กรุ่นไอรักหลังลมร้อน
สบายๆ คลายเครียด..
Tags: สาวขอนแก่นเข้ากรุง

ตอน: ตอนที่ 14 ความจริงที่ซับซ้อน

ณ บ้านเดชาบดินทร์...

“สวัสดีค่ะคุณภีม” เสียงสาวน้อยนามว่าแจ่มเอ่ยออกมาพร้อมกับกระพุ่มมือยกขึ้นไหว้ ภีมอมยิ้มมือก็ปิดประตูรถ

“หวัดดีแจ่ม เป็นไงบ้างเรา ไม่ได้เจอตั้งนานสวยขึ้นน้า!” เท่านั้นแหละใบหน้าสาวน้อยตรงหน้าบานเป็นกระด้ง เจอยาหอมเข้าไปถูกใจเป็นยิ่งนัก แจ่มปลื้มเพื่อนชายของนายจ้างคนนี้มาก ยิ่งถ้าวันไหนมาคู่กับดลชัยแจ่มแทบไม่ห่างเลยคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆตลอด

“แหม! คุณภีมก็..เล่นชมแจ่มตรงๆ แบบนี้แจ่มอายนะคะ” บิดตัวไปมาขวยเขิน ภีมอมยิ้ม

“คุณภีมมาหาคุณธันวาเหรอคะ..คุณธันวายังไม่กลับหรอกค่ะ”

“เปล่า! มาขอข้าวกลางวันกินน่ะ” แจ่มขมวดคิ้วมุ่น

“นี่คุณภีมยังไม่ทานข้าวกลางวันอีกเหรอคะ บ่ายโมงกว่าแล้วนะคะเนี่ย” ภีมพยักหน้าส่งให้ ขาก็ก้าวเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน

“อึมม์ กะจะมากินที่นี่แหละ..มีใครอยู่บ้านบ้างแจ่ม คุณแม่อยู่หรือเปล่า”

“อยู่ค่ะ..คุณท่านมีแขกมาเยี่ยมน่ะค่ะเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน พาลูกชายมาด้วยค่ะอย่างหล่อเลย หน้าอย่างกับพระเอกหนังแหนะ แจ่มว่านะสงสัยจะพามาดูตัวคุณษาแน่ๆ เลย” ภีมเลิกคิ้วนิดหนึ่ง

“อ้อ! มาดูตัวยายษา” แจ่มอมยิ้มพริ้ม

“ค่ะ! แจ่มว่างั้นแหละ สงสัยคุณภีมคงจะได้กินเลี้ยงใหญ่เร็วๆนี้แน่ๆ เพราะแจ่มเห็นคุณษานั่งคุยกับเพื่อนลูกชายคุณท่านถูกคอเชียวค่ะ” ภีมเลิกคิ้วอีกครั้ง อมยิ้มบางๆ

“งั้นเชียว”

“ค่ะ..ตอนนี้อยู่กันที่ห้องรับแขกน่ะค่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้าส่งให้ พลางส่งเสียงออกมาเนิบๆ

“ไหนเจ้าธันบอกว่ายายษาป่วยไม่ใช่เหรอ!”

“แจ่มก็ไม่แน่ใจค่ะ แต่เมื่อเช้าแจ่มเห็นตาคุณษาบวมๆ ช้ำๆ น่ะค่ะ คงจะป่วยแหละแจ่มว่า”

“อ้อ! ตาบวมช้ำ! แล้วนี่พวกเพื่อนคุณแม่มานานหรือยัง” ปากถามขาก็ก้าวเดินเข้ามาในห้องโถง มีแจ่มเดินตามมาติดๆ

“ก็ตั้งแต่เช้า ซักประมาณเก้าโมงกว่าๆ ได้นั่นแหละค่ะ” ชายหนุ่มอมยิ้ม

“อยู่กันนานเหมือนกันแฮะ นี่จะบ่ายสองแล้ว สงสัยนายเราจะออกเรือนก็คราวนี้ล่ะมั้งแจ่ม”หัวเราะออกมาเบาๆ ขาก็ก้าวตามเสียงที่ได้ยินแว่วๆ ออกมาจากห้องรับแขก ภีมเดินเข้ามาในห้องที่มีคนจับจองนั่งกันอยู่สี่คน ดูเหมือนบุคคลในที่นั้นจะยังไม่ได้รู้สึกถึงผู้มาใหม่แต่อย่างใดยังคงนั่ง คุยกันอย่างสนุกสนาน ระหว่างเดินเข้าไปหาตาคมเข้มก็รอบสังเกตผู้เป็นแขกของแม่เพื่อนไปด้วย สายตากวาดไปยังชายหนุ่มที่แจ่มกล่าวถึงเป็นอันดับแรก หน้าตาบุรุษเบื้องหน้าขาวสะอาดหมดจด บ่งบอกเชื้อชาติจีนที่มีอยู่ในตัวอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างไม่สูงใหญ่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับหนุ่มไทยโดยเฉลี่ย ภีมเหลือบตามองไปยังหญิงสูงวัยที่กำลังคุยอย่างออกรสกับคุณพวัล ถ้าเขาจำไม่ผิดเธอผู้นี้ต้องมีตำแหน่งคุณหญิงนำหน้าเป็นแน่แท้ด้วยรูปร่าง หน้าตาเหมือนกับคุ้นๆว่าเคยเห็นผ่านทางจอโทรทัศน์ ตามสื่อต่างๆ หรือไม่ก็งานใหญ่ๆ ซักงานหนึ่ง แล้วคุณพวัลก็เหลือบสายตามาเห็น

“อ้าว! ตาภีมมาได้ยังไงลูก!” ทักออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ใบหน้างามระบายด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับตัวที่รีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหา ภีมส่งยิ้มกว้างขวางยกมือขึ้นไหว้

“หวัดดีครับแม่! ผมกะจะมาขอข้าวกลางวันกินหน่อยน่ะครับ หิว!” ยกมือขึ้นลูบท้องไปมา คุณพวัลค้อนให้ขวับ

“น่าตีจริงเชียวเราน่ะ นี่ถ้าไม่หิวคงหาทางเข้ามาที่บ้านนี้ไม่ถูกเลยใช่มั๊ย!” มือจับแขนได้ก็จูงให้เดินมาด้วยกัน

“มา! มานี่ก่อนลูก มารู้จักเพื่อนแม่ก่อน” คุณพวัลพาชายหนุ่มเข้ามาร่วมวงด้วย ภีมเจาะจงนั่งลงข้างๆ เมษา ที่นั่งตัวแข็งเป็นหินอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่ได้ยินผู้เป็นแม่เอ่ยทักชายหนุ่มออกไป

“นี่คุณหญิงผกากรองจ้ะ และนี่ก็ลูกชาย ตาคทาเทพ น่าจะเป็นรุ่นน้องภีมหลายปีอยู่น่ะลูก เพราะตาเทพเพิ่งจบกลับมาจากที่โน่น ที่เดียวกับภีมนั่นแหละ” ภีมหันไปทำความรู้จักสองแม่ลูกตรงหน้า ระหว่างนั้นเมษาที่นั่งอยู่ด้วยมิได้ส่งเสียงออกมาซักคำ พยายามไม่เหลือบมองชายหนุ่มข้างๆ ที่เป็นตัวต้นเหตุให้ตัวเองต้องลาหยุดงานวันนี้ เสียงทุ้มๆ ที่เธอชอบฟังเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างคนเจนสังคม ไม่มีตะกุก ตะกัก ชวนสองแม่ลูกคุยได้อย่างลื่นไหลเหมือนกับรู้จักกันมานานก็ว่าได้ คุณหญิงผกากรอง กับลูกชายหัวเราะออกมาเป็นระยะๆ ดูชายหนุ่มจะเป็นที่สนใจของแม่ลูกคู่นี้ไปซะแล้ว นี่แหละเสน่ห์ของคนข้างๆ ที่เธอพยายามจะดีดตัวเองให้ห่างอยู่ในเวลานี้ แต่ดูเหมือนมันช่างยากเย็นเหลือเกิน ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจจี๊ดๆ ขึ้นมาอีก รู้สึกถึงคลื่นน้อยๆที่อยู่ภายในมันเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาใสเริ่มเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา..

“ป่วยเหรอเรา!” เสียงภีมสอดแทรกมาทางความคิด เมษาค่อยๆหันไปมองบุคคลข้างๆ เห็นชายหนุ่มเลิกคิ้วถามมา หญิงสาวจ้องนิ่ง

“ว่าไง ป่วยจนเสียงไม่มีเลยเหรอ” ภีมอมยิ้มบางๆ ถามส่งมาอีก หญิงสาวยังคงจ้องนิ่งอยู่อย่างงั้นทำเอาคนอมยิ้มเริ่มขมวดคิ้วเพราะสังเกต เห็นน้ำใสๆ ที่ขึ้นมาคลออยู่ในหน่วยตาทั้งสองข้างของสาวน้อยตรงหน้า

“เป็นอะไร” กระซิบออกมาเบาๆ เมษากระพริบตาปริบๆ

“ปะ..เปล่าค่ะ” คิ้วชายหนุ่มเริ่มพันกันยุ่ง กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกมา แต่เมษารีบชิงหันหน้ากลับมาซะก่อนพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ สายตาเหลือบเห็นคทาเทพมองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งยิ้มเซียวๆไปให้

“ผมกับคุณแม่คงต้องกลับก่อนล่ะครับ” เมษาเลิกคิ้ว

“จะกลับแล้วเหรอคะ”

“ครับ! รบกวนเวลาคุณษากับคุณป้ามาตั้งแต่เช้าคงต้องกลับซักที ไว้คราวหน้าผมค่อยมาเยี่ยมใหม่ หวังว่าคุณษาคงไม่รังเกียจ” เริ่มมีอมยิ้มผุดขึ้นบริเวณมุมปากของหญิงสาวอีกครั้ง เธอรู้สึกถูกอัธยาศรัยกับชายหนุ่มตรงหน้า คำพูดคำจาดูจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน และก็ไม่เย่อหยิ่งถือตัว เหมือนกับชายหนุ่มพวกมีอันจะกินทั้งหลายที่เธอเคยพบเจอมาก่อนหน้านี้

