น ๆ ในรั้วโรงเรียนแพทย์ที่มีวิญญาณหลงทางอยู่เคียงข้าง
ชลกานต์...เด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิตเสียจนน่าอิจฉา กับเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มและหัวใจที่มั่นคงราวจะไม่ไหวคลอน
ชนิสรา...เด็กสาวเจ้าของดวงตาคมวาวแห่งความมั่นคงและทระนง กับหัวใจอันอ่อนไหวที่ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกับความเชื่อมั่น
เรื่องราวของพวกเธอทั้งสาม และเพื่อน ๆ บนถนนสายความฝัน
เมื่อชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด
เมื่อความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
เมื่อการเดินทางครั้งนี้...ไม่มีเส้นทางลัด
มีแค่เพียงสองขา สองมือ และหนึ่งหัวใจเท่านั้นที่จะพาพวกเธอผ่านไป
Tags: นักศึกษาแพทย์ ความฝัน ญาตาวี ชลกานต์ ชนิสรา
ตอน: Chapter 5 '...โอย...หัวจะบวมแล้ว!!!'
บทที่ 5
…Life is so fragile, that’s the reason to try to safe them…
ชีวิตบนหอผู้ป่วยกุมารเวชไม่ได้แย่อย่างที่คิด แม้จะไม่ได้สดชื่นเท่าวิชาเวชศาสตร์ชุมชนและจิตเวช เพราะการก้าวเข้าใกล้ภาระของชีวิต ทำให้บรรดานักศึกษาแพทย์ได้เรียนรู้ความเปราะบางของมนุษย์ และความสำคัญของการดูแลชีวิตมากขึ้น
“สไลด์นี้พี่ฝากให้ไปหาโดสยา ส่งวันพฤหัสแล้วกันนะ” อาจารย์สาวเอ่ยทิ้งท้าย หลังการสอนเรื่องการใช้ยาในเด็กเพิ่งจบลง
บรรดานักศึกษาแพทย์เบิกตากว้าง มองชื่อยาที่เรียนรายอยู่บนหน้าจอ ก่อนจะร้องอืออาเบา ๆ เรียกรอยยิ้มบาง ๆ จากคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง
“อะไร…น้อยไปหรือ”
“อ่า…ไม่ครับ ไม่ ๆ” หลายคนรีบบอก
“โอเค…เดี๋ยวพี่ทิ้งสไลด์ไว้ให้ ใครอยากได้จะมาเซฟไปก็ได้นะ” เธอบอกก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
เพียงลับร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกาวน์แขนยาวสีขาวสะอาดบอกความเป็นอาจารย์แพทย์ บรรดาทโมนในชุดกาว์นยาวแขนสั้นก็รีบยกโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายภาพสไลด์ชื่อยาที่อาจารย์มอบหมายเป็นการบ้าน บางคนก็รีบวิ่งไปจองคอมพิวเตอร์ ใส่ดิสก์เข้าไปเซฟข้อมูล
ชลกานต์ถอนใจยาว ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ก่อนจะบิดตัวบิดขี้เกียจไปมา “โอย…ขี้เกียจขึ้นวอร์ดแล้วน่ะ”
“ขี้เกียจเหมือนกัน” ชนิสราฟุบหน้าลงไปนอนข้าง ๆ ตะแคงมองเพื่อนตาปรือ
“อาจารย์จะมาหรือยังนะ” ญาตาวีมองนาฬิกา จำได้ว่าอาจารย์ประจำวอร์ดแจ้งว่าจะขึ้นมาราว์นด้วยช่วงบ่าย ๆ
“ปล่อยอาจารย์ก่อนเถอะ ขออู้ก่อนได้ไหม” ชลกานต์เริ่มงอแง
“นั่นสิ...ขออู้สักสิบนาทีนะ” กิตติพัฒน์รีบบอก
“สิบห้าเลยได้ไหม โอย…วอร์ดนี้มันเหมือนโดนดูดพลังไปหมดเลย”
แล้วบรรดานักศึกษาจอมอู้ก็พร้อมใจกันหลับตานอนนิ่งฟุบกับพื้นโต๊ะ ญาตาวีมองแล้วถอนใจเบา ๆ ฟุบตัวลงนอนด้วยอีกคน
“อาจารย์มาแล้วนะหนูวี...” เสียงกระซิบเบา ๆ ข้างหูทำให้ญาตาวีสะดุ้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เราว่า...ไปกันเถอะ”
“อีกนิดนะวี...ตัวขี้เกียจยังเกาะอยู่เลย”
“หลังยาวน่าชล ไม่เอา...ลุกๆ” หญิงสาวดึงเพื่อนรักให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนกระซิบเบา ๆ “อาจารย์ขึ้นไปที่วอร์ดแล้วนะ”
“จริงดิ”
“อือ คุณเจ้าที่แอบมากระซิบบอก” ญาตาวีบอก “รีบไปเร็ว”
“โอย…ไปก็ไป” ชลกานต์หันไปดึงแขนเพื่อนที่ฟุบหลับเป็นตายกันถ้วนหน้า “เฮ้ย…ไปเร็ว ๆ ๆ รีบราว์น รีบโปรเกรส รีบกลับ”
“โหย…ก็เห็นบอกอย่างนี้ทุกที แล้วไง กว่าจะลงก็ปาไปทุ่มกว่า” ภาวิศอดบ่นไม่ได้ “วอร์ดเด็กนี่มันละเอียดทุกอย่างจริง ๆ ”
“แหงสิ...ก็เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ย่อส่วนนี่” ชนิสราถอนใจเบา ๆ อดจะล้อเลียนประโยคเด็ดที่บรรดาอาจารย์ประจำภาคมักพูดกันเมื่อเอ่ยถึงเรื่องการดูแลผู้ป่วยเด็กไม่ได้
…เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ย่อส่วน...
