ตกกระไดหัวใจพลอยรัก
เมื่อหนุ่มหน้าหวานใส ผู้รักความโสดและเสียงดนตรีเท่าชีวิต
ถูกประกาศิตจากบิดาให้แต่งงานทันทีกับหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้
ที่เขาไม่รู้จักสักนิด
แล้วเรื่องอะไรที่ผู้ชายอย่างเขาจะยอมง่าย ๆ เล่า
แต่เรื่องมันยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปอีก เมื่ออดีตคนรักของเขา
ที่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ทิ้งลูกไว้ให้เขารับผิดชอบ !!
ถูกประกาศิตจากบิดาให้แต่งงานทันทีกับหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้
ที่เขาไม่รู้จักสักนิด
แล้วเรื่องอะไรที่ผู้ชายอย่างเขาจะยอมง่าย ๆ เล่า
แต่เรื่องมันยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปอีก เมื่ออดีตคนรักของเขา
ที่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ทิ้งลูกไว้ให้เขารับผิดชอบ !!
Tags: แต่งงาน,น่ารัก,หวานแหวว,รักเพื่อน,รัก,สดใส
ตอน: ทะเลยังสวยเหมือนเดิม
กระเป๋าเดินทางใบเล็กสีส้มแสบทรวงของมาธวีถูกลากลงมาจากรถตู้คอนเทนเนอร์คันโตของบริษัท เพื่อนำไปเก็บยังห้องพักของรีสอร์ตริมทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง หลังจากที่มีการเลี้ยงฉลองความสำเร็จครึ่งปีแรกเมื่อสองคืนก่อนที่ไนต์คลับ พอมาวันนี้กองบรรณาธิการทั้งกองเห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นวันหยุดยาวประจำปีที่หาไม่ได้ง่าย ๆ เนื่องจากมีวันหยุดชดเชยไปชดเชยมาสิริรวมได้เกือบสี่วัน ทั้งหมดเลยยกกันมาพักผ่อนริมทะเลหน้าฝนที่ไม่ค่อยมีใครเขานิยมมากันอย่างรื่นเริง ไม่มีความเกรงกลัวต่อแมงกะพรุนแต่อย่างใด
“ พอเอาของไปเก็บเรียบร้อยแล้วก็พักผ่อนได้ตามอัธยาศัยนะ ” เจ้าของสำนักพิมพ์ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะพาลูกชายตัวเล็ก และสามีตัวโตของเธอเดินนำเข้าไปในรีสอร์ตหรูหรา ที่มาธวีคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้มีปัญญามาพักเอง หากไร้ซึ่งการสนับสนุนจากญาติเจ้าของรีสอร์ต ซึ่งควบตำแหน่งเจ้าของสำนักพิมพ์ของเธอดังเช่นในครั้งนี้
“น้องฮันจ้ะ ” พี่พะอูนเรียกหญิงสาวอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะรั้งท่อนแขนเล็กของมาธวีให้ไปตามทิศทางที่ต้องการอย่างง่ายดาย “ไปดูห้องกันดีกว่า น้องฮันได้พักกับน้องดาวฝ่ายศิลป์ น้องดาวเขาเดินนำไปโน่นแล้ว คืนนี้เป็นคืนแรกของน้องฮัน พวกพี่จะต้อนรับให้สนุกสุดเหวี่ยงเลยล่ะ”
มาธวีทำหน้าเหรอหรา พยายามจะอ้าปากออกความเห็นว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ เธอไม่อยากเป็นคนพิเศษ ยิ่งไอ้คำโปรยชวนสยิวกิ้วเกี่ยวกับ ‘คืนแรกของน้องฮัน’ นี่มันยิ่งน่าขนพองสยองเกล้าเข้าไปใหญ่ อีกอย่างเธอยิ่งไม่ค่อยไว้ใจคนในกองบอกอนี้สักเท่าไรด้วย เพราะแต่ละคนจินตนาการเกินพิกัดจริงๆ เป็นนิตยสารแม่บ้านแท้ ๆ แต่กลับเป็นแหล่งรวมทั้งคนม่าย คนโสด เวลาว่างเลยมีเหลือแหล่ และจินตนการของสาวบริสุทธิอันเหลือล้น ที่อาจจะเนรมิตอะไรก็ได้ ที่พวกเธอต้องการ
และมันก็เป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ
เพราะหลังจากตะวันลับขอบฟ้า ครอบครัวของเจ้าของสำนักพิมพ์บอกลา เหล่ากองบรรณาธิการทั้งสาวแก่ แม่ม่ายก็ช่วยกันฉุดกระชากลากถูมาธวีเข้ามายังห้องของพะอูน
พลางยื่นชุดสีดำให้หญิงสาว และย้ำว่าให้เข้าไปลองในห้องน้ำ ครู่เดียว เธอก็เดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเก้ๆกังๆ
“ จะให้ฮันใส่ชุดนี้จริงๆเหรอคะพี่” มาธวีพยามดึงชายกระโปรงเดรสเกาะอกสีดำปักเลื่อมที่สั้นเหนือเข่ามาเกือบสามนิ้วอย่างเขินอาย ก่อนจะพยายามเอาผมฟูฟ่องของตัวเองมาปิดไหล่เปลือยเปล่า ที่โชว์ให้เห็นเนินอกคัพเอพิมพ์เล็กของเธอ โผล่พ้นชายเกาะอกออกมาเล็กน้อย พาลให้นึกถึงภาพยนตร์ดังเรื่องหนึ่ง ที่นางเอกโดนอาม่าด่าประมาณว่าหุ่นก็ไม่ดียังอยากจะโชว์อีกขึ้นมาตะหงิดๆ
“ โอ๊ย! ไม่ต้องเขินหรอกค่ะคุณน้อง ” พี่ดาว เพื่อนร่วมห้องของเธอบอก ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามารวบผมฟูฟ่องของเธอที่แผ่กระจายเต็มร่างเล็กของมาธวีออก แล้วรวบมันขึ้นจัดทรงอย่างมืออาชีพ “พี่ไม่ได้เก่งเฉพาะกราฟิคนะคะน้อง พี่เก่งเรื่องคอสตูมด้วย”
ดาวกอดอกมองมาธวีที่กลายสภาพเป็นตุ๊กตาตัวยักษ์อย่างมีความสุข ก่อนที่ทุกคนจะมาร่วม ‘ยำ’ เธอแบบจัดเต็มกันเลยทีเดียว
หญิงสาวมองดูตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกแปลกตาไปมากอย่างไม่น่าเชื่อ จากผู้หญิงที่พลาดดัดลอนผมหยิกทั้งหัวเพราะคิดว่าอยากจะเป็นสาวเซอร์ แต่งกายด้วยชุดปอนๆ เสื้อย้วยๆกางเกงเอวสูงบ้างตามโอกาส กลับกลายมาเป็นสาวเซ็กซี่(เหรอ) ในชุดเดรสเกาะอกสั้นกุด ที่โชว์เนินอกไม่ค่อยอิ่มขาวเกือบเนียนของเธอ กับทรงผมสุดเซ็กซี่ที่รวบขึ้นหลวมๆ ปล่อยให้ปอยผมหลุดออกมาบ้างอย่างเป็นธรรมชาติ คาดด้วยสายคาดผมสีดำวิบวับ กับเครื่องสำอางหนาสีจัดจ้านโบ๊ะอยู่บนหน้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แม้ว่าการแปลงโชมครั้งนี้ของเธอจะไม่ได้ทำให้ตัวเธอเองตกตะลึงจังงังในความสวยของตัวเองเหมือนในละครเวลาที่นางเอกถูกแปลงโฉมจากบรรดาเพื่อน ๆ มืออาชีพ แต่มันก็จัดว่าทำให้เธอแปลกใจไปนิดหนึ่งแล้วก็กัน กับการปรับลุค(ชั่วคราว)ในวันนี้
