เปลวไฟกามเทพ
เธอ...คือผู้ก่อสุมความแค้น
เขา...คือผู้แค้นเธอด้วยหัวใจ
เมื่อไฟแค้นเริ่มจะคุกโชนสิ่งไหนก็ยากที่จะยับยั้งได้
Tags: รักปนเศร้า

ตอน: ตอนที่ 1 หนึ่งชีวิตกับการดิ้นรน

เฮ้อ...กว่าจะเจอและเข้าเว็บได้ก็แทบตาย
คุณผู้อ่านหลายท่านคงจะคิดถึงจนแทบแย่
เอาล่ะ วันนี้มาประเดิมครั้งแรก
ถ้างั้นผมขอลงรวดเดียวจนถึงตอนที่ 5 เลยนะครับ
หวังว่าคงไม่โดนด่าเสียก่อนน้า
แหะๆ

สุดท้าย ต้องขอขอบคุณทุกท่านนะครับที่ติดตามนิยายของพายุ ตลอดมา

ขอให้ทุกท่านสนุกกับการอ่านนะครับ

******

ตอนที่ 1

บริเวณตลาดขายส่งและปลีกระดับใหญ่โตที่สุด มีรถบรรทุกต่างขนาดจอดเรียงรายเป็นทิวแถวเต็มลานเกือบๆ ร่วมร้อยคัน มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนมาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ

ท่ามกลางแสงสว่างของไฟที่ติดรอบตลาดส่องให้เห็นพฤติการณ์ของผู้คนจำนวนหนึ่งจากท้ายรถบรรทุกทั้งหลายแหล่ โยงใยไปถึงในตลาดขนาดกว้างขวางได้มาตรฐานเพราะเจ้าของตลาดนับว่ามีฐานะตำแหน่งเป็นถึงนายกเทศมนตรีของเขตนี้เลยก็ว่าได้

พวกชายฉกรรจ์ช่วยกันยกเข่งใบโตบรรจุสินค้าพืชพรรณลงจากท้ายรถ มีเสียงร้องตะโกนคอนโทรลความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาการทำงานของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า บางรายก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามคือยกเข่งจากข้างล่างขึ้นบนรถ ส่วนพวกที่ทำหน้าที่เข็นสินค้าเข้าๆ ออกๆ ทางเข้าตลาดทั้งสี่ด้านก็ทำกันไป

ความสับสนวุ่นวายดำเนินต่อไปไม่มีสิ้นสุดเมื่อรถคันหนึ่งแยกออกไป รถอีกคันก็เลี้ยวเข้ามาจอดแทนที่ ทุกคนต่างทำงานแข่งกับเวลาที่ใกล้จะสว่างเข้ามาทุกที คงจะเช่นเดียวกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะถูกชักขึ้นสู่ปลายฟ้าทางด้านทิศตะวันออกอีกครั้งหลังจากที่ได้หลับนอนพักผ่อนมาตลอดทั้งคืน

หนึ่งในจำนวนของคนที่ทำงานแข่งกับเวลาเหล่านี้มีร่างของหญิงสาวหน้าหวานนัยน์ตากลมโตคมอมซึ้ง ผมหยักศกที่มักจะปรกลงมาปิดหน้าผากโดยส่วนหนึ่งถูกเก็บซ่อนอยู่ในหมวกแก๊ปสีเทาอีกทีหนึ่ง ร่างโปร่งบางแต่แกร่งซ่อนอยู่ในชุดกางเกงยีนลูกฟูกสีน้ำตาลกับเสื้อเชิ้ตยีน กำลังขมีขมันลากเข่งผักลงจากท้ายรถแล้วยกลงตั้งกับพื้นเหมือนเหล่าผู้ชายที่ทำกัน แต่ผิดกันที่ว่าหญิงสาวคนเดียวจึงทำหน้าที่ทั้งยกเข่งและเข็นผักเข้าไปสู่ตลาดด้วยตัวเองทุกอย่าง

“กันเกรามาแล้วจ๊ะป้า วันนี้รับเยอะไหมจ๊ะ”

กัญจนาหรือเด็กสาวที่เรียกตัวเองว่ากันเกราร้องบอกขณะที่ตนได้เข็นเข่งผักใบโตมาหยุดอยู่ตรงหน้าแผงขายผักของแม่ค้าวัยกลางคน คนหนึ่งที่กำลังจัดแผงด้วยท่าทีที่ขะมักเขม้น

“เอาเยอะสินังหนู ว่าแต่วันนี้มีผักอะไรเป็นพิเศษมาเสนอป้าบ้างล่ะ”
แม่ค้าผิวสีคล้ำแย้มยิ้มกระเมียดกระมัยถามเด็กสาวท่าทางกันเอง

“ที่มาใหม่ที่สุดเห็นจะเป็นคะน้าจ๊ะป้า แล้วก็มีกะหล่ำและแตงกวาอย่างละเข่งส่วนที่เหลือก็เหมือนเดิมนะจ๊ะ ผักพวกนี้เพิ่งจะถูกเก็บมาจากสวนเมื่อวานนี้เอง น้าธงก็เข้าไปรับมาเลยจ๊ะ”

“ถ้าอย่างนั้นป้าก็ขอเหมาทั้งหมดเลยนะ เพิ่มอีกอย่างละเข่ง คือวันนี้มีงานบุญบ้านป้าแว่นด้วย”

“งานบุญบ้านป้าแว่นหรือจ๊ะ ไอ้ปราณมันจะบวชหรือจ๊ะป้า”