เมื่อปลุกทุกคนให้ลุกได้แล้ว บรรดานักศึกษาแพทย์หอผู้ป่วยเด็กเล็กก็พากันเดินกลับวอร์ดด้วยท่าทางอ่อนแรง
อาจารย์หนุ่มรุ่นพี่ยืนรออยู่แล้วกับเรสสิเดนท์สาวสองคน และรุ่นพี่ปีหกที่เตรียมแฟ้มประวัติผู้ป่วยใส่รถเข็นไว้พร้อมสำหรับการราว์นวอร์ดรอบที่ 3 ของวัน
บรรดานักศึกษาแพทย์ยกมือไหว้อาจารย์ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ก่อนจะรีบประจำที่พร้อมราว์นวอร์ด
“พี่ราว์นใกล้เสร็จแล้ว วันนี้ยกยอดไปก่อนละกัน” อาจารย์หนุ่มร่างสูงบอก บรรดาเด็ก ๆ ลอบสบตากันคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างยินดี
แล้วรอยยิ้มของบางคนก็หุบลง “แต่เมื่อวานพี่ให้การบ้านใครไว้บ้างนะ เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”
กวินทร์กับภมราอมยิ้มยักคิ้วให้รุ่นน้องที่ทำหน้าเจื่อน โบกมือให้กำลังใจเด็ก ๆ ที่เดินคอตกตามอาจารย์เข้าไปในห้องประชุม
“เอ้า...ใครจะเริ่มก่อน”
“หนูก็ได้ค่ะ...เรื่องยูทีไอ” ชลกานต์ยกมือบอก ก่อนจะดึงเอากระดาษโพยที่ปนกันอยู่ในกระเป๋าเสื้อกาว์นออกมา เลือกดูจนได้แผ่นที่จดบันทึกไว้แล้วจึงเริ่มอธิบาย “Urinary tract infection(การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ) ในเด็กส่วนใหญ่มักจะมาพรีเซนท์ด้วยไข้ บางรายอาจมีร้องกวนเวลาปัสสาวะ แต่หลัก ๆ จะไดแอก(diagnosis : วินิจฉัยโรค)จากแลป(Laboratory)มากกว่า...”
ชลกานต์อธิบายเรื่องการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นอาจารย์ก็ซัก พร้อมยิงคำถามให้บรรดานักศึกษาได้เสียวสันหลังเล่นกันเป็นระยะ ๆ กว่าจะจบเรื่องก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง
“เอ้า วันนี้พอเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้พี่ค่อยมาทวงต่อ”
“พรุ่งนี้ไม่ราว์นเหรอฮะอาจารย์” ภัธเวศทำตาใสถาม
“ราว์นสิ พรุ่งนี้พี่ว่างเช้า มาราว์นสักเก้าโมง เสร็จบ่ายค่อยมาส่งการบ้านก็ได้ ไม่มีเรียนอะไรใช่ไหม”
เด็ก ๆ ได้แต่มองหน้ากันตาปริบ ๆ ขณะที่อาจารย์หนุ่มแอบอมยิ้มอย่างรู้ทัน “อ้อ…แล้วใครยังไม่ได้ส่งรายงานพี่บ้าง ถ้าไม่มีเคสก็บอกพี่เดนท์ให้พี่เขาแนะให้นะ”
“ผมได้เคสแล้ว กำลังปั่น เอ้ย...กำลังเขียนอยู่ครับ” พิเชษฐ์รีบบอกอย่างรู้ตัว เขาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยังไม่ได้ส่งรายงานการรักษาผู้ป่วยแม้แต่ฉบับเดียว
“รีบเขียนรีบส่งนะ อย่าให้เลยเวลา เห็นช่องให้คะแนนใช่ไหม”
“ครับ”
“โอเค…มีใครมีอะไรอยากจะคุยกับพี่ไหม อยู่วอร์ดแล้วเป็นยังไง ไม่สุขสบายใจอะไรก็บอกนะ”
ชนิสราคลี่ยิ้มบาง ๆ “ไม่ถึงกับแย่ แต่ยังอยู่ในช่วงปรับตัวมากกว่าค่ะอาจารย์”
“อืม…วอร์ดเด็กจะละเอียดนิดหนึ่ง แต่พี่ก็อยากให้น้อง ๆ ฝึกไว้ มีอะไรไม่สบายใจก็บอกได้นะ”
“ขอบคุณครับ”
ทุกคนไหว้ลาอาจารย์ ปล่อยให้ร่างสูงเดินออกไปจากห้องประชุม แล้วนักศึกษาแพทย์ทั้งแปดก็มองหน้ากัน ก่อนจะเอนตัวอยู่บนเก้าอี้
“โอย…หัวจะบวมแล้ว ราว์นเช้าสามชั่วโมง เลกเชอร์ต่อชั่วโมงครึ่ง แถมมาเรียนต่ออีกเกือบชั่วโมง ไม่ไหวแล้ว” ปานตะวันโอดครวญเบา ๆ
“ง่วงนอนอีกแล้ว”
แล้วประตูห้องประชุมก็เปิดออกอีกครั้ง อาจารย์ประจำวอร์ดชะโงกหน้าเข้ามา “เอ้า...เลิกอู้แล้วออกมาช่วยพี่เขาได้แล้ว”
“ว้าย…ไม่ได้อู้ค่ะอาจารย์” ชลกานต์รีบบอก “พวกหนูแค่พักสายตา”
เสียงหัวเราะดังไปทั้งห้อง แว่วได้ยินเสียงจากอาจารย์ที่เพิ่งปิดประตูห้องไปอีกครั้ง เด็ก ๆ รีบกระโดดไปเปิดประตูวิ่งออกจากห้องประชุมไปตามหารุ่นพี่เรสิเดนท์และเอ็กซ์เทิร์นประจำสายของตน
เย็นนั้นเลิกเร็วกว่าปกติ เพราะไม่มีเคสผู้ป่วยใหม่เข้ามาในสาย และงานวอร์ดก็ถูกจัดการเรียนร้อยโดยภมราและกวินทร์ตั้งแต่ที่อาจารย์ชวนเด็ก ๆ เข้าไปนั่งเรียน เมื่องานวอร์ดเรียบร้อยก็เหลือแค่นั่งเขียนบันทึกการดูแลผู้ป่วยประจำวัน(Progress note) เมื่อเรียบร้อยดีแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันเดินทางกลับ เหลือแต่ญาตาวีที่นั่งหน้างออยู่ลำพังด้วยความรู้สึกขาดทุนอย่างไรชอบกล
“โอย…ทำไมต้องเลิกเร็วในวันที่อยู่เวรด้วยนะ”
“น่า…วี สู้ ๆ นะ” ชลกานต์บอกพร้อมโบกมือลา