“เป็นไงคะน้องฮันประทับใจกับชุดหรือเปล่า” พี่พะอูนถามขึ้น พลางส่งสายตาเป็นประกายอย่างคาดหวังในคำตอบแบบเปิดเผย จึงทำให้หญิงสาวไม่กล้าตอบปฏิเสธอะไรได้ นอกจากยิ้มรับไปแห้งๆ
“คืนเนี้ย เป็นคืนแรกที่น้องฮันได้มาค้างกับพวกเรา เราต้องพาไปรับน้องหน่อยแล้ว” ดาวเอ่ยนำ ทำให้กองทัพเสือสาวทั้งหลายร้องเฮ ตบปากรับคำกันทั่วหน้า โดยไม่มีใครถามเธอสักคำ(อีกครั้ง)
มาธวีมองตัวเองในกระจกอย่างปลงสังขาร ก่อนจะฝืนยิ้มร่าน้ำตาตกในไม่กล้าบอกใคร
“เอาล่ะ แต่งน้องฮันเสร็จแล้ว พวกเราก็จัดการตัวเองต่อเลยสิ” ดาวบอกกับเพื่อนๆอีกครั้ง ก่อนจะหันมากล่าวกับมาธวีอย่างลั้ลลา “น้องฮัน นั่งรอก่อนนะคะ เดี๋ยวคืนเนี้ย แก๊งค์เสือสาวอย่างเราได้ตระเวนราตรีกันให้สนุกสุดเหวี่ยงไปเลยนะคะ”
มาธวีมองเหล่าสาวแก่แม่ม่าย เพื่อนร่วมงานของเธออย่างเหนื่อยใจ
“ค่า คุณพี่” เสือสาวรุ่นล่าสุดบอกเสียงอ่อย ก่อนจะเปิดโทรทัศน์ดูละครหลังข่าวที่เพิ่งจะมาอย่างตั้งใจ
มาธวีเดินตามเสือสาวรุ่นพี่เข้าไปในไนต์คลับแห่งหนึ่งในจังหวัดระยองอย่างเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวเดินกระหยองกระแหยงเข้าไปภายในตัวอาคารด้วยความยากลำบากเนื่องจากรองเท้าส้นสูงปรี๊ด แถมยังเป็นส้นเข็มที่พวกรุ่นพี่ระดมทุนกันแอบซื้อมาให้เธอพร้อมกับเสื้อผ้าเพื่อให้เข้าชุด แม้ว่ามันจะคับไปสักหน่อยเพราะการคาดคะเนด้วยสายตาที่ผิดพลาดไปหนึ่งเบอร์จากพวกพี่พะอูน ทำให้เธอต้องเดินไม่ค่อยสะดวก แต่เธอก็ยังรู้สึกขอบคุณพวกหล่อนมากอยู่ดีที่อุตส่าห์ต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นนี้
หลังจากเข้ามาภายในได้ไม่นาน ดาวก็เห็นว่ามีที่ว่างอยู่ไม่ไกลจากบริเวณฟอร์ลมากนัก แก๊งค์เสือสาวจึงเลือกที่จะถลาเข้าไปทันทีโดยไม่รอช้า ครู่เดียวบริกรหนุ่มก็เดินเข้ามารับออร์เดอร์ พลางส่งสายตากรุ้มกริ่มให้กับมาธวีอย่างเปิดเผย
หลังจากสั่งเครื่องดื่มและของกินเล่นกันพอหอมปากหอมคอ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครต้องการจะสั่งอะไรต่อ แต่บริกรหนุ่มก็ทำท่าเหมือนจะยังไม่อยากจากไปง่ายๆ
“จะรับอะไรอีกไหมครับ คุณคนนั้นยังไม่สั่งเครื่องดื่มเลย” บริกรทำหูตาแพรว
พราวเล่นหูเล่นตาใส่มาธวี โดยที่ยังใช้งานเป็นข้ออ้าง หากแต่หญิงสาวปฎิเสธเสียงแข็งอย่างไร้เยื่อไย
“พี่ขอน้ำมะนาวโซดาก็แล้วกันค่ะ” หญิงสาวตอบ พลางเบี่ยงตัวหลบอย่างเสียอารมณ์ เธอไม่ชอบเลยจริงๆนะ คนพวกนี้ ที่มันจะมีทัศนคติว่าผู้หญิงที่แต่งตัวเปิดเผยและเข้าไนต์คลับจะต้องง่ายไปเสียหมด
“อย่าอารมณ์เสียเลยนะน้องฮัน เด็กวัยรุ่นมันก็อย่างเนี้ยแหละ” พี่สมร ผู้สูงวัยอีกคนหนึ่งในกลุ่มบอกอย่างเข้าใจ ก่อนจะสะกิดชวนให้มาธวีไปเต้นด้วยกัน แต่หญิงสาวกลับปฎิเสธ
“พี่ไปก่อนเถอะค่ะ ฮันอยากนั่งเฉยๆสักพัก แล้วอีกอย่างถ้าเครื่องดื่มมาใครจะเป็นคนรับล่ะคะ ” หญิงสาวบอกเหตุผลที่คนในกลุ่มต้องยอมจำนน ก่อนที่แก๊งค์เสือสาวจะถามซ้ำว่าต้องให้อยู่เป็นเพื่อนไหม แต่เธอก็ปฎิเสธ ซ้ำยังแซวเล่นว่าตัวของพวกหล่อนอาจไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อน แต่ต้องให้เงินค่าเครื่องดื่มเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะเหงา
เมื่อกลุ่มแม่เสือสาวทั้งหลายยกขบวนกันไปโยกย้ายส่ายสะโพกกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงบนฟอร์ล หญิงสาวก็อดจะนึกสภาพของตัวเองยามที่จะต้องกลายมาเป็นสาวแก่อย่างพวกนี้ไม่ได้ อนาคตต่อไป ถ้ายังไม่มีใครเข้ามาให้ใจที่แห้งเหี่ยวมานานของเธอได้กลับมาชุ่มชื่นใหม่อีกล่ะก็ เธอก็คงจะต้องสมัครเป็นวีไอพีเม็มเบอร์ของแก๊งค์นี้อย่างแน่นอนและถาวรเสียแล้ว
ยิ่งตกดึก บรรยากาศในที่แห่งนี้ก็ยิ่งคึกคักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่ยิ่งหลั่งไหลกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แต่หญิงสาวไม่ได้สนุกอย่างที่ควรจะเป็น เธอมองดูคลื่นคนที่โยกย้ายไปมาเข้ากับจังหวะเพลงที่ดังกระหึ่มแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะเมื่อสมัยเรียน เธอเคยมาที่แบบนี้หลายครั้งกับวงดตรีของปัณฑ์ธร ในฐานะผู้จัดการวงดนตรีกิตติมศักดิ์ที่ต้องทำหน้าที่ทุกอย่าง ตั้งแต่ทำความสะอาดเครื่องดนตรีไปยันเหรัญญิก
“เฮ้ย!ไอ้หน้าอ่อน มึงมายุ่งกับแฟนกูทำไมวะ”
เสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายทำให้มาธวีหันไปสนใจตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพอเดาเรื่องได้ว่า มีคนสองคนทะเลาะกันเพราะแย่งผู้หญิง ดูเหมือนว่าคนที่จะมาฉกเอาคนรักของนักเลงราตรีคนนั้นจะรูปร่างผอมบางกว่าเขาอยู่มาก สังเกตได้จากกางเกงขาเดฟหนวดกุ้งของเขาที่รัดเปรี้ยะจนเห็นรูปขาเรียวเล็ก แถมไม่มีพรรคพวก ไม่นานก็คงจะถูกซ้อมจนอ่วมอรทัย และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อคนร่างบางกว่าถลาเข้าไปจูบผู้หญิงที่ยืนสั่นเทาด้วยความกลัวอย่างหน้าด้านๆท่ามกลางเสียงเชียร์ของไทยมุงทั้งหลาย ที่ไม่คิดจะห้ามปราม ไม่เกินสิบวินาทีชายหนุ่มขาเดฟคนนั้นก็ลอยละลิ่วไปจูบพื้นแทนจูบหญิงของคนอื่น ก่อนจะถูกกระชากมาต่อยซ้ำอีกหลายรอบ โดยไม่มีใครคิดจะห้าม
จนเมื่อชายหนุ่มขาเดฟคนนั้นคลุกคลานมาเรื่อยจนถึงจุดที่มีไฟสว่าง มาธวีก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจทันที
“ไอ้ปัณ !!!”
