ตกกระไดหัวใจพลอยรัก
เมื่อหนุ่มหน้าหวานใส ผู้รักความโสดและเสียงดนตรีเท่าชีวิต
ถูกประกาศิตจากบิดาให้แต่งงานทันทีกับหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้
ที่เขาไม่รู้จักสักนิด
แล้วเรื่องอะไรที่ผู้ชายอย่างเขาจะยอมง่าย ๆ เล่า
แต่เรื่องมันยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปอีก เมื่ออดีตคนรักของเขา
ที่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ทิ้งลูกไว้ให้เขารับผิดชอบ !!

Tags: แต่งงาน,น่ารัก,หวานแหวว,รักเพื่อน,รัก,สดใส

ตอน: ตอนที่ 4 ความเปลี่ยนแปลง

หลังจากมาธวีกลับไปกรุงเทพแล้ว ปัณฑ์ธรก็รู้สึกเงียบเหงาไปถนัดตา ที่ระยองไม่มีอะไรให้เขาเล่นสนุกเลย ไนต์คลับก็ไปไม่ได้เหมือนเก่าแล้ว เพราะเกรงว่าจะเจอโจทก์เก่า พอนึกว่าจะเอาโทรศัพท์มาเล่นเกมส์ก็เพิ่งนึกได้ว่า โทรศัพท์ของเขาปิดเครื่องถาวรมาหลายวันแล้ว เพราะรู้ว่าผู้เป็นพี่ชายและพวกเพื่อนร่วมวงของเขาคงจะโทรตามกันให้ยิก ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเดินเตร็ดเตร่อยู่ภายในที่พักเป็นดีที่สุดเผื่อว่าการไปเดินโชว์ตัวขำๆที่สระว่ายน้ำ อาจจะทำให้เขาได้พบคนที่ทำให้คลายเบื่อไปบ้างสักพักก็เป็นได้ คิดได้ดังนั้นปัณฑ์ธรก็ลุกขึ้นเปลี่ยนชุดจากชุดนอน กลายเป็นกางเกงว่ายน้ำรัดรูป แล้วเดินผิวปากร้องเพลงออกไปจากห้องอย่างอารมณ์ดี

สิรดนัยวางเอกสารของบริษัทที่เขานำกลับมาจากที่ทำงานลงกับโต๊ะทำงานตัวโตที่เต็มไปด้วยเอกสาร แล้วทรุดตัวลงบนเก้าอี้โซฟาตัวโต ก่อนจะนวดขมับตัวเองเบา ๆ เพื่อคลายความปวด ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ด้วยเรื่องของน้องชายที่ทำตัวก้าวร้าวชนิดร้ายกาจ แถมหายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืนโดยไม่ติดต่อกลับอีก เขาปิดเปลือกตาหนักอึ้งลงอย่างช้า ๆ เหมือนไม่ต้องการที่จะพบเจอกับเรื่องราวตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากสนิทจนเป็นเส้นตรง พลางพยายามใช้ความคิดว่าเขาควรจะทำเช่นไรกับเรื่องเหล่านี้ดี

ทั้งเรื่องที่ปัณฑ์ธรหายตัวไป และเรื่องงานที่ค่ายเพลงของครอบครัว

แต่ไม่ทันที่ชายหนุ่มผู้แบกรับภาระของครอบครัวแทนบิดามารดาที่ไปเที่ยวรอบโลกอย่างสนุกสนานจะได้พักผ่อนถึงห้านาที เสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้น ก่อนที่สาวใช้จะเดินเข้ามา

“ คุณแดนคะ คุณเดือนโทรศัพท์มาค่ะ บอกว่าอยากจะเรียนสายกับคุณปัณ แต่ดิฉันบอกว่าคุณปัณไม่อยู่ เธอก็ไม่เชื่อและบอกว่าถ้าคุณปัณไม่อยู่ ก็จะขอเรียนสายกับคุณแทนค่ะ ”

สิรดนัยพยักหน้ารับรู้ พลางถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยหัวใจอีกครั้ง เมื่อนึกถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กน้อยปลายสาย ที่เขาเองก็ยังไม่รู้จะจัดการเรื่องราวของเขาและเธอให้ลงตัวได้อย่างไร

เมื่อร่างสูงเดินไปถึงโทรศัพท์ เขาก็หยิบมันมาแนบแก้ม กรอกเสียงถามปลายสายเนือยๆ

“ สวัสดีครับ พี่แดนพูด ”

เด็กสาวปลายสายพูดสวนขึ้นมาทันทีที่เขาเอ่ยจบ

“ พี่ปัณไม่อยู่จริง ๆ เหรอคะ หรือว่ารวมหัวกันปกปิด กีดกันเดือนน่ะ ” ปลายสายถามด้วยเสียงไม่พอใจ ทำให้สิรดนัยนึกเอือมระอากับนิสัยของเธอ

“ พี่เป็นผู้ใหญ่ พี่ไม่โกหกเธอหรอกนะ ” เขาบอกอย่างพยายามทำให้เธอใจเย็น “ เดือนมีธุระอะไรสำคัญกับเขาหรือเปล่า จะฝากพี่บอกเขามั๊ย ”

ปลายสายเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบคำถาม

“ ไม่มีหรอกค่ะ ถ้ามีมันก็ไม่ใช่ธุระสำคัญสิ เป็นพี่แดน ถ้าพี่แดนมีธุระสำคัญกับคนคนนึง พี่แดนจะฝากข้อความไว้กับคนอื่นให้เขาได้รับรู้หรือเปล่าคะ ”

คำยอกย้อนของเด็กสาวทำให้สิรดนัยอดที่จะอมยิ้ม และหัวเราะเบา ๆ ในลำคอไม่ได้ เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงของเด็กสาวที่อยู่ปลายสาย ตรงกันข้ามกันพอได้ยินเสียงหัวเราะของสิรดนัย ฝ่ายโน้นก็ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ กระเง้ากระงอดถามชายหนุ่มผู้เป็นว่าที่คู่ชีวิตว่าหัวเราะเยาะเธอทำไม นั่นยิ่งทำให้เขาหัวเราะเสียงดังกว่าเก่า

“ พี่แดน ถ้าไม่หยุดหัวเราะนะ เดือนจะไม่พูดกับพี่แดนตลอดชีวิตเลยด้วย ” เพ็ญนีต์บอก พยายามทำเสียงหนักแน่นจริงจัง เพื่อให้พี่แดนของเธอรู้ว่า เธอจะไม่พูดกับเขาจริงๆ!

“ เดือนจะไม่พูดกับสามีเดือนไปตลอดชีวิตก็ลองดูสิ ” เขาเหย้าแหย่อย่างไม่คิดจริงจัง แต่มันกลับทำให้ปลายสายเงียบไปเสียเฉย ๆ สักพัก ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชา

“ เดือนเคยบอกพี่แล้วใช่ไหมคะ ว่าเดือนไม่ชอบ ถ้าพี่แดนพูดถึงมันอีกเดือนจะไม่พูดกับพี่แดนอีกเลย”

“ เดือน พี่แค่....”

เขาแค่ต้องการที่จะบอกเธอว่า เขาแค่อยากจะแหย่เธอเล่นเพราะรู้ว่าเธอไม่ชอบนักที่จะได้ยินเขาเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น หากแต่ปลายสายก็วางใส่หูเขาไปโครมใหญ่เสียแล้ว หากแต่สิรดนัยก็ไม่ค่อยใส่ใจกับความไม่พอใจของเพ็ญนีต์มากนัก เพราะรู้ว่าเด็กอย่างเธอนั้นโกรธง่ายหายเร็ว เดี๋ยวเธอก็ต้องหายโกรธเขาไปเอง เด็กที่ไหนจะโกรธผู้ใหญ่ได้นานกัน อีกอย่าง เขาก็มีเรื่องให้ต้องกังวลมากมายอยู่แล้ว เขาเองก็ไม่อยากจะหาเรื่องมาใส่หัวเพิ่มมากขึ้นหรอก แต่ยังไม่ทันทีเขาจะหมุดตัวกลับได้เต็มตัว โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้จึงเป็นเขาที่รับสาย

“ว่ายังไงล่ะ” เขาพูดอย่างรู้ทันว่าใครเป็นคนโทรกลับมา “ไหนว่าเดือนจะไม่พูดกับพี่อีกต่อไปแล้วไง นี่ผ่านไปกี่นาทีเองเนี่ย” เขาบอกอย่างล้อเลียน ก่อนจะก้มลงมองที่นาฬิกาเรือนงาม

“พี่แดน !!!” เพ็ญนีต์ร้องขึ้นอย่างเหลืออด “ทำไมต้องล้อเลียนเดือนด้วยเล่า”

สิรดนัยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“พี่ไม่ได้ล้อ พี่พูดความจริง” ชายหนุ่มไม่ได้โกหกแม้แต่คำเดียว “ว่าแต่เดือนโทรกลับมามีธุระอะไรล่ะ”

“มีแน่ คราวนี้เดือนมีธุระกับพี่แดน ไม่ใช่พี่ปัณ”

สิรดนัยครางในลำคออย่างแปลกใจ ก่อนจะอนุญาตให้ฝ่ายนั้นบอกธุระของเธอมา

“พี่ปัณหายตัวไปกี่วันแล้วคะ เมื่อวานนี้เดือนโทรมาที่บ้านตอนกลางวัน แต่แม่บ้านบอกว่าพี่ปัณไม่อยู่ หนีออกจากบ้านหลายวันแล้ว”

สิรดนัยได้ยินชื่อของน้องชายแล้วอารมณ์ขุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

“เขาทะเลาะกับพี่ เรื่องที่พี่ต้องการจะให้เขาแต่งงานกับคนที่พี่และพ่อกับแม่เห็นสมควร”