ญาตาวีหยิบกระดาษเขียนรายงานสีเหลืองขึ้นมานั่งเขียนรายงานประวัติผู้ป่วย ตำราเล่มสีแดงเล่มหนาเปิดค้างไว้บนโต๊ะสำหรับประกอบการอภิปรายการวินิจฉัยโรค ยังไม่ทันได้ครบหน้า ประตูห้องประชุมก็ถูกเลื่อนออก ญาตาวีเงยหน้ามองชายหนุ่มในชุดเสื้อกาว์นสั้นที่เดินเข้ามาใหม่
“อ้าว…วันนี้เวรน้องวีเหรอ”
“ค่ะ พี่กอล์ฟก็เวรเหรอคะ”
“ใช่ ๆ กินข้าวหรือยังล่ะ” กวินทร์พยักหน้ารับ “เขียนรายงานเหรอ เรื่องอะไรน่ะ”
“ฮีโมไลติกไครซิส(Hemolytic crisis)ค่ะ” เธอหมายถึงภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงแตกเป็นปริมาณมาก
กวินทร์เลิกคิ้วมอง นึกถึงผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งอยู่ในสายที่เขาร่วมดูแลเช่นกัน “อ่อ…จีซิกพีดี(G6PD : ภาวะที่ขาดเอนไซม์ชนิดหนึ่งทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย)ใช่ไหม”
“ค่ะ…ดูน่าสนใจดี”
“ใช่ ๆ แล้ววีดูสไลด์บลัดเสมียร์(Blood smear : สไลด์ตรวจนับปริมาณและรูปร่างเม็ดเลือด)แล้วใช่ไหม”
“ค่ะ วีถ่ายรูปไว้ด้วย” เธอเปิดภาพในโทรศัพท์ส่งให้ชายหนุ่ม
กวินทร์รับมาดูก่อนบอก “อืม…ชัดมาก ไบท์เซลล์(bite cell : เม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะแหว่ง)จ๋าเลย ส่งให้พี่บ้างสิ ไว้จะเอาไปให้เด็กๆดู”
“ได้ค่ะ พี่กอล์ฟจะให้ส่งทางไหนดี”
“ไลน์ได้ไหม เดี๋ยวพี่เปิดคิวอาร์แปป” เขาส่งโทรศัพท์คืนให้ญาตาวี ก่อนหยิบโทรศัพท์ตนขึ้นมาเปิดโปรแกรมสนทนา ส่งโค้ดให้หญิงสาวเพิ่มเป็นเพื่อน
ญาตาวีกดส่งภาพสไลด์เลือดให้ชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะส่งสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนตอบกลับมา “ขอบใจนะ”
“ค่ะ…”
“เออ เดี๋ยวจะมีคาวาซากิมานะ”
“อะไรนะคะ” ญาตาวีทำตาโต
กวินทร์หัวเราะ “คาวาซากิ รีบหาอ่านดูนะ เดี๋ยวพี่เดนท์สามคงมาสอนเรื่องนี้ล่ะ”
ประตูห้องประชุมเปิดออกอีกครั้ง รุ่นพี่เรสสิเดนท์หนึ่งที่อยู่เวรเดินเข้ามา “น้องอยู่เวรใช่ไหม เดี๋ยวพี่ฝากปั่นยูรีน(Urine : ปัสสาวะ)เตียง 5 ย้อมแกรม(gram stain : การย้อมสีเพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย)หน่อยนะ”
“ได้ค่ะ” ญาตาวีบอก
“น้องเอ็กซ์(extern) ฝากช่วยดูน้องด้วยนะ แล้วถ้าคาวาซากิมาตามพี่ด้วย เดี๋ยวไปไปดูไอซียูก่อน”
“ครับ” กวินทร์รับคำ
ญาตาวีจึงไม่ทันได้เปิดอากู๋ ถามหาโรคคาวาซากิ กวินทร์หัวเราในคอ เดินนำหญิงสาวไปหยิบกระปุกใส่ปัสสาวะจากเคาท์เตอร์พยาบาล เดินถือไปที่ห้องปฏิบัติการเล็ก ๆ ใกล้ทางเข้าหอผู้ป่วย
“วีทำได้ใช่ไหม”
“ค่ะ…”
“หมอ…พี่ฝากดูเตียงสามหน่อยสิ แม่บอกว่าน้องถ่ายเหลว” พี่พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาบอก กวินทร์มองหน้าญาตาวี หญิงสาวพยักหน้าให้เล็กน้อยเขาจึงเดินออกไปดูคนไข้
ญาตาวีแบ่งปัสสาวะในกระปุกใส่หลอดพลาสติกรูปกระสวย และใส่น้ำปริมาณเท่ากันในหลอดอีกใบหนึ่ง วางถ่วงน้ำหนักกันคนละข้างของเครื่องปั่น ปิดฝาเครื่อง ตั้งเวลาปั่นจนเครื่องหยุดจึงเปิดออก ดูดเอาเฉพาะตะกอนปัสสาวะที่อยู่ด้านล่างมาป้ายลงบนสไลด์แก้ว พัดโบกรอจนแห้งดีจึงเริ่มกรรมวิธีย้อมสี
ปกติแล้วบรรดานักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สี่และห้าจะลงเวรกันช่วงห้าทุ่ม มีเพียงเอ็กซ์เทิร์นซึ่งถือเป็นว่าที่แพทย์และบรรดาแพทย์ประจำบ้านเท่านั้นที่จะต้องอยู่เวรข้ามคืน และลากสังขารมาทำงานต่อในเช้าอีกวัน
เรสสิเดนท์สามที่เป็นชีฟเวรวันนี้ค่อนข้างใจดี เธอเรียกบรรดานักศึกษาแพทย์ทั้งปีสี่และปีห้าที่เข้าเวรมาสอนตั้งแต่สามทุ่มครึ่ง เสร็จเรียบร้อยก็เกือบห้าทุ่ม แล้วปล่อยเด็ก ๆ ให้ลงไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ญาตาวีจึงได้เดินกลับหอพร้อมเพื่อนที่เข้าเวรในแผนกเดียวกัน
เพราะเป็นวันเข้าเวร หญิงสาวจึงเลือกพักที่หอพักแทนการกลับบ้าน ญาตาวีเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพักขนาดสี่เตียง ซึ่งเชื่อมกับห้องข้าง ๆ ด้วยระเบียงทางเดินและห้องน้ำ กลายเป็นห้องขนาดแปดคนอาศัยอยู่ติดกัน
เสียงห้องข้าง ๆ ดังเจี๊ยวจ๊าว ขณะที่ห้องของเธอมีเพียงนิลปัทม์นั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ
“อ้าว…วี วันนี้เข้าเวรเหรอ”
“อื้ม…บัวอยู่วอร์ดอะไรน่ะ”
“สูติจ้ะ วีล่ะ”
“เด็ก…”
นิลปัทม์หัวเราะคิก “เป็นไง สนุกไหม...”