มาธวีร้องอุทานอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าคนที่โดนซ้อมเหมือนลูกตระกร้อวงเด้งไปมาคนนั้น คือเพื่อนของเธอ หญิงสาวสะบัดรองเท้าส้นสูงที่จะเป็นอุปสรรคในการเดินของตนออก ก่อนจะวิ่งตรงไปยังคนกลุ่มนั้นโดยไม่ลืมบอกบริกรที่ยืนเซ่อซ่าอยู่ให้ไปตามผู้จัดการร้านมาอย่างเร่งด่วน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” หญิงสาวร้องห้าม ก่อนจะทรุดตัวลงขึ้นช้อนหัวของเพื่อนรักที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้นขึ้นมาประคองไว้”พวกคุณจะเล่นงานเขาให้ตายเลยรึไง”
หญิงสาวร้องถามอย่างเหลืออด ก่อนจะจ้องหน้าไอ้นักเลงนั่นอย่างโกรธแค้นแทนเพื่อน
“ก็มันมายุ่งกับผู้หญิงของฉันก่อนทำไมล่ะ” เขาตอบ ก่อนจะหรี่ตามองมาธวีด้วยสายตาโลมเสีย “ว่าแต่น้องเป็นใครจ้ะ กล้ามากนะที่มาขวางพี่”
“ก็ไม่ได้เป็นใครมาจากไหนหรอก แค่ทนเห็นคนถูกรุมทำร้ายไม่ได้ ฉันว่าทางทีดีก็เลิกแล้วต่อกันไปดีกว่า ฉันให้คนโทรไปแจ้งผู้จัดการกับตำรวจแล้ว”
พอพูดถึงตำรวจ ไอ้พวกนักเลงโตพวกนั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี
“พวกคุณคงจะไม่ใช่พวกคนใหญ่คนโตที่ไม่กลัวตำรวจใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นพวกคุณก็ไปซะเถอะ”
พูดจบ มาธวีก็พยายามช้อนตัวปัณฑ์ธรที่สลบไสลไม่ได้สติขึ้นอย่างยากลำบากโดยไม่มีใครคิดจะช่วย ก่อนที่จะมีบริกรน้ำใจงามคนหนึ่งมาช่วยพาปัณฑ์ธรไปที่โต๊ะของเธอ
พวกของมาธวีที่เดินกลับมายังโต๊ะเพราะทราบว่าเกิดเรื่องกับรุ่นน้องสาวต้องร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังประคองผู้ชายคนหนึ่งที่สลบไสลหมดสภาพ
“น้องฮันนี่!นั่นใครคะ” พี่สมรร้อง ก่อนจะวิ่งเข้ามาดูหน้าของผู้ชายคนนั้น “ดูสิ สะบักสะบอมไปหมดเลย หนูรู้จักกับเค้าเหรอคะ ถึงไปช่วยเขามาจากพวกนักเลงแบบนี้”
มาธวีเช็ดเลือดออกจากมุมปากของเพื่อนอย่างเบามือ ก่อนจะตอบคำถามของสมรอย่างร้อนรน
“เขาเป็นเพื่อนฮันค่ะ พาเขาไปทำแผลเถอะนะคะพี่”
คนที่เหลือหันมามองพะอูนอย่างขอความเห็น เนื่องจากพะอูนเป็นคนที่มีอาวุโสสูงสุด
“ตอนนี้คลินิกคงปิดหมดแล้ว พาเขาไปโรงพยาบาลเลยแล้วกัน”
คำตัดสินใจของพะอูนถือเป็นคำตัดสินสุดท้าย เธอยกมือขึ้นเพื่อเรียกบริกรที่อยู่บริเวณนั้นให้มาเรียกรถให้เธอเพื่อพาไปส่งที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ส่วนดาวที่ตัวสูงและน่าจะแข็งแรงสูสีกับมาธวี เป็นคนหิ้วปีปัณฑ์ธรที่ยังสลบไสลอยู่ออกไปขึ้นรถด้านนอก
พยาบาลพาตัวปัณฑ์ธรเข้าไปเพียงไม่นาน เธอก็พาปัณฑ์ธรที่สะลึมสะลือนั่งเหมือนคนไม่ได้สติอยู่บนรถเข็น
มาธวีเห็นเพื่อนรักที่ทำยังไงก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาดมีสภาพเช่นนั้นก็อดสงสารไม่ได้ หญิงสาวเดินกระหยองกระแหยงอย่างคนไม่คุ้นชินกับรองเท้าส้นสูง (ที่พี่สมรไปกู้มาจากในร้านให้ใส่อย่างรวดเร็วก่อนออกมา) เดินตรงเข้าไปหาพยาบาลทันทีเมื่อเห็นว่าพยาบาลคนนั้นเข็นเพื่อนเธอมาใกล้
“เขายังบาดเจ็บอยู่เหรอคะ ดูเหมือนยังไม่ได้สติเลย” หญิงสาวถาม เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอยังคอพับคออ่อนเหมือนคนไม่ได้สติอยู่
แล้วอยู่ ร่างของปัณฑ์ธรก็กระตุกขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะเรอออกมาเสียงดังกังวาน
นอกจากเสียงเรอที่เรียกความสนใจจากคนบริเวณใกล้ๆแล้ว กลิ่นที่ออกมาพร้อมกับเสียงนั้นยังทำให้มาธวีถึงกับเบ้ปากอย่างนึกรังเกียจ
“อย่างที่เห็นน่ะค่ะ....คุณเขาไม่ได้บาดเจ็บขนาดที่ลืมตาไม่ขึ้น แต่คุณเขาเมาน่ะค่ะ เลยหลับยาว”
มาธวีเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะยกมือขึ้นผลักศีรษะของคนที่หลับอยู่อย่างสบายบนรถเข็นจนหน้าหงายอย่างนึกหมั่นไส้
“ โอ๊ย !! เจ็บนะเว้ย ! ”
คนที่โดนผลักเข้ากลางหน้าผากอย่างแรงโวยวาย ก่อนจะลืมตาขึ้นมาหมายจะเอาเรื่องไอ้คนที่บังอาจมาทำร้ายเขาได้ แต่เมื่อเปลือกตาหนักอึ้งของเขายกขึ้น จึงได้เห็นว่าใครคือคนที่กำลังยืนจังก้าจ้องเขาอย่างหมายจะกินเลือดกินเนื้อ ใบหน้าเล็กที่ถูกแต่งแต้มสีสันจัดจ้าน บิดเบี้ยวไม่ได้รูป ก่อนที่มาธวีจะพูดเสียงรอดไรฟัน
“เจอกันอีกแล้วนะไอ้คุณปัณ!!”
เธอเห็นไอ้คนที่ทำท่าสะลึมสะลือเมื่อครู่เบิกตาโพง
“ มาย...อึก...ฮันนี่ !!!! ”
ปัณฑ์ธรยิ้มร่างเริง ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน แล้วเขย่งขากระเผลก ๆ มายังคนคุ้นเคย ที่แปลกตาไป ก่อนจะโถมตัวเข้ากอดอย่างสุดตัว จนคนตัวเล็กกว่าเซถอยหลังจนเกือบจะเสียหลักตกลงจากรองเท้า หากแต่คนที่โผเข้ากอดกลับรู้สึกตัวก่อน จึงผ่อนน้ำหนักลง แล้วโน้มตัวลงไปรับไว้ได้ทันท่วงที ภาพนั้นจึงเป็นภาพที่งดงามราวกับเจ้าชาย ประคองเจ้าหญิง ในท่าจบของการลีลาศอย่างไรอย่างนั้น
คนรอบตัวปรบมือให้กันอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะกลุ่มแม่เสือสาวที่ยืนยิ้มร่ามีความสุข และตื้นตันกับภาพตรงหน้าเสียเหลือเกิน ส่วนตัวต้นเรื่องก็ได้แต่ยิ้มล่องลอย ชูแขนขวาจนสุดแขน ก่อนจะเหวี่ยงไปมาในอากาศ สีหน้าเมามันส์เหมือนกับนักร้องเพลงร็อคได้รับกำลังใจจากแฟนเพลงในการเล่นคอนเสิร์ต แถมท้ายด้วยการเรอเสียงดังอย่างไม่อายใคร
ส่วนมาธวีน่ะเหรอ เธอก็ได้แต่ถึงผมของตัวเองอย่างแค้นใจ พลางโทษโชคชะตา ที่เล่นตลกให้เธอหนีไอ้บ้าปัณฑ์ธรอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเสียที
และเหมือนนักร้องขี้เมาจะรับรู้ได้ จึงยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มแก้มเธอสองสามครั้ง
“เป็นอาราย....อึก...เค้าทำ..ไร อึก ให้ไม่พอใจ...เอิ้ก ”
นอกจากพูดจาไม่เป็นประโยค พูดไปสะอึกไปแล้ว ปัณฑ์ธรก็ยังแถมท้ายด้วยการเรอเสียงดังสนั่นอีกรอบ ก่อนจะหัวเราะร่าเริง แล้วซบไหล่บอบบางของหญิงสาวอย่างออดอ้อน
“ มาย..อึก...ฮันนี่ เค้าขอโทษนะจ้ะ...” ไม่หยุดแค่คำพูด ปัณฑ์ธรยังยกมือขึ้นโอบเอวบางของมาธวี
มารวบไว้จนแน่น พลางซุกหน้าของเขากับเรือนผมยุ่งเหยิงหลุดลุ่ยของเธออย่างไม่ได้สติ
“เค้าไม่ได้ตั้งใจ”
มาธวีที่ยืนตัวสั่นเกร็งอยู่นาน อดรนทนไม่ไหวกับพฤติกรรมเมาแล้วขาดสติของเพื่อนชายไม่ได้อีกต่อไป หูของเธอเหมือนกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขาดในสมองของเธอดัง ผึง....แน่นอน สติของเธอนั่นเอง เธอไม่สามารถระงับสติที่มันขาดกระเจิง จากการที่จะต้องตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครในโรงพยาบาลอีกต่อไป หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองจนซีด ก่อนจะใช้กำลังทั้งหมดที่มีผลักคนที่ยังพยายามกอดรัดเธออยู่ออก
“ไอ้เกรียนปัณ หยุดพฤติกรรมเมาแล้วเกรียนของเอ็งได้แล้ว !!!”
