^การเดินทางของความฝัน^
เรื่องราวบนเส้นทางแห่งความฝันของบรรดานักศึกษาแพทย์ บนทางเดินที่ไม่ได้โรยด้วยตำราหรือกลีบกุหลาบ แต่มีพร้อมทั้งอารมณ์ ความสับสน และอ่อนไหว
...เพราะชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย...
ญาตาวี...เด็กสาวผู้มีญาณพิเศษในการมองเห็นดวงวิญญาณ กับชีวิตวุ่น ๆ ในรั้วโรงเรียนแพทย์ที่มีวิญญาณหลงทางอยู่เคียงข้าง
ชลกานต์...เด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิตเสียจนน่าอิจฉา กับเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มและหัวใจที่มั่นคงราวจะไม่ไหวคลอน
ชนิสรา...เด็กสาวเจ้าของดวงตาคมวาวแห่งความมั่นคงและทระนง กับหัวใจอันอ่อนไหวที่ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกับความเชื่อมั่น
เรื่องราวของพวกเธอทั้งสาม และเพื่อน ๆ บนถนนสายความฝัน
เมื่อชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด
เมื่อความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
เมื่อการเดินทางครั้งนี้...ไม่มีเส้นทางลัด
มีแค่เพียงสองขา สองมือ และหนึ่งหัวใจเท่านั้นที่จะพาพวกเธอผ่านไป
...เพราะชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย...
ญาตาวี...เด็กสาวผู้มีญาณพิเศษในการมองเห็นดวงวิญญาณ กับชีวิตวุ่น ๆ ในรั้วโรงเรียนแพทย์ที่มีวิญญาณหลงทางอยู่เคียงข้าง
ชลกานต์...เด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิตเสียจนน่าอิจฉา กับเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มและหัวใจที่มั่นคงราวจะไม่ไหวคลอน
ชนิสรา...เด็กสาวเจ้าของดวงตาคมวาวแห่งความมั่นคงและทระนง กับหัวใจอันอ่อนไหวที่ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกับความเชื่อมั่น
เรื่องราวของพวกเธอทั้งสาม และเพื่อน ๆ บนถนนสายความฝัน
เมื่อชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด
เมื่อความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
เมื่อการเดินทางครั้งนี้...ไม่มีเส้นทางลัด
มีแค่เพียงสองขา สองมือ และหนึ่งหัวใจเท่านั้นที่จะพาพวกเธอผ่านไป
Tags: นักศึกษาแพทย์ ความฝัน ญาตาวี ชลกานต์ ชนิสรา
ตอน: Chapter 5.2 '…จะรักใครอย่าให้ใจไปทั้งหมด เผื่อใจไว้หากเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด...'
“ยังไม่นอนเหรอคะ” เธอถามเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสาย
“อื้ม…พ่อเขาออกไปตรวจด่านน่ะ”
“อ่อ…” ญาตาวีทำเสียงรับในคอ ค่อนข้างชินกับงานของผู้เป็นบิดาซึ่งรับราชการตำรวจอยู่ต่างจังหวัด “แล้วแม่อาบน้ำหรือยังคะ”
“อาบแล้ว หนูล่ะ เพิ่งออกเวรไม่ใช่เหรอ”
“อาบแล้วเหมือนกันค่ะ วันนี้พี่ปล่อยเร็ว”
“อย่าลืมหาอะไรกินนะ หิวหรือเปล่า”
ญาตาวีหัวเราะคิก “ไม่หรอกค่ะ...กินดึก ๆ เดี๋ยวอ้วนแย่เลย”
“อ้วนหน่อยก็ดีนะ เห็นว่าช่วงนี้ลูกสาวแม่เสน่ห์แรง แม่ชักจะหวงแล้วสิ” มารดาทำเสียงขึ้นจมูก ญาตาวีเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะ
“โธ่…ใครคาบข่าวไปบอกแม่คะ”
“อย่าใช้คำว่าคาบสิ วันก่อนลุงยมมานั่งคุยกับแม่ เห็นว่าลูกเจอนายเหม”
“หวา…ลุงยมแอบเมาท์กับเขาด้วย” ญาตาวีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อนึกถึงท่านพระยายมราชที่สนิทสนมกับมารดาและเธอราวเป็นญาติผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยดี “ไม่มีอะไรหรอกค่ะแม่ ก็แค่...คนเคยรู้จัก”
“คนเคยรู้จักที่ไหนจะเทียวรับเทียวส่งกันแทบทุกวัน” มารดาอดล้อไม่ได้ “จะว่าไปคุณเหมเขาก็ดูดีนะลูก ถ้าหนูจะคบหากับเขา แม่ก็ไม่ว่า”
ญาตาวีนิ่งไปครู่ “แม่คะ...ตอนนี้เขาไม่ใช่คุณเหมแล้ว”