ญาตาวีกระพริบตาปริบ ๆ “ก็เรื่อย ๆ หลักๆก็ทำพวกทำแลป ส่องกล้อง” ดูเหมือนจะเป็นที่รู้กันเสียแล้ว งานหลักประจำเวรของบรรดานักศึกษาแพทย์ก็คงหนีไม่พ้นการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ปั่นปัสสาวะ ย้อมสไลด์เลือด ตามตรวจร่างกายรับผู้ป่วย และจบด้วยการเรียนการสอน
“จริง ๆ ก็สนุกดีนะ”
“อืม…ก็เป็นไม่กี่อย่างที่พวกเราพอจะทำได้นี่นะ” นิลปัทม์ยิ้ม
ญาตาวีมองเตียงอีกสองหลังที่ยังว่างอยู่ เป็นของชลกานต์และกวิตตรา
“วันนี้วีมาก็ดี ปล่อยเรานอนเหงากับเก๋สองคนมาตั้งนานแน่ะ” นิลปัทย์บอกเมื่อเห็นเพื่อนมองไปที่เตียง “ชลกับวีน่ะไม่ยอมมานอนหอบ้างเลย”
“ก็มาแล้วนี่ไง”
“เฉพาะเวลาเวรน่ะสิ ปล่อยเราเหงานะ”
“แหม…คอนโดเราอยู่ใกล้ ขอกลับไปนอนบ้านดีกว่า” ญาตาวีหัวเราะ ความจริงเธอออกจะติดบ้านมากกว่าคนทั่วไปอยู่ไม่น้อย หญิงสาวไม่ชอบย้ายที่นอน ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ถ้าไม่ลำบากเกินไปนักเธอก็ยังพยายามจะกลับบ้านทุกวัน
“เก๋เข้าเวรเหรอ” เธอถามถึงกวิตตรา เพื่อนร่วมห้องอีกคน รู้ดีว่าชลกานต์เองก็เป็นพวกติดบ้านไม่แพ้เธอ
“เปล่า ออกไปกินข้าวกับน้องน่ะ เออ…เดี๋ยวเก๋อาจพาน้องสาวกลับมานอนด้วย วีไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
ญาตาวีเลิกคิ้ว “อ่อ…ได้ ๆ”
หญิงสาวอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง หน้าจอโทรศัพท์มีข้อความจากมารดาส่งมาราตรีสวัสดิ์ให้เธอคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะกดโทรศัพท์หาหมายเลขที่คุ้นเคย
-----
วีจะ...โทรหาใครนะ???