ขาดคำของหญิงสาว ท่อนขาเรียวของเธอ ก็เตะขึ้นผ่ากลางจุดศูนย์รวมของร่างกายปัณฑ์ธอย่างแรง จนทำให้ร่างสูงงอตัวไปตามแรงเตะนั้น ก่อนร่วงลงไปกุมกล่องดวงใจของตนเองบนพื้นด้วยอาการที่สาวหัสกว่าเดิม จนพยาบาลคนสวย ต้องพาปัณฑ์ธรกลับเข้าห้องตรวจอีกรอบอย่างรวดเร็ว
โดยไม่ทันได้สังเกต ว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งเฝ้ามองอยู่ไม่ไกล
ปัณฑ์ธรเหม่อมองทะเลยามเช้าอย่างมีความสุข ปล่อยให้น้ำทะเลซัดสาดข้อเท้าขาวของตนตามอำเภอใจโดยไม่คิดที่จะต่อว่าต่อขาน เขาลอบมองคนข้างกายที่เดินทำหน้ามุ่ยอยู่เคียงข้างเขาด้วยความอิ่มใจ อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เจอกับเธอที่นี่ เมื่อคืนนี้เขาจำไม่ได้อย่างละเอียดหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตัวเขา จำได้ว่าหลังจากทะเลาะกับพี่ชาย เขาก็ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน และขับรถตรงดิ่งมายังระยองโดยไม่รู้สาเหตุ เขาใช้ชีวิตเสเพลดื่มเหล้าเคล้านารีอยู่ที่นี่ถึงสามวัน จนกระทั่งมาพบกับมาธวี ที่ช่วยเขาจากพวกนักเลงโตที่ตัวเองสะเออะไปหาเรื่องไว้ได้อย่างพอดิบพอดี แถมยังพาไปส่งโรงพยาบาล และพากลับมาพักที่ห้องพักของเธออีก
ไม่ว่าเมื่อไหร่ เธอก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาเสมอมา
“ยิ้มอะไร” มาธวีถามเสียงห้วน เมื่อเห็นว่าเขามองเธออยู่นาน แถมมองแล้วยิ้มอีก “ทำไม!ดีใจล่ะสิที่ได้ฉันกลับมาเป็นเบ้แกอีกแล้วน่ะ มีแผนการจะทำร้ายฉันอีกใช่ไหม เมื่อวานทำร้ายกันยังไม่หนำใจอีกเหรอ รู้ไหมมันน่าอายแค่ไหนที่ฉันต้องทนให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าฉันเป็น...” หญิงสาวหยุด ก่อนจะเตะน้ำทะเลระบายอารมณ์อย่างไม่พอใจ และกลับมาบ่นต่อ “...ว่าฉันเป็นบางอย่างกับแก บางอย่างที่มากกว่าเพื่อนอ่ะ ถึงขนาดที่พี่ดาวยอมย้ายห้องไปนอนเบียดกับคนอื่น เพื่อสละห้องให้ฉันนอนดูแลแกที่เมาปริ้นเมื่อคืนได้สะดวก”
หญิงสาวซบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างเศร้าใจ
“อย่างนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ไหน ป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีแล้วฉัน...”
ปัณฑ์ธรมองคนที่พร่ำเพ้อฟูมฟายแล้วอดยิ้มขำไม่ได้
“หูย...ที่รักจ้ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะจ้ะ เรื่องของเราเมื่อคืนนี้พี่รับผิดชอบเอง ไม่ต้องกลัว” นักร้องอินดี้หนุ่มบอก ก่อนจะโอบไหล่เธอไว้แน่นแล้วส่งยิ้มหวาน “ไม่ต้องกลัวนะจ้ะ” พูดจบเขาก็ส่งจูบให้เธออย่างล้อเลียน
หากแต่หญิงสาวไม่สนุกด้วย สะบัดตัวอย่างแรง เพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของเพื่อนสนิท
“แกก็ทำเป็นเรื่องเล่นไปเรื่อย” หญิงสาวบ่นอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาผมฟูฟ่องของตัวเองแกรก ๆ อย่างกังวลใจ ด้วยเกรงว่าจะโดนเพื่อนร่วมงานล้อเลียนเรื่องนี้กันไม่หยุดหย่อน “แต่เอาเถอะวะ....สักพักเดี๋ยวเขาก็ลืมกัน”
ปัณฑ์ธรพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง จนคอรู้สึกแปล๊บที่คอจนต้องยกมือขึ้นจับ
“คิดอย่างนั้นได้ก็ดีแล้ว เรื่องแค่นี้เอง ไม่น่าจะต้องไปใส่ใจอะไรมากมาย” พูดจบ ปัณฑ์ธรก็ชะงักเท้า แล้วหันตัวมายืนตรงหน้าของมาธวี “ขอบใจแกมากนะที่ช่วยฉันเสมอมา ฉันนึกว่าแกรำคาญฉัน รังเกียจฉันและอยากจะหนีหน้าฉันแล้วซะอีก ”
มาธวีหน้าเจื่อนอย่างสำนึกผิด ไม่อยากจะบอกเขาเลยว่าเธอคิดอย่างที่เขาพูดเป๊ะ
“แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนะเว้ยฮัน” เขาบอก ก่อนจะวางมือบนไหล่บอบบางของคนตรงหน้า “ขอบใจมากนะ ฉันพึ่งแกได้เสมอเลยจริงๆ”
มาธวียกมือขึ้นตบไหล่ของเขาเช่นกัน
“เพื่อเพื่อน...น้อยกว่านี้ได้ไง”
ปัณฑ์ธรนิ่วหน้า “ทำไมคำมันคุ้นๆหูพิกล”
“แน่ล่ะ...ก็ฉันจำเขามาพูดนี่” หญิงสาวยักไหล่ ก่อนจะแลบลิ้นแพล่บๆ “เออนี่...นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนี่หว่าที่เรามาทะเลระยองด้วยกันอ่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันออกไปมองทะเลที่แสนกว้างใหญ่เบื้องหน้า
“ใช่...ทะเลยังสวยเหมือนเดิมเลยเนอะ” เขาเอ่ย ก่อนจะชี้ชวนให้เพื่อนมองดูผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้า
มาธวีมองตาม และเห็นด้วยกับเพื่อนรัก
“แกเคยบอก ว่าชอบมองทะเล แถมยังบอกว่าทะเลโรแมนติก ภาพท้องฟ้ากับทะเลบรรจบกันสวยงามแล้วแกก็ยึดกล้องของฉันไป เดินถ่ายภาพวิวทะเลจนเมมกล้องเกือบเต็มแน่ะ” หญิงสาวหันมามองคนข้างตัว ก่อนจะส่งยิ้มหวาน “แล้วตอนนี้ แกโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมแล้ว ยังคิดแบบนั้นอยู่หรือเปล่า”
ปัณฑ์ธรเหม่อมองออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ก็ฉันบอกแล้ว ว่าทะเลยังสวยเหมือนเดิม”
งานเลี้ยงทุกงานย่อมมีวันเลิกรา ทริปครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่กองบอกอสำนักพิมพ์ศรสวรรค์เปิดโอกาสให้ให้มาธวีและปัณฑ์ธรได้ยัดเยียดช่วงเวลาพิเศษของทั้งสองคนให้ได้อยู่กันลำพังถึง 2 วันเต็มๆ ทางบริษัทก็ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯในที่สุด หากแต่ปัณฑ์ธรกลับยังยืนยันว่าเขาต้องการที่จะอยู่ที่ระยองต่ออีกสักระยะหนึ่ง แทนที่จะเดินทางกลับพร้อมกันอย่างที่หลายคนคิดไว้
“แกอยู่ที่นี่คนเดียวได้เหรอ ” หญิงสาวถามอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ “ทำไมไม่กลับพร้อมกันเลยวะปัณ ฉันว่าที่นี่มันแปลกๆยังไงชอบกล”
หญิงสาวเอ่ย ก่อนจะเหลียวมองรอบตัวอย่างไม่ไว้วางใจ จนคนที่ถูกเป็นห่วงอดจะขำในท่าทีหวาดระแวงของหญิงสาวไม่ได้
“ทำไมต้องทำท่าแบบนั้น” เขาหัวเราะเบาๆ”ทำอย่างกับนักสืบแน่ะ”