“อะไรกัน!!” เด็กสาวอุทานเสียงหลงอย่างไม่พอใจ “พี่แดนทำอย่างนั้นไม่ได้นะ เดือนไม่ยอมจริงๆด้วย พี่แดนก็รู้ว่าเดือนชอบพี่ปัณมาตั้งนานแล้ว...ไม่สิ ไม่ใช่แค่พี่ที่รู้ ทุกคนก็รู้ ทุกคนก็รู้ว่าเดือนชอบพี่ปัณ เดือนอุตส่าห์เรียนจบภายในสามปีครึ่ง เพื่อมาเป็นเจ้าสาวของพี่ปัณ ทำไมพี่แดนไม่บอกคุณลุงคุณป้าไปล่ะ”
สิรดนัยผ่อนลมหายใจยาว

“เดือนก็รู้ ว่ามันเป็นไปไม่ได้ รู้เหตุผลใช่ไหมว่าทำไม....” เหตุผลที่ว่า ไม่มีใครสนับสนุนเพ็ญนีต์กับปัณฑ์ธรเลย อีกทั้งเพ็ญนีต์เองก็เป็นคู่หมายของเขาตั้งแต่เด็ก มันคงจะตลกเกินไป ที่จะหมั้นกับพี่ แต่ดันไปแต่งงานกับน้อง

“แต่พี่แดนก็ไม่ได้ชอบเดือนไม่ใช่เหรอ” ปลายสายเสียงแผ่วลงเล็กน้อย “พี่แดนบอกกับพวกญาติๆของพวกเราได้นี่ แต่พี่แดนไม่พูด เพราะพี่แดนเกรงใจ จะเกรงใจทำไมก็ไม่รู้”

“พี่ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่าเดือนกับปัณมันเป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องที่จะให้พี่คุยกับญาติเรื่องที่จะให้เราสองคนเป็นอิสระต่อกันพี่ขอหาจังหวะดีๆสักหน่อย”

เพ็ญนีต์เงียบเสียงไปพักใหญ่ ก่อนจะบอกเขาเสียงอ่อย

“เดือนก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้กับพี่แดนเหมือนกัน ขี้เกียจจะพูด ที่โทรมานี่ก็แค่อยากจะบอกว่าให้ไปออกตามหาพี่ปัณได้แล้ว เมื่อคืนเดือนฝันถึงพี่ปัณ ฝันไม่ดีเลย เดือนกลัวพี่ปัณจะเป็นอันตราย เดือนรู้ว่าพี่แดนรู้ว่าพี่ปัณอยู่ไหน พี่แดนหาเขาได้ไม่ยากหรอก” เธอเว้นจังหวะการพูดไปพักใหญ่ จนสิรดนัยคิดว่าเธออาจจะสายหลุดไปแล้ว เธอก็พูดแทรกขึ้นมา “แล้วก็เตรียมรับความปวดหัวระรอกใหญ่ไว้ได้เลย ฝันดีค่ะ”

จบคำเธอก็วางสายไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังทิ้งปริศนาไว้ให้ร่างสูงต้องใช้สมองเพิ่มขึ้นอีกส่วนอย่างเลี่ยงไม่ได้


เสียงเคาะประตูโครมครามราวฟ้าถล่มจากด้านนอก ทำให้ปัณฑ์ธรที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหน้าต้องยกหมอนขึ้นมาปิดหูอย่างนึกรำคาญ ก่อนที่ร่างเปลือยเปล่าข้างตัวของเขาจะดิ้นขลุกขลิกแล้วเอื้อมมือมากอดเขาอย่างเอาใจ

“ใครกันคะปัณ” เสียงหวานใสของหญิงสาวเอ่ยถาม ก่อนจะพยายามซุกไซร้ใบหน้าของตัวเองกับแผ่นอกกว้างราวกับต้องการความอบอุ่น

“อย่าไปสนใจเลยน่า” เขาบอก ก่อนจะรั้งร่างนั้นเขามาแนบชิด และประทับจูบบนกลีบปากบางของหญิงสาวคนนั้นอย่างร้อนแรง โดยที่เธอก็สนองตอบเขาอย่างเผ็ดร้อนไม่แพ้กัน ปัณฑ์ธรยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะพลิกตัวขึ้นทาบทับร่างบางนั้นอีกครั้ง

“อะไรกันคะ จะไม่กินเข้าเช้ากันก่อนหรือไง อย่างน้อยก็อาบน้ำแปรงฟันก็ยังดี” หญิงสาวบอกอย่างนั้น แต่ดวงตาและท่าทางของเธอกลับแปรผกผันกับคำพูด หญิงสาวแปลกหน้าที่ปัณฑ์ธรทราบเพียงว่าเธอชื่อ ‘ตาล’ ส่งสายตายั่วยวน ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดรัดรอบคอของชายหนุ่มหน้าหวาน

“แต่ท่าทางคุณจะไม่อยากกินข้าวอย่างที่ชวนผมนะ” ปัณฑ์ธรยิ้มอย่างรู้ทัน ทำให้เธอหัวเราะอย่างเขินอาย “แต่ผมหิวข้าวแล้ว ผมกินคุณรองท้องก่อนแล้วค่อยออกไปหาอะไรกินกันนะ”

ไม่ต้องรอให้เธอพูดจบ ปัณฑ์ธรก็แนบริมฝีปากของเขาลงบนกลีบปากร้อนของเธอทันที

พร้อมกับใครอีกคนหนึ่งที่บุกเข้ามาให้ห้อง

“ปัณฑ์ธร !!”