คุณใบบัวน่ารัก : แหม...นั่นสิคะ
คุณคิมหันตุ์ : 555 คุณโฬมเธอสม่ำเสมอค่ะ
คุณ konhin : แหม...มีแต่คนเชียร์ให้วีใจอ่อน
คุณ goldensun : ไอซ์อ่านตอนเหนื่อย ๆ ยังแอบอิจฉายายวีเลยค่ะ
คุณ เพาพะงา : คิดถึงเช่นกันค่ะ
-----
และเช่นเคย
ปล.1 เรื่องนี้อาจมีศัพท์แสงประหลาด เฉพาะทางเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อความสมจริงในการพูดคุยของตัวละคร แต่จะพยายามาอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง หากมีส่วนไหนขัดข้อง หรือทำให้เสียอรรถรสไป รบกวนติชมจะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ปล.2 เรื่องนี้เป็น season II ฉบับต่อจาก season I(ภาคพรีคลินิค) บรรดานศพ.กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ ที่ได้สัมผัสผู้ป่วยจริง เนื้อหาจะสปอยเรื่องราวในภาคแรกที่เด็ก ๆ ยังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่(ซึ่งไอซ์ยังเขียนไม่จบ เพราะติดเรื่องแรงบันดาลใจในชีวิตนักศึกษา เลยขอมาจับชีวิตในชั้นคลินิคที่ใกล้ตัวกว่าก่อน) มีปมบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ไอซ์พยายามเขียนโดยค่อย ๆ เผยปมและเนื้อเรื่องเดิมให้พอเข้าใจได้ หากติดขัดประการใดแจ้งได้นะคะ
คิดถึงทุกท่านค่ะ
…Life is so fragile, that’s the reason to try to safe them…
ชีวิตบนหอผู้ป่วยกุมารเวชไม่ได้แย่อย่างที่คิด แม้จะไม่ได้สดชื่นเท่าวิชาเวชศาสตร์ชุมชนและจิตเวช เพราะการก้าวเข้าใกล้ภาระของชีวิต ทำให้บรรดานักศึกษาแพทย์ได้เรียนรู้ความเปราะบางของมนุษย์ และความสำคัญของการดูแลชีวิตมากขึ้น
“สไลด์นี้พี่ฝากให้ไปหาโดสยา ส่งวันพฤหัสแล้วกันนะ” อาจารย์สาวเอ่ยทิ้งท้าย หลังการสอนเรื่องการใช้ยาในเด็กเพิ่งจบลง
บรรดานักศึกษาแพทย์เบิกตากว้าง มองชื่อยาที่เรียนรายอยู่บนหน้าจอ ก่อนจะร้องอืออาเบา ๆ เรียกรอยยิ้มบาง ๆ จากคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง
“อะไร…น้อยไปหรือ”
“อ่า…ไม่ครับ ไม่ ๆ” หลายคนรีบบอก
“โอเค…เดี๋ยวพี่ทิ้งสไลด์ไว้ให้ ใครอยากได้จะมาเซฟไปก็ได้นะ” เธอบอกก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
เพียงลับร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกาวน์แขนยาวสีขาวสะอาดบอกความเป็นอาจารย์แพทย์ บรรดาทโมนในชุดกาว์นยาวแขนสั้นก็รีบยกโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายภาพสไลด์ชื่อยาที่อาจารย์มอบหมายเป็นการบ้าน บางคนก็รีบวิ่งไปจองคอมพิวเตอร์ ใส่ดิสก์เข้าไปเซฟข้อมูล
ชลกานต์ถอนใจยาว ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ก่อนจะบิดตัวบิดขี้เกียจไปมา “โอย…ขี้เกียจขึ้นวอร์ดแล้วน่ะ”
“ขี้เกียจเหมือนกัน” ชนิสราฟุบหน้าลงไปนอนข้าง ๆ ตะแคงมองเพื่อนตาปรือ
“อาจารย์จะมาหรือยังนะ” ญาตาวีมองนาฬิกา จำได้ว่าอาจารย์ประจำวอร์ดแจ้งว่าจะขึ้นมาราว์นด้วยช่วงบ่าย ๆ
“ปล่อยอาจารย์ก่อนเถอะ ขออู้ก่อนได้ไหม” ชลกานต์เริ่มงอแง
“นั่นสิ...ขออู้สักสิบนาทีนะ” กิตติพัฒน์รีบบอก
“สิบห้าเลยได้ไหม โอย…วอร์ดนี้มันเหมือนโดนดูดพลังไปหมดเลย”
แล้วบรรดานักศึกษาจอมอู้ก็พร้อมใจกันหลับตานอนนิ่งฟุบกับพื้นโต๊ะ ญาตาวีมองแล้วถอนใจเบา ๆ ฟุบตัวลงนอนด้วยอีกคน
“อาจารย์มาแล้วนะหนูวี...” เสียงกระซิบเบา ๆ ข้างหูทำให้ญาตาวีสะดุ้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เราว่า...ไปกันเถอะ”
“อีกนิดนะวี...ตัวขี้เกียจยังเกาะอยู่เลย”
“หลังยาวน่าชล ไม่เอา...ลุกๆ” หญิงสาวดึงเพื่อนรักให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนกระซิบเบา ๆ “อาจารย์ขึ้นไปที่วอร์ดแล้วนะ”
“จริงดิ”
“อือ คุณเจ้าที่แอบมากระซิบบอก” ญาตาวีบอก “รีบไปเร็ว”
“โอย…ไปก็ไป” ชลกานต์หันไปดึงแขนเพื่อนที่ฟุบหลับเป็นตายกันถ้วนหน้า “เฮ้ย…ไปเร็ว ๆ ๆ รีบราว์น รีบโปรเกรส รีบกลับ”
“โหย…ก็เห็นบอกอย่างนี้ทุกที แล้วไง กว่าจะลงก็ปาไปทุ่มกว่า” ภาวิศอดบ่นไม่ได้ “วอร์ดเด็กนี่มันละเอียดทุกอย่างจริง ๆ ”
“แหงสิ...ก็เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ย่อส่วนนี่” ชนิสราถอนใจเบา ๆ อดจะล้อเลียนประโยคเด็ดที่บรรดาอาจารย์ประจำภาคมักพูดกันเมื่อเอ่ยถึงเรื่องการดูแลผู้ป่วยเด็กไม่ได้
…เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ย่อส่วน...
เมื่อปลุกทุกคนให้ลุกได้แล้ว บรรดานักศึกษาแพทย์หอผู้ป่วยเด็กเล็กก็พากันเดินกลับวอร์ดด้วยท่าทางอ่อนแรง
อาจารย์หนุ่มรุ่นพี่ยืนรออยู่แล้วกับเรสสิเดนท์สาวสองคน และรุ่นพี่ปีหกที่เตรียมแฟ้มประวัติผู้ป่วยใส่รถเข็นไว้พร้อมสำหรับการราว์นวอร์ดรอบที่ 3 ของวัน
บรรดานักศึกษาแพทย์ยกมือไหว้อาจารย์ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ก่อนจะรีบประจำที่พร้อมราว์นวอร์ด
“พี่ราว์นใกล้เสร็จแล้ว วันนี้ยกยอดไปก่อนละกัน” อาจารย์หนุ่มร่างสูงบอก บรรดาเด็ก ๆ ลอบสบตากันคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างยินดี
แล้วรอยยิ้มของบางคนก็หุบลง “แต่เมื่อวานพี่ให้การบ้านใครไว้บ้างนะ เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”
กวินทร์กับภมราอมยิ้มยักคิ้วให้รุ่นน้องที่ทำหน้าเจื่อน โบกมือให้กำลังใจเด็ก ๆ ที่เดินคอตกตามอาจารย์เข้าไปในห้องประชุม
“เอ้า...ใครจะเริ่มก่อน”
“หนูก็ได้ค่ะ...เรื่องยูทีไอ” ชลกานต์ยกมือบอก ก่อนจะดึงเอากระดาษโพยที่ปนกันอยู่ในกระเป๋าเสื้อกาว์นออกมา เลือกดูจนได้แผ่นที่จดบันทึกไว้แล้วจึงเริ่มอธิบาย “Urinary tract infection(การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ) ในเด็กส่วนใหญ่มักจะมาพรีเซนท์ด้วยไข้ บางรายอาจมีร้องกวนเวลาปัสสาวะ แต่หลัก ๆ จะไดแอก(diagnosis : วินิจฉัยโรค)จากแลป(Laboratory)มากกว่า...”