ใช่…เขาไม่ใช่ดวงวิญญาณหลงทางที่เคยพักอาศัยอยู่กับเธออีกแล้ว ผู้ชายคนนั้นมีตัวตน ไม่ใช่แค่ในโลกแห่งวิญญาณที่มารดาและเธอคุ้นชิน “เขาเป็นคนที่มีแต่คนเฝ้ามองนะคะ”
มารดาถอนใจเบา ๆ “หนูพูดเหมือนเสียใจ...หนูชอบเขาใช่ไหมลูก”
ไม่มีคำตอบจากญาตาวี หญิงสาวถือโทรศัพท์นิ่ง ยังคงทบทวนความรู้สึกของตัวเอง
“ถ้าหนูชอบเขา และคิดว่าความรู้สึกนั้นมันมั่นคงพอก็อย่าสนใจกับคำคน อย่ากลัวไปก่อน ตราบใดที่หนูไม่ได้ทำผิดทำนองคลองธรรม ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็ไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะเดินต่อไป”
“หนูไม่แน่ใจค่ะแม่...หนูไม่ชอบความวุ่นวาย” เธอบอกเบา ๆ
“จริง ๆ แล้วหนูไม่คิดว่ามันเป็นความรัก มันอาจเป็นแค่ความผูกพัน เพราะเราเคยใกล้กันมากเกินไป”
“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร...แม่ไม่อยากให้หนูกลัวไปก่อน ระวังตัวระวังใจไว้น่ะดี แต่ไม่ใช่ระวังเพราะกลัวคำคนอื่น แต่ระวังด้วยความเข้าใจว่าความรักเป็นของอันตราย แม่เคยบอกใช่ไหม...จะรักใครอย่าให้ใจไปทั้งหมด” มารดาเอ่ยสอนเสียงนุ่ม แต่มีความมั่นคงที่อ่อนโยนแฝงอยู่ “เผื่อใจไว้หากเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด อย่าให้ไปทั้งใจจนไร้สติรู้ไหม”
ญาตาวีคลี่ยิ้ม “แม่เพิ่งบอกว่าเขาดูเป็นคนดีเองนะคะ”
“ไม่มีใครรับประกันหัวใจของใครได้นี่ลูก กระทั่งตัวเราเอง...ยังรับประกันตัวเราในวันข้างหน้าไม่ได้เลย”
“ค่ะแม่...แต่ตอนนี้ปล่อยคุณเหมไปก่อนเถอะค่ะ วีคิดถึงแม่”
“แม่ก็คิดถึงวีจ้ะ”
“เสาร์นี้หนูต้องราว์นวอร์ด คงไม่ได้แวะไปหาแม่” ญาตาวีถอนใจเบา ๆ เพราะบรรดานักศึกษาแพทย์วอร์ดหลักหลายวอร์ดต้องขึ้นราว์นวอร์ดเช้าวันหยุด รวมถึงบางคนอาจถูกจัดให้เข้าเวรในวันหยุดด้วย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อกับแม่เข้าไปหาหนูก็ได้”
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ พ่องานยุ่งนี่คะ”
มารดาหัวเราะ “พ่อเขาก็ยุ่งตลอดล่ะ แต่ถ้าเขาไม่วางงานบ้างแม่ก็ไม่ได้ไปกอดหนูเสียทีสิ”
ญาตาวีอมยิ้ม “โอเคค่ะ...งั้นต้องลอคตารางพ่อแล้วให้พาแม่มาหาหนู คิดถึงนะคะ”
“แม่ก็คิดถึง...ป่ะ พักผ่อน เข้านอนได้แล้ว ฝันดีนะลูก”
“ค่ะแม่...ฝันดีค่ะ” ญาตาวีทอดเสียงนุ่ม “วีรักแม่นะคะ”
หลังวางสาย หน้าจอกลับปรากฏคำเตือนว่ามีข้อความถูกส่งมา ญาตาวีเปิดอ่านก่อนจะถอนใจเบา ๆ กับข้อความอยู่บนจอ
…ราตรีสวัสดิ์...
คำสั้น ๆ ที่ถูกส่งมาทุกคืนไม่เคยขาดมาเป็นอาทิตย์ทำให้หัวใจดวงน้อยอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวด้วยความรู้สึกราวเป็นคนพิเศษ แต่ความจริงบางอย่างก็ทำให้เธอต้องถอนใจ กดปิดเสียงโทรศัพท์และวางไว้ข้างตัวเตียง
…จะรักใครอย่าให้ใจไปทั้งหมด เผื่อใจไว้หากเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด...อย่าให้ไปทั้งใจจนไร้สติ
ชายเสื้อกาว์นตัวยาวสะบัดพลิ้ว ญาตาวีสะบัดเสื้อแล้วพับเก็บใส่กระเป๋า เหลือเพียงชุดนักศึกษากระโปรงพลีทยาวถึงเข่า ร่างบางกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามระเบียงที่ทอดยาว ชลกานต์เดินตามมาติด ๆ ท่าทางเร่งร้อนไม่แพ้กัน เสียงใสยังถาม
“วีกลับยังไง”
“คงรถเมล์น่ะ”
“อ้าว…เขาไม่มาเหรอ”
ญาตาวีหัวเราะ “ทำไมเขาต้องมาล่ะ...เราอยู่มาได้ตั้งนานโดยไม่มีเขานะ”
“แต่วีก็อยู่อย่างเหงาๆ ไม่ใช่เหรอ” ชลกานต์เอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะคว้าแขนญาตาวีพาเดินไปยังร้านนมเล็ก ๆ ที่อยู่ในลานอเนกประสงค์ซึ่งตั้งโต๊ะเก้าอี้ไว้สำหรับนั่งพักผ่อน “อยากกินนมกาแฟน่ะ วีกินอะไรไหม”