เด็กสาวสอบถามจากแม่ค้าผิวคล้ำด้วยความสนใจ รู้สึกว่านี่จะเป็นข่าวใหม่สำหรับเธอไปแล้วเรื่องเจ้าปราณมันจะติดสินใจบวชให้กับบุพการี ซึ่งตลอดมามันไม่เคยคิดและจะเป็นเช่นนั้นมาก่อนเพราะมันเคยเป็นเด็กเกเรและไม่เคยเชื่อฟังพ่อและแม่ จนในระยะหลังนี้หล่อนก็เพิ่งได้ข่าวมาเหมือนกันว่าเจ้าปราณมันจะบวชแต่เธอก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จนในวันนี้ได้ยินจากปากของป้าแว่นจริงๆ หล่อนก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อมากนักถึงถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

“จริงหรือจ๊ะป้า นี่กันเกราไม่หูฝาดไปนะ”
“ไม่หรอกนังหนู เจ้าปราณมันกลับใจจริงๆ ป้านะดีใจแทนป้าแว่นแกจริงๆ ที่จะได้ตายตาหลับซะทีที่เห็นเจ้าลิงปราณมันบวชทดแทนคุณ”

แม่ค้าปากตลาดสมกับชื่อที่เคยเรียกขานกันมานานนม เมื่อได้พูดเรื่องอะไรแล้วก็มักจะพูดจนหูดับตับไหม้ไปข้างหนึ่ง นางก็ดีใจเหมือนกันที่เห็นเด็กเกเรอย่างเจ้าปราณมันจะได้บวชสักที

“ฉันก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เห็นมันบวช ป้าจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นกันเกราไปเอาของก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวจะมาส่งให้กับเจ้จงไม่ทัน กลัวแกจะบ่นอีกที่เห็นของไปถึงช้า”

เด็กสาวยกเข่งลงวางกับพื้นข้างๆ กับแผงขายของ ของป้าวีที่ส่งยิ้มให้กับเด็กสาวอย่างเอ็นดู

“ไปเถอะจ๊ะ จริงด้วยเดี๋ยวนังจงมันจะมาว่าป้าอีกที่พูดพร่ำและรั้งเอ็งเอาไว้ รีบๆ ไปเถอะป้าไม่อยากมีเรื่องกับมันอีก แล้วอย่าลืมเอาของที่สั่งไว้มาให้ป้าด้วยล่ะ”

“จ๊ะป้า ฉันไปล่ะนะ”

ว่าแล้วเด็กสาวจอมแก่นก็รีบเข็นรถลากจากไปในทันที ใบหน้าสวยเริ่มจะมีเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมาเกาะอยู่ตามหน้าผากกลมมนและตามไรขนแขนจนเธอต้องยกมือขึ้นปาดเพราะเมื่อมันไหลเข้าตาแล้วจะทำให้รู้สึกแสบด้วยฤทธิ์เกลือที่มันผสมอยู่ในน้ำเหงื่อ

ร่างบางยังคงทำงานอย่างขะมักเขม้นแข่งกับเวลาที่ยังโหดร้ายทารุณผ่านไปอย่างรวดเร็วอยู่เช่นเดิม หล่อนจะต้องเคลียร์งานพวกนี้ให้ถึงก่อนฟ้าสางเพราะหลังจากนั้นความวุ่นวายของเหล่าลูกค้ารายย่อยประเภทซื้อผักไปทำกับข้าวกินเองจะเกิดขึ้น เรื่องราวเหล่านี้จะยังคงดำเนินไปจนกระทั่งสามโมงเช้าทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลับสู่สภาวะปกติสุขเช่นเดิม

หลังจากที่ได้ซื้อของตามที่ต้องการเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็ถือของพะรุงพะรังมุ่งหน้ากลับบ้านในทันที บ้านที่ซุกหัวนอนของเธอจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากบ้านไม้ชั้นเดียวที่ยัดแออัดอยู่ตามซอกบ้านของใครหลายๆ คน โดยมีทางเข้าเป็นทางที่เชื่อมต่อกันยังกับรังปลวกทอดเข้าไปในซอกเล็กๆ ยาวไปสุดลูกหูลูกตา เดินมาได้ไม่นานเธอก็เลี้ยวขวาไปตามทางเดินจนไปสุดอยู่ที่บ้านไม้หลังหนึ่งที่เล็กพอๆ กับรังหนู ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปก็พบกับนางกระเพราผู้เป็นมารดาที่นั่งหน้างองุ้มอยู่หน้าบ้านรอการกลับมาของหล่อน

“เอ็งไปเถลไถลที่ไหนมาฮึ นังกันเกรา ถึงได้มาสายเอาปานนี้”

เมื่อเจอหน้าของบุตรสาวสุดสวาทนางกระเพราก็เปิดฉากถามเอาความในทันที เพราะในวันนี้ลูกสาวตัวดีกลับช้ากว่าปกติจนทำให้นางนั่งรอหน้างุ้มอย่างที่เห็น

“เอ็งก็รู้ว่าข้าไม่ชอบการรอ”
“โธ่แม่ ฉันไม่ได้ไปที่ไหนเลยจ๊ะ ที่กลับช้าก็เพราะกำลังรอซื้อแกงฮังเลอาหารที่แม่ชอบอยู่ยังไงเล่าจ๊ะ นี่ไง แม่เอาไปสิ”