ชลกานต์อธิบายเรื่องการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นอาจารย์ก็ซัก พร้อมยิงคำถามให้บรรดานักศึกษาได้เสียวสันหลังเล่นกันเป็นระยะ ๆ กว่าจะจบเรื่องก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง
“เอ้า วันนี้พอเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้พี่ค่อยมาทวงต่อ”
“พรุ่งนี้ไม่ราว์นเหรอฮะอาจารย์” ภัธเวศทำตาใสถาม
“ราว์นสิ พรุ่งนี้พี่ว่างเช้า มาราว์นสักเก้าโมง เสร็จบ่ายค่อยมาส่งการบ้านก็ได้ ไม่มีเรียนอะไรใช่ไหม”
เด็ก ๆ ได้แต่มองหน้ากันตาปริบ ๆ ขณะที่อาจารย์หนุ่มแอบอมยิ้มอย่างรู้ทัน “อ้อ…แล้วใครยังไม่ได้ส่งรายงานพี่บ้าง ถ้าไม่มีเคสก็บอกพี่เดนท์ให้พี่เขาแนะให้นะ”
“ผมได้เคสแล้ว กำลังปั่น เอ้ย...กำลังเขียนอยู่ครับ” พิเชษฐ์รีบบอกอย่างรู้ตัว เขาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยังไม่ได้ส่งรายงานการรักษาผู้ป่วยแม้แต่ฉบับเดียว
“รีบเขียนรีบส่งนะ อย่าให้เลยเวลา เห็นช่องให้คะแนนใช่ไหม”
“ครับ”
“โอเค…มีใครมีอะไรอยากจะคุยกับพี่ไหม อยู่วอร์ดแล้วเป็นยังไง ไม่สุขสบายใจอะไรก็บอกนะ”
ชนิสราคลี่ยิ้มบาง ๆ “ไม่ถึงกับแย่ แต่ยังอยู่ในช่วงปรับตัวมากกว่าค่ะอาจารย์”
“อืม…วอร์ดเด็กจะละเอียดนิดหนึ่ง แต่พี่ก็อยากให้น้อง ๆ ฝึกไว้ มีอะไรไม่สบายใจก็บอกได้นะ”
“ขอบคุณครับ”
ทุกคนไหว้ลาอาจารย์ ปล่อยให้ร่างสูงเดินออกไปจากห้องประชุม แล้วนักศึกษาแพทย์ทั้งแปดก็มองหน้ากัน ก่อนจะเอนตัวอยู่บนเก้าอี้
“โอย…หัวจะบวมแล้ว ราว์นเช้าสามชั่วโมง เลกเชอร์ต่อชั่วโมงครึ่ง แถมมาเรียนต่ออีกเกือบชั่วโมง ไม่ไหวแล้ว” ปานตะวันโอดครวญเบา ๆ
“ง่วงนอนอีกแล้ว”
แล้วประตูห้องประชุมก็เปิดออกอีกครั้ง อาจารย์ประจำวอร์ดชะโงกหน้าเข้ามา “เอ้า...เลิกอู้แล้วออกมาช่วยพี่เขาได้แล้ว”
“ว้าย…ไม่ได้อู้ค่ะอาจารย์” ชลกานต์รีบบอก “พวกหนูแค่พักสายตา”
เสียงหัวเราะดังไปทั้งห้อง แว่วได้ยินเสียงจากอาจารย์ที่เพิ่งปิดประตูห้องไปอีกครั้ง เด็ก ๆ รีบกระโดดไปเปิดประตูวิ่งออกจากห้องประชุมไปตามหารุ่นพี่เรสิเดนท์และเอ็กซ์เทิร์นประจำสายของตน
เย็นนั้นเลิกเร็วกว่าปกติ เพราะไม่มีเคสผู้ป่วยใหม่เข้ามาในสาย และงานวอร์ดก็ถูกจัดการเรียนร้อยโดยภมราและกวินทร์ตั้งแต่ที่อาจารย์ชวนเด็ก ๆ เข้าไปนั่งเรียน เมื่องานวอร์ดเรียบร้อยก็เหลือแค่นั่งเขียนบันทึกการดูแลผู้ป่วยประจำวัน(Progress note) เมื่อเรียบร้อยดีแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันเดินทางกลับ เหลือแต่ญาตาวีที่นั่งหน้างออยู่ลำพังด้วยความรู้สึกขาดทุนอย่างไรชอบกล
“โอย…ทำไมต้องเลิกเร็วในวันที่อยู่เวรด้วยนะ”
“น่า…วี สู้ ๆ นะ” ชลกานต์บอกพร้อมโบกมือลา
ญาตาวีหยิบกระดาษเขียนรายงานสีเหลืองขึ้นมานั่งเขียนรายงานประวัติผู้ป่วย ตำราเล่มสีแดงเล่มหนาเปิดค้างไว้บนโต๊ะสำหรับประกอบการอภิปรายการวินิจฉัยโรค ยังไม่ทันได้ครบหน้า ประตูห้องประชุมก็ถูกเลื่อนออก ญาตาวีเงยหน้ามองชายหนุ่มในชุดเสื้อกาว์นสั้นที่เดินเข้ามาใหม่
“อ้าว…วันนี้เวรน้องวีเหรอ”
“ค่ะ พี่กอล์ฟก็เวรเหรอคะ”
“ใช่ ๆ กินข้าวหรือยังล่ะ” กวินทร์พยักหน้ารับ “เขียนรายงานเหรอ เรื่องอะไรน่ะ”
“ฮีโมไลติกไครซิส(Hemolytic crisis)ค่ะ” เธอหมายถึงภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงแตกเป็นปริมาณมาก
กวินทร์เลิกคิ้วมอง นึกถึงผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งอยู่ในสายที่เขาร่วมดูแลเช่นกัน “อ่อ…จีซิกพีดี(G6PD : ภาวะที่ขาดเอนไซม์ชนิดหนึ่งทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย)ใช่ไหม”