หญิงสาวคู่ขาของเขาร้องตกใจเมื่อมีบุคคลที่สาม สี่ ห้า เดินเข้ามาภายในห้องพัก รีบผลักอกของปัณฑ์ธรให้ออกห่าง และหาผ้ามาคลุมร่างทันที ด้านสิรดนัยหลังจากเรียกชื่อน้องชายเสียงแข็ง และเห็นเต็มสองตาว่าน้องชายเขากำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ก็ต้องตกใจหลบหน้าหนี หน้าขาวของสิรดนัยเรื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“แหม หน้าแดงน่ารักเชียวนะครับพี่แดน” ปัณฑ์ธรแซว ก่อนจะอ้าปากหาวหวอดๆ “แล้วตามมาที่นี่ได้ยังไงกันครับเนี่ย ผมคิดว่าคราวนี้พี่แดนเบื่อจะตามผมแล้วเสียอีก”

สิรดนัยหันหน้ากลับมา เมื่อเห็นว่าคู่นอนของน้องชายเพิ่งจะวิ่งหลบออกจากห้องไปแล้ว

“ความจริงฉันก็เบื่อจะตามแกแล้วเหมือนกัน แต่เดือนบอกว่าเขาฝันไม่ดี เป็นห่วงนายฉันก็เลยมาตามกลับไป ให้มันหมดเรื่อง”

คำตอบของพี่ชายจอมเผด็จการของเขาทำเอาปัณฑ์ธรหัวเราะคิก

“ยังไม่ทันแต่งงานกันเลย กลัวเมียแล้วเหรอครับพี่แดน”

คำล้อของน้องชาย ทำเอาสิรดนัยขายหน้าแม่บ้านและพนักงานของรีสอร์ตเป็นอย่างมาก หากแต่ชายหนุ่มกลับพยายามตีหน้าขรึม และขอให้พนักงานของรีสอร์ตออกไปก่อน จึงได้เริ่มพูดกับน้องชาย

“อย่ามาทำเนียนเปลี่ยนเรื่องไปหน่อยเลยนายปัณ แกมาอยู่ที่นี่ถลุงเงินใบบัตรเครดิตซะเต็มวงเงิน เอาไปปรนเปรอใครหมดล่ะ ยัยคนเมื่อกี้หรือเปล่า”

ปัณฑ์ธรยักไหล่ไม่ตอบอะไร

“แล้วอย่างนี้ฮันนี่ของแกรู้หรือเปล่าว่าแกมาลั้นลาอยู่กับผู้หญิงอื่น”

ปัณฑ์ธรเลิกคิ้วอย่างสงสัย มาธวีรู้แล้วจะทำไมหรือ ก่อนจะระลึกได้ว่าตอนนี้ สำหรับสิรดนัยแล้ว มาธวีคือ ‘ฮันนี่’ สุดสวาทขาดใจตัวจริงของเขาอยู่นี่นา ปัณฑ์ธรจึงนึกสนุก อยากจะให้พี่ชายเข้าใจผิดต่อไป

“เขารู้ว่าผมมาพักผ่อนครับ เธอยังมาอยู่กับผมตั้งสองวัน เพิ่งกลับไปเมื่อวานซืนนี้เอง”

สิรดนัยทำหน้าประหลาด เหมือนกับไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงท่าทางใสซื่ออย่างเด็กคนนั้นน่ะหรือจะมาค้างคืนอยู่กับปัณฑ์ธรถึงสองวัน

“แกสองคน...”สิรดนัยทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็หักใจไม่พูด เปลี่ยนเป็นบ่นราวกับเขาเป็นผู้ชายที่หลงยุคมา “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กสมัยนี้เขารับพฤติกรรมแบบนี้ของคู่รักตัวเองได้ด้วย”

“ฮันนี่ของผมเขาชินแล้วล่ะครับ” นักร้องอินดี้พูดจาราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

“ฉันเหนื่อยใจจริงๆ” สิรดนัยบ่นอีก ก่อนจะออกคำสั่งตามนิสัย “เอาเป็นว่าตอนนี้แกเก็บของ แล้วกลับไปกับฉันก่อนดีกว่า มีเรื่องให้ต้องปวดหัวอีกมาก แกไม่อยู่รู้ไหมว่าเพื่อนนักดนตรีของแกโทรมาที่บ้านวันละเป็นร้อยรอบ เพราะวงดนตรีขาดนักร้อง เห็นแล้วใช่ไหมว่าการตัดสินใจของแกทำให้คนอื่นเดือดร้อนขนาดไหน เออพอพูดถึงเรื่องวงของแก เมื่อไหร่แกจะตัดสินใจว่าจะเข้ามาทำงานให้กับค่ายเพลงของเราสักที มีน้อ...”