เด็กสาวฉลาดพอที่จะหาเหตุผลมารับหน้ามารดาจอมเฮี้ยบที่จ้องจะจับผิดเธออยู่ตลอดเวลา และมันก็เป็นผลเมื่อแววตาของผู้เป็นมารดาเกิดประกายวาบอย่างดีใจก่อนจะรีบถลาเข้าไปรวบเอาถุงมาจากบุตรสาวในทันที คล้ายดั่งจะเห็นว่าสิ่งของที่อยู่ในมือของเด็กสาวจะเป็นสิ่งที่วิเศษในชีวิต

“เออ ว่าแต่เอ็งได้เงินมาเท่าไรล่ะ เอามาให้ข้าครึ่งหนึ่ง วันนี้ข้าจะเอาไปลงทุนที่บ่อนนังเพียรมัน เผื่อฟลุกได้เงินมาคืนให้กับเอ็งอีก”

นางกระเพราถามหาเอาเงินจากบุตรสาวในทันทีเช่นทุกวัน ทุกครั้งที่กันเกราได้เงินมาจากการทำงานเธอจะต้องนำเงินส่วนหนึ่งแบ่งไปให้กับมารดาเพื่อที่นางจะได้นำเงินไปถลุงที่บ่อนพนันบ้านนางเพียรอยู่เป็นประจำ

การพนันมันไม่เคยเข้าใครออกใครเลยสักคน และเมื่อมันได้ฝังอยู่ในหัวใจของคนๆ นั้นแล้วก็มักจะติดจนงอมแงมและทุรนทุรายทุกครั้งเมื่อไม่ได้เล่นจนต้องไปลักชิงวิ่งราวจากใครต่อใครเพื่อที่จะเอามาสนองความใคร่ของตน และหนึ่งในนั้นก็คือนางกระเพราที่มักจะไปเล่นอยู่เป็นประจำจนติดนิสัยขาดมันไม่ได้เสียแล้ว แต่ดีที่นางมีลูกสาวถึงสองคนที่หาเงินมาให้นางใช้อยู่เป็นประจำ ถึงแม้งานเหล่านั้นมันจะทำให้บุตรสาวทั้งสองเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด โดยเฉพาะกัญจนาลูกสาวคนเล็กที่ทำงานจนหามรุ่งหามค่ำ นางก็ยังไม่สนใจขอแค่พวกเธอมีเงินมาให้นางใช้จ่ายก็พอ

เด็กสาวควักเงินออกมาจากถุงผ้าใบเล็กสองร้อยบาทก่อนจะส่งให้กับมารดาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก

“อ่ะนี่จ๊ะ แม่ฉันว่าแม่หยุดบ้างเถอะนะจ๊ะไอ้การพนันนะ ฉันกลัวว่าแม่จะถูกตำรวจจับติดคุกแล้วใครจะไปช่วย ฉันขอบอกเอาไว้ก่อนว่าฉันไม่มีเงินไปประกันแม่หรอกนะ”

ลูกสาวตัวดียื่นเงินส่งให้กับมารดาพร้อมกับเปิดฉากเทศนาในทันที
“เอ็งไม่ต้องมาแช่งข้าเลยนังกันเกรา ขอให้เอ็งรู้ไว้ว่าเอ็งจะต้องทดแทนบุญคุณของข้าโดยการหาเงินมาให้ข้าใช้ก็พอ”

นางกระเพรากระชากเงินมาจากบุตรสาวอย่างเร็วรี่ แล้วยกเงินก้อนนั้นขึ้นมาจูบอย่างรักใครและยิ้มออกมาได้ในที่สุด

“ดีมากนังกันเกรา ไม่เสียแรงที่ข้าเลี้ยงเอ็งมาจนเติบใหญ่เช่นนี้ ข้าไปล่ะนะ พวงมาลัยอยู่ในตู้ข้าร้อยมันเรียบร้อยแล้ว ตอนบ่ายข้าจะไปเอาเงินจากเอ็งอีกอย่าลืมเตรียมเอาไว้ให้ด้วยล่ะ”

ว่าแล้วนางกระเพราก็ผิวปากร้องเพลงออกไปอย่างอารมณ์ดีเช่นทุกวัน ท่ามกลางสายตาที่ห่อเหี่ยวและเหนื่อยหน่ายของบุตรสาวที่ยืนเท้าเอวมองตามอย่างเอือมระอา

“แม่น้าแม่ อะไรจะกันนักกันหนา”

เธอส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะตัดสินใจเดินเลี่ยงเข้าบ้านไป อย่างน้อยแม่ของเธอก็ยังร้อยพวงมาลัยเอาไว้ให้ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องเสียเวลามานั่งหลังขดหลังแข็งร้อยพวงมาลัยอีกแน่นอน

เด็กสาวเดินเข้ามาในห้องของตัวเองด้วยหัวใจที่เหนื่อยอ่อนเต็มที ร่างกายที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อจากแรงกายค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงบนที่นอน เธอหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าที่ยังเหลือเพียงสองร้อยบาทออกมา ถึงมันจะหายไปครึ่งหนึ่งแต่เธอก็ยังเปิดยิ้มออกมาได้

“เฮ้อ อย่างน้อยแม่ก็ยังใจดีไม่ตะคลุบเงินของเธอไปจนหมด กันเกรา”

หญิงสาวเปิดยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปที่หัวเตียง ความมือหาของใต้หมอนสักพักก็เจอของที่เธอต้องการ มันเป็นถุงใส่เงินที่ซุกซ่อนอยู่ใต้หมอนของเธอมานานแล้ว นานจนเธอก็จำไม่ได้ว่ามันอยู่ที่นี่นานเท่าไร แต่ที่รู้ๆ ก็คือจำนวนเงินที่เธอเพียรนับมันทุกวันจนจำได้ว่าจำนวนเงินที่เธอหามาได้แต่ละวัน วันไหนมันจะเยอะหรือน้อยกว่ากัน