“ค่ะ…ดูน่าสนใจดี”
“ใช่ ๆ แล้ววีดูสไลด์บลัดเสมียร์(Blood smear : สไลด์ตรวจนับปริมาณและรูปร่างเม็ดเลือด)แล้วใช่ไหม”
“ค่ะ วีถ่ายรูปไว้ด้วย” เธอเปิดภาพในโทรศัพท์ส่งให้ชายหนุ่ม
กวินทร์รับมาดูก่อนบอก “อืม…ชัดมาก ไบท์เซลล์(bite cell : เม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะแหว่ง)จ๋าเลย ส่งให้พี่บ้างสิ ไว้จะเอาไปให้เด็กๆดู”
“ได้ค่ะ พี่กอล์ฟจะให้ส่งทางไหนดี”
“ไลน์ได้ไหม เดี๋ยวพี่เปิดคิวอาร์แปป” เขาส่งโทรศัพท์คืนให้ญาตาวี ก่อนหยิบโทรศัพท์ตนขึ้นมาเปิดโปรแกรมสนทนา ส่งโค้ดให้หญิงสาวเพิ่มเป็นเพื่อน
ญาตาวีกดส่งภาพสไลด์เลือดให้ชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะส่งสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนตอบกลับมา “ขอบใจนะ”
“ค่ะ…”
“เออ เดี๋ยวจะมีคาวาซากิมานะ”
“อะไรนะคะ” ญาตาวีทำตาโต
กวินทร์หัวเราะ “คาวาซากิ รีบหาอ่านดูนะ เดี๋ยวพี่เดนท์สามคงมาสอนเรื่องนี้ล่ะ”
ประตูห้องประชุมเปิดออกอีกครั้ง รุ่นพี่เรสสิเดนท์หนึ่งที่อยู่เวรเดินเข้ามา “น้องอยู่เวรใช่ไหม เดี๋ยวพี่ฝากปั่นยูรีน(Urine : ปัสสาวะ)เตียง 5 ย้อมแกรม(gram stain : การย้อมสีเพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย)หน่อยนะ”
“ได้ค่ะ” ญาตาวีบอก
“น้องเอ็กซ์(extern) ฝากช่วยดูน้องด้วยนะ แล้วถ้าคาวาซากิมาตามพี่ด้วย เดี๋ยวไปไปดูไอซียูก่อน”
“ครับ” กวินทร์รับคำ
ญาตาวีจึงไม่ทันได้เปิดอากู๋ ถามหาโรคคาวาซากิ กวินทร์หัวเราในคอ เดินนำหญิงสาวไปหยิบกระปุกใส่ปัสสาวะจากเคาท์เตอร์พยาบาล เดินถือไปที่ห้องปฏิบัติการเล็ก ๆ ใกล้ทางเข้าหอผู้ป่วย
“วีทำได้ใช่ไหม”
“ค่ะ…”
“หมอ…พี่ฝากดูเตียงสามหน่อยสิ แม่บอกว่าน้องถ่ายเหลว” พี่พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาบอก กวินทร์มองหน้าญาตาวี หญิงสาวพยักหน้าให้เล็กน้อยเขาจึงเดินออกไปดูคนไข้
ญาตาวีแบ่งปัสสาวะในกระปุกใส่หลอดพลาสติกรูปกระสวย และใส่น้ำปริมาณเท่ากันในหลอดอีกใบหนึ่ง วางถ่วงน้ำหนักกันคนละข้างของเครื่องปั่น ปิดฝาเครื่อง ตั้งเวลาปั่นจนเครื่องหยุดจึงเปิดออก ดูดเอาเฉพาะตะกอนปัสสาวะที่อยู่ด้านล่างมาป้ายลงบนสไลด์แก้ว พัดโบกรอจนแห้งดีจึงเริ่มกรรมวิธีย้อมสี
ปกติแล้วบรรดานักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สี่และห้าจะลงเวรกันช่วงห้าทุ่ม มีเพียงเอ็กซ์เทิร์นซึ่งถือเป็นว่าที่แพทย์และบรรดาแพทย์ประจำบ้านเท่านั้นที่จะต้องอยู่เวรข้ามคืน และลากสังขารมาทำงานต่อในเช้าอีกวัน
เรสสิเดนท์สามที่เป็นชีฟเวรวันนี้ค่อนข้างใจดี เธอเรียกบรรดานักศึกษาแพทย์ทั้งปีสี่และปีห้าที่เข้าเวรมาสอนตั้งแต่สามทุ่มครึ่ง เสร็จเรียบร้อยก็เกือบห้าทุ่ม แล้วปล่อยเด็ก ๆ ให้ลงไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ญาตาวีจึงได้เดินกลับหอพร้อมเพื่อนที่เข้าเวรในแผนกเดียวกัน
เพราะเป็นวันเข้าเวร หญิงสาวจึงเลือกพักที่หอพักแทนการกลับบ้าน ญาตาวีเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพักขนาดสี่เตียง ซึ่งเชื่อมกับห้องข้าง ๆ ด้วยระเบียงทางเดินและห้องน้ำ กลายเป็นห้องขนาดแปดคนอาศัยอยู่ติดกัน
เสียงห้องข้าง ๆ ดังเจี๊ยวจ๊าว ขณะที่ห้องของเธอมีเพียงนิลปัทม์นั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ
“อ้าว…วี วันนี้เข้าเวรเหรอ”
“อื้ม…บัวอยู่วอร์ดอะไรน่ะ”
“สูติจ้ะ วีล่ะ”
“เด็ก…”
นิลปัทม์หัวเราะคิก “เป็นไง สนุกไหม...”