“เอาชาผสมกาแฟก็ได้” ญาตาวีบอกก่อนจะนิ่งไปครู่ “กับ…นมชอคโกแลตผสมนมจมด หวานน้อยแก้วหนึ่ง”
ชลกานต์เลิกคิ้ว หันมามองเพื่อนสาวที่ก้มหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นหน้าจอที่ญาตาวีส่งให้ดู
…ถึงแล้ว...ผมรอหน้าหอพักคุณเหมือนเดิมนะ
“มีคุณวิญญาณเป็นเพื่อนนี่เหมือนมีสายสืบอยู่ทั่วเลยเนอะ” ชลกานต์กระซิบบอกเพื่อนเบา ๆ
“ร้ายกาจน่ะสิ เราไม่เคยใช้งานพวกพี่ ๆ ให้เป็นสายข่าวนะ” คนเป็นเพื่อนกับวิญญาณเช่นกันบ่นงึมงำ ก่อนจะถอนใจเบา ๆ เมื่อคิดถึงมารดาที่ใช้วิธีนี้ประจำ ด้วยหน้าที่การงานของบิดาที่หลายครั้งต้องสืบสวนคดีต่าง ๆ หลายคดีก็คลี่คลายได้ด้วยความสามารถพิเศษของมารดาเธอนั่นล่ะ
สองสาวหิ้วแก้วนมสดเดินตรงไปที่หอ ญาตาวีมองรถยุโรปที่จออยู่ข้างทางเท้าใกล้หอ ก่อนจะเดินตรงไปอย่างเริ่มคุ้นเคย โฬมหันมามองแล้วคลี่ยิ้มให้ เขายังสวมแว่นกันแดดที่เธอคุ้นตา หญิงสาวยื่นแก้วนมชอคโกแลตให้ “ของคุณ”
“ขอบคุณครับ” รอยยิ้มของเขาทำให้ญาตาวีตาพร่า แม้ดวงตาคู่นั้นจะอยู่ใต้แว่นกันแดด แต่เธอรู้สึกว่ามองเห็นแววตาใสกระจ่างที่เป็นประกายวาวราวลูกสุนัขที่ได้ขนมโปรด แววตาของคุณเหม ดวงวิญญาณหลงทางที่เคยทำให้เธอเผลอยิ้มตาม
เขารับแก้วนมชอคโกแลตไป ชิมแล้วขมวดคิ้ว “รสชาตคุ้น ๆ เหมือนผมเคยกิน...คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบชอคโกแลต”
ญาตาวีนิ่งไปครู่ “คุณคงไม่ชอบสตรอเบอรี่” เรื่องอะไรเธอจะยอมบอก ว่าวิญญาณหลงทางที่เคยอยู่กับเธอชอบไปกินชอกโกแลตกับลุงเจ้าที่แค่ไหน
“ผมแก่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะเลือกชอคโกแลตให้แทนกาแฟแล้ว” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ เมื่อวนรถออกจากโรงพยาบาล “แต่…ผมก็ยังชอบชอคโกแลตมากกว่าจริง ๆ นั่นล่ะ”
“แปลกที่คุณรู้...”
ญาตาวีขบริมฝีปากตัวเองเบา ๆ เธอพลาดกับความเคยชินที่เธอมักจะซื้อนมชอกโกแลตผสมนมสดแบบหวานน้อยเช่นนี้ให้เขายามที่เป็นวิญญาณ เธอจึงเผลอทำตามความคุ้นชินแม้เขากลับมาเป็นคนธรรมดาที่จดจำอะไรไม่ได้ ถ้าเพียงเธอจะมีสติสักนิด คงไม่เผลอขุดเอาความทรงจำของดวงวิญญาณขึ้นมา
“เปิดเพลงได้ไหมคะ...ฉันอยากฟังเพลง” เธอบอกเพื่อเบนความสนใจ “คุณคงไม่ได้มีแต่ซีดีของบลูกายใช่ไหม”
โฬมคลี่ยิ้ม “แล้วถ้าผมมีแต่ซีดีของบลูกาย...คุณฟังได้ใช่ไหม”
“อย่างนั้นเปิดวิทยุเถอะค่ะ ฉันไม่อยากสนับสนุนให้คุณหลงตัวเองไปมากกว่านี้” ญาตาวีกลอกตาอย่างอ่อนใจ อดสงสัยไม่ได้ว่าศิลปินที่เก็บผลงานของตัวเองไว้แล้วเปิดฟังตลอดเวลาจะไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือ เมื่อเขาเป็นคนผลิต คิดสร้างตั้งแต่เนื้อร้องยันปกซิงเกิ้ล
“ไม่ถึงขนาดนั้น...เปิดไปดิสก์สี่นะครับ” เขาบอก แล้วญาตาวีก็กดนิ้วลงไปบนจอเครื่องเล่นซีดีอย่างไม่แน่ใจนัก เทคโนโลยีในรถยนต์สมัยนี้ชักจะล้ำยุคขึ้นทุกวันจนเธอตามไม่ค่อยทัน “ผมก็ต้องฟังเพลงอื่นสร้างแรงบันดาลใจบ้างเหมือนกัน”
…When I hadn’t met you, love was something I seemed clueless
But then I met you, who subsequently turned me breathless,
When your eyes showed my eyes…for the first time…
ไม่ใช่แค่เสียงเพลงจากเครื่องเล่น แต่เสียงนุ่มของผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ ดังคลอขึ้นมาแทบทันทีทันใด น้ำเสียงทุ้มที่ทิ้งหางเสียงเอื่อย ๆ สื่อความรู้สึกของการรอคอยและการพบเจอที่อ่อนหวานทำให้ญาตาวีรู้สึกร้อน ๆ ในหน้าอย่างประหลาด
…Oh darling, you’ve turned the blue moon into a sun rise
Oh darling, you’ve made me dream of you every night
And darling, I wish I could hold you tight…with me forever.