“ยินดีค่ะ บ้านนี้ยินดีต้อนรับเสมอ” คุณพวัลอมยิ้มเสริมออกมาบ้าง

“จริงจ้ะ! ว่างเมื่อไหร่ก็มานะตาเทพ..เธอด้วยนะผกา” หันมาหาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน สองแม่ลูกหันมาล่ำลาภีม แล้วก็พากันลุกขึ้นยืน คุณพวัลกับเมษาเดินตามออกไปด้วย จะมีก็แต่ภีมที่ยังนั่งอยู่กับที่พอเห็นแขกของแม่เพื่อนออกไปแล้ว ก็ถอนหายใจเฮือก ล้มตัวลงนอนบนโซฟาตัวโปรดที่เขาชอบเป็นนักหนาเวลาแวะเวียนมาหาธันวาที่บ้าน จะต้องมีอันนอนเขลงลงทุกครั้ง บ้านหลังนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองในกรุงเทพๆ ของเขาเลยก็ว่าได้ คุณเทียมกับคุณพวัลเอ็นดูเขากับดลชัยเหมือนคนในครอบครัว เวลามาที่นี่เขาจะมีความรู้สึกว่าได้กลับบ้านที่จันทบุรี ซึ่งพ่อกับแม่ของเขาเกษียรตัวเองไปทำรีสอร์ทอยู่ที่นั่น ช่วงที่งานไม่ชุกหรือปลีกตัวได้ชายหนุ่มจะต้องกลับไปเยี่ยมเยียนท่านทั้งสอง เป็นประจำ แต่ถ้าไม่สามารถไปได้ก็จะอาศัยที่นี่แหละเป็นที่ผ่อนคลายความคิดถึงพ่อกับ แม่ไปได้บ้าง ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงกำลังจะเคลิ้มเข้าสู่ภวังค์ของการหลับใหล...

“หลับแล้วเหรอลูก ภีม!” ชายหนุ่มมีอันต้องกระพริบตาปริบๆ ส่งยิ้มกว้างไปให้หญิงสูงวัยตรงหน้า หัวเราะออกมาเบาๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง

“กำลังเคลิ้มๆน่ะครับ!”

“งานหนักเหรอลูก ช่วงนี้น่ะ”

“ก็พอดูครับ มีหลายงานเหมือนกันที่ต้องเร่งให้เสร็จ ช่วงนี้ก็เลยต้องวิ่งรอก” คุณพวัลขมวดคิ้วมุ่น

“อย่าหักโหมมากนะลูก เดี๋ยวจะไม่สบายไป อันไหนปล่อยให้คนอื่นช่วยได้ก็ปล่อยๆไปบ้าง อย่าแบกไว้คนเดียว” ชายหนุ่มยิ้มพริ้มส่งเสียงยานคางออกมา

“คร๊าบบบบ!” คุณพวัลหมั่นไส้

“ครับทุกที! แต่ไม่เคยทำตามซักครั้ง เด็กพวกนี้หนิดีแต่รับคำผ่านๆไปเท่านั้นแหละ” ชายหนุ่มหัวเราะหึ หึ รีบพูดขัดคอออกมา

“แม่ครับ ผมหิว!”อ้อน! ทำท่าหิวจัด คุณพวัลส่งค้อนให้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนเธอจะทำท่าขึงขังไม่ได้นาน เมื่อเจอสายตาแบบนี้เข้ามันเกิดความเอ็นดูขึ้นมาซะเฉยๆ เมื่อก่อนลูกชายคนโตของเธอก็เป็นแบบนี้แหละดูเหมือนจะมากกว่าด้วยซ้ำ ขี้เล่น ขี้อ้อน ขี้ประจบ แต่เดี๋ยวนี้ไอ้อาการแบบนี้แทบไม่มีให้ได้เห็น ตอนนี้เธอก็ได้แต่รอเวลาเท่านั้นแหละ หวังว่าคงจะมีใครมาช่วยให้ลักษณะอาการแบบนี้ของผู้เป็นลูกกลับมาอีกครั้ง คุณพวัลถอนหายใจเฮือก อมยิ้มส่งให้เพื่อนลูกชายตรงหน้า

“เห็นภีมทำท่าทางแบบนี้แล้วแม่คิดถึงธันวา แม่อยากให้ธันวากลับมาเป็นเหมือนเดิม อยากได้ธันวาคนก่อนของแม่กลับมา” ภีมยิ้มบางๆ ลุกขึ้นยืน ยื่นมือมาจับหลังมือคุณพวัลลูบเบาๆ

“แม่ครับ! เวลาเท่านั้นแหละครับที่จะช่วยได้ ตอนนี้ผมว่าอาการมันยังดีขึ้นกว่าช่วงแรกๆ ซะอีก เพราะฉะนั้นให้เวลามันอีกนิดเถอะครับเดี๋ยวมันก็คงกลับมาเป็นเหมือนเดิม”

“แม่ก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างงั้น” ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก พยักพเยิกหน้าส่งให้

“ไปลูก! ไปกินข้าว แม่บอกให้เด็กๆ เตรียมไว้ให้แล้ว” ชายหนุ่มอมยิ้ม ขาก็ก้าวเดินตามผู้เป็นแม่เพื่อน

“ขอบคุณครับ..นี่ยายษาไปไหนฮะ ไม่เห็นเข้ามาด้วยกัน” คุณพวัลหัวเราะเบาๆ ดูจะลืมเรื่องเศร้าๆ ของลูกชายคนโตเมื่อซักครู่นี้ไปในทันที

“อยู่ข้างนอกนั่นแหละจ้ะ แม่ปล่อยให้เขาล่ำลากันตามประสาหนุ่มๆ สาวๆ” ภีมเลิกคิ้วนิดหนึ่ง

“อ้าว!” คุณพวัลยิ้มพริ้ม

“เขาเอารถมาสองคันน่ะจ้ะ เพื่อนแม่น่ะกลับไปแล้ว แต่คทาเทพยังไม่กลับยังอยู่ข้างนอกโน่น เขาขอเวลาคุยกับยายษาซักครู่หนึ่ง แม่ก็เลยเข้ามาก่อน” ภีมพยักหน้าเข้าใจ แต่ยังไม่วายหันหน้าไปมองตรงทางเข้า...

“ภีมว่าตาเทพเป็นยังไงบ้าง” ชายหนุ่มหันหน้ามาหาเลิกคิ้วส่งให้ ไม่ได้ฟังคำถาม

“อะไรนะครับ!” คุณพวัลอมยิ้ม ตีต้นแขนกำยำไปหนึ่งที

“ใจลอยไปถึงไหน..แม่ถามว่าในสายตาภีม ตาคทาเทพเป็นอย่างไงบ้าง” ชายหนุ่มกระพริบตาปริบๆ เพิ่งเข้าใจคำถาม

“อ้อ!”

“อ้อ!ยังไง” คุณพวัลคาดคั้นเดินนำหน้าชายหนุ่มเข้ามาในห้องอาหาร

“ก็ดีครับ พูดจาใช้ได้”

“แล้วนิสัยล่ะ ภีมคิดว่าเป็นยังไง”ถามส่งมาอีก จับตัวชายหนุ่มให้นั่งลงบนเก้าอี้ ภีมกระแอมกระไอออกมาเบาๆ

“แม่ครับ ผมเพิ่งเจอยังไม่สามารถรู้ไปถึงนิสัยเขาได้หรอกครับ ต้องดูกันระยะยาว” เอื้อมมือมาจัดการกับอาหารตรงหน้า คุณพวัลอมยิ้มนิดหนึ่งรีบนั่งลงข้างๆ

“ภีมคิดว่าตาเทพจะเหมาะกับยายษามั๊ย” มือหนาชะงักนิดหนึ่ง หันหน้ามาหามารดาเพื่อนเลิกคิ้วส่งให้

“แม่อย่าบอกนะฮะว่าจะจับคู่นายคทาเทพนั่นให้ยายษาน่ะ” คุณพวัลพยักหน้าหงึกๆ

“ใช่จ้ะ”ภีมหัวเราะเบาๆ วางช้อนลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

“ยายษายังเด็กอยู่เลยครับ ไม่เหมาะหรอก”

“ยี่สิบหกแล้วนะจ๊ะ ไม่เด็กหรอก” ชายหนุ่มยกน้ำขึ้นดื่ม

“ษาชอบเขาเหรอครับ!” คุณพวัลจ้องหน้าเพื่อนลูกชายนิ่ง

“ถึงตอนนี้ยังไม่ชอบต่อไปก็ไม่แน่จ้ะ ปรกติยายษาคุยกับชายแปลกหน้าด้วยเรื่องส่วนตัวนอกเหนือจากงานได้นานแค่ไหน กันแม่ไม่เคยเห็น แต่คราวนี้มันไม่เป็นแบบนั้นคุยได้นานแถมยังถูกคอกันซะด้วย แม่คิดว่าแม่ดูไม่ผิด” ภีมเอาลิ้นกระทุ้งแก้มเบาๆ เริ่มจมอยู่กับความคิด..