สิรดนัยทำท่าจะบ่นต่ออีกยืดยาว แต่เขาก็โดนน้องชายตัวดีเบรกไว้

“ โหย พี่ครับ ” ปัณฑ์ธรร้องโอด ก่อนจะยัดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋า “พี่บ่นจนผมเก็บของเสร็จแล้วนะเนี่ย ผมล่ะสงสารยัยเดือนจริงๆให้ตายเถอะ”
สิรดนัยขมวดคิ้ว “สงสารทำไม”

“ก็แต่งงานครั้งเดียว ได้ครอบครัวเพิ่มขึ้นทั้งครอบครัว ทั้งสามี ทั้งพ่อ ทั้งแม่ขี้บ่น” พูดจบชายหนุ่มก็หัวเราะรื่นเริง ปล่อยให้พี่ชายคำรามหึ่มๆอย่างเจ็บใจ

หลังจากรอน้องชายตัวดีเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยอมเดินตามมาอย่างง่ายดายกว่าทุกครั้งจนสิรดนัยอดจะแปลกใจไม่ได้ ระหว่างที่เขาเดินนำปัณฑ์ธรกลับนั่นเอง น้องชายก็เริ่มทำท่าโอดโอย

“เป็นอะไรอีก” สิรดนัยหันไปมองน้องชายที่หยุดยืนกุมท้องตัวเอง
“ผมปวดท้องครับพี่แดน” ปัณฑ์ธรบอก ก่อนจะงอตัว “รอผมที่รถแป๊บนึงนะครับพี่”

“อย่ามาลีลาดีกว่า พี่จะไปด้วย”สิรดนัยทำท่าเหมือนจะเดินตามเขาไป หากแต่ปัณฑ์ธรกลับยกมือขึ้นห้าม

“ผมไม่ใช่เด็กๆนะครับพี่ เดี๋ยวผมมาจริงๆ”

สิรดนัยมองน้องชายอย่างช่างใจเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้า ปัณฑ์ธรก็ทำท่าเหมือนเต็มตื้นเสียเต็มประดา เมื่อพี่ชายยอมปล่อย ก่อนจะวิ่งปรู้ดหายไปทันที สิรดนัยจึงยอมเดินกลับไปที่รถตามลำพัง ก่อนที่หางตาของเขา เหมือนจะเห็นใครบางคน เดินตามน้องชายของเขาไป

“คิดไปเองมั้ง” สิรดนัยยักไหล่ ก่อนจะเดินตรงกับไปยังรถต่อ

จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ยังไม่เห็นวี่แววของเจ้าน้องชายตัวดี สิรนัยจึงรู้แล้วว่า บางทีเขาอาจจะถูกเจ้าตัวดีหลอกเข้าให้อีกแล้ว

เสียงโทรศัพท์ของคนขับรถเขาดังขึ้น เจ้าตัวสนทนาอย่างสุภาพสองสามคำ ก่อนจะค่อยๆหันมามองเจ้านายคนโตของเขาหน้าเหยเก

“คุณปัณบอกว่า....รักคุณแดนมากครับ แต่...เขากลับไปกับคุณแดนไม่ได้”

“ว่าไงนะ!!”

สิรดนัยร้องอย่างเจ็บใจที่เสียรู้น้องชายอีกแล้ว

มาธวีอ้าปากค้างตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกตะลึง เมื่อเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่มาเคาะประตูห้องเรียกเธอแต่เช้านั้นเป็นใคร หญิงสาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาอีกครั้งเพื่อหวังว่านี่จะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่ไม่เป็นความจริง แต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ‘มัน’ ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม มิหนำซ้ำ ‘มัน’ ยังยื่นนิ้วเรียวยาวหากแต่หยาบกร้านของมัน มาตบแก้มนวลของเธอเบา ๆ สามครั้ง หญิงสาวกระพริบตาถี่ยิบอย่างมึนงงและสับสนในใจ ภายในสมองไม่สามารถประมวลผลอะไรออกมาได้ เธอจึงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ มองคนที่ยืนโปรยยิ้มหวานชวนใจสั่นตรงหน้าด้วยสายตาที่พร่ามัว ปากแห้ง ๆ ที่แอบเลอะคราวน้ำลายขยับพึมพำกับตัวเองว่านี่คงต้องเป็นความฝันแน่ ๆ หากแต่เจ้านักร้องอินดี้รูปงามตรงหน้ากกลับหยิกแก้มนวลทั้งสองข้างเบา ๆ จนเจ้าตัวสะดุ้งเพราะความเจ็บ

“ ไม่ได้ฝันไปหรอกจ้ะฮันนี่ ~” ปัณฑ์ธรบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะก้มตัวลงหยิบกระเป๋าสัมภาระและแอมป์ตัวกะทัดรัดที่วางอยู่ข้างตัว แล้วเดินเข้าห้องพักส่วนตัวของมาธวีทันทีอย่างหน้าตาเฉย แถมผิวปากอารมณ์ดีอีกต่างหาก มาธวีอ้าปากค้างกับพฤติกรรมเสื่อม ๆ ของผู้มาเยือน ไม่นึกว่าสิ่งมีชีวิตที่แสนเจิดจรัสอย่างปัณฑ์ธรจะทำตัวหน้าด้าน(แบบสุด ๆ ) เข้าบ้านคนอื่น โดยที่เจ้าของห้องยังไม่ได้ชวน และไม่คิดจะชวนด้วย