“ก็แกไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ.....ตลอดสองวันที่ฉันอยู่กับแก ฉันรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ”
หญิงสาวบอกอย่างจริงจัง ตลอดเวลาเธอรู้สึกเหมือนมีใครคอยติดตาม เฝ้าดู และอีกหลายๆอย่าง แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของเธอจะไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิด จึงเอ่ยแซวตามนิสัยคนปาก...ดี
“อะไรกัน...แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้” ปัณฑ์ธรตีหน้าขรึม
“อะไร...หรือว่าแกโดนใครปองร้ายมาแล้วหรือไง ฮะ” หญิงสาวถามหน้าตาตื่น
อีกคนปั้นหน้าเครียด ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา
“แกมาบอกว่า แกรู้สึกแปลกไปกับฉันหลังจากเราได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาสองวันที่ผ่านมา” เขาลดสายตาลงจ้องมองคนที่ตัวเล็กกว่าด้วยแววตารวดร้าว นิ้วเรียวเสยผมยาวๆที่ลงมาปรกหน้าของตัวเองขึ้นทัดหู ก่อนจะหลับตาพูดเสียงสั่น “แต่ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ไม่ว่ายังไง ฉันก็ตอบแทนความรู้สึกแกไม่ได้ ความรู้สึกขอ...อ๊าก !!! ”
โดยไม่ต้องรอให้ไอ้ประหลาดนี่พูดจบ มาธวีก็เตะสกัดขาเขาจนล้มลงกองกับพื้นอย่างง่ายดาย ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดเดินหนีไปอย่างไม่เหลียวแล ไอ้คนที่ทำอะไรเป็นเรื่องเล่นๆตลอดเวลาอย่างปัณฑ์ธรอีกเลย
“ พอเอาของไปเก็บเรียบร้อยแล้วก็พักผ่อนได้ตามอัธยาศัยนะ ” เจ้าของสำนักพิมพ์ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะพาลูกชายตัวเล็ก และสามีตัวโตของเธอเดินนำเข้าไปในรีสอร์ตหรูหรา ที่มาธวีคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้มีปัญญามาพักเอง หากไร้ซึ่งการสนับสนุนจากญาติเจ้าของรีสอร์ต ซึ่งควบตำแหน่งเจ้าของสำนักพิมพ์ของเธอดังเช่นในครั้งนี้
“น้องฮันจ้ะ ” พี่พะอูนเรียกหญิงสาวอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะรั้งท่อนแขนเล็กของมาธวีให้ไปตามทิศทางที่ต้องการอย่างง่ายดาย “ไปดูห้องกันดีกว่า น้องฮันได้พักกับน้องดาวฝ่ายศิลป์ น้องดาวเขาเดินนำไปโน่นแล้ว คืนนี้เป็นคืนแรกของน้องฮัน พวกพี่จะต้อนรับให้สนุกสุดเหวี่ยงเลยล่ะ”
มาธวีทำหน้าเหรอหรา พยายามจะอ้าปากออกความเห็นว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ เธอไม่อยากเป็นคนพิเศษ ยิ่งไอ้คำโปรยชวนสยิวกิ้วเกี่ยวกับ ‘คืนแรกของน้องฮัน’ นี่มันยิ่งน่าขนพองสยองเกล้าเข้าไปใหญ่ อีกอย่างเธอยิ่งไม่ค่อยไว้ใจคนในกองบอกอนี้สักเท่าไรด้วย เพราะแต่ละคนจินตนาการเกินพิกัดจริงๆ เป็นนิตยสารแม่บ้านแท้ ๆ แต่กลับเป็นแหล่งรวมทั้งคนม่าย คนโสด เวลาว่างเลยมีเหลือแหล่ และจินตนการของสาวบริสุทธิอันเหลือล้น ที่อาจจะเนรมิตอะไรก็ได้ ที่พวกเธอต้องการ
และมันก็เป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ
เพราะหลังจากตะวันลับขอบฟ้า ครอบครัวของเจ้าของสำนักพิมพ์บอกลา เหล่ากองบรรณาธิการทั้งสาวแก่ แม่ม่ายก็ช่วยกันฉุดกระชากลากถูมาธวีเข้ามายังห้องของพะอูน
พลางยื่นชุดสีดำให้หญิงสาว และย้ำว่าให้เข้าไปลองในห้องน้ำ ครู่เดียว เธอก็เดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเก้ๆกังๆ
“ จะให้ฮันใส่ชุดนี้จริงๆเหรอคะพี่” มาธวีพยามดึงชายกระโปรงเดรสเกาะอกสีดำปักเลื่อมที่สั้นเหนือเข่ามาเกือบสามนิ้วอย่างเขินอาย ก่อนจะพยายามเอาผมฟูฟ่องของตัวเองมาปิดไหล่เปลือยเปล่า ที่โชว์ให้เห็นเนินอกคัพเอพิมพ์เล็กของเธอ โผล่พ้นชายเกาะอกออกมาเล็กน้อย พาลให้นึกถึงภาพยนตร์ดังเรื่องหนึ่ง ที่นางเอกโดนอาม่าด่าประมาณว่าหุ่นก็ไม่ดียังอยากจะโชว์อีกขึ้นมาตะหงิดๆ
“ โอ๊ย! ไม่ต้องเขินหรอกค่ะคุณน้อง ” พี่ดาว เพื่อนร่วมห้องของเธอบอก ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามารวบผมฟูฟ่องของเธอที่แผ่กระจายเต็มร่างเล็กของมาธวีออก แล้วรวบมันขึ้นจัดทรงอย่างมืออาชีพ “พี่ไม่ได้เก่งเฉพาะกราฟิคนะคะน้อง พี่เก่งเรื่องคอสตูมด้วย”
ดาวกอดอกมองมาธวีที่กลายสภาพเป็นตุ๊กตาตัวยักษ์อย่างมีความสุข ก่อนที่ทุกคนจะมาร่วม ‘ยำ’ เธอแบบจัดเต็มกันเลยทีเดียว
หญิงสาวมองดูตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกแปลกตาไปมากอย่างไม่น่าเชื่อ จากผู้หญิงที่พลาดดัดลอนผมหยิกทั้งหัวเพราะคิดว่าอยากจะเป็นสาวเซอร์ แต่งกายด้วยชุดปอนๆ เสื้อย้วยๆกางเกงเอวสูงบ้างตามโอกาส กลับกลายมาเป็นสาวเซ็กซี่(เหรอ) ในชุดเดรสเกาะอกสั้นกุด ที่โชว์เนินอกไม่ค่อยอิ่มขาวเกือบเนียนของเธอ กับทรงผมสุดเซ็กซี่ที่รวบขึ้นหลวมๆ ปล่อยให้ปอยผมหลุดออกมาบ้างอย่างเป็นธรรมชาติ คาดด้วยสายคาดผมสีดำวิบวับ กับเครื่องสำอางหนาสีจัดจ้านโบ๊ะอยู่บนหน้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แม้ว่าการแปลงโชมครั้งนี้ของเธอจะไม่ได้ทำให้ตัวเธอเองตกตะลึงจังงังในความสวยของตัวเองเหมือนในละครเวลาที่นางเอกถูกแปลงโฉมจากบรรดาเพื่อน ๆ มืออาชีพ แต่มันก็จัดว่าทำให้เธอแปลกใจไปนิดหนึ่งแล้วก็กัน กับการปรับลุค(ชั่วคราว)ในวันนี้
“เป็นไงคะน้องฮันประทับใจกับชุดหรือเปล่า” พี่พะอูนถามขึ้น พลางส่งสายตาเป็นประกายอย่างคาดหวังในคำตอบแบบเปิดเผย จึงทำให้หญิงสาวไม่กล้าตอบปฏิเสธอะไรได้ นอกจากยิ้มรับไปแห้งๆ
“คืนเนี้ย เป็นคืนแรกที่น้องฮันได้มาค้างกับพวกเรา เราต้องพาไปรับน้องหน่อยแล้ว” ดาวเอ่ยนำ ทำให้กองทัพเสือสาวทั้งหลายร้องเฮ ตบปากรับคำกันทั่วหน้า โดยไม่มีใครถามเธอสักคำ(อีกครั้ง)
มาธวีมองตัวเองในกระจกอย่างปลงสังขาร ก่อนจะฝืนยิ้มร่าน้ำตาตกในไม่กล้าบอกใคร