“ภีมคิดว่าไงจ้ะ” ชายหนุ่มสะดุ้ง เลิกคิ้วส่งให้อีกครั้ง

“ครับ! ว่ายังไงนะครับไม่ทันได้ฟัง” คุณพวัลเห็นอาการชายหนุ่มแล้วเกิดอาการถูกใจเป็นยิ่งนัก ดูเหมือนเธอจะตีโจทย์ได้ตรงจุดซะแล้ว

“เป็นอะไรไปลูก วันนี้ดูใจลอยชอบกล มีห่วงอะไรหรือเปล่า” ภีมยกนิ้วขึ้นนวดสันจมูก

“ขอโทษครับ พอดีเมื่อกี้คิดอะไรเพลินไปหน่อย..แม่ถามผมว่ายังไงนะครับ”

“แม่ถามว่ามันจะเป็นไปได้มั๊ย ถ้าทั้งคู่เขาจะคบกันน่ะจ้ะ”คุณพวัลจ้องเขม็งสังเกตปฏิกิริยาชายหนุ่มตรงหน้า ภีมอมยิ้มออกมาบางๆ

“ผมตอบอะไรแม่ไม่ได้หรอกครับ มันเป็นเรื่องความพอใจของคนสองคน ถ้าเขาพอใจกันถูกใจกันมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” ชายหนุ่มพลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลา

“ผมคงต้องไปก่อนล่ะครับแม่ พอดีเพิ่งนึกได้ว่านัดลูกค้าไว้น่ะครับ”

“อ้าว! ยังกินข้าวไม่หมดเลยลูก กินเข้าไปไม่กี่คำเอง” ชายหนุ่มค่อยๆลุกจากเก้าอี้

“เอาไว้วันหลังเดี๋ยวผมมาขอข้าวกินใหม่แล้วกันครับ วันนี้ผมขอตัวก่อน” คุณพวัลพยักหน้าส่งให้

“จ้ะ! เอาอย่างงั้นก็ได้” ภีมยกมือขึ้นไหว้ รีบหันหลังก้าวเดินออกจากห้องไม่ได้หันกลับมามองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังแม้ แต่น้อย ถ้าหันกลับมองซักนิดจะเห็นสายตาเปื้อนรอยยิ้มนิดๆ ของผู้เป็นมารดาเพื่อนมองส่งอยู่..

ชายหนุ่มก้าวเดินออกจากห้องอาหารด้วยอาการครุ่นคิด แต่ไหนแต่ไรมาแล้วความรู้สึกของเขาที่มีต่อน้องสาวเพื่อน ก็ยังคงเห็นเมษาเป็นเหมือนเด็กกะโปโลที่ไม่รู้จักโตเป็นสาวซักที เขามองยังไงๆ ก็ยังเป็นเด็กอยู่นั่นเอง เคยเห็นเป็นยังไงตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันก็เป็นอย่างงั้นไม่มีเปลี่ยน แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้เขาชักเริ่มไม่แน่ใจกับปฏิกิริยาตัวเองที่เป็นอยู่ซะแล้ว หลังจากที่ได้รับฟังข่าวสารของเมษาที่ออกจากปากของมารดาเพื่อนว่าหญิงสาวพอ อกพอใจถึงขนาดพูดคุยถูกคอกับชายอื่น มันทำให้เขาเกิดอาการสับสนในใจชอบกล เจ้าหญิงตัวน้อยที่มีสายตาไว้ให้เขาเพียงคนเดียวตอนนี้มันจะไม่เป็นอย่าง งั้นแล้ว มันเหมือนกำลังมีคนมาแย่งของเล่นที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ ออกไปให้ห่างจากตัวเขา..คิ้วเข้มเริ่มพันกันยุ่ง ภีมเดินครุ่นคิดออกมาจากตัวบ้าน กำลังจะสวนกับสาวน้อยตัวต้นเหตุที่วิ่งอยู่ในหัวสมองเขาตอนนี้ ชายหนุ่มหยุดยืนรอ คิ้วเข้มยังไม่ผ่อนคลาย ส่งเสียงออกมาเนิบๆ

“เป็นไงเรา คุยกันข้างในไม่พอหรือไงต้องออกมาคุยข้างนอก กลัวคนอื่นเขารู้เหรอ!” เมษาชะงักกึก

“พี่ภีมหมายความว่ายังไง” ชายหนุ่มจ้องมองนิ่งเอาสองมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

“ก็ไม่เห็นต้องแปล ความหมายมันไม่มีนัยแอบแฝงอยู่แล้ว มันตรงตามตัวอักษรเด๊ะๆ” หญิงสาวจ้องตอบ ถามเสียงเย็นส่งมา

“ถ้าพี่ภีมไม่มีนัยแอบแฝงพี่ภีมถามเพื่ออะไร” ชายหนุ่มเลิกคิ้วไม่เคยเห็นลักษณะอาการของสาวน้อยตรงหน้าเป็นแบบนี้มาก่อน กล่าวน้ำเสียงหนักแน่นกลับมา

“จะเพื่ออะไร ก็จะตักเตือนน่ะสิ เป็นผู้หญิงน่ะไม่จำเป็นต้องไปแสดงให้เขารู้หรอกนะ ว่าชอบเขาออกนอกหน้านอกตาขนาดนั้น คุยกันในบ้านไม่ได้หรือไง ทำไมต้องถ่อออกมาคุยข้างนอก น่าเกลียด!” หญิงสาวฟังแล้วปวดใจเป็นยิ่งนัก ส่งสายตาตัดพ้อมาให้

“พี่ภีมคิดอย่างงั้นได้ยังไง..แล้วกับพี่ภีมล่ะ ทำไมษาถึงออกมาคุยได้!”

“มันไม่เหมือนกัน!” เมษาสกัดกลั้นอารมณ์เต็มที่ น้ำตาเริ่มขึ้นมาคลอหน่วย พูดออกมาน้ำเสียงสั่นเคลือ

“ทำไมมันไม่เหมือนกัน พี่ภีมก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน เหมือนๆ กับคุณคทาเทพนั่นแหละ เป็นคนอื่นไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของษาซักหน่อย ทำไมษาถึงออกมาคุยด้วยได้ มันไม่น่าเกลียดหรือไง” ชายหนุ่มนิ่วหน้า

“คนอื่นเหรอ! ตลอดเวลานี่ษามองว่าพี่เป็นคนอื่นเหรอ!” น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาเป็นทาง

“ใช่!คนอื่น พี่ภีมเป็นคนอื่น พี่ภีมไม่ใช่พี่ชายของษา เพราะฉะนั้นถ้าษาจะทำอะไร มันก็ไม่เกี่ยวกับพี่ภีม” ชายหนุ่มพยักหน้า

“จริงสินะ! เป็นคนอื่นมันก็ต้องไม่เกี่ยวอยู่แล้วนี่”

“ใช่! ไม่เกี่ยว!” ภีมยืนจ้องสาวน้อยตรงหน้านิ่ง ซักครู่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ก็ตามใจแล้วกันนะ พี่ก็คงทำได้แค่นี้แหละ” กำลังจะก้าวเดินออกไป นึกขึ้นได้หันกลับมาใหม่

“อ้อ! เห็นเจ้าธันบอกว่าเราไม่สบาย! เป็นอะไรมากหรือเปล่า ถ้ายังไงก็พักผ่อนเยอะๆนะ ดูแลสุขภาพด้วย” พูดเสร็จก็หันกลับไป ปล่อยให้คนยืนอยู่ข้างหลังกลั้นสะอื้นจนตัวโยน เมษาพยายามเค้นเสียงที่มีอยู่น้อยนิดพูดตามหลังชายหนุ่มออกไป

“ไม่ต้องมาทำเป็นเห็นใจ ไม่ต้องมาแคร์ด้วย ษาโตแล้ว จะเจ็บจะป่วยยังไงก็ไม่ต้องมายุ่ง” ขากำยำชะงักอยู่ชั่วครู่ ส่งเสียงข้ามไหล่มาเบาๆ

“อึมม์..พี่จะจำไว้” ค่อยๆเดินห่างออกไป เมษาสะอื้นเฮือกๆ ไม่รู้น้ำตามันออกมาจากไหนไหลออกมาไม่มีหยุด ภาพชายหนุ่มดูจะพร่าเลือนลงทุกที หญิงสาวค่อยๆนั่งกองลงไปกับพื้นก้มหน้าสะอื้นเฮือกๆ พึมพำออกมาเบาๆ

“พี่ภีมใจร้าย! ใจร้ายที่สุดเลย ตัวเองนั่นแหละเป็นคนทำให้เค้าเป็นแบบนี้” นั่งก้มหน้าเช็ดน้ำตาอยู่อย่างงั้น ซักครู่น้ำตาก็ค่อยๆ หยุดไหล ดวงตาแดงช้ำอย่างเห็นได้ชัด เมษาผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ มองออกไปเบื้องหน้า..ษาคงเป็นได้แค่น้องใช่มั๊ยพี่ภีม เป็นมากกว่านั้นไม่ได้ใช่หรือเปล่า! หรือว่าระหว่างเราคำว่าพี่น้องก็คงไม่มีอีกแล้ว ษาเป็นคนทำลายมันใช่มั๊ย! หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่จมดิ่งอยู่ในความคิด ซักพักก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างอ่อนล้า ยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้าให้หมดเกลี้ยง บอกกับตัวเองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะปล่อยให้น้ำตาไหลกับเรื่อง แบบนี้..ต่อไปวันข้างหน้ามันจะไม่มีอีกแล้ว! เมษาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเดินเข้าบ้านอย่างตัดใจ....

ภีมขับรถออกมาจอดอยู่หน้าบ้านหลังงามของผู้เป็นเพื่อน ชายหนุ่มนั่งนิ่งสงบอยู่ภายในรถ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าพูดประโยคแบบนั้นออกไปได้ยังไง มันเป็นการดูหมิ่นกันชัดๆ ไม่แปลกใจแม้แต่น้อยว่าทำไมเมษาถึงมีท่าทางแบบนั้น เป็นใครก็คงต้องโกรธ แต่ไม่คิดว่าเธอจะโกรธอะไรมากมายขนาดนั้น ยิ่งประโยคถัดมาของเมษามันทำให้เขาถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว “คนอื่น” ตลอดเวลาน้องน้อยที่เขารัก ทะนุถนอม เหมือนน้องในไส้มองเขาเป็นแค่เพียง “คนอื่น” มันน่าปวดใจมั๊ยล่ะ..