“เหลืออีกแค่สามพันห้าก็จะครบแล้ว กันเกราเอ้ย ในที่สุดความฝันของเธอก็จะกลายเป็นจริง เธอกำลังจะได้เรียนหนังสือแล้ว เธอได้ยินไหมว่าเธอกำลังจะได้เรียนหนังสือแล้ว”

หญิงสาวยิ้มเพ้อกับความฝันของตัวเองที่มันกำลังจะใกล้ฝั่งเข้ามาทุกที อีกไม่กี่เดือนมหาวิทยาลัยก็จะเปิด เธอจะได้เรียนหนังสือสักที หลังจากที่จบม. 6 พร้อมกับเพื่อนๆ ในปีที่แล้วเธอก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินมาตลอด ถึงจะเรียนไม่ทันรุ่นเดียวกันแต่ก็ขอให้ได้เรียนถึงจะช้ากว่าใครไปหน่อยเธอก็ยอม

“เธอจะได้เรียนหนังสือแล้วกันเกรา อดทนเอาอีกนิด อดทนเข้าไว้ กันเกรา” เด็กสาวเอาแต่พูดพร่ำกับตัวเอง สองมือโอบกอดเงินจำนวนหนึ่งที่เธอแอบเก็บเอาไว้แนบอกอย่างแสนรัก

ในขณะที่เธอกำลังตกเข้าสู่ห้วงของความฝันที่บรรเจิดอยู่นั้น แก้วกาญจน์พี่สาวคนเดียวของเธอก็ได้เปิดประตูเข้ามาในห้องของน้องสาวอย่างเงียบๆ หญิงสาวหยุดมองภาพของน้องสาวอยู่ครู่หนึ่งด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข ก่อนจะเอ่ยทักออกไปในที่สุด

“ว่ายังไงจ๊ะแม่ดอกกันเกรา กำลังฝันกลางวันเรื่องอะไรอยู่จ๊ะ” ผู้เป็นพี่สาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสพร้อมกับเดินทอดน่องเข้ามานั่งใกล้ๆ กับน้องสาว

“พี่แก้ว พี่รู้ไหมจ๊ะว่าความฝันของกันเกราจะได้เป็นความจริงแล้ว กันเกรากำลังจะได้เรียนเหมือนเพื่อนๆ แล้ว พี่ดูซิจ๊ะเงินของกันเกรากำลังจะครบแล้ว”

“จ๊ะ พี่ดีใจด้วยนะ ว่าแต่เธอแน่ใจหรือว่าจะไม่ให้พี่ช่วยในเรื่องค่าลงทะเบียนเรียน”

ผู้เป็นพี่สาวถามน้องสาวอย่างเป็นห่วงในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ของน้องสาว เธอพร้อมเสมอที่จะช่วยน้องสาวถ้ากัญจนาร้องขอ แต่ที่ผ่านมาแม่น้องสาวตัวดีของเธอกลับปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่อยากจะรบกวนเงินของพี่สาว ลำพังหาเลี้ยงครอบครัวก็มากเกินกว่าเงินเดือนแล้ว แล้วนี่จะให้มาช่วยส่งน้องสาวอีกมันเหมือนว่าเธอจะเอาเปรียบแก้วกาญจน์มากเกินไป

“พี่เก็บเงินของพี่ไว้ก่อนเถอะนะจ๊ะ เมื่อไรที่ฉันต้องการจะให้ช่วยฉันจะบอกเอง ขอบคุณพี่มากๆ เลยนะจ๊ะ”

“จ้า แม่คนเก่ง แต่เรื่องตำราเรียนอย่าปฏิเสธของพี่นะ ซื้อใหม่มันจะเปลืองเงินไปเปล่าๆ อีกอย่างของพี่ก็ยังใช้ได้อยู่”

“จ๊ะ จะซื้อใหม่ให้เปลืองไปทำไม กันเกราไม่เอาเงินไปทำแบบนั้นหรอก ของพี่สาวตัวก็มี” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสและยิ้มที่มุมปากอย่างน่ารัก

“เอ้อ แล้วทางมหาวิทยาลัยเขาติดต่อมาหรือยัง จะให้พี่ติดต่ออาจารย์แม่ให้เอาไหม เดี๋ยวช้าแล้วอดพี่ไม่รู้ด้วยนะ”

“เรียบร้อยแล้วจ๊ะพี่ อาทิตย์หน้าเขาจะเปิดให้ลงทะเบียนแล้วล่ะจ๊ะ กันเกราได้ไปสมัครเอาไว้แล้ว”

“อืมม์ ดีแล้วล่ะ”

ผู้เป็นพี่สาวยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกห้องแบบเฉยๆ โดยไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับถุงกระดาษใบโต เธอยื่นมันให้กับน้องสาวด้วยท่าทีที่ยิ้มแย้มก่อนจะพูด

“อ่ะ นี่คือชุดนักศึกษา พี่เห็นว่ากันเกรายังไม่มีก็เลยไปซื้อมาให้ สองชุดเป็นชุดใหม่ส่วนอีกชุดเป็นของเก่าของพี่ที่ยังดีอยู่ กันเกราลองใส่ดูนะว่าพอดีหรือเปล่า ถ้าไม่จะได้เปลี่ยนทันก่อนวันลงทะเบียน”