“เอาล่ะ แต่งน้องฮันเสร็จแล้ว พวกเราก็จัดการตัวเองต่อเลยสิ” ดาวบอกกับเพื่อนๆอีกครั้ง ก่อนจะหันมากล่าวกับมาธวีอย่างลั้ลลา “น้องฮัน นั่งรอก่อนนะคะ เดี๋ยวคืนเนี้ย แก๊งค์เสือสาวอย่างเราได้ตระเวนราตรีกันให้สนุกสุดเหวี่ยงไปเลยนะคะ”
มาธวีมองเหล่าสาวแก่แม่ม่าย เพื่อนร่วมงานของเธออย่างเหนื่อยใจ
“ค่า คุณพี่” เสือสาวรุ่นล่าสุดบอกเสียงอ่อย ก่อนจะเปิดโทรทัศน์ดูละครหลังข่าวที่เพิ่งจะมาอย่างตั้งใจ
มาธวีเดินตามเสือสาวรุ่นพี่เข้าไปในไนต์คลับแห่งหนึ่งในจังหวัดระยองอย่างเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวเดินกระหยองกระแหยงเข้าไปภายในตัวอาคารด้วยความยากลำบากเนื่องจากรองเท้าส้นสูงปรี๊ด แถมยังเป็นส้นเข็มที่พวกรุ่นพี่ระดมทุนกันแอบซื้อมาให้เธอพร้อมกับเสื้อผ้าเพื่อให้เข้าชุด แม้ว่ามันจะคับไปสักหน่อยเพราะการคาดคะเนด้วยสายตาที่ผิดพลาดไปหนึ่งเบอร์จากพวกพี่พะอูน ทำให้เธอต้องเดินไม่ค่อยสะดวก แต่เธอก็ยังรู้สึกขอบคุณพวกหล่อนมากอยู่ดีที่อุตส่าห์ต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นนี้
หลังจากเข้ามาภายในได้ไม่นาน ดาวก็เห็นว่ามีที่ว่างอยู่ไม่ไกลจากบริเวณฟอร์ลมากนัก แก๊งค์เสือสาวจึงเลือกที่จะถลาเข้าไปทันทีโดยไม่รอช้า ครู่เดียวบริกรหนุ่มก็เดินเข้ามารับออร์เดอร์ พลางส่งสายตากรุ้มกริ่มให้กับมาธวีอย่างเปิดเผย
หลังจากสั่งเครื่องดื่มและของกินเล่นกันพอหอมปากหอมคอ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครต้องการจะสั่งอะไรต่อ แต่บริกรหนุ่มก็ทำท่าเหมือนจะยังไม่อยากจากไปง่ายๆ
“จะรับอะไรอีกไหมครับ คุณคนนั้นยังไม่สั่งเครื่องดื่มเลย” บริกรทำหูตาแพรว
พราวเล่นหูเล่นตาใส่มาธวี โดยที่ยังใช้งานเป็นข้ออ้าง หากแต่หญิงสาวปฎิเสธเสียงแข็งอย่างไร้เยื่อไย
“พี่ขอน้ำมะนาวโซดาก็แล้วกันค่ะ” หญิงสาวตอบ พลางเบี่ยงตัวหลบอย่างเสียอารมณ์ เธอไม่ชอบเลยจริงๆนะ คนพวกนี้ ที่มันจะมีทัศนคติว่าผู้หญิงที่แต่งตัวเปิดเผยและเข้าไนต์คลับจะต้องง่ายไปเสียหมด
“อย่าอารมณ์เสียเลยนะน้องฮัน เด็กวัยรุ่นมันก็อย่างเนี้ยแหละ” พี่สมร ผู้สูงวัยอีกคนหนึ่งในกลุ่มบอกอย่างเข้าใจ ก่อนจะสะกิดชวนให้มาธวีไปเต้นด้วยกัน แต่หญิงสาวกลับปฎิเสธ
“พี่ไปก่อนเถอะค่ะ ฮันอยากนั่งเฉยๆสักพัก แล้วอีกอย่างถ้าเครื่องดื่มมาใครจะเป็นคนรับล่ะคะ ” หญิงสาวบอกเหตุผลที่คนในกลุ่มต้องยอมจำนน ก่อนที่แก๊งค์เสือสาวจะถามซ้ำว่าต้องให้อยู่เป็นเพื่อนไหม แต่เธอก็ปฎิเสธ ซ้ำยังแซวเล่นว่าตัวของพวกหล่อนอาจไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อน แต่ต้องให้เงินค่าเครื่องดื่มเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะเหงา
เมื่อกลุ่มแม่เสือสาวทั้งหลายยกขบวนกันไปโยกย้ายส่ายสะโพกกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงบนฟอร์ล หญิงสาวก็อดจะนึกสภาพของตัวเองยามที่จะต้องกลายมาเป็นสาวแก่อย่างพวกนี้ไม่ได้ อนาคตต่อไป ถ้ายังไม่มีใครเข้ามาให้ใจที่แห้งเหี่ยวมานานของเธอได้กลับมาชุ่มชื่นใหม่อีกล่ะก็ เธอก็คงจะต้องสมัครเป็นวีไอพีเม็มเบอร์ของแก๊งค์นี้อย่างแน่นอนและถาวรเสียแล้ว
ยิ่งตกดึก บรรยากาศในที่แห่งนี้ก็ยิ่งคึกคักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่ยิ่งหลั่งไหลกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แต่หญิงสาวไม่ได้สนุกอย่างที่ควรจะเป็น เธอมองดูคลื่นคนที่โยกย้ายไปมาเข้ากับจังหวะเพลงที่ดังกระหึ่มแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะเมื่อสมัยเรียน เธอเคยมาที่แบบนี้หลายครั้งกับวงดตรีของปัณฑ์ธร ในฐานะผู้จัดการวงดนตรีกิตติมศักดิ์ที่ต้องทำหน้าที่ทุกอย่าง ตั้งแต่ทำความสะอาดเครื่องดนตรีไปยันเหรัญญิก
“เฮ้ย!ไอ้หน้าอ่อน มึงมายุ่งกับแฟนกูทำไมวะ”
เสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายทำให้มาธวีหันไปสนใจตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพอเดาเรื่องได้ว่า มีคนสองคนทะเลาะกันเพราะแย่งผู้หญิง ดูเหมือนว่าคนที่จะมาฉกเอาคนรักของนักเลงราตรีคนนั้นจะรูปร่างผอมบางกว่าเขาอยู่มาก สังเกตได้จากกางเกงขาเดฟหนวดกุ้งของเขาที่รัดเปรี้ยะจนเห็นรูปขาเรียวเล็ก แถมไม่มีพรรคพวก ไม่นานก็คงจะถูกซ้อมจนอ่วมอรทัย และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อคนร่างบางกว่าถลาเข้าไปจูบผู้หญิงที่ยืนสั่นเทาด้วยความกลัวอย่างหน้าด้านๆท่ามกลางเสียงเชียร์ของไทยมุงทั้งหลาย ที่ไม่คิดจะห้ามปราม ไม่เกินสิบวินาทีชายหนุ่มขาเดฟคนนั้นก็ลอยละลิ่วไปจูบพื้นแทนจูบหญิงของคนอื่น ก่อนจะถูกกระชากมาต่อยซ้ำอีกหลายรอบ โดยไม่มีใครคิดจะห้าม
จนเมื่อชายหนุ่มขาเดฟคนนั้นคลุกคลานมาเรื่อยจนถึงจุดที่มีไฟสว่าง มาธวีก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจทันที
“ไอ้ปัณ !!!”
มาธวีร้องอุทานอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าคนที่โดนซ้อมเหมือนลูกตระกร้อวงเด้งไปมาคนนั้น คือเพื่อนของเธอ หญิงสาวสะบัดรองเท้าส้นสูงที่จะเป็นอุปสรรคในการเดินของตนออก ก่อนจะวิ่งตรงไปยังคนกลุ่มนั้นโดยไม่ลืมบอกบริกรที่ยืนเซ่อซ่าอยู่ให้ไปตามผู้จัดการร้านมาอย่างเร่งด่วน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” หญิงสาวร้องห้าม ก่อนจะทรุดตัวลงขึ้นช้อนหัวของเพื่อนรักที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้นขึ้นมาประคองไว้”พวกคุณจะเล่นงานเขาให้ตายเลยรึไง”
หญิงสาวร้องถามอย่างเหลืออด ก่อนจะจ้องหน้าไอ้นักเลงนั่นอย่างโกรธแค้นแทนเพื่อน
“ก็มันมายุ่งกับผู้หญิงของฉันก่อนทำไมล่ะ” เขาตอบ ก่อนจะหรี่ตามองมาธวีด้วยสายตาโลมเสีย “ว่าแต่น้องเป็นใครจ้ะ กล้ามากนะที่มาขวางพี่”