..And that was when your eyes …continued to show mine.
เนื้อเพลงหวานหู กับทำนองนุ่มที่ชวนให้เคลิ้มฝัน โดยเฉพาะเมื่อเสียงทุ้มของนักร้องหนุ่มประสานกับเสียงของบลูกายที่ลงทุนร้องสดให้เธอฟัง ญาตาวีต้องหันหน้ามองกระจก ไม่กล้ามองสายตาคมของคนที่กำลังขับรถและฮัมเพลงอย่างรื่นเริง กลัวนักว่ากำแพงน้ำแข็งที่เพียรสร้างจะสั่นคลอนและพังลงง่าย ๆ
หญิงสาวนิ่งไปครู่ ก่อนตัดสินใจหันกลับมา กดปุ่มเปลี่ยนจากเครื่องเล่นซีดีไปเปิดวิทยุเสียดื้อ ๆ เลือกอยู่ครู่ เสียงเพลงป๊อปเบา ๆ ก็ดังคลอในห้องโดยสาร
ญาตาวีไม่ได้ตั้งใจให้เขาเข้ามาในห้องพัก แต่เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอก็หมดทางหลบเลี่ยง คุณพัชรินทร์เงยหน้ามองเลิกคิ้วเพียงนิด ปล่อยให้บุตรสาวก้าวไปเปิดประตูห้อง ก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วขึ้นสูงกว่าเดิมเมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามา ปุณณ์ยกมือไหว้สตรีเจ้าของห้องอย่างคุ้นเคย ขณะที่โฬมหรี่ตามองคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณน้า” ปุณณ์เอ่ยแล้วเดินเข้าไปวางถุงขนมลงบนโต๊ะ “ดีจังที่วันนี้คุณน้ากลับมา ผมเตรียมแป้งกับปลามาด้วย คิดถึงสเต็กปลากับเค้กฝีมือคุณน้าน่ะครับ”
เพียงเท่านั้นคุณพัชรินทร์ก็หัวเราะคิกอย่างรู้ทัน “วานเอาเข้ามาไว้ในครัวเถอะปุณณ์ เดี๋ยวน้าทำให้”
“อ้อ…นี่เพื่อนผมครับ นายโฬม” เขาดึงแขนเพื่อนมา แนะนำตัวกับเจ้าของบ้าน โฬมกมือไหว้เธออีกครั้ง
“คุณน้าคงเคยได้ยิน...บลูกาย หมอนี่ล่ะครับ”
“อ้อ…นักร้องที่วีเปิดเพลงเขาบ่อย ๆ ใช่ไหม”
“เลิกเปิดแล้วค่ะแม่ ตอนนี้หนูเลิกฟังเพลงแล้ว” ญาตาวีรีบบอก ไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอเคยเป็นแฟนคลับที่เหนียวแน่นของเขา
มารดามองแล้วขยิบตาล้อ “ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนักนะลูก”
“โธ่…แม่คะ อย่าเห็นคนอื่นดีกว่าลูกตัวเองได้ไหม”
“คนอื่นที่หนูว่าเป็นเจ้ามือมื้อกลางวันเลยนะ”
ญาตาวีเบะปากทำหน้างอ ส่งค้อนกราดให้ตั้งแต่ปุณณ์จนถึงโฬม “ฮึ…แม่น่ะ”
คุณพัชรินทร์อมยิ้ม มองท่าทีกระเง้ากระงอดของบุตรสาวอย่างเอ็นดู ก่อนหันไปมองชายหนุ่มผู้เคยเป็นวิญญาณหลงทางที่เธอเคยรู้จัก ในดวงตาเขาไม่มีความคุ้นเคยให้เธอแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่พอเหลือเค้าของคุณเหมที่เธอเคยพบ คงเป็นแววตาที่มองญาตาวีคู่นั้น ประกายบางอย่างทำให้เธอไม่ได้ขวางเมื่อเขาก้าวเข้ามาในชีวิตของบุตรสาว
-----
คุณคิมหันตุ์ : กลับมาต่อให้แล้วค่ะ คราวก่อนหัวบวมนิดหน่อย
คุณ konhin : จริงค่ะ ตอนนี้ไอซ์อยู่กับเด็กแรกเกิด 30 กว่าคน เหนื่อยมากกกกกกก
คุณ ใบบัวน่ารัก : ไอซ์ลายมือสวยนะ(ถ้าไม่รีบ) แต่พี่พยบ.ยังชมบ่อย ๆ ว่า 'หมอลายมือสวยนะ แต่...อ่านไม่ออก^^'
-----
และเช่นเคย
ปล.1 เรื่องนี้อาจมีศัพท์แสงประหลาด เฉพาะทางเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อความสมจริงในการพูดคุยของตัวละคร แต่จะพยายามาอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง หากมีส่วนไหนขัดข้อง หรือทำให้เสียอรรถรสไป รบกวนติชมจะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ปล.2 เรื่องนี้เป็น season II ฉบับต่อจาก season I(ภาคพรีคลินิค) บรรดานศพ.กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ ที่ได้สัมผัสผู้ป่วยจริง เนื้อหาจะสปอยเรื่องราวในภาคแรกที่เด็ก ๆ ยังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่(ซึ่งไอซ์ยังเขียนไม่จบ เพราะติดเรื่องแรงบันดาลใจในชีวิตนักศึกษา เลยขอมาจับชีวิตในชั้นคลินิคที่ใกล้ตัวกว่าก่อน) มีปมบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ไอซ์พยายามเขียนโดยค่อย ๆ เผยปมและเนื้อเรื่องเดิมให้พอเข้าใจได้ หากติดขัดประการใดแจ้งได้นะคะ