“ แกมาที่นี่ได้ยังไง ทำไม ?? ” มาธวีเกาหัวยุ่งเหยิงของตัวเอง พลางทำน้ามึนซึ่งอาการนั้นของเธอทำให้นักร้องหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจเสมองทางอื่นเรื่อยเปื่อย

“ ห้องแกแคบกว่าที่คิดว่ะ แต่ฉันคิดว่าฉันพอจะอยู่ได้ ” นักร้องหนุ่มหน้าหวานบอก ก่อนจะวางสัมภาระ และกีตาร์ที่แบกอยู่ลงบนโซฟารับแขกกลางห้อง พลางสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ พร้อมเบ้ปากเหมือนรังเกียจ

มาธวีสาวเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม

“ ฉันถามอยู่ ไม่ได้ยินหรือไง ” ร่างบางตะโกนเสียงดัง จนคนฟังต้องอุดหู “ อยู่ดีๆ ก็โผล่มาก่อกวนแต่เช้า แล้วขนของพวกนี้มาทำไมกัน ” หญิงสาวชี้ไปที่ข้าวของที่ปัณฑ์ธรขนมา ซึ่งเธอเองรู้สึกได้ว่ามือของตัวเองนั้นสั่นเทาไปหมด ไม่ใช่ว่าสั่นเพราะกลัวเขาหรอกนะ แต่สั่นเพราะโกรธต่างหากล่ะ

“ พี่แดนตามไปเจอฉันที่ระยอง แต่ฉันยังไม่อยากกลับไปอยู่กับเขา ก็เลยนึกถึงแกขึ้นมา ” เขาบอกเสียงเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ ก่อนจะหยิบขนมที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะขึ้นมาใส่ปาก

มาธวีเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างของตัวเองเกาหัวอย่างรุนแรง ตอนนี้นอกจากความเจ็บจากการที่ขยี้หนังหัวตัวเองอย่างแรงจนแทบจะหลุดติดเล็บออกมาหมดแล้ว เธอยังรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงอีกด้วย หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ก่อนจะกรีดร้องอย่างโหยหวน ซึ่งเจ้าตัวการที่ทำให้เธอต้องปวดสมองขนาดนี้กลับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร กลับทำตัวกักขฬะกว่าเดิม ด้วยการบ้วนขนมชิ้นใหม่ที่เพิ่งยัดเข้าปากลงพื้น ก่อนจะบ่นเสียงดัง

“ ไอ้ฮัน ซกมกว่ะ ขนมนี่มันโคตรหนืดเลย เปิดทิ้งไว้กี่วันแล้วเนี่ย ”

มาธวีทรุดตัวลงกับพื้นราวกับคนหมดแรง

มาธวีระบายลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหน่าย และจงใจจะให้ ‘ผู้มาเยือน’ รู้สึกตัวเสียทีว่าเขาเป็นตัวปัญหา และสาเหตุที่ทำให้เธอต้องถอนหายใจเสียงดังขนาดนี้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวการจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย เพราะปัณฑ์ธรยังคงลอยหน้าลอยตาเล่นคอมพิวเตอร์ของเธออย่างสนุกสนาน พร้อมกับกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซองสุดท้ายในตู้ของเธอหน้าตาเฉย

“ นี่กี่โมงแล้วอ่ะ ไม่ไปทำงานเหรอ ” ชายหนุ่มถาม ทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคอมพิวเตอร์

“ แล้วฉันจะไปได้ไงล่ะ ในเมื่อแกยังคงนั่งเล่นคอมอยู่ในบ้านฉันอยู่เลย จะให้ฉันปล่อยแกให้เฝ้าบ้านฉันไว้เหรอ ”

ปัณฑ์ธรพยักหน้าช้า ๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรในน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจของมาธวี หญิงสาวมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะหน้าหนาได้มากขนาดนี้ เธอไม่เข้าใจจริงๆเลย ว่าฟ้าต้องการอะไรกันแน่ ถึงทำให้เธอกับปัณฑ์ธรต้องโคจรมาพบกันอีก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พบไม่ได้เจอกันมาสามปีแล้วแท้ ๆ แต่อยู่ดี ๆ ชีวิตของเธอก็ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อเขากลับเข้ามาในชีวิตของเธอ และปฏิบัติกับเธอเหมือนแต่ก่อน ไม่เว้นระยะห่างสักนิด ไม่เหมือนคนไม่เจอกันมานานเลยสักนิด(เล้ยยย)