“ก็ไม่ได้เป็นใครมาจากไหนหรอก แค่ทนเห็นคนถูกรุมทำร้ายไม่ได้ ฉันว่าทางทีดีก็เลิกแล้วต่อกันไปดีกว่า ฉันให้คนโทรไปแจ้งผู้จัดการกับตำรวจแล้ว”
พอพูดถึงตำรวจ ไอ้พวกนักเลงโตพวกนั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี
“พวกคุณคงจะไม่ใช่พวกคนใหญ่คนโตที่ไม่กลัวตำรวจใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นพวกคุณก็ไปซะเถอะ”
พูดจบ มาธวีก็พยายามช้อนตัวปัณฑ์ธรที่สลบไสลไม่ได้สติขึ้นอย่างยากลำบากโดยไม่มีใครคิดจะช่วย ก่อนที่จะมีบริกรน้ำใจงามคนหนึ่งมาช่วยพาปัณฑ์ธรไปที่โต๊ะของเธอ
พวกของมาธวีที่เดินกลับมายังโต๊ะเพราะทราบว่าเกิดเรื่องกับรุ่นน้องสาวต้องร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังประคองผู้ชายคนหนึ่งที่สลบไสลหมดสภาพ
“น้องฮันนี่!นั่นใครคะ” พี่สมรร้อง ก่อนจะวิ่งเข้ามาดูหน้าของผู้ชายคนนั้น “ดูสิ สะบักสะบอมไปหมดเลย หนูรู้จักกับเค้าเหรอคะ ถึงไปช่วยเขามาจากพวกนักเลงแบบนี้”
มาธวีเช็ดเลือดออกจากมุมปากของเพื่อนอย่างเบามือ ก่อนจะตอบคำถามของสมรอย่างร้อนรน
“เขาเป็นเพื่อนฮันค่ะ พาเขาไปทำแผลเถอะนะคะพี่”
คนที่เหลือหันมามองพะอูนอย่างขอความเห็น เนื่องจากพะอูนเป็นคนที่มีอาวุโสสูงสุด
“ตอนนี้คลินิกคงปิดหมดแล้ว พาเขาไปโรงพยาบาลเลยแล้วกัน”
คำตัดสินใจของพะอูนถือเป็นคำตัดสินสุดท้าย เธอยกมือขึ้นเพื่อเรียกบริกรที่อยู่บริเวณนั้นให้มาเรียกรถให้เธอเพื่อพาไปส่งที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ส่วนดาวที่ตัวสูงและน่าจะแข็งแรงสูสีกับมาธวี เป็นคนหิ้วปีปัณฑ์ธรที่ยังสลบไสลอยู่ออกไปขึ้นรถด้านนอก
พยาบาลพาตัวปัณฑ์ธรเข้าไปเพียงไม่นาน เธอก็พาปัณฑ์ธรที่สะลึมสะลือนั่งเหมือนคนไม่ได้สติอยู่บนรถเข็น
มาธวีเห็นเพื่อนรักที่ทำยังไงก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาดมีสภาพเช่นนั้นก็อดสงสารไม่ได้ หญิงสาวเดินกระหยองกระแหยงอย่างคนไม่คุ้นชินกับรองเท้าส้นสูง (ที่พี่สมรไปกู้มาจากในร้านให้ใส่อย่างรวดเร็วก่อนออกมา) เดินตรงเข้าไปหาพยาบาลทันทีเมื่อเห็นว่าพยาบาลคนนั้นเข็นเพื่อนเธอมาใกล้
“เขายังบาดเจ็บอยู่เหรอคะ ดูเหมือนยังไม่ได้สติเลย” หญิงสาวถาม เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอยังคอพับคออ่อนเหมือนคนไม่ได้สติอยู่
แล้วอยู่ ร่างของปัณฑ์ธรก็กระตุกขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะเรอออกมาเสียงดังกังวาน
นอกจากเสียงเรอที่เรียกความสนใจจากคนบริเวณใกล้ๆแล้ว กลิ่นที่ออกมาพร้อมกับเสียงนั้นยังทำให้มาธวีถึงกับเบ้ปากอย่างนึกรังเกียจ
“อย่างที่เห็นน่ะค่ะ....คุณเขาไม่ได้บาดเจ็บขนาดที่ลืมตาไม่ขึ้น แต่คุณเขาเมาน่ะค่ะ เลยหลับยาว”
มาธวีเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะยกมือขึ้นผลักศีรษะของคนที่หลับอยู่อย่างสบายบนรถเข็นจนหน้าหงายอย่างนึกหมั่นไส้
“ โอ๊ย !! เจ็บนะเว้ย ! ”
คนที่โดนผลักเข้ากลางหน้าผากอย่างแรงโวยวาย ก่อนจะลืมตาขึ้นมาหมายจะเอาเรื่องไอ้คนที่บังอาจมาทำร้ายเขาได้ แต่เมื่อเปลือกตาหนักอึ้งของเขายกขึ้น จึงได้เห็นว่าใครคือคนที่กำลังยืนจังก้าจ้องเขาอย่างหมายจะกินเลือดกินเนื้อ ใบหน้าเล็กที่ถูกแต่งแต้มสีสันจัดจ้าน บิดเบี้ยวไม่ได้รูป ก่อนที่มาธวีจะพูดเสียงรอดไรฟัน
“เจอกันอีกแล้วนะไอ้คุณปัณ!!”
เธอเห็นไอ้คนที่ทำท่าสะลึมสะลือเมื่อครู่เบิกตาโพง
“ มาย...อึก...ฮันนี่ !!!! ”
ปัณฑ์ธรยิ้มร่างเริง ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน แล้วเขย่งขากระเผลก ๆ มายังคนคุ้นเคย ที่แปลกตาไป ก่อนจะโถมตัวเข้ากอดอย่างสุดตัว จนคนตัวเล็กกว่าเซถอยหลังจนเกือบจะเสียหลักตกลงจากรองเท้า หากแต่คนที่โผเข้ากอดกลับรู้สึกตัวก่อน จึงผ่อนน้ำหนักลง แล้วโน้มตัวลงไปรับไว้ได้ทันท่วงที ภาพนั้นจึงเป็นภาพที่งดงามราวกับเจ้าชาย ประคองเจ้าหญิง ในท่าจบของการลีลาศอย่างไรอย่างนั้น
คนรอบตัวปรบมือให้กันอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะกลุ่มแม่เสือสาวที่ยืนยิ้มร่ามีความสุข และตื้นตันกับภาพตรงหน้าเสียเหลือเกิน ส่วนตัวต้นเรื่องก็ได้แต่ยิ้มล่องลอย ชูแขนขวาจนสุดแขน ก่อนจะเหวี่ยงไปมาในอากาศ สีหน้าเมามันส์เหมือนกับนักร้องเพลงร็อคได้รับกำลังใจจากแฟนเพลงในการเล่นคอนเสิร์ต แถมท้ายด้วยการเรอเสียงดังอย่างไม่อายใคร
ส่วนมาธวีน่ะเหรอ เธอก็ได้แต่ถึงผมของตัวเองอย่างแค้นใจ พลางโทษโชคชะตา ที่เล่นตลกให้เธอหนีไอ้บ้าปัณฑ์ธรอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเสียที
และเหมือนนักร้องขี้เมาจะรับรู้ได้ จึงยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มแก้มเธอสองสามครั้ง
“เป็นอาราย....อึก...เค้าทำ..ไร อึก ให้ไม่พอใจ...เอิ้ก ”
นอกจากพูดจาไม่เป็นประโยค พูดไปสะอึกไปแล้ว ปัณฑ์ธรก็ยังแถมท้ายด้วยการเรอเสียงดังสนั่นอีกรอบ ก่อนจะหัวเราะร่าเริง แล้วซบไหล่บอบบางของหญิงสาวอย่างออดอ้อน
“ มาย..อึก...ฮันนี่ เค้าขอโทษนะจ้ะ...” ไม่หยุดแค่คำพูด ปัณฑ์ธรยังยกมือขึ้นโอบเอวบางของมาธวี
มารวบไว้จนแน่น พลางซุกหน้าของเขากับเรือนผมยุ่งเหยิงหลุดลุ่ยของเธออย่างไม่ได้สติ
“เค้าไม่ได้ตั้งใจ”
มาธวีที่ยืนตัวสั่นเกร็งอยู่นาน อดรนทนไม่ไหวกับพฤติกรรมเมาแล้วขาดสติของเพื่อนชายไม่ได้อีกต่อไป หูของเธอเหมือนกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขาดในสมองของเธอดัง ผึง....แน่นอน สติของเธอนั่นเอง เธอไม่สามารถระงับสติที่มันขาดกระเจิง จากการที่จะต้องตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครในโรงพยาบาลอีกต่อไป หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองจนซีด ก่อนจะใช้กำลังทั้งหมดที่มีผลักคนที่ยังพยายามกอดรัดเธออยู่ออก
“ไอ้เกรียนปัณ หยุดพฤติกรรมเมาแล้วเกรียนของเอ็งได้แล้ว !!!”