คิดถึงทุกท่านค่ะ
“อื้ม…พ่อเขาออกไปตรวจด่านน่ะ”
“อ่อ…” ญาตาวีทำเสียงรับในคอ ค่อนข้างชินกับงานของผู้เป็นบิดาซึ่งรับราชการตำรวจอยู่ต่างจังหวัด “แล้วแม่อาบน้ำหรือยังคะ”
“อาบแล้ว หนูล่ะ เพิ่งออกเวรไม่ใช่เหรอ”
“อาบแล้วเหมือนกันค่ะ วันนี้พี่ปล่อยเร็ว”
“อย่าลืมหาอะไรกินนะ หิวหรือเปล่า”
ญาตาวีหัวเราะคิก “ไม่หรอกค่ะ...กินดึก ๆ เดี๋ยวอ้วนแย่เลย”
“อ้วนหน่อยก็ดีนะ เห็นว่าช่วงนี้ลูกสาวแม่เสน่ห์แรง แม่ชักจะหวงแล้วสิ” มารดาทำเสียงขึ้นจมูก ญาตาวีเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะ
“โธ่…ใครคาบข่าวไปบอกแม่คะ”
“อย่าใช้คำว่าคาบสิ วันก่อนลุงยมมานั่งคุยกับแม่ เห็นว่าลูกเจอนายเหม”
“หวา…ลุงยมแอบเมาท์กับเขาด้วย” ญาตาวีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อนึกถึงท่านพระยายมราชที่สนิทสนมกับมารดาและเธอราวเป็นญาติผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยดี “ไม่มีอะไรหรอกค่ะแม่ ก็แค่...คนเคยรู้จัก”
“คนเคยรู้จักที่ไหนจะเทียวรับเทียวส่งกันแทบทุกวัน” มารดาอดล้อไม่ได้ “จะว่าไปคุณเหมเขาก็ดูดีนะลูก ถ้าหนูจะคบหากับเขา แม่ก็ไม่ว่า”
ญาตาวีนิ่งไปครู่ “แม่คะ...ตอนนี้เขาไม่ใช่คุณเหมแล้ว”
ใช่…เขาไม่ใช่ดวงวิญญาณหลงทางที่เคยพักอาศัยอยู่กับเธออีกแล้ว ผู้ชายคนนั้นมีตัวตน ไม่ใช่แค่ในโลกแห่งวิญญาณที่มารดาและเธอคุ้นชิน “เขาเป็นคนที่มีแต่คนเฝ้ามองนะคะ”
มารดาถอนใจเบา ๆ “หนูพูดเหมือนเสียใจ...หนูชอบเขาใช่ไหมลูก”
ไม่มีคำตอบจากญาตาวี หญิงสาวถือโทรศัพท์นิ่ง ยังคงทบทวนความรู้สึกของตัวเอง
“ถ้าหนูชอบเขา และคิดว่าความรู้สึกนั้นมันมั่นคงพอก็อย่าสนใจกับคำคน อย่ากลัวไปก่อน ตราบใดที่หนูไม่ได้ทำผิดทำนองคลองธรรม ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็ไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะเดินต่อไป”
“หนูไม่แน่ใจค่ะแม่...หนูไม่ชอบความวุ่นวาย” เธอบอกเบา ๆ
“จริง ๆ แล้วหนูไม่คิดว่ามันเป็นความรัก มันอาจเป็นแค่ความผูกพัน เพราะเราเคยใกล้กันมากเกินไป”
“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร...แม่ไม่อยากให้หนูกลัวไปก่อน ระวังตัวระวังใจไว้น่ะดี แต่ไม่ใช่ระวังเพราะกลัวคำคนอื่น แต่ระวังด้วยความเข้าใจว่าความรักเป็นของอันตราย แม่เคยบอกใช่ไหม...จะรักใครอย่าให้ใจไปทั้งหมด” มารดาเอ่ยสอนเสียงนุ่ม แต่มีความมั่นคงที่อ่อนโยนแฝงอยู่ “เผื่อใจไว้หากเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด อย่าให้ไปทั้งใจจนไร้สติรู้ไหม”
ญาตาวีคลี่ยิ้ม “แม่เพิ่งบอกว่าเขาดูเป็นคนดีเองนะคะ”
“ไม่มีใครรับประกันหัวใจของใครได้นี่ลูก กระทั่งตัวเราเอง...ยังรับประกันตัวเราในวันข้างหน้าไม่ได้เลย”
“ค่ะแม่...แต่ตอนนี้ปล่อยคุณเหมไปก่อนเถอะค่ะ วีคิดถึงแม่”
“แม่ก็คิดถึงวีจ้ะ”
“เสาร์นี้หนูต้องราว์นวอร์ด คงไม่ได้แวะไปหาแม่” ญาตาวีถอนใจเบา ๆ เพราะบรรดานักศึกษาแพทย์วอร์ดหลักหลายวอร์ดต้องขึ้นราว์นวอร์ดเช้าวันหยุด รวมถึงบางคนอาจถูกจัดให้เข้าเวรในวันหยุดด้วย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อกับแม่เข้าไปหาหนูก็ได้”
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ พ่องานยุ่งนี่คะ”
มารดาหัวเราะ “พ่อเขาก็ยุ่งตลอดล่ะ แต่ถ้าเขาไม่วางงานบ้างแม่ก็ไม่ได้ไปกอดหนูเสียทีสิ”
ญาตาวีอมยิ้ม “โอเคค่ะ...งั้นต้องลอคตารางพ่อแล้วให้พาแม่มาหาหนู คิดถึงนะคะ”
“แม่ก็คิดถึง...ป่ะ พักผ่อน เข้านอนได้แล้ว ฝันดีนะลูก”
“ค่ะแม่...ฝันดีค่ะ” ญาตาวีทอดเสียงนุ่ม “วีรักแม่นะคะ”
หลังวางสาย หน้าจอกลับปรากฏคำเตือนว่ามีข้อความถูกส่งมา ญาตาวีเปิดอ่านก่อนจะถอนใจเบา ๆ กับข้อความอยู่บนจอ
…ราตรีสวัสดิ์...