ภาพเมษาที่นั่งกองอยู่กับพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยน..มันทำให้เขาปวด แปลบพิลึก อยากจะวิ่งเข้าไปปลอบสาวน้อยให้หายเศร้าใจนัก แต่มันก็เป็นได้แค่ความคิดเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่าเวลานี้ต่อให้พูดหรือปลอบโยนยังไงมันก็คงจะไม่มีทางดีขึ้น เพราะเขาไปทำให้เกิดตะกอนในใจของหญิงสาวเข้าซะแล้ว..ก็ได้แต่หวังว่าเวลามัน จะช่วยได้ หวังว่าวันพรุ่งนี้เจ้าหล่อนคงจะหาย เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา..

เสียงเรียกเข้าของโทรศัทพ์มือถือ หยุดความคิดของภีมให้กลับมาสู่สภาวะปัจจุบันอีกครั้ง ชายหนุ่มยกขึ้นดูชื่อที่ขึ้นโชว์อยู่บนหน้าจอ กดปุ่มรับสายส่งเสียงแหบเครือออกไป..

“ว่าไง..เจ้าธัน!”

“แกอยู่ไหนน่ะ!”

“กำลังจะออกจากบ้านแกนั่นแหละ”

“ไปทำอะไร!” น้ำเสียงคาดคั้นเอาคำตอบ

“หาข้าวกิน!”

“บ้าหรือเปล่า! บ้านฉันกับไซด์งานแกมันห่างกันคนละทิศเลย” ภีมถอนหายใจเฮือก

“มีอะไรก็ว่ามา พูดมาก” ปลายสายหัวเราะ หึหึ

“ฉันจะโทรมาบอกว่า ถ้าแกกลับเข้ามาที่ตึกนี่อีก..ให้แกฝากการ์ดไว้กับเลขา เดี๋ยวฉันให้คุณปานไปเอา” ภีมเลิกคิ้วเข้ม

“การ์ดอะไร” ปลายสายทำเสียงจึก จัก

“คีย์การ์ดห้องฉัน เอาคืนมาก่อน” ภีมเลิกคิ้ว

“อ้าว! แล้วฉันจะไปนอนที่ไหนล่ะ” น้ำเสียงข้องใจเต็มที่

“ก็กลับบ้านสิวะ! บ้านช่องแกก็มี ช่วงนี้ยายเบื้อกนั่นจะต้องเข้าไปอยู่แล้ว ถ้าแกขืนโผล่เข้าไปใครรู้เข้ามันจะหน้าเกลียด” ใบหน้าชายหนุ่มเริ่มปรากฏรอยยิ้มอีกครั้ง

“หวง หรือห่วง!” ปลายสายเริ่มหงุดหงิดแล้ว ส่งเสียงเขียวออกมาอย่างดัง

“ไม่หวง ไม่ห่วงอะไรทั้งนั้นแหละ อย่าเรื่องมาก! บอกให้ฝากก็ฝากไว้เดี๋ยวฉันให้คุณปานไปเอา แค่นี้นะ!” ปลายสายตัดฉับเสียงดังตู๊ด! ตู๊ด! ตอบกลับมาภีมถึงกับส่ายหน้า ไอ้ปากแข็งเอ๊ย! พฤติกรรมแกมันหวงชัดๆ ยังมาทำปากแข็งอีก หัวเราะหึหึ ..ซักครู่รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหาย คิ้วเข้มเริ่มขมวดอีกครั้ง..หวงเหรอ! และอย่างเราล่ะคำพูดที่ว่ายายษาไป มันหวง! หรือว่า ห่วง! เพียงชั่วครู่คิ้วเริ่มคลาย สบทออกมาโขมง โฉง เฉงลั่นรถไปหมด

“บ้าฉิบ! แม่งโง่ฉิบเป๋งเลยไอ้ภีมเอ๊ย! แกจบมาได้ยังไงจากฮาวาร์ด น่ะเฮอะ”ก้มหน้าซบลงบนพวงมาลัยรถ เพียงชั่วไม่นานศรีษะได้รูปก็เงยขึ้น รอยยิ้มเริ่มปรากฏ..หัวเราะออกมาเบาๆ ถอนฉิว! เท้าเหยียบคันเร่งพารถเคลื่อนตัวออกไป...


############################################################

ณ ห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองกรุงเทพฯ...


“อยู่ไหนล่ะเนี่ย และทำไมคนมันเยอะจังอ่ะ..นี่ขนาดไม่ใช่วันหยุดนะคนอย่างกับหนอน ยั้วเยี้ยไปหมด” คนางค์บ่นงึม งำ ยืนคว้างอยู่หน้าห้องน้ำหญิง..สายตาก็สอดส่ายหาสาวน้อยที่นัดหมายไว้ หญิงสาวจับแท็กซี่มาอย่างไวกลัวไม่ทัน นึกถึงเมื่อซักครู่นี้ตอนก้าวขึ้นมานั่งบนรถ ก็อยากจะเขกกะโหลกตัวเองซักสองสามหน..ลืม! พระเจ้า! ลืม!..จดที่อยู่ไว้แต่ไม่ได้ถือลงมาด้วย โทรศัพท์ก็ไม่มีจะใช้ ไอ้จะกลับขึ้นไปข้างบนก็กลัวจะเสียเวลา นั่งนึกมันอยู่ในรถนั่นแหละ ดีนะที่มันยังค้างคาอยู่ในหัวสมองยังเค้นเอาออกมาบอกคนขับได้ แต่กว่าจะเอาออกมาได้ก็เล่นเอาคนขับหันมามองตาขวางหลายหนเหมือนกัน..ทำไม เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าตัวเองขี้ลืมอย่างงี้ก็ไม่รู้..จดไว้ก็ไม่เอามา..และจะจด ทำไม!..จดเพื่อ! วุ้ย! หงุดหงิด! หงุดหงิด! หันรีหันขวาง

“อยู่ไหนวะ! ปล่อยให้ผู้ใหญ่มายืนคอยอย่างงี้ได้ยังไง ”บ่นมาอีกระลอก

“พี่นาง!” เสียงกระซิบแผ่วเบาลอยมาจากเบื้องหลัง คนางค์หันขวับทันทีเห็นสาวน้อยนามว่าเปีย โผล่หน้าลับๆ ล่อๆ ออกมาจากห้องน้ำ

“เปีย! ไปแอบอยู่ทำไมออกมานี่!” พูดพร้อมกับกวักมือเรียก แต่สาวน้อยจะออกมาก็หาไม่ยืนแอบอยู่อย่างงั้นแถมยังกวักมือเรียกให้คนางค์ เข้าไปหาอีกด้วย คนางค์ขมวดคิ้วรีบจ้ำพรวดๆเข้าไปในห้องน้ำอย่างไว ปากก็พูดปาวๆ

“ทำไมต้องแอบอย่างงั้น เป็นอะไร” เปียยกมือขึ้นมาปิดปากคนางค์ทันควัน ทำปากจุ๊ๆ พูดน้ำเสียงกระซิบส่งมา

“พี่นาง! เบาๆ สิ” คนางค์ตาเหลือก รีบปัดมือสาวน้อยให้ออกจากปาก

“ทำไมล่ะ!” เสียงยังดังอยู่ เปียตาพองโตรีบชะโงกหน้าออกไปนอกประตูทางเข้าห้องน้ำ ซักครู่ก็ถอยตัวกลับมา กระซิบน้ำเสียงขู่ฟ่อ!

“บอกให้เบาๆ ไงล่ะพี่นาง..ทำไมดื้ออย่างงี้ล่ะ รู้งี้หนูไม่โทรไปซะก็ดีหรอก”ทำตาขวางใส่ให้ด้วย คนางค์ งง เป็นไก่ตาแตก ยืนเท้าสะเอว บ่นงึมงำออกมา เบาๆ

“อ้าว! ทำไมปากเสียอย่างงี้ล่ะไอ้เด็กนี่..เดี๋ยวมีสูญเสีย เดี๋ย! เดี๋ย!” พยักหน้า หงึกๆ เปียถอนหายใจเฮือก ค้อนคนางค์ขวับๆ พูดกระซิบขอโทษออกมาอย่างเสียไม่ได้

“ขอโทษ! ขอโทษ! หนูกำลังตื่นเต้นน่ะ ก็เลยอารมณ์เสียไปนิดนึง” คนางค์พยักหน้าส่งให้ ทำนองว่าให้อภัย

“และตื่นเต้นเรื่องอะไร” เสียงดังแปดหลอด เปียตาเบิกโพลง

“เบาๆสิ..โธ่โว้ย!” เริ่มมีน้ำโห คนางค์รีบเอามือปิดปากอย่างไว พยักหน้าหงึกๆ กระซิบส่งมาอีกครั้ง น้ำเสียงอู้อี้

“อื่น..เอ้น..เอื้อง..อะไอ” เปียทำปากจึก จัก ซักครู่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ นี่แหละมั้งเสน่ห์ของผู้หญิงตรงหน้า ทำให้เธอทั้งโมโหและก็หัวเราะได้ในเวลาเดียวกัน..เธอชอบที่จะคุยกับพี่สาวคน นี้ ไม่สิ! เราแทบจะไม่ค่อยได้คุยกัน..เธอเป็นเคสแรกของคนางค์ในการเข้ามาเป็นอาสาสมัคร ให้กับมูลนิธิเพื่อนหญิง..วันแรกที่เราได้เจอกันมันมีแต่ความเงียบ คนางค์ไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาซักคำเอาแต่นั่งยิ้มพริ้มส่งให้ มันถึงกับทำให้เธอแปลกใจ เพราะจากการที่เดินเข้าเดินออกมูลนิธิแห่งนี้บ่อยๆ ตั้งแต่อายุสิบห้าจวบจนตอนนี้ก็สิบหก เธอได้สัมผัสกับอาสาสมัครหลายๆคน การพูดจาโน้มน้าวจิตใจหรือปลอบประโลมใจ จะถือว่าเป็นอาวุธติดกายของคนเหล่านั้นก็ว่าได้สามารถกระตุ้นให้คนบางคนคลาย ความลับในใจที่มีอยู่ออกมาได้หมด แต่มันใช้ไม่ได้ผลกับเธอ มันยังมีซอกหลืบเล็กๆ ที่เป็นความลับซึ่งไม่อยากเปิดเผยให้ใครได้รู้ แต่กับคนางค์มันไม่เป็นยังงั้น..