ตลอดทั้งวัน มาธวีแทบจะไม่มีสมาธิในการทำงานเลย จนโดนเอ็ดอยู่บ่อย ๆ แถมหญิงสาวยังเห็นว่ามีคนแอบจดพฤติกรรมของเธอเอาไว้อีกต่างหาก เธอถอนหายใจอ่อนแรง ไม่รู้ว่าชะตาชีวิตในสำนักพิมพ์ของเธอจะอยู่ได้นานสักแค่ไหน เพราะเธอเองยังทำงานที่นี่ในตำแหน่งของพนักงานทดลองงานได้ไม่ถึงเดือน ถ้าต้องถูกไล่ออกอีกจะเอาอะไรกินแทนข้าว นึก ๆ ก็เสียดายงานที่ผ่านมา ถ้าเจ้านายไม่ลามกแถมมีรสนิยมโลลิค่อนชอบคนหน้าเด็ก ตัวเล็ก นมแบนอย่างเธอ จนมาทำหื่นเรี่ยราดพยายามลวนลามเธอบ่อยครั้งจนคุณนายจับได้ เฉดหัวเธอออกจากบริษัททั้งๆ ที่มันเป็นความผิดของไอ้แก่โอตาคุนั่นล่ะก็ เธอก็คงจะไม่ต้องมาทุกข์ใจกับรายได้ที่ไม่แน่นนอนเช่นนี้หรอก

“น้องฮัน เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูเศร้าๆไปล่ะ” พี่สมร เดินมาทักหญิงสาวที่นั่งตาโรยอยู่บนโต๊ะส่วนตัวอย่างเป็นห่วง “หรือว่ามีเรื่องกับคุณปัณ”
มาธวีหันขวับอย่างตกใจ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ

“โธ่....น้องฮัน” สมรมองเพื่อนรุ่นน้องอย่างสงสารจับใจ ก่อนจะลูบแขนของหญิงสาวอย่างปลอบโยน “ความรักมันทำให้น้องฮันเป็นไปได้มากขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนแรกที่พี่เห็นคุณปัณ พี่คิดอยู่แล้วว่าเขาต้องเป็นคนเจ้าชู้ แต่พี่ไม่คิดว่าเขาจะทำร้ายจิตใจน้องฮันได้ เพราะน้องฮันของพี่เป็นคนน่ารัก”

มาธวีพยายามจะอธิบายว่าสมรเข้าใจผิดไปแล้ว เธอกับปัณฑ์ธรไม่ได้มีปัญหากันเรื่องนั้น ไม่สิ จะพูดให้ถูก ปัณฑ์ธรดูจะไม่มีปัญหาอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ เขาออกจะลั้นลารื่นเริง คนที่มีปัญหาน่ะ มันเธอฝ่ายเดียวต่างหาก

แต่หญิงสาวก็พูดออกไปไม่ได้ เพราะคนที่หวังดีและห่วงใยเธอในกองบอกอ ต่างมารุมให้กำลังใจกับว่าที่เจ้าหน้าที่ประสานงานกองฯอย่างอบอุ่น

“โธ่น้องฮัน..พี่ขอโทษด้วยที่ลบคะแนนความประพฤติของน้องฮันเมื่อเช้า เอาเป็นว่าพี่บวกให้แทนแล้วกัน พี่ไม่รู้จริงๆว่าน้องฮันกำลังเศร้าขนาดนี้”

มาธวีจะอ้าปากบอกว่าเข้าใจผิดกันไปใหญ่โตแล้ว แต่ก็ไม่มีใครฟัง ต่างแย่งกันเอาใจเธอราวกับเป็นเจ้าหญิง จนหญิงสาวไม่อาจจะปฎิเสธความหวังดีเหล่านั้นได้ลงคอจริงๆ

ตกเย็นมาธวีกลับคอนโดด้วยสภาพที่เหนื่อยอ่อนจนหมดแรง เพราะว่ามีเรื่องการเตรียมงานสัปดาห์หนังสือช่วงเดือนตุลาที่จะมาถึงในอีกสองเดือนข้างหน้าจนดึกดื่น เพิ่งจะได้กินข้าวเย็นเมื่อตอนสองทุ่มนี่เอง จนเมื่อมาถึงหน้าประตูห้อง มันเงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่ ทั้ง ๆ ที่หญิงสาวเคยแอบคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะได้ยินเสียง ดนตรีอินดี้ลอดประตูมาเสียอีก แต่นี่กลับเงียบสงัดเหมือนป่าช้า มาธวีขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะเคาะประตูเรียกคนที่อยู่ในห้องให้เปิดประตูรับ พลางยกข้อมือขึ้นดูเวลา นาฬิกาบอกเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว หญิงสาวระบายลมหายใจอย่างไม่พอใจ สีหน้าวิตกกังวล ก่อนจะเหลืบไปเห็นซองสีขาวที่สอดอยู่ตรงช่องประตูด้านล่าง ใจความของจดหมายทำให้มาธวีอุทานอย่างแสนเสียดาย

คืนนี้เราต้องนอนให้ยุงหามด้านนอกนี่จนกว่าไอ้เพื่อนบ้านั่นจะกลับมาจริงๆเหรอ !!