คำสั้น ๆ ที่ถูกส่งมาทุกคืนไม่เคยขาดมาเป็นอาทิตย์ทำให้หัวใจดวงน้อยอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวด้วยความรู้สึกราวเป็นคนพิเศษ แต่ความจริงบางอย่างก็ทำให้เธอต้องถอนใจ กดปิดเสียงโทรศัพท์และวางไว้ข้างตัวเตียง
…จะรักใครอย่าให้ใจไปทั้งหมด เผื่อใจไว้หากเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด...อย่าให้ไปทั้งใจจนไร้สติ
ชายเสื้อกาว์นตัวยาวสะบัดพลิ้ว ญาตาวีสะบัดเสื้อแล้วพับเก็บใส่กระเป๋า เหลือเพียงชุดนักศึกษากระโปรงพลีทยาวถึงเข่า ร่างบางกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามระเบียงที่ทอดยาว ชลกานต์เดินตามมาติด ๆ ท่าทางเร่งร้อนไม่แพ้กัน เสียงใสยังถาม
“วีกลับยังไง”
“คงรถเมล์น่ะ”
“อ้าว…เขาไม่มาเหรอ”
ญาตาวีหัวเราะ “ทำไมเขาต้องมาล่ะ...เราอยู่มาได้ตั้งนานโดยไม่มีเขานะ”
“แต่วีก็อยู่อย่างเหงาๆ ไม่ใช่เหรอ” ชลกานต์เอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะคว้าแขนญาตาวีพาเดินไปยังร้านนมเล็ก ๆ ที่อยู่ในลานอเนกประสงค์ซึ่งตั้งโต๊ะเก้าอี้ไว้สำหรับนั่งพักผ่อน “อยากกินนมกาแฟน่ะ วีกินอะไรไหม”
“เอาชาผสมกาแฟก็ได้” ญาตาวีบอกก่อนจะนิ่งไปครู่ “กับ…นมชอคโกแลตผสมนมจมด หวานน้อยแก้วหนึ่ง”
ชลกานต์เลิกคิ้ว หันมามองเพื่อนสาวที่ก้มหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นหน้าจอที่ญาตาวีส่งให้ดู
…ถึงแล้ว...ผมรอหน้าหอพักคุณเหมือนเดิมนะ
“มีคุณวิญญาณเป็นเพื่อนนี่เหมือนมีสายสืบอยู่ทั่วเลยเนอะ” ชลกานต์กระซิบบอกเพื่อนเบา ๆ
“ร้ายกาจน่ะสิ เราไม่เคยใช้งานพวกพี่ ๆ ให้เป็นสายข่าวนะ” คนเป็นเพื่อนกับวิญญาณเช่นกันบ่นงึมงำ ก่อนจะถอนใจเบา ๆ เมื่อคิดถึงมารดาที่ใช้วิธีนี้ประจำ ด้วยหน้าที่การงานของบิดาที่หลายครั้งต้องสืบสวนคดีต่าง ๆ หลายคดีก็คลี่คลายได้ด้วยความสามารถพิเศษของมารดาเธอนั่นล่ะ
สองสาวหิ้วแก้วนมสดเดินตรงไปที่หอ ญาตาวีมองรถยุโรปที่จออยู่ข้างทางเท้าใกล้หอ ก่อนจะเดินตรงไปอย่างเริ่มคุ้นเคย โฬมหันมามองแล้วคลี่ยิ้มให้ เขายังสวมแว่นกันแดดที่เธอคุ้นตา หญิงสาวยื่นแก้วนมชอคโกแลตให้ “ของคุณ”
“ขอบคุณครับ” รอยยิ้มของเขาทำให้ญาตาวีตาพร่า แม้ดวงตาคู่นั้นจะอยู่ใต้แว่นกันแดด แต่เธอรู้สึกว่ามองเห็นแววตาใสกระจ่างที่เป็นประกายวาวราวลูกสุนัขที่ได้ขนมโปรด แววตาของคุณเหม ดวงวิญญาณหลงทางที่เคยทำให้เธอเผลอยิ้มตาม
เขารับแก้วนมชอคโกแลตไป ชิมแล้วขมวดคิ้ว “รสชาตคุ้น ๆ เหมือนผมเคยกิน...คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบชอคโกแลต”
ญาตาวีนิ่งไปครู่ “คุณคงไม่ชอบสตรอเบอรี่” เรื่องอะไรเธอจะยอมบอก ว่าวิญญาณหลงทางที่เคยอยู่กับเธอชอบไปกินชอกโกแลตกับลุงเจ้าที่แค่ไหน
“ผมแก่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะเลือกชอคโกแลตให้แทนกาแฟแล้ว” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ เมื่อวนรถออกจากโรงพยาบาล “แต่…ผมก็ยังชอบชอคโกแลตมากกว่าจริง ๆ นั่นล่ะ”
“แปลกที่คุณรู้...”