คนางค์ชวนเธอออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้ๆ กับมูลนิธิ..เราใช้เวลาเดินกันอยู่ในความเงียบประมาณครึ่งชั่วโมงได้ และพากันมาหยุดตรงริมสระน้ำ คนางค์ล้มตัวลงนอนเหยียดยาว พร้อมกับตบที่ข้างๆให้เธอนั่งตามลงไปด้วย ตอนนั้นเธอคิดในใจว่าเดี๋ยวเถอะเดี๋ยวคงได้มีการซักประวัติกันเป็นแน่แท้ แต่มันไม่ใช่คนางค์หันมายิ้มแล้วก็บอกว่าง่วง! คิดถึงบ้านจัง! พร้อมกับเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมาเป็นกระสาย พูดถึงครอบครัว การเรียนการศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ตั้งแต่เด็กจนโต ตอนแรกเธอฟังด้วยอาการ งงๆ แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นนั่งฟังเพลินหัวเราะๆ คิก คัก ออกมาบ้างเป็นครั้งคราว บางทีก็ถามคำถามสอดแทรกเข้าไปบ้าง นั่งฟังจนลืมเวลา ดูมันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนางค์หันมายิ้มบอกว่าเล่าเรื่องของตัวเองจบแล้ว ถามมาว่าเธออยากจะเล่าเรื่องของเธอบ้างไหม แต่ไม่ได้บังคับอะไรเพียงแค่บอกมาว่า..

“เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าออกมาก็ได้ แต่ถ้าเล่าแล้วได้ระบายออกมามันก็คงจะดีกว่า..แผลมันอยู่ที่ใจน่ะเปีย! ไม่ได้อยู่ที่กาย..เพราะฉะนั้นมันต้องใช้ใจรักษาเยียวยามันถึงจะถูก แต่ใจใครล่ะจะรักษาได้มันก็ต้องเป็นใจตัวเองเท่านั้นแหละ พี่ไม่มีความสามารถจะไปรักษาใครให้หายได้หรอก ประสบการณ์ก็น้อยนิดซะเหลือเกิน และก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสอนใครได้ด้วย..เพียงแต่ตอนนี้ที่พี่พอจะทำได้ก็แค่ รับฟังเท่านั้นแหละ อย่างที่เขาพูดๆกันไงเป็นที่ระบายน่ะ และก็ขอรับรองว่าสถานที่ระบายแห่งนี้แข็งแรงทนทานไม่มีรั่วซึม เทลงมาขนาดไหนก็รับได้หมด อันนี้ ออ. ยอ. เขารับประกันมา” จำได้ว่าตอนนั้นเธอนั่งฟังนิ่งอยู่เหมือนกัน แต่สักครู่เธอก็หัวเราะจนปวดท้องไปหมด เพราะขำหน้าตาท่าทางของพี่สาวคนนี้มาก หน้าตาจริงจังเหมือนกับกำลังวางแผนทำสิ่งชั่วร้ายก็ไม่ปาน ณ ตอนนั้นเธอคิดว่าผู้หญิงคนนี้แปลกๆ แต่คนแปลกๆคนนี้แหละที่กระตุ้นให้เธอเล่าเรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใคร ได้รู้มาก่อนออกมาจนหมด คนางค์นั่งฟังเธอนิ่งไม่มีขัดซักคำ ตอนนั้นเธอเล่าไปด้วยร้องไห้ไปด้วยกร่นด่ากับโชคชะตาของตัวเองที่ต้องมาเจอะ เจอกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่แทนที่คนางค์จะปลอบใจกลับร้องไห้ตามออกมาแถมยังร้องมากกว่าเธอด้วยซ้ำ

เรานั่งร้องไห้กันอยู่อย่างงั้น ซักครู่ก็สะอื้นเฮือกๆ หันมามองหน้ากันมีอันต้องหัวเราะออกมาทั้งคู่ตาแดงกล่ำกันไปหมด เรานั่งสงบจิตสงบใจกันซักพัก แล้วคนางค์ก็พูดออกมาว่าได้ฟังเรื่องราวของเธอแล้วนึกถึงเด็กที่คนางค์เคย เจอตอนที่ยังอยู่ขอนแก่น คนางค์เล่าเรื่องของเด็กคนนั้นให้เธอฟัง จำได้ว่าตอนนั้นที่ได้ฟัง คือไม่อยากจะเชื่อยังจะมีใครที่มีชีวิตเลวร้ายไปกว่าเธออีกเหรอ เปรียบเทียบกับเรื่องของเธอแล้ว มันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของเด็กคนนั้นเท่านั้นเอง แถมเด็กนั่นยังใช้ชีวิตปรกติไม่มีปมใดๆ ที่ค้างคาอยู่ในใจซะด้วยซ้ำ พี่สาวคนนี้ทำให้เธอได้คิดโดยที่ไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นคำสั่งสอนซักประโยค เดียวว่า อย่ามองแค่ตัวเองให้มองคนอื่นด้วย แล้วจะรู้ว่าไม่ใช่แค่เราที่แย่แต่ยังมีคนอื่นที่แย่กว่าเราอีก เด็กอายุสิบสามยังผ่านมันมาได้แล้วนับประสาอะไรกับเธอ วันนั้นล่ะมั้งเป็นจุดหักเหวันที่20 พฤศจิกายน เธอจำได้แม่น เธอพาคนางค์ไปที่บ้าน ยินยอมพร้อมใจที่จะให้คนางค์เล่าเรื่องของเธอให้แม่เธอฟัง...

วันนั้นบ้านแทบแตกแม่ไม่เชื่อ แถมยังด่าทั้งคนางค์และก็ตัวเธอด้วยอย่างสาดเสียเทเสีย แม่ไม่คิดว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะสามารถข่มขืนน้องสาวตัวเองได้ ตอนนั้นที่ได้ฟังเธอยืนน้ำตาไหลพรากเธอคิดไว้แล้วว่าเรื่องมันต้องจบลงแบบ นี้ ทุกครั้งที่พี่ชายใช้กำลังข่มขืนก็จะรู้สึกรังเกลียด ขยะแขยงตัวเองทุกที นั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำเป็นชั่วโมงๆ ไม่คิดว่าพี่น้องที่คลานตามกันมาจะมีจิตใจหยาบช้าเยี่ยงนี้ พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อก็เลยได้แต่เก็บไว้ให้มันเป็นปมอยู่ในใจมาตลอด หวาดกลัวอยู่คนเดียว เธอคิดว่าคนางค์จะหยุดลงแค่นั้นหลังจากที่โดนแม่เธอด่าอย่างไม่ยั้ง แต่มันไม่เป็นอย่างงั้นพี่สาวคนที่เธอรู้จักเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน คนางค์นิ่งขึ้นพูดจนแม่ยอมรับฟังเหตุผล เรียกพี่ชายที่เพิ่งกลับจากที่ทำงานมาถาม ตอนแรกพี่ชายเธอปฏิเสธท่าเดียวแต่โดนคนางค์ขู่ด้วยเรื่องกฎหมายจนกลัวหงอ สารภาพออกมาหมด ทำเอาแม่เกือบช๊อคร้องไห้โฮออกมา ทุบตีพี่ชายไม่ยั้งปากก็พูดออกมาเสียงดัง

“แกทำอย่างงั้นได้ยังไง..ไอ้ชั่ว!..ไอ้ป้อง! แกทำอย่างงั้นกับน้องได้ยังไง..แกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า” แม่ดึงเธอเข้าไปกอดลูบหน้าลูบตาเป็นการใหญ่ เท่านั้นแหละไอ้ที่เป็นปมอยู่ในใจมันแตกผลั่วออกมาทันที ความรู้สึกหวาดกลัวที่ต้องพจญอยู่คนเดียวมันมลายหายไปหมดสิ้น แม่เชื่อเธอแล้ว! น้ำตามากมายมันทะลักล้นออกมาหมด พี่สาวถามเธอว่าจะแจ้งความดำเนินคดีอะไรไหมถ้าต้องการจะยื่นเรื่องให้ แต่เธออยากให้เรื่องจบลงแค่นี้ไม่อยากรื้อฟื้นขึ้นมาอีก อีกอย่างก็เห็นกับแม่ด้วยไม่อยากให้ท่านต้องชอกช้ำใจไปมากกว่านี้ แม่ไล่พี่ชายออกจากบ้านวันนั้นเลย เธอกลับมาใช้ชีวิตเป็นปรกติอีกครั้งสภาพจิตใจดีขึ้น..

ไอ้ความคิดที่ว่าแม่ไม่รักมาตั้งเด็กมันก็เริ่มมลายหายไปเหมือนกัน เราคุยกันมากขึ้น แม่บอกว่าแม่รักลูกทั้งสองคนเท่ากันนั่นแหละ แต่กับเธอแม่จะไม่ห่วงคือแม่ไว้ใจได้ แต่กับพี่ชายแม่ยังมีห่วงอยู่เพราะโตจนทำงานแล้วยังใช้ชีวิตเหมือนเด็กๆอยู่ เลย ไม่เป็นโล้เป็นพาย มันเลยทำให้แม่ดูเหมือนจะเอาใจใส่ และรักพี่ชายมากกว่า ตอนนั้นเธอฟังแล้วก็อดคิดตามไม่ได้ว่าไอ้เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองมันก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียวมันยังมีสิ่งดีๆแอบแฝงอยู่ ด้วยเช่นกัน เธอเข้าใจแม่มากขึ้นและก็โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย..