เด็กสาวหันไปมองใบหน้าของพี่สาวด้วยความซึ้งใจและสายตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ เธอยื่นมือออกไปรับของจากพี่สาวมากอดเอาไว้อย่างแสนรัก

“ขอบใจพี่แก้วมากเลยนะจ๊ะ กันเกราไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้มันสมกับที่พี่ได้ให้กับฉัน” ว่าแล้วเธอก็โผเข้าไปกอดพี่สาวในทันที

“โธ่ เด็กโง่ ถ้าพี่ไม่ซื้อให้เธอ แล้วจะให้พี่ไปซื้อให้ใครล่ะจ๊ะ”

แก้วกาญจน์ลูบเส้นผมสลวยของน้องสาวอย่างเอ็นดู ที่ผ่านมากันเกราไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากแม่ เธอจึงอยากจะทดแทนสิ่งเหล่านั้นให้กับน้องสาวของตัวเอง

“พี่แก้ว”

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองพี่สาว นัยน์ตาทั้งสองข้างเริ่มจะคลอรื้นไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ที่มันค่อยๆ ถูกกลั่นออกมาจนกลายเป็นหยาดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม เธอไม่ได้ร้องไห้ หากแต่เธอซึ้งใจกับความรักที่พี่สาวของเธอมอบให้ต่างหาก

“กันเกรา เราเป็นพี่น้องกัน มีกันแค่สองคน ถ้าพี่ไม่รักเธอแล้วจะให้พี่ไปรักใครล่ะจ๊ะ ที่พี่ซื้อให้ก็เพราะเห็นว่าเราไม่มีชุดใส่ ที่หาเงินมาได้แม่ก็ชอบแย่งไปครึ่งหนึ่ง พี่บอกเธอตรงนี้เลยนะกันเกราว่าพี่เห็นใจเธอจริงๆ “

แก้วกาญจน์ กระชับวงแขนโอบกอดน้องสาวเอาไว้แน่น น้ำตาเริ่มจะเอ่อคลอออกมาบ้าง ที่ผ่านมากัญจนาน้องสาวของเธอเป็นคนที่สู้ชีวิต ขนาดเธอที่ทำงานแล้วจะยื่นมือเข้ามาช่วยในยามที่น้องสาวต้องการจะเก็บเงินเพื่อจะเรียนต่อ แต่เด็กสาวกลับไม่ร้องขอและปฏิเสธเสมอมา กัญจนาบอกแค่เพียงว่าอยากจะทำเพื่อตัวเอง เพราะเงินที่ได้มาด้วยตัวเอง เธอจะเห็นคุณค่าของมันมากที่สุด

สิ่งที่หามาได้ถึงจะยากเย็นมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ ในการจับจ่ายแต่ละครั้งเธอมักจะคิดถึงมันเสมอว่าสิ่งที่จะซื้ออยู่นั้นมันมีประโยชน์เท่ากับการที่เธอหามาได้หรือไม่

“ไม่เอาละ อย่าร้องไห้เลย ไปอาบน้ำได้แล้วกันเกรา ดูซิมีแต่เหงื่อเต็มไปหมด”

แก้วกาญจน์ดึงร่างของน้องสาวออกจากอ้อมกอดอีกครั้งก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเขี่ยเส้นผมที่ปกอยู่บนใบหน้าของน้องสาวให้พ้นจากหน้าเพื่อจะได้เห็นใบหน้านั้นได้ชัดๆ

“เป็นสาวแล้วนี่เรา พี่อยากจะเห็นเธอใส่ชุดนักศึกษาซะจริงๆ ว่าน้องสาวของพี่จะสวยขนาดไหน” ผู้เป็นพี่ไม่วายเอ่ยเย้าแหย่จนอีกคนเริ่มจะหน้าแดง

“ไปอาบน้ำเถอะยัยน้องสาวคนสวย เดี๋ยวพี่ก็จะออกไปทำงานแล้ว เธออยู่บ้านก็เฝ้าบ้านให้ดีล่ะ”

“จ๊ะพี่แก้ว พี่ไปทำงานเถอะนะ ไม่ต้องเป็นห่วงกันเกราหรอก”

เด็กสาวบอกให้อีกคนสบายใจและเปิดยิ้มออกมาได้ในที่สุด เช่นเดียวกับแก้วกาญจน์ที่ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนั้นไป แต่ก่อนที่เธอจะเดินพ้นประตูห้องของน้องสาว หญิงสาวก็ได้หันมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส

########

กัญจนาเดินเข้ามาในห้องอีกครั้งด้วยท่าทีที่สดชื่นแจ่มใส บัดนี้เด็กสาวอยู่ในชุดลำลองสีเขียวสดใสกลางเก่ากลางใหม่ ชุดนี้มันเป็นชุดตัวโปรดของเธอเลยก็ว่าได้ ที่คอมีผ้าขนหนูผืนสั้นคล้องอยู่ เด็กสาวเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าที่นอนของตัวเองก่อนจะส่งสายตาอันเต็มไปด้วยความดีใจและสุขใจไปที่ถุงกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้า

กรอบหน้าสวยมีรอยยิ้มผุดขึ้น ก่อนที่เธอจะรีบกระโจนลงบนฟูกที่นอนแล้วรีบคว้าถุงกระดาษมากอดเอาไว้จนแน่น

“เธอจะได้เรียนกับเค้าสักทีกันเกรา เย้! เย้! เย้! กันเกรา เธอได้ยินมั้ยเธอกำลังจะได้เรียนหนังสือแล้ว”