ญาตาวีขบริมฝีปากตัวเองเบา ๆ เธอพลาดกับความเคยชินที่เธอมักจะซื้อนมชอกโกแลตผสมนมสดแบบหวานน้อยเช่นนี้ให้เขายามที่เป็นวิญญาณ เธอจึงเผลอทำตามความคุ้นชินแม้เขากลับมาเป็นคนธรรมดาที่จดจำอะไรไม่ได้ ถ้าเพียงเธอจะมีสติสักนิด คงไม่เผลอขุดเอาความทรงจำของดวงวิญญาณขึ้นมา
“เปิดเพลงได้ไหมคะ...ฉันอยากฟังเพลง” เธอบอกเพื่อเบนความสนใจ “คุณคงไม่ได้มีแต่ซีดีของบลูกายใช่ไหม”
โฬมคลี่ยิ้ม “แล้วถ้าผมมีแต่ซีดีของบลูกาย...คุณฟังได้ใช่ไหม”
“อย่างนั้นเปิดวิทยุเถอะค่ะ ฉันไม่อยากสนับสนุนให้คุณหลงตัวเองไปมากกว่านี้” ญาตาวีกลอกตาอย่างอ่อนใจ อดสงสัยไม่ได้ว่าศิลปินที่เก็บผลงานของตัวเองไว้แล้วเปิดฟังตลอดเวลาจะไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือ เมื่อเขาเป็นคนผลิต คิดสร้างตั้งแต่เนื้อร้องยันปกซิงเกิ้ล
“ไม่ถึงขนาดนั้น...เปิดไปดิสก์สี่นะครับ” เขาบอก แล้วญาตาวีก็กดนิ้วลงไปบนจอเครื่องเล่นซีดีอย่างไม่แน่ใจนัก เทคโนโลยีในรถยนต์สมัยนี้ชักจะล้ำยุคขึ้นทุกวันจนเธอตามไม่ค่อยทัน “ผมก็ต้องฟังเพลงอื่นสร้างแรงบันดาลใจบ้างเหมือนกัน”
…When I hadn’t met you, love was something I seemed clueless
But then I met you, who subsequently turned me breathless,
When your eyes showed my eyes…for the first time…
ไม่ใช่แค่เสียงเพลงจากเครื่องเล่น แต่เสียงนุ่มของผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ ดังคลอขึ้นมาแทบทันทีทันใด น้ำเสียงทุ้มที่ทิ้งหางเสียงเอื่อย ๆ สื่อความรู้สึกของการรอคอยและการพบเจอที่อ่อนหวานทำให้ญาตาวีรู้สึกร้อน ๆ ในหน้าอย่างประหลาด
…Oh darling, you’ve turned the blue moon into a sun rise
Oh darling, you’ve made me dream of you every night
And darling, I wish I could hold you tight…with me forever.
..And that was when your eyes …continued to show mine.
เนื้อเพลงหวานหู กับทำนองนุ่มที่ชวนให้เคลิ้มฝัน โดยเฉพาะเมื่อเสียงทุ้มของนักร้องหนุ่มประสานกับเสียงของบลูกายที่ลงทุนร้องสดให้เธอฟัง ญาตาวีต้องหันหน้ามองกระจก ไม่กล้ามองสายตาคมของคนที่กำลังขับรถและฮัมเพลงอย่างรื่นเริง กลัวนักว่ากำแพงน้ำแข็งที่เพียรสร้างจะสั่นคลอนและพังลงง่าย ๆ
หญิงสาวนิ่งไปครู่ ก่อนตัดสินใจหันกลับมา กดปุ่มเปลี่ยนจากเครื่องเล่นซีดีไปเปิดวิทยุเสียดื้อ ๆ เลือกอยู่ครู่ เสียงเพลงป๊อปเบา ๆ ก็ดังคลอในห้องโดยสาร
ญาตาวีไม่ได้ตั้งใจให้เขาเข้ามาในห้องพัก แต่เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอก็หมดทางหลบเลี่ยง คุณพัชรินทร์เงยหน้ามองเลิกคิ้วเพียงนิด ปล่อยให้บุตรสาวก้าวไปเปิดประตูห้อง ก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วขึ้นสูงกว่าเดิมเมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามา ปุณณ์ยกมือไหว้สตรีเจ้าของห้องอย่างคุ้นเคย ขณะที่โฬมหรี่ตามองคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณน้า” ปุณณ์เอ่ยแล้วเดินเข้าไปวางถุงขนมลงบนโต๊ะ “ดีจังที่วันนี้คุณน้ากลับมา ผมเตรียมแป้งกับปลามาด้วย คิดถึงสเต็กปลากับเค้กฝีมือคุณน้าน่ะครับ”
เพียงเท่านั้นคุณพัชรินทร์ก็หัวเราะคิกอย่างรู้ทัน “วานเอาเข้ามาไว้ในครัวเถอะปุณณ์ เดี๋ยวน้าทำให้”
“อ้อ…นี่เพื่อนผมครับ นายโฬม” เขาดึงแขนเพื่อนมา แนะนำตัวกับเจ้าของบ้าน โฬมกมือไหว้เธออีกครั้ง