หลังจากวันนั้นทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เธอจะไปขลุกอยู่ที่มูลนิธิเป็นประจำอยากไปช่วยคนางค์ อยากเป็นอาษาสมัครบ้าง ถึงวุฒิภาวะยังไม่พอแค่หยิบฉวยจับโน่นจับนี่ช่วยเหลือคนอื่นเธอก็ภูมิใจแล้ว เธอเคยตามคนางค์ไปศาลครั้งหนึ่งไปกับพ่อแม่ของผู้หญิงที่คนางค์ว่าความ ให้..เธอไม่อยากจะเชื่อนี่หรือคือผู้หญิงคนที่นั่งร้องไห้ไปกับเธอเหมือน เด็กๆ นี่หรือคือผู้หญิงที่เพิ่งจะเริ่มทำงาน อายุแค่ยี่สิบสี่ ทำไมเวลาอยู่ในศาลถึงได้เปลี่ยนเป็นคนละคนเช่นนี้..ตั้งแต่วันนั้นเธอสัญญา กับตัวเองเลยว่าเธอจะต้องเป็นทนายให้ได้ อยากจะเป็นเหมือนกับคนตรงหน้านี่...

“อ่าไอ!..อื่นเอ้น!..เอื้อง..อะไอ!” เธอจับมือคนางค์ออกจากปาก

“ไม่ต้องปิดไว้ก็ได้ แต่พูดเบาๆหน่อย!” คนางค์พยักหน้าหงึก หงึก พูดกระซิบส่งมา

“ตื่นเต้นเรื่องอะไร”

“เมื่อสักครู่นี้หนูเจอ พี่ป้อง!” คนางค์ขมวดคิ้ว

“ทำไม!..เขาจะทำอะไรเราอีก” เปียส่ายหน้านึกถึงสภาพพี่ชายเมื่อสักครู่นี้แล้ว เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หน้าตาหมองคล้ำ

“หึ!เขาไม่ได้ทำอะไรหนูหรอกเพียงแต่แค่บอกหนูว่า ให้รีบกลับบ้านซะอย่าทำเป็นรู้จักเขา” คนางค์พยักหน้า

“คงจะละอายใจล่ะมั้ง!”เปียทำหน้าฉงน

“ไม่หรอก! หนูว่าไม่!” คนางค์เอนหลังพิงผนังกำแพงห้องน้ำหญิง ถามส่งมาเบาๆ

“ทำไม ถึงแน่ใจนักล่ะ”

“ก็เพราะว่าหนูแอบตามพี่ป้องไปน่ะสิ..ตามไปถึงลานจอดรถเห็นผู้ชายสี่คน มันมาจากที่ไหนไม่รู้เข้ามาลุมซ้อมพี่ป้อง หนูจะวิ่งเข้าไปช่วยแต่พี่ป้องเหลือบมาเห็นซะก่อน ตะโกนออกมาว่าให้ หนี! หนูรีบวิ่งกลับเข้ามาในห้างมองไปข้างหลังเห็นพวกมันสองคนลากพี่ป้องขึ้นรถ ส่วนอีกสองคนมันวิ่งตามหลังมา หนูเข้าไปแอบในห้องลองเสื้อผู้หญิงน่ะพอเห็นว่าพ้นดีแล้วก็เลยแวบเข้ามาอยู่ ในห้องน้ำ ซักครู่หนูลองออกไปดูเห็นมันยังเดินวนเวียนอยู่ ก็เลยกลับเข้ามาอยู่ในเนี้ยใหม่ และก็โทรศัพท์เข้ามือถือพี่แต่พี่ไม่ยอมเปิด ก็เลยลองเสี่ยงโทรเข้าไปที่บริษัทฯ ที่พี่เคยให้เบอร์ไว้น่ะ” หลังจากที่ได้ฟังคนางค์ยืนอ้าปากหวอ!

“จริงเหรอ!” เปียพยักหน้าหงึก ๆ

“จริง! หนูก็เลยเดาว่าที่พี่ป้องให้หนูรีบกลับบ้านและทำเป็นไม่รู้จักเขา ก็เพราะเป็นห่วงนี่เองกลัวว่าหนูจะเป็นอันตราย เหมือนกับที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้” สาวน้อยหน้าม่อย เขย่าแขนคนางค์อย่างแรง

“พี่นาง! ทำยังไงดีตอนนี้พี่ป้องเป็นยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้ พี่นางต้องช่วยพี่ป้องนะ!” คนางค์หัวสั่นหัวคลอนจากแรงเขย่า รีบกระซิบเสียงขู่ฟ่อออกมาอย่างไว

“ฮ่วยย!! หยุดเขย่าก่อนได้มั๊ย เดี๋ยวแขนก็หลุดออกมาเท่านั้น” มองสาวน้อยตรงหน้าตาขวาง

“และไอ้ที่ถามว่าทำยังไงน่ะนะ ตอบได้คำเดียวว่า..ไม่รู้! ยังคิดไม่ออก..ส่วนไอ้พี่ป้องของเราเป็นยังไงบ้างแล้วก็ตอบไม่ได้..เพราะไม่ ใช่ซุปเปอร์เกิลล์จะได้มีหูตาทิพย์รู้ดีไปซะหมดทุกเรื่อง..และไอ้อันสุดท้าย ที่บอกให้พี่ไปช่วยพี่ชายเราน่ะนะ..รอไปก่อน! ตอนนี้เอาตัวเองให้รอดก่อนค่อยไปนึกถึงคนอื่น..ไม่รู้จักวางแผน จะตายยังไม่รู้ตัว!”ประโยคหลังบ่นงึม งึม ออกมาเบาๆ ส่ายหน้าหงึก หงัก เปียค้อนตาคว่ำ

“ไหน..เมื่อกี้บอกว่าไอ้พวกนั้นมันยังอยู่ข้างหน้าเหรอ!” เปียพยักหน้า

“อึมม์ หนูเห็นมันยังเดินวนเวียนอยู่..หนูถึงบอกให้พี่พูดเบาๆไง เสียงดังแปดหลอดอย่างกับอาซิ้มตื่นไฟ” คนางค์มองตาขวางอีกระรอก ป๊าดด!! ไอ้เด็กเวงงง! เดี๋ยวปล่อยให้เน่าคาส้วมเลย

“พูดมาก!” มือก็ควานเข้าไปในกระเป๋าสะพายใบเก่ง เปียก้มมองตาม

“หาอะไรน่ะ!” คนางค์ยิ้มพริ้มยักคิ้วแพล๊บ! แพล๊บ!

“เรื่องแบบนี้มันต้องมีอุปกรณ์เสริมอำพรางตัวไง..แต่น! แต๊น!”หยิบแว่นกันแดดสีดำออกมาโชว์ และก็รีบสวมลงปิดดวงตากลมโตคู่สวย มือก็ควานไปในกระเป๋าอีกครั้ง เปียขมวดคิ้วก้มมองตามอีก

“หาอะไรอีกน่ะ” คนางค์ยักคิ้วอีกรอบ

“ยัง! มันยังไม่พอ ต้องนี่ด้วย ขวับ!” โบกผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ลายโดเรมอนสีฟ้าขาว สะบัดพริ้วๆ ตรงหน้า เปียแบะปาก

“เอามาทำอะไรน่ะ!”

“นี่! ก็ทำแบบนี้ไง” คนางค์พับผ้าเช็ดหน้าเป็นสามเหลี่ยมแล้วก็โพกหัว เอาปลายทั้งสองข้างผูกไว้ใต้คาง เรียกสายตาของคนที่เดินเข้าเดินออกให้หันมามองอมยิ้มตามๆกัน เปียหน้าเหวอ

“ไม่เอา! ยิ่งทำอย่างนี้มันก็ยิ่งเป็นจุดสนใจน่ะสิ! เอาออก!..เอาออก! แค่ไอ้แว่นนี่ก็มองจนเหลียวหลังแล้ว” เปียส่ายหน้าให้กับหญิงสาวตรงหน้า ช่างไม่รู้ตัวบ้างเลยว่าตัวเองเป็นจุดสนใจแค่ไหน ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาเดือนกว่าๆที่ได้รู้จักกับคนางค์ เคยออกไปหาอะไรกินด้วยกันสองสามครั้ง จะรู้สึกได้ว่ามีชายหนุ่มคอยแอบมองมาตลอดไม่ใช่มองตัวเองหรอกนะ แต่จะมองพี่สาวข้างๆ ซะมากกว่า ด้วยใบหน้าที่ขาวใสอมชมพูระเรื่อไปด้วยเลือดฝาด ประกอบกับดวงตากลมโต เส้นผมยาวตรงดำขลับ ถึงจะไม่สวยเตะหูเตะตา แต่ก็น่ารักสะอาดสะอ้านชวนมองเชียวล่ะขนาดเธอเป็นผู้หญิงด้วยกันยังแอบ มองอยู่บ่อยๆ ยิ่งมีแว่นตาดำโตคลุมดวงตาอยู่อย่างงั้นมันกลับขับให้ใบหน้าขาวใสโดดเด่น ขึ้นมาอีก..เปียถอนหายใจดังเฮือก! คนางค์เลิกคิ้วดันแว่นลงมาอยู่ใต้จมูก

“มะ..มันจะเป็นจุดสนใจเหรอ” เปียพยักหน้าหงึกๆ

“ใช่! มีใครที่ไหนบ้างที่จะใส่แว่นตาดำปี๋ และก็เอาผ้าโพกหัวลายโดเรมอนเดินตามห้างบ้างล่ะ” พูดออกมาด้วยความ เซ็ง! คนางค์ค้อนขวับ!