เด็กสาวเตือนใจตัวเองอย่างดีใจแล้วลุกขึ้นและหยิบชุดที่อยู่ในถุงผ้าออกมาลองสวมใส่ดูอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่นานเด็กสาวจอมแก่นก็อยู่ในชุดนักศึกษาสีขาว ปรากฏว่าชุดเหล่านั้นเธอใส่มันได้อย่างพอดี เธอเปิดยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วรีบตรงไปที่กระจกก่อนจะหมุนตัวเองไปมาด้วยความชื่นชม

ความปรารถนาของเธอคือการได้อยู่ในชุดนักศึกษาเช่นนี้ เธอฝันมานานแล้วกับการได้ก้าวไปเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

หลังจากที่ยืนชื่นชมกับความงามของตัวเอง เธอก็รีบถอดชุดนักศึกษาออกแล้วนำมันไปแขวนไว้ระวังดูแลมันอย่างทะนุถนอม ก่อนจะรีบออกจากห้องนอนของตัวเองเพื่อจะจัดการกับอาหารเช้าตามที่ท้องต้องการและร้องหา เธอจัดการกับอาหารบนโต๊ะจนอิ่มหนำ ก่อนจะเดินตรงไปที่กระติกน้ำสีน้ำเงินซึ่งในนั้นมีพวงมาลัยที่แม่ของเธอร้อยและทิ้งเอาไว้เพื่อจะได้ให้เธอออกไปขายที่สี่แยกไปแดง

ภารกิจของเธอต่อแต่นี้ก็คือการขายพวงมาลัย และจะต้องขายมันให้หมดเพื่อที่จะนำเงินมาให้กับมารดาของตัวเอง ทุกวันนี้ชีวิตของเธอมันก็ไม่ต่างกับหุ่นยนต์ที่จะต้องทำทุกอย่างให้เป็นเวลาและทำอย่างเคร่งครัดเพราะถ้าหากมันแตกต่างจากนั้นมันก็เหมือนจำนวนเงินที่มันจะสูญหายไปเหมือนกัน
#####

รถราบนถนนยังคงแล่นผ่านไปผ่านมาดังเช่นทุกวัน ทุกชีวิตต่างดิ้นรนในการออกไปทำงานเช่นเดียวกับแก้วกาญจน์ที่กำลังเดินไปตามพื้นฟุตบาทเพื่อไปหยุดรอรถตรงจุดนัดพบให้ทันก่อนอีกคนที่จะเดินทางมาถึง

หญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านขายของร้านหนึ่งไม่ห่างนัก ยืนรออยู่ไม่นานก็ได้มีรถเก๋งสีดำสนิทเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบ ผู้ที่อยู่ในรถเป็นผู้ชายใบหน้าหล่อสมาร์ท บัดนี้เขาอยู่ในชุดสูทสีดำสุภาพ ร่างสูงเปิดประตูลงจากรถก่อนจะส่งยิ้มมาที่หญิงสาวที่ยืนยิ้มรออยู่เช่นกัน

“รอนานไหมครับแก้ว”

เสียงทุ้มนุ่มหูดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงจะรีบวิ่งอ้อมรถของตนเองเพื่อจะมาเปิดประตูให้กับหญิงสาว เพื่อจะให้เธอแทรกตัวเข้าไปนั่งอย่างสบาย

“ขอบคุณนะคะ”

แก้วกาญจน์เอ่ยขอบคุณเขาอย่างเกรงใจ เธอค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปนั่ง ขณะที่ชายหนุ่มรีบปิดประตูอย่างสุภาพแล้วรีบวิ่งมาประจำที่ของตน ก่อนพารถเคลื่อนออกไปจากตรงนั้น

ภายในรถ ตลอดการทางภาวสุทธิ์เอาแต่จ้องหน้าหญิงสาวอย่างสุขใจสลับกับการมองทางเบื้องหน้า ตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาเขาและแก้วกาญจน์ต่างบ่มเพาะความรักจนในบัดนี้หัวใจของเขาและเธอได้กลายเป็นสีชมพูไปแล้ว

ภาวสุทธิ์เป็นผู้จัดการบริหารของบริษัทเกี่ยวกับอาหารอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อติดอันดับอาหารของประเทศ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลรุจยาวัฒนา เศรษฐีระดับหนึ่งของประเทศที่มีพวกไฮซ้อไฮโซสาวหลายคนต่างหมายตาจับจอง หากแต่ชายหนุ่มกลับเลือกแก้วกาญจน์หญิงสาวผู้ที่มีกิริยามารยาทที่อ่อนหวานและเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจของเขาเสมอมา

ถึงแม้ว่าจะรู้ภูมิหลังของแก้วกาญจน์ว่าระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเธอเป็นเช่นไร หากแต่เขาก็ไม่ได้คิดรังเกียจ ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกสงสารเธอ และก็ได้ตั้งปณิธานเอาไว้ในใจเสมอมาว่า รักแท้คือความรักที่ไร้พรมแดน ต่อให้อีกฝ่ายจะอยู่ในฐานะอะไร ความรักที่เขามีให้กับเธอเท่านั้นจะเป็นตัวฉุดดึงให้เธออยู่บนพื้นแห่งความเป็นจริงให้ได้ ถึงแม้คำครหาจะตามมาในภายหลังว่าเขาจะไปคว้าผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเป็นภรรยาเขาก็ไม่แคร์