ญาตาวีกระพริบตาปริบ ๆ “ก็เรื่อย ๆ หลักๆก็ทำพวกทำแลป ส่องกล้อง” ดูเหมือนจะเป็นที่รู้กันเสียแล้ว งานหลักประจำเวรของบรรดานักศึกษาแพทย์ก็คงหนีไม่พ้นการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ปั่นปัสสาวะ ย้อมสไลด์เลือด ตามตรวจร่างกายรับผู้ป่วย และจบด้วยการเรียนการสอน
“จริง ๆ ก็สนุกดีนะ”
“อืม…ก็เป็นไม่กี่อย่างที่พวกเราพอจะทำได้นี่นะ” นิลปัทม์ยิ้ม
ญาตาวีมองเตียงอีกสองหลังที่ยังว่างอยู่ เป็นของชลกานต์และกวิตตรา
“วันนี้วีมาก็ดี ปล่อยเรานอนเหงากับเก๋สองคนมาตั้งนานแน่ะ” นิลปัทย์บอกเมื่อเห็นเพื่อนมองไปที่เตียง “ชลกับวีน่ะไม่ยอมมานอนหอบ้างเลย”
“ก็มาแล้วนี่ไง”
“เฉพาะเวลาเวรน่ะสิ ปล่อยเราเหงานะ”
“แหม…คอนโดเราอยู่ใกล้ ขอกลับไปนอนบ้านดีกว่า” ญาตาวีหัวเราะ ความจริงเธอออกจะติดบ้านมากกว่าคนทั่วไปอยู่ไม่น้อย หญิงสาวไม่ชอบย้ายที่นอน ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ถ้าไม่ลำบากเกินไปนักเธอก็ยังพยายามจะกลับบ้านทุกวัน
“เก๋เข้าเวรเหรอ” เธอถามถึงกวิตตรา เพื่อนร่วมห้องอีกคน รู้ดีว่าชลกานต์เองก็เป็นพวกติดบ้านไม่แพ้เธอ
“เปล่า ออกไปกินข้าวกับน้องน่ะ เออ…เดี๋ยวเก๋อาจพาน้องสาวกลับมานอนด้วย วีไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
ญาตาวีเลิกคิ้ว “อ่อ…ได้ ๆ”
หญิงสาวอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง หน้าจอโทรศัพท์มีข้อความจากมารดาส่งมาราตรีสวัสดิ์ให้เธอคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะกดโทรศัพท์หาหมายเลขที่คุ้นเคย
-----
วีจะ...โทรหาใครนะ???
คุณใบบัวน่ารัก : แหม...นั่นสิคะ
คุณคิมหันตุ์ : 555 คุณโฬมเธอสม่ำเสมอค่ะ
คุณ konhin : แหม...มีแต่คนเชียร์ให้วีใจอ่อน
คุณ goldensun : ไอซ์อ่านตอนเหนื่อย ๆ ยังแอบอิจฉายายวีเลยค่ะ
คุณ เพาพะงา : คิดถึงเช่นกันค่ะ
-----
และเช่นเคย
ปล.1 เรื่องนี้อาจมีศัพท์แสงประหลาด เฉพาะทางเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อความสมจริงในการพูดคุยของตัวละคร แต่จะพยายามาอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง หากมีส่วนไหนขัดข้อง หรือทำให้เสียอรรถรสไป รบกวนติชมจะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ปล.2 เรื่องนี้เป็น season II ฉบับต่อจาก season I(ภาคพรีคลินิค) บรรดานศพ.กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ ที่ได้สัมผัสผู้ป่วยจริง เนื้อหาจะสปอยเรื่องราวในภาคแรกที่เด็ก ๆ ยังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่(ซึ่งไอซ์ยังเขียนไม่จบ เพราะติดเรื่องแรงบันดาลใจในชีวิตนักศึกษา เลยขอมาจับชีวิตในชั้นคลินิคที่ใกล้ตัวกว่าก่อน) มีปมบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ไอซ์พยายามเขียนโดยค่อย ๆ เผยปมและเนื้อเรื่องเดิมให้พอเข้าใจได้ หากติดขัดประการใดแจ้งได้นะคะ
คิดถึงทุกท่านค่ะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มี.ค. 2557, 19:45:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มี.ค. 2557, 19:45:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 1708
<< Chapter 4.2 'คุณจะฝันถึงผม...อย่างที่ผมฝันถึงคุณบ้างไหม???' | Chapter 5.2 '…จะรักใครอย่าให้ใจไปทั้งหมด เผื่อใจไว้หากเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด...' >> |

คิมหันตุ์ 4 มี.ค. 2557, 21:59:25 น.
แหงะ...ขาดตอนๆ........
แหงะ...ขาดตอนๆ........

konhin 5 มี.ค. 2557, 02:54:36 น.
ใช่เลย เด้กไม่ใช่ผู้ใหญ่ย่อส่วน
ใช่เลย เด้กไม่ใช่ผู้ใหญ่ย่อส่วน

ใบบัวน่ารัก 5 มี.ค. 2557, 06:57:35 น.
ทำหลายๆๆอย่าง ปวดสมองไหม
จำเยอะจัง
แพทย์มีเขียนลายมือสวยๆๆบ้างไหมนะ
ทำหลายๆๆอย่าง ปวดสมองไหม
จำเยอะจัง
แพทย์มีเขียนลายมือสวยๆๆบ้างไหมนะ