“ก็ได้..ก็ได้ เอาออกก็ได้” รีบแกะและก็เก็บเอาลงกระเป๋าอย่างไว ปากก็ส่งเสียงถามมา

“หน้าตามันเป็นยังไง ไอ้สองคนนั่นน่ะ”

“คนหนึ่งมีหนวดผมหยิก อีกคนหนึ่งหน้าขาวผมเรียบแปล้เชียว ทั้งคู่ใส่แจ๊กเก็ตหนังสีดำ” คนางค์พยักหน้า หงึกๆ เข้าใจๆ

“รออยู่ในนี้นะ..เดี๋ยวพี่ออกไปดูลาดเลาก่อน” ว่าแล้วก็ค่อยๆ แฝงตัวติดตามหลังคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ ทำตัวเหมือนสายลับคอยสอดแนม เปียถอนหายใจดังเฮือก!..มันจะได้เรื่องมั๊ยเนี่ย! บ่นพึมพำในใจ คนางค์วิ่งดุ๊กๆ ตามหลังคนเดินหน้าไปติดๆ ทำเอาคนเดินหน้าหันขวับมามองขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ คนางค์หัวเราะแหะๆ พูดออกมาเบาๆ

“แอบน่ะค่ะ..ขอแอบหน่อย! พอดีมันมีคนคิดไม่ดีกับน้องสาวหนูน่ะค่ะ ก็เลยต้องออกมาดูลาดเลาให้ก่อน..ขอแอบหน่อยนะค้า!!” ยิ้มพริ้มเกาะติดหลังหนึบ หญิงสาวเจ้าของเบื้องหลังพยักหน้าหงึกๆ ด้วยอาการ งง!ๆ แต่ก็ปล่อยให้คนางค์เกาะอยู่อย่างงั้น ขาก็ก้าวเดินตามปกติ

“พี่!...พี่คะ! ช้าๆหน่อย หนูก้าวตามไม่ทัน!” คนางค์ส่งเสียงกระซิบออกมาเบาๆ

“อ่ะ...เอ่อ...ค่ะๆๆ” พยักหน้าหงึกๆ ชะลอฝีเท้าลง พลางส่งเสียงกระซิบออกมาบ้าง

“ดะ..เดินไปทางไหนคะ”

“พี่เห็นไอ้ผู้ร้ายสองคนมั๊ยคะ..คนหนึ่งผมหยิกมีหนวด อีกคนผมเรียบใส่แจ๊กเก็ตหนังสีดำทั้งคู่น่ะค่ะ เห็นบ้างมั๊ยคะ”กระซิบใส่เบื้องหลัง ยังไม่กล้าชะโงกหน้าออกมา เปียที่ยื่นหน้าออกมามองจากห้องน้ำพอเห็นกิริยาท่าทางของคนางค์เข้า คิ้วของสาวน้อยก็ขมวดมุ่น

“พี่นางแกจะแอบทำไมวะน่ะ..ผู้ร้ายมันไม่ได้รู้จักตัวเองซักหน่อย..เฮ้อ!” ถอนหายใจอีกเฮือก ถอยกับเข้ามาในห้องน้ำใหม่

“ว่าไงคะ..เห็นหรือเปล่า!” เสียงคนางค์ยังดังอู้อี้อยู่เบื้องหลัง

“หะ..เห็นค่ะ ยืนอยู่ทางด้านขวามือ..กะ..กำลังดูดน้ำอยู่..ทะ..ทั้งคู่เลยค่ะ” คนางค์ทำตาหลี่ๆใส่ พูดออกมาเบาๆ

“พวกมันคงจะเหนื่อยน่ะค่ะ เลยหาน้ำกิน”

“ค่ะๆ และจะให้พี่ทำยังไงต่อดีคะ..จะให้เดินไปมั๊ย ระ..หรือว่าหยุดก่อน” ส่งเสียงข้ามไหล่ถามมาเบาๆ คนางค์ขมวดคิ้วเริ่มใช้หัวสมองอันแยบยล และก็พยักหน้าหงึกๆ คิดว่าความคิดนี้ Work สุดๆ

“หนูคิดว่าเราถอยทัพก่อนดีกว่าค่ะ เพื่อไม่ให้มันไหวตัว”

“อะ..เอาอย่างงั้นนะคะ” ถามย้ำมาอีกครั้งเพื่อความชัวร์

“เอาอย่างงี้แหละค่ะ ค่อยๆ ถอยนะคะอย่าผลีผลาม!”ส่งน้ำเสียงเข้มออกมาเบาๆ หญิงสาวเบื้องหน้าค่อยๆเดินถอยหลังตามคนางค์ พอเห็นว่าพ้นดีแล้วก็รีบวิ่งดุ๊กๆ เข้าไปในห้องน้ำกันทั้งคู่..เข้ามาถึงก็เห็นเปียยืนกอดอกมองอยู่ คนางค์รีบส่งเสียงออกไป

“เปีย! ไอ้พวกนั้นมันยังอยู่จริงๆด้วย พี่คนนี้เค้าเห็น” เปียพยักหน้า

“รู้แล้ว! หนูก็เห็นมันยืนอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ..ไม่เห็นจำเป็นต้องออกไปดูลาดเลา เลย”พูดน้ำเสียงเนือยๆ คนางค์ขมวดคิ้วมุ่น ระหว่างนั้นเสียงหญิงสาวที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย ก็เอ่ยแทรกออกมาเบาๆ

“เอ่อ! ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่คงต้องขอตัวก่อนนะคะ พอดีมีธุระน่ะค่ะ!” คนางค์เลิกคิ้ว

“อ้าว! พี่ไม่อยู่ช่วยกันก่อนเหรอคะ”

“พี่นาง!” เสียงเปีย ปรามออกมาเบาๆ ทำปากจึก จัก เริ่มหงุดหงิดแล้ว หญิงสาวเบื้องหน้ายิ้มแหยๆ ส่งให้

“พี่คงต้องขอตัวน่ะค่ะ..พอดีมีธุระจริงๆ” คนางค์พยักหน้าหงึกๆ

“ค่ะ..งั้นตามสบายนะคะ ไม่รบกวนแล้ว..แต่ยังไงก็ระมัดระวังตัวเองด้วยนะคะ เดี๋ยวนี้ผู้คนมันไว้ใจไม่ได้” ทำหน้าทำตาจริงจัง เปียเห็นเข้าก็ถอนหายใจดังเฮือก คนางค์ปลายหางตามองนิดหนึ่ง

“คะ..ค่ะ พี่ไปนะคะ” ว่าแล้วก็รีบก้าวเดินออกไปอย่างเร็ว นั่นแหละคนางค์ถึงหันมาหาเปียเต็มตัว มองเปียตาขวาง

“เป็นอะไร!..ทำมาเป็นถอนหายใจเฮือกๆ..ถ้าพี่ไม่ออกไปดูลาดเลาก็ไม่ สามารถวางแผนได้น่ะสิว่าจะทำยังไงต่อ..ของอย่างเงี้ยจะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ ได้ มันต้องคิดกันอย่างหนัก”ทำหน้ามาดมั่น เปียเหลือกตาขึ้นไปบนเพดาน เอือม! พลางส่งเสียงออกมาอีก

“และทำไมต้องทำเป็นลับๆล่อๆ แอบไปข้างหลังเค้าด้วยล่ะ ไอ้พวกนั้นมันไม่รู้จักพี่นางซักหน่อย มันรู้จักหนูนี่..มันรู้จักหนู!”ยกนิ้วชี้มาที่อกตัวเอง คนางค์ทำปากจึก จัก

“เหอะน่า!..ปลอดภัยไว้ก่อน!” เปียค้อนประหลับ ประเหลือก

“และตกลง เราจะทำยังไงต่ออ่ะพี่นาง รออยู่ในนี้จนกว่าพวกมันจะไปเหรอ!”

“บ้าน่ะสิ!..ทำไมเราจะต้องมาอุดอู้อยู่ในนี้ล่ะ! มีแว่นกันแดดหรือเปล่า!” ถามส่งมาอีก

“ไม่มี!” คนางค์ถอดแว่นออกจากใบหน้ายื่นส่งให้

“อ่ะ เอาอันนี้ใส่ไป!”

“และพี่นางล่ะ” เปียทำหน้าฉงน

“ไม่เป็นไร! พี่เก่ง พี่เอาตัวรอดได้” พูดออกมาหน้าตาเฉย เปียหัวเราะออกมาเบาๆ เธอล่ะเชื่อเลย จะมีผู้หญิงคนไหนตลกได้แม้ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเท่าผู้หญิงคนนี้อีกนะ..

“ยิ้มอะไร..เร็วๆเลย เวลาไม่คอยท่า เดี๋ยวข้าศึกบุกประชิดมา มันจะยุ่งกันไปใหญ่” พูดเสร็จก็ลองโผล่หัวออกไปนอกประตูห้องน้ำ ซักครู่ก็ระล่ำระลักออกมา

“เปียเร็ว! ตอนนี้ไอ้พวกนั้นกำลังหันไปทางอื่นอยู่” เด็กสาวรีบเดินมาอยู่ข้าง ๆ คนางค์หันมาหาปากก็พูดออกมาอย่างเร็ว

“เดี๋ยวพี่จะเดินอยู่ข้างหน้านะ เราค่อยๆเดินตามหลังพี่ ห้ามล่อกแล่ก ทำตัวปรกติไม่งั้นมันจะสงสัย ถ้าพี่บอกให้วิ่งก็โกยอ้าวเลยนะไม่ต้องรอ เข้าใจหรือเปล่า!” เปียพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้าหงึกๆ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาซะเฉยๆ คนางค์เดาอาการออกพูดออกมาเบาๆ

“หายใจลึกๆ” คนางค์ทำท่าสูดหายใจเข้าปอดให้เปียดู เปียรีบทำตาม

“อ่ะ ทีนี้ ค่อยๆ ผ่อนมันออกมา..น่านแหละ!..แจ่มมาก!” คนางค์ส่งยิ้มให้ ในใจก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ เหมือนกันแต่พยายามรักษากิริยาท่าทางไว้ไม่ให้เปียเห็น เพราะรู้ดีว่าถ้าเธอแสดงท่าทีว่าหวาดกลัวออกไป มันคงจะทำลายขวัญของสาวน้อยตรงหน้าเป็นแน่แท้...

“พร้อมยัง!”