เสียงกีตาร์แหลมแสบแก้วหู ผู้คนเรือนหมื่นที่ดีดดิ้นกันอย่างเมามันราวกับไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวกท่ามกลางความมืดมิดและแสงเลเซอร์หลากสีสันชวนเวียนหัว ไม่ได้รู้สึกรู้สาหรือให้ความสนใจกับหญิงสาวร่างเล็กที่พยายามตะโกนร้องขอทางเพื่อเดินต่อไป พวกเขายังคงสนุกสนานอยู่กับเสียงเพลงอินดี้ทำนองแปลกประหลาดบนเวทีที่ดังก้อง ดื่มเหล้าเคล้านารีข้างกายกันราวกับไม่กลัวผิดศีลธรรม แม้มาธวีไม่ใช่คนธรรมะธรรมโมแต่เธอไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีก ดูแต่เธอเถอะ ในหนึ่งสัปดาห์ที่เธอเข้าไนต์คลับมากถึงสามครั้ง ทั้งสามครั้งล้วนนำเรื่องราวชวนปวดหัวมาให้เธอได้อย่างไม่มีว่างเว้น เป็นเพราะการผิดความตั้งใจของตัวเองตั้งแต่หลังจบมหาวิทยาลัยว่าจะไม่เข้าผับเข้าบาร์อีกกระมัง ถึงได้นำพาเรื่องซวย ๆ มาให้ทันทีเหมือนกรรมติดจรวด หญิงสาวถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับการต้องตะโกนขอทางกับคนมากมายพวกนี้ที่เขาไม่เห็นหัวเธอสักนิด จึงตัดสินใจเดินชนทุกสิ่งที่ขวางหน้าโดยไม่สนใจใคร กลิ่นควันบุหรี่ที่ลอยคละคลุ้งไปหมดทั้งทั่วบริเวณเริ่มหนักข้อขึ้นทำให้มาธวีนิ่วหน้า หญิงสาวยกมือขึ้นปิดจมูกเพื่อหวังว่าจะช่วยบรรเทาอาการมึนหัวและความเหม็นที่เธอเกลียดนักเกลียดหนานี้ได้ แต่ดูท่าว่ามันจะไม่เป็นผล ร่างเล็กยังรู้สึกถึงกลิ่นบุหรี่พวกนั้นได้อยู่ เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่ผู้คนค่อนข้างบางตา

ร่างบางเขย่งเท้าเพื่อมองลงไปยังเวทีแสดงดนตรีเบื้องล่าง เธอเห็นปัณฑ์ธรในชุดเสื้อกล้ามสีเทากับกางเกงขาเดฟ(จนขาลีบเหมือนตั๊กแตน) กำลังแหกปากร้องเพลงอยู่กับเพื่อน ๆ ในวงอย่างเมามัน พอมาธวีเห็นการแสดงบนเวทีของปัณฑ์ธรแล้วก็อดจะยอมรับไม่ได้ว่าเขาช่างมีเสน่ห์เหลือเกินเมื่ออยู่บนเวทีนั่น ดวงตากลมโตเป็นประกายอย่างมีความสุข และเส้นผมยาวประบ่าที่เปียกเหงื่อประปรายนั้นชวนใจเต้นไม่น้อย แต่ก็ไม่เท่ากับรอยยิ้มหวานชวนฝัน หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ในใจ

นี่ล่ะมั้ง ที่ทำให้ฉันตกหลุมรักแกตั้งแต่แรกเห็น

แต่ก็เท่านั้นแหละนะ พอฉันได้รู้จักแก ฉันบอกกับตัวเองได้ทันทีเลยว่าให้ตัดใจจากแกให้ได้!!

มาธวีพยายามที่จะเดินไปให้ใกล้เวทีที่สุดเพื่อที่จะได้ส่งสัญญาณเพื่อเรียกปัณฑ์ธร และขอกุญแจบ้านของเธอมา เพื่อที่จะได้กลับไปนอนหลับให้สบายและสงบสุขที่สุด ก่อนที่เพื่อนรักของเธอจะกลับมา แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่เธอคิดมันจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะไม่เห็นทีท่าว่าเพื่อนชายของเธอจะมองเห็นเลยสักนิด ยิ่งมาธวีเป็นคนตัวเล็กอยู่แล้ว ยิ่งจะเป็นที่สังเกตได้ยากเข้าไปใหญ่ จนเมื่อจบการแสดง มาธวีจึงรีบวิ่งลัดเลาะผู้คนเพื่อไปประชิดตัวปัณฑ์ธร และเอากุญแจให้เร็วที่สุด

แต่แล้ว....เธอก็ต้องเหยียบเบรกแทบไม่ทัน เมื่อพบว่าใครอีกคน ก็มารอพบปัณฑ์ธรเช่นกัน



อิษฎา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2554, 14:00:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มิ.ย. 2554, 14:04:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1523





<< ทะเลยังสวยเหมือนเดิม   
cherryfirm 9 มิ.ย. 2555, 23:41:12 น.
เมื่อไหร่จะมาลงต่อคะ....กะลังตามเลยอ่ะ....^_______^++


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account