“คุณน้าคงเคยได้ยิน...บลูกาย หมอนี่ล่ะครับ”
“อ้อ…นักร้องที่วีเปิดเพลงเขาบ่อย ๆ ใช่ไหม”
“เลิกเปิดแล้วค่ะแม่ ตอนนี้หนูเลิกฟังเพลงแล้ว” ญาตาวีรีบบอก ไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอเคยเป็นแฟนคลับที่เหนียวแน่นของเขา
มารดามองแล้วขยิบตาล้อ “ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนักนะลูก”
“โธ่…แม่คะ อย่าเห็นคนอื่นดีกว่าลูกตัวเองได้ไหม”
“คนอื่นที่หนูว่าเป็นเจ้ามือมื้อกลางวันเลยนะ”
ญาตาวีเบะปากทำหน้างอ ส่งค้อนกราดให้ตั้งแต่ปุณณ์จนถึงโฬม “ฮึ…แม่น่ะ”
คุณพัชรินทร์อมยิ้ม มองท่าทีกระเง้ากระงอดของบุตรสาวอย่างเอ็นดู ก่อนหันไปมองชายหนุ่มผู้เคยเป็นวิญญาณหลงทางที่เธอเคยรู้จัก ในดวงตาเขาไม่มีความคุ้นเคยให้เธอแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่พอเหลือเค้าของคุณเหมที่เธอเคยพบ คงเป็นแววตาที่มองญาตาวีคู่นั้น ประกายบางอย่างทำให้เธอไม่ได้ขวางเมื่อเขาก้าวเข้ามาในชีวิตของบุตรสาว
-----
คุณคิมหันตุ์ : กลับมาต่อให้แล้วค่ะ คราวก่อนหัวบวมนิดหน่อย
คุณ konhin : จริงค่ะ ตอนนี้ไอซ์อยู่กับเด็กแรกเกิด 30 กว่าคน เหนื่อยมากกกกกกก
คุณ ใบบัวน่ารัก : ไอซ์ลายมือสวยนะ(ถ้าไม่รีบ) แต่พี่พยบ.ยังชมบ่อย ๆ ว่า 'หมอลายมือสวยนะ แต่...อ่านไม่ออก^^'
-----
และเช่นเคย
ปล.1 เรื่องนี้อาจมีศัพท์แสงประหลาด เฉพาะทางเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อความสมจริงในการพูดคุยของตัวละคร แต่จะพยายามาอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง หากมีส่วนไหนขัดข้อง หรือทำให้เสียอรรถรสไป รบกวนติชมจะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ปล.2 เรื่องนี้เป็น season II ฉบับต่อจาก season I(ภาคพรีคลินิค) บรรดานศพ.กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ ที่ได้สัมผัสผู้ป่วยจริง เนื้อหาจะสปอยเรื่องราวในภาคแรกที่เด็ก ๆ ยังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่(ซึ่งไอซ์ยังเขียนไม่จบ เพราะติดเรื่องแรงบันดาลใจในชีวิตนักศึกษา เลยขอมาจับชีวิตในชั้นคลินิคที่ใกล้ตัวกว่าก่อน) มีปมบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ไอซ์พยายามเขียนโดยค่อย ๆ เผยปมและเนื้อเรื่องเดิมให้พอเข้าใจได้ หากติดขัดประการใดแจ้งได้นะคะ
คิดถึงทุกท่านค่ะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มี.ค. 2557, 15:17:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มี.ค. 2557, 15:17:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 1847
<< Chapter 5 '...โอย...หัวจะบวมแล้ว!!!' |

คิมหันตุ์ 8 มี.ค. 2557, 19:00:04 น.
อ้าวเจอ คุณแม่แล้ว ทำยังไงน้าคุณโฬม อิอิ
อ้าวเจอ คุณแม่แล้ว ทำยังไงน้าคุณโฬม อิอิ


konhin 10 มี.ค. 2557, 23:22:36 น.
คุณแม่จำได้ด้วยอ่ะ
คุณแม่จำได้ด้วยอ่ะ

goldensun 12 มี.ค. 2557, 18:09:20 น.
เป็นคำเตือนที่ดีค่ะ จริงๆ ไม่ว่าจะอารมณ์ไหน ก็ต้องมีสติคอยควบคุม ขาดสติเมื่อไหร่ ก็ไม่ปลอดภัยเมื่อนั้น
โฬมเริ่มทำคะแนนอีกแล้ว วีแข็งนอก อ่อนในนะนี่
เป็นคำเตือนที่ดีค่ะ จริงๆ ไม่ว่าจะอารมณ์ไหน ก็ต้องมีสติคอยควบคุม ขาดสติเมื่อไหร่ ก็ไม่ปลอดภัยเมื่อนั้น
โฬมเริ่มทำคะแนนอีกแล้ว วีแข็งนอก อ่อนในนะนี่