ขาดคำของหญิงสาว ท่อนขาเรียวของเธอ ก็เตะขึ้นผ่ากลางจุดศูนย์รวมของร่างกายปัณฑ์ธอย่างแรง จนทำให้ร่างสูงงอตัวไปตามแรงเตะนั้น ก่อนร่วงลงไปกุมกล่องดวงใจของตนเองบนพื้นด้วยอาการที่สาวหัสกว่าเดิม จนพยาบาลคนสวย ต้องพาปัณฑ์ธรกลับเข้าห้องตรวจอีกรอบอย่างรวดเร็ว
โดยไม่ทันได้สังเกต ว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งเฝ้ามองอยู่ไม่ไกล
ปัณฑ์ธรเหม่อมองทะเลยามเช้าอย่างมีความสุข ปล่อยให้น้ำทะเลซัดสาดข้อเท้าขาวของตนตามอำเภอใจโดยไม่คิดที่จะต่อว่าต่อขาน เขาลอบมองคนข้างกายที่เดินทำหน้ามุ่ยอยู่เคียงข้างเขาด้วยความอิ่มใจ อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เจอกับเธอที่นี่ เมื่อคืนนี้เขาจำไม่ได้อย่างละเอียดหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตัวเขา จำได้ว่าหลังจากทะเลาะกับพี่ชาย เขาก็ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน และขับรถตรงดิ่งมายังระยองโดยไม่รู้สาเหตุ เขาใช้ชีวิตเสเพลดื่มเหล้าเคล้านารีอยู่ที่นี่ถึงสามวัน จนกระทั่งมาพบกับมาธวี ที่ช่วยเขาจากพวกนักเลงโตที่ตัวเองสะเออะไปหาเรื่องไว้ได้อย่างพอดิบพอดี แถมยังพาไปส่งโรงพยาบาล และพากลับมาพักที่ห้องพักของเธออีก
ไม่ว่าเมื่อไหร่ เธอก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาเสมอมา
“ยิ้มอะไร” มาธวีถามเสียงห้วน เมื่อเห็นว่าเขามองเธออยู่นาน แถมมองแล้วยิ้มอีก “ทำไม!ดีใจล่ะสิที่ได้ฉันกลับมาเป็นเบ้แกอีกแล้วน่ะ มีแผนการจะทำร้ายฉันอีกใช่ไหม เมื่อวานทำร้ายกันยังไม่หนำใจอีกเหรอ รู้ไหมมันน่าอายแค่ไหนที่ฉันต้องทนให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าฉันเป็น...” หญิงสาวหยุด ก่อนจะเตะน้ำทะเลระบายอารมณ์อย่างไม่พอใจ และกลับมาบ่นต่อ “...ว่าฉันเป็นบางอย่างกับแก บางอย่างที่มากกว่าเพื่อนอ่ะ ถึงขนาดที่พี่ดาวยอมย้ายห้องไปนอนเบียดกับคนอื่น เพื่อสละห้องให้ฉันนอนดูแลแกที่เมาปริ้นเมื่อคืนได้สะดวก”
หญิงสาวซบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างเศร้าใจ
“อย่างนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ไหน ป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีแล้วฉัน...”
ปัณฑ์ธรมองคนที่พร่ำเพ้อฟูมฟายแล้วอดยิ้มขำไม่ได้
“หูย...ที่รักจ้ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะจ้ะ เรื่องของเราเมื่อคืนนี้พี่รับผิดชอบเอง ไม่ต้องกลัว” นักร้องอินดี้หนุ่มบอก ก่อนจะโอบไหล่เธอไว้แน่นแล้วส่งยิ้มหวาน “ไม่ต้องกลัวนะจ้ะ” พูดจบเขาก็ส่งจูบให้เธออย่างล้อเลียน
หากแต่หญิงสาวไม่สนุกด้วย สะบัดตัวอย่างแรง เพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของเพื่อนสนิท
“แกก็ทำเป็นเรื่องเล่นไปเรื่อย” หญิงสาวบ่นอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาผมฟูฟ่องของตัวเองแกรก ๆ อย่างกังวลใจ ด้วยเกรงว่าจะโดนเพื่อนร่วมงานล้อเลียนเรื่องนี้กันไม่หยุดหย่อน “แต่เอาเถอะวะ....สักพักเดี๋ยวเขาก็ลืมกัน”
ปัณฑ์ธรพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง จนคอรู้สึกแปล๊บที่คอจนต้องยกมือขึ้นจับ
“คิดอย่างนั้นได้ก็ดีแล้ว เรื่องแค่นี้เอง ไม่น่าจะต้องไปใส่ใจอะไรมากมาย” พูดจบ ปัณฑ์ธรก็ชะงักเท้า แล้วหันตัวมายืนตรงหน้าของมาธวี “ขอบใจแกมากนะที่ช่วยฉันเสมอมา ฉันนึกว่าแกรำคาญฉัน รังเกียจฉันและอยากจะหนีหน้าฉันแล้วซะอีก ”
มาธวีหน้าเจื่อนอย่างสำนึกผิด ไม่อยากจะบอกเขาเลยว่าเธอคิดอย่างที่เขาพูดเป๊ะ
“แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนะเว้ยฮัน” เขาบอก ก่อนจะวางมือบนไหล่บอบบางของคนตรงหน้า “ขอบใจมากนะ ฉันพึ่งแกได้เสมอเลยจริงๆ”
มาธวียกมือขึ้นตบไหล่ของเขาเช่นกัน
“เพื่อเพื่อน...น้อยกว่านี้ได้ไง”
ปัณฑ์ธรนิ่วหน้า “ทำไมคำมันคุ้นๆหูพิกล”
“แน่ล่ะ...ก็ฉันจำเขามาพูดนี่” หญิงสาวยักไหล่ ก่อนจะแลบลิ้นแพล่บๆ “เออนี่...นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนี่หว่าที่เรามาทะเลระยองด้วยกันอ่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันออกไปมองทะเลที่แสนกว้างใหญ่เบื้องหน้า
“ใช่...ทะเลยังสวยเหมือนเดิมเลยเนอะ” เขาเอ่ย ก่อนจะชี้ชวนให้เพื่อนมองดูผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้า
มาธวีมองตาม และเห็นด้วยกับเพื่อนรัก
“แกเคยบอก ว่าชอบมองทะเล แถมยังบอกว่าทะเลโรแมนติก ภาพท้องฟ้ากับทะเลบรรจบกันสวยงามแล้วแกก็ยึดกล้องของฉันไป เดินถ่ายภาพวิวทะเลจนเมมกล้องเกือบเต็มแน่ะ” หญิงสาวหันมามองคนข้างตัว ก่อนจะส่งยิ้มหวาน “แล้วตอนนี้ แกโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมแล้ว ยังคิดแบบนั้นอยู่หรือเปล่า”
ปัณฑ์ธรเหม่อมองออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ก็ฉันบอกแล้ว ว่าทะเลยังสวยเหมือนเดิม”
งานเลี้ยงทุกงานย่อมมีวันเลิกรา ทริปครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่กองบอกอสำนักพิมพ์ศรสวรรค์เปิดโอกาสให้ให้มาธวีและปัณฑ์ธรได้ยัดเยียดช่วงเวลาพิเศษของทั้งสองคนให้ได้อยู่กันลำพังถึง 2 วันเต็มๆ ทางบริษัทก็ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯในที่สุด หากแต่ปัณฑ์ธรกลับยังยืนยันว่าเขาต้องการที่จะอยู่ที่ระยองต่ออีกสักระยะหนึ่ง แทนที่จะเดินทางกลับพร้อมกันอย่างที่หลายคนคิดไว้
“แกอยู่ที่นี่คนเดียวได้เหรอ ” หญิงสาวถามอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ “ทำไมไม่กลับพร้อมกันเลยวะปัณ ฉันว่าที่นี่มันแปลกๆยังไงชอบกล”
หญิงสาวเอ่ย ก่อนจะเหลียวมองรอบตัวอย่างไม่ไว้วางใจ จนคนที่ถูกเป็นห่วงอดจะขำในท่าทีหวาดระแวงของหญิงสาวไม่ได้
“ทำไมต้องทำท่าแบบนั้น” เขาหัวเราะเบาๆ”ทำอย่างกับนักสืบแน่ะ”
“ก็แกไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ.....ตลอดสองวันที่ฉันอยู่กับแก ฉันรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ”
หญิงสาวบอกอย่างจริงจัง ตลอดเวลาเธอรู้สึกเหมือนมีใครคอยติดตาม เฝ้าดู และอีกหลายๆอย่าง แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของเธอจะไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิด จึงเอ่ยแซวตามนิสัยคนปาก...ดี
“อะไรกัน...แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้” ปัณฑ์ธรตีหน้าขรึม
“อะไร...หรือว่าแกโดนใครปองร้ายมาแล้วหรือไง ฮะ” หญิงสาวถามหน้าตาตื่น
อีกคนปั้นหน้าเครียด ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา
“แกมาบอกว่า แกรู้สึกแปลกไปกับฉันหลังจากเราได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาสองวันที่ผ่านมา” เขาลดสายตาลงจ้องมองคนที่ตัวเล็กกว่าด้วยแววตารวดร้าว นิ้วเรียวเสยผมยาวๆที่ลงมาปรกหน้าของตัวเองขึ้นทัดหู ก่อนจะหลับตาพูดเสียงสั่น “แต่ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ไม่ว่ายังไง ฉันก็ตอบแทนความรู้สึกแกไม่ได้ ความรู้สึกขอ...อ๊าก !!! ”
โดยไม่ต้องรอให้ไอ้ประหลาดนี่พูดจบ มาธวีก็เตะสกัดขาเขาจนล้มลงกองกับพื้นอย่างง่ายดาย ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดเดินหนีไปอย่างไม่เหลียวแล ไอ้คนที่ทำอะไรเป็นเรื่องเล่นๆตลอดเวลาอย่างปัณฑ์ธรอีกเลย
อิษฎา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2554, 22:54:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2554, 22:54:58 น.
จำนวนการเข้าชม : 1747
<< บังเอิญ โลกกลม กรรมลิขิต | ตอนที่ 4 ความเปลี่ยนแปลง >> |