เช่นเดียวกับหญิงสาว เธอรู้ตัวดีว่าเธออยู่ในฐานะอะไร แต่เพราะเธอเข้าใจทัณฑ์แห่งรักแท้ เธอจึงเชื่อใจเขา บทพิสูจน์แห่งรักแท้ขั้นแรกเขาก็ได้พิสูจน์ให้เธอเห็นแล้วว่าเขาจริงใจขนาดไหน จนในเวลาต่อมาเขาได้ขอเธอแต่งงานและจะพาเธอไปพบกับบิดามารดาของเขา

ความสวยของหญิงสาวและความมีเสน่ห์ของชายหนุ่มทำให้ใครหลายๆ คนต่างพากันอิจฉาและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งสองเหมาะสมกันอย่างไม่มีที่ติ

“นี่ยังไม่ถึงเวลาผมว่าเราไปทานอาหารกันสักนิดจะดีไหมครับ”

เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นพร้อมๆ กับที่เขาได้บังคับรถให้เคลื่อนไปตามท้องถนนที่มีรถยนต์อีกหลายสิบคันวิ่งสวนไปมาเช่นเดียวกัน

ใบหน้าหวานของแก้วกาญจน์เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มบางๆ เสี้ยวหน้าสวยหันมาสบตากับเขาอย่างมีความหมาย

“ตามใจคุณสิค่ะ แต่แก้วต้องบอกไว้ก่อนนะคะว่าแก้วทานมาแล้ว” หญิงสาวปฏิเสธเสียงหวานเพราะจริงๆ แล้วเธอได้ทานอาหารเช้ามาก่อนหน้านี้แล้ว

“ไม่เป็นไรครับ แค่มีคุณนั่งอยู่ด้วยผมก็สุขใจแล้ว” เขาหยอดคำหวานโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ตั้งตัว จึงทำให้กรอบหน้าสวยแดงซ่านขึ้นมาในทันทีด้วยความเขินอาย

“คุณก็พูดไปโน้นเลย หน้าของแก้วมีความสามารถทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นได้เลยจริงๆ หรือคะไม่น่าเชื่อเลย”

ยามที่เธอเอียงอายช่างน่ารักในสายตาของเธอเหลือเกิน ชายหนุ่มหันมาจ้องตาของหญิงสาวด้วยความหมายที่ลึกซึ้งก่อนจะพารถเคลื่อนเข้าไปในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมทางผ่าน

รถจอดสนิท ภาวสุทธิ์รีบลงจากรถแล้ววิ่งมาเปิดประตูให้กับหญิงสาว

“ขอบคุณนะคะ”

แก้วกาญจน์ก้าวลงจากรถพร้อมกับรอยยิ้มที่หวานฉ่ำ เธอมองภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่ตื่นเต้น ถึงแม้เธอกับเขาจะไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองบ่อยๆ แต่เช้านี้เธอกลับรู้สึกว่ามันพิเศษกว่าทุกวันที่ผ่านมา เธอก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกเช่นนั้น

“เราเข้าไปกันเถอะครับ”

เขาเอ่ยชวนพร้อมกับกางแขนให้กับหญิงสาวได้คล้องและเดินไปด้วยกัน หากแต่แก้วกาญจน์กลับปฏิเสธเพราะเห็นว่ามันไม่สมควร ในที่แบบนี้และเวลาเช่นนี้มันไม่ใช่เวลาที่เธอและเขาจะมาสวีทกัน

“อย่าเลยค่ะ ตอนนี้เราอยู่ในชุดทำงานมันจะน่าเกียจนะคะถ้าใครที่เรารู้จักมาเห็นเข้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจสิครับ สำหรับผมแล้วไม่คิดอะไรหรอก”

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน ก่อนจะผายมือให้กับเธอเดินนำไปก่อน เมื่อเข้าไปแล้วชายหนุ่มก็ได้สิ่งอาหารแบบเรียบง่ายมาทาน โดยมีแก้วกาญจน์คอยนั่งอยู่อย่างเงียบๆ เขาทานอาหารมื้อเช้าอย่างมีความสุขเพราะภาพเบื้องหน้าคือหัวใจทั้งดวงของเขา ความสุขใจ ความปลื้มปีติ ถาโถมเข้ามาให้กับเขาจนแทบสำลัก หากแต่เขาก็พึงพอใจถ้าหากความสุขเช่นนี้จะมีกับเขาตลอดไป

ภาพของชายหนุ่มที่ทานไปและยิ้มไปเริ่มจะทำให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัดและหมั่นไส้ เมื่อเวลามันได้ผ่านมามากแล้ว แววตาหวานซึ้งจ้องหน้าชายหนุ่มเป็นเชิงปราม

“คุณอย่ามองผมแบบนั้นสิแก้ว”

ชายหนุ่มสังเกตเห็นแววตาของหญิงสาวที่เริ่มจะแง่งอนเขาจึงชิงเอ่ยถามขึ้นเบาๆ

“คุณจะแกล้งแก้วให้ทุกคนว่าแก้วมาทำงานสายเกือบทุกวันหรือคะคุณภาวสุทธิ์”

หญิงสาวเอ่ยเสียงห้วนเมื่อเขายังทำหน้าระรื่น

“เปล่านี่ครับ แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับทุกคนที่คุณหมายถึงล่ะครับก็ในเมื่อคุณเป็นเลขาฯ ของผมและผมก็เป็นคนไปรับคุณเอง”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบๆ ทานสิค่ะ นี่มันก็สายมากแล้ว เป็นถึงผู้บริหารไปสายเดี๋ยวมันจะเสียการปกครองนะคะ”

หญิงสาวเอ่ยบอกด้วยใบหน้างอง้ำ จนทำให้อีกฝ่ายเปิดยิ้มออกมาในที่สุด ที่แท้เธอก็ไม่อยากจะให้เขาเสียการปกครองนั่นเอง คุณแก้วคุณจะรู้ไหมนะว่าคุณทำให้ผมมีความสุขขนาดไหน

“ครับคุณเลขาฯ คนสวย เอาเป็นว่าขอผมทานอีกสักนิดเถอะนะ ผมอยากจะอยู่ในห้วงเวลานี้นานๆ คุณรู้ไหมว่าคุณทำให้ผมมีความสุขที่สุดที่เห็นคุณอยู่ข้างๆ เช่นนี้”

เสียงนุ่มทุ้มของเขาดังขึ้นเพื่อขอความเห็นใจ หากแต่เธอกลับเงียบไม่รู้จะพูดอะไร ก็ฉันมีความสุขเหมือนกันนี่ที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณเช่นนี้

“เอ่อ แก้ว”

เธอยังอึกอัด ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกดีที่ได้อยู่ในห้วงเวลาแบบนี้หากแต่เธอไม่อยากจะเสียเวลาทำงานไปมากกว่านี้จริงๆ และกลัวว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ จะว่าเธอได้ที่เป็นแค่เลขานุการกลับไประริกระรี้ให้ท่าผู้จัดการสองต่อสองในเวลาทำงานเช่นนี้

“หรือคุณไม่รู้สึกดี แก้ว”

จู่ๆ เสียงของเขาก็ดังแทรกขึ้นและทำลายความคิดทั้งหมดของเธอลง แก้วกาญจน์ช้อนตาขึ้นมองเสี้ยวหน้าคมของเขาอย่างเห็นใจ

“อย่าพูดแบบนั้นสิค่ะ คุณก็รู้อยู่แล้วว่าแก้วคิดยังไงกับคุณ ไม่อย่างนั้นแก้วก็คงจะไม่มาอยู่ตรงนี้และหนีคุณไปไกลแล้ว”

คำพูดที่จริงใจจากหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เปิดยิ้มออกมาในที่สุด นัยน์ตาคมของเขาจ้องลึกเข้าไปในความคมวาวงามของเธออย่างมีความหมาย มือหนาค่อยๆ เอื้อมมาจับมือของเธอแล้วกุมมันเอาไว้จนแน่น

“แก้ว คุณจงรู้เอาไว้นะครับ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นผมยินดีที่จะช่วยคุณเสมอ ผมรักคุณนะครับ คุณไม่ต้องกลัวคำครหาของใครที่จะมาว่าคุณและผมไปในทางที่ผิด ขอแค่เรามั่นคงและจริงใจต่อกันเท่านั้นผมสัญญาว่าผมจะปกป้องคุณและจะรักคุณแบบนี้ตลอดไป”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่นจนเธอรู้สึกสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ ถึงแม้จะรู้สึกสุขใจแต่เธอก็ตอบไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกเช่นนั้น บางครั้งหัวใจของเธอก็วาบหวิวและใจหายเป็นบางครั้ง จนเธอไม่อยากจะให้เขาพูดเช่นนั้นอีกเลย

“แก้วรู้ค่ะว่าคุณพูดจริง และแก้วก็ขอสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างคุณแบบนี้ตลอดไปเช่นกันนะคะ”

หญิงสาวบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงที่หวานสุดซึ้งดั่งระฆังแก้ว ดวงตากลมโตคู่สวยช้อนขึ้นสบกับเขาอย่างตั้งใจจนไม่นานน้ำตาแห่งอารมณ์ตื้นตันก็เอ่อนองออกมา ภาวสุทธิ์เอื้อมมือข้างหนึ่งเกลี้ยน้ำตาให้พ้นจากพวงแก้มแล้วลูบไล้ที่แก้มนวลเบาๆ

“คุณสัญญากับแก้วได้ไหมคะว่าจะมั่นคงกับแก้วแบบนี้ตลอดไป และจะไม่หนีแก้วไปไหน”

“ครับ ผมสัญญา”

ชายหนุ่มขานตอบรับคำมั่นสัญญาในที่สุด มือหนาค่อยๆ จับที่คางมนเบาๆ เป็นการตอกย้ำคำมั่นสัญญาของเขาว่าเขาจะมั่นคงและจริงใจแบบนี้ตลอดไป

“เห็นคุณพูดแบบนี้แก้วก็ดีใจแล้วละค่ะ ว่าแต่ทานเสร็จแล้วใช่ไหมคะ แก้วว่าเราไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสาย ตอนสิบโมงวันนี้คุณมีประชุมไม่ใช่หรือคะ เดี๋ยวจะต้องเตรียมตัวอีก ไปช้ากว่านี้แก้วกลัวว่าคุณจะเตรียมตัวไม่ทันนะคะ”เธอเอ่ยตัดบทในที่สุดเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเธอจึงชวนให้เขาเดินทางอีกครั้ง

“ก็ได้ครับ นี่เป็นคุณนะ ถ้าเป็นคนอื่นผมไม่ยอมหรอกที่จะให้ใครมาทำลายเวลาแห่งความสุขของผมแบบนี้”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหวานก่อนจะหันไปเรียกพนักงานมาเก็บเงิน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจึงพาเธอไปที่รถแล้วขับตรงไปที่ทำงาน




พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 เม.ย. 2554, 19:04:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 เม.ย. 2554, 19:21:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1781





   ตอนที่ 2 หัวใจ...อีกดวง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account