“อึมม์” เสียงเปียรับคำออกมาเบาๆ ทั้งคู่ก้าวเดินออกจากห้องน้ำหญิง คนางค์เดินนำหน้ามีเปียตามมาติดๆ เกาะแขนคนางค์ไว้..ทั้งคู่ก้าวเดินอย่างมั่นคง ช่วงกำลังจะผ่านหลังของนักเลงสองคนนั่น คนางค์แกล้งหันหน้ามาคุยเอาศรีษะบังหน้าเปียไว้ พอผ่านไปได้ก็รีบสปีดเต็มที่..ไม่ได้หันกลับมามองหลัง ถ้าเหลือบไปมองซักนิดจะเห็นเจ้าหนึ่งในนั้นหันมาเห็นเข้าพอดี เพ่งสายตามองตามสองสาวเต็มที่ สะกิดแขนเพื่อนร่วมงานอย่างไว..

“นี่ไอ้ดำ..แกลองดูซิ..ยายผู้หญิงผมยาวนั่น ใช่ยายแขนง..คะน้า..อะไรซักอย่างที่เจ้านายเราให้ไปจัดการเมื่อเช้านี้หรือ เปล่า” เจ้าคนมีหนวดรีบกวาดสายตามองตาม ซักครู่ก็พยักหน้าส่งให้

“ใช่ ๆ ยายคนนี้แหละฉันจำได้”

“ดี!..งั้นไป!” ว่าแล้วก็พยักพเยิกหน้าชวน

“จะไปไหนไอ้ขวด..แล้วเจ้าเด็กนั่นล่ะไม่รอดักมันแล้วหรือไง”

“ช่างมัน! ไอ้เด็กนั่นมันก็แค่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นเท่านั้นแหละ มันคงไม่กล้าไปบอกตำรวจหรอก” เจ้าดำขมวดคิ้ว

“แต่เฮียหมูให้เราจับมันให้ได้นะ อย่างงี้มันไม่ถือว่าขัดคำสั่งเหรอ” เจ้าคนที่มีชื่อว่าขวด ทำหน้าไม่สบอารมณ์

“เอ็งก็บอกไปสิว่าหาไอ้เด็กนั่นไม่เจอ แค่นี้เฮียเขาก็เข้าใจแล้ว..แถมยังจะดีใจซะอีกด้วยซ้ำถ้าเราเอาตัวยายแขนง นั่นไปให้แทนน่ะ เมื่อเช้าเอ็งไม่เห็นเหรอเจ้านายตบหน้าเฮียซะคว่ำเลยโทษฐานที่ทำงานไม่ สำเร็จน่ะ..ตอนนี้เราจะกู้หน้าเฮียแกกลับคืนมาไง” ดำพยักหน้าหงึกๆ เห็นดีด้วย ก้มมองแก้วน้ำในมือตัวเอง

“แล้วไอ้แก้วนี่ล่ะจำทำยังไง” เจ้าหนุ่มหน้าขาวทำปากจึกจัก ชักเริ่มหงุดหงิด

“เอ็งก็ทิ้งไปสิ จะถือเอาไว้ทำห่าอะไร..แม่ง!โง่ฉิบหาย..ไปเร็ว! มัวแต่อืดอาดอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวยายนั่นก็หายไปอีกหรอก”รีบวิ่งตามหลังอย่างไวมีดำวิ่งตามหลังมา ติดๆ..สองสาวสปีดขาในการเดินเต็มที่เท่าที่เท้าทั้งคู่จะเคลื่อนไหวได้ พอคิดว่าระยะห่างดีแล้ว ก็วิ่งกันสุดชีวิตใส่ตีนผีโกยอ้าว..ทั้งคู่วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านไอ ศครีมชื่อดัง ยืนหอบแฮกลิ้นห้อย! คนางค์มองเข้าไปในร้านพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง..

“กินไอติมกันมั๊ย!” เปียหน้าเหวอหายใจหอบ หันมาจ้องคนางค์เขม็งไม่อยากจะเชื่อ คนางค์หัวเราะแหะๆ

“ล้อเล่น! ก็เห็นว่าเหนื่อยไง เลยแหย่เล่น! จ้างให้พี่ก็ไม่กินหรอกแพงมากกก!!! เคยอ่านในหนังสือลูกละตั้งเจ็ดสิบกว่าบาท กินไปได้ยังไง..ไม่กินๆ” ส่ายหน้าหงึกหงัก โบกไม้โบกมือให้ว่อนไปหมด เปียถอนหายใจเฮือก โอดครวญออกมาเบาๆ

“พี่นางอ่ะ!..ยังจะมีอารมณ์มาเล่นอีก มันจะถึงตัวอยู่แล้ว”คนางค์หัวเราะออกมาเบาๆ

“ก็จะเครียดไปทำไมเล่า มันยังมาไม่ถึงซักหน่อย”ปากพูดสายตาก็เหลือบไปมองข้างหลัง เห็นไอ้ผู้ร้ายสองคนนั่นกำลังวิ่งเข้ามา หญิงสาวตาเหลือกรีบฉุดแขนเปียให้วิ่งอย่างไว ทั้งคู่วิ่งเข้ามาตรงที่เขามุงเลือกซื้อรองเท้า กระเป๋า เสื้อผ้าสตรี วิ่งพรวดเข้าไปอยู่ในกลุ่มด้วยกันทั้งสองคน พยายามเบียดแทรกเข้าไปยืนหน้าๆ เปียหันไปมองข้างหลัง เห็นไอ้สองคนนั่นกำลังชะเง้อชะแง้สายตามองไปรอบๆ สาวน้อยรีบหันขวับกลับมาหาคนางค์ มีอันต้องอ้าปากค้าง เห็นคนางค์กำลังเลือกรองเท้าอย่างเอาเป็นเอาตาย..

“พี่นางทำอะไร!” กระซิบน้ำเสียงขู่ฟ่อออกมาเบาๆ คนางค์หันมาเลิกคิ้วให้ ส่งเสียงกระซิบออกมาด้วยเหมือนกัน

“เลือกรองเท้า..มันลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะเปียหาที่ไหนได้ จากสี่ร้อยเหลือสองร้อย คุ้มๆ”ปากพูดมือก็เลือกใหญ่ เปียเต้นเป็นเจ้าเข้าซอยเท้ายิกๆ รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก รีบกระซิบระรัวเร็วออกมา

“จะบ้าเหรอพี่นาง มันกำลังตามเราอยู่นะ”

“เออๆ รู้แล้ว! พี่เห็นน่ะ..ตอนนี้มันยังไม่เห็นเรา เพราะฉะนั้นเราต้องใช้เวลาระหว่างนี้ให้เป็นประโยชน์รอเวลาที่มันเดินไปทางอื่นไง”

“เลือกรองเท้าเนี่ยนะ!” คนางค์พยักหน้าหงึกๆ มือก็ควานหาไปทั่วซักครู่ ก็ตาเป็นประกาย

“เจอแล้ว เปีย! เจอแล้ว! สวยซะด้วย มันต้องเป็นบุบเพระหว่างพี่กับเจ้ารองเท้าคู่นี้แน่ๆ อิอิ!”รีบยื่นของส่งให้พนักงานขายพร้อมเงินสด เปียทำหน้าเซ็ง!

“เสร็จยัง!”ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

“เดี๋ยวๆ” ยื่นมือไปรับของพร้อมเงินทอน และก็หันไปมองพวกเหล่าร้ายทั้งสองคน..คนางค์หันซ้ายหันขวาหาลู่ทาง ซักครู่ก็สะกิดเปีย

“มาทางนี้เปีย ค่อยๆเดินนะ ” พากันค่อยๆ เดินเลี่ยงออกมา ซักครู่ก็ต้องวิ่งหน้าตั้งกันทั้งคู่!!

“พะ..พี่นางมันกวดตามมาแล้ว!”

“ระ..รู้แล้ว!”

“พะ..พี่นาง..มะ..มันจะถึงแล้ว” คนางค์ตาเหลือก

“จะ..จริงเหรอ!”รีบหันกลับไปมอง มือก็ดึงแขนเปียให้วิ่งตามกันมา

“ฮือๆๆ จะถึงแล้วจริงๆด้วย...ว้ายยยย!!!”ส่งเสียงดังลั่นชนเข้ากลับคนข้างหน้าอย่าง จัง มีเปียกระแทกมาอีกชั้น ทำเอาคนางค์เซหลุนๆ จะล้มมิล้มแหล่ แล้วก็ล้มโครมไปจริงๆทับไปบนผู้โชคร้ายที่ชนเข้าเมื่อซักครู่นี้..คนางค์ รีบกระดืบๆ อยู่บนตัวของชายหนุ่มที่ชนเข้า กระเถิบตัวขึ้นมาอยู่บนอก..เงยหน้าขึ้นมอง..

“ขะ..ขอโทษค่ะ” อ้าปากหวอ

“คะ..คุณธันวา”ส่งเสียงดังลั่น

“ใคร! พี่นาง..ใคร”เปียรีบกระดืบๆ เข้ามาหาอีกคน ตาเหลือก

“พะ..พระเอกหนัง”ตะโกนออกมาเสียงดัง ธันวาถอนหายใจเฮือก เหลือบตามองดูฝูงชนรอบข้างที่ยืนมุงดูอยู่ก็ทำหน้าเซ็ง เอ่ยออกมาเสียงเข้ม

“จะนอนอีกนานมั๊ย..ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง ลุกขึ้นซักที” นั่นแหละสองสาวถึงค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้น ธันวารีบลุกขึ้นตาม คนางค์รีบส่งเสียงถามมาอย่างไว

“คะ..คุณธันวา..คุณมาทำอะไรที่นี่” ชายหนุ่มหันมามองตาขวาง

“ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอว่า มาทำอะไรที่นี่”

“ก็..ก็มาช่วยเปีย!” แล้วก็นึกขึ้นได้ตาพองโต

“ใช่! ไอ้ผู้ร้ายสองคนมันไล่ตามฉันกับเปียมา”รีบหันกลับไปมองเบื้องหลัง ไม่มีแม้แต่วี่แววของเจ้าสองคนที่ไล่กวดมาติดๆ ซักนิด มีแต่ผู้คนเดินกันขวักไขว่..

“อ้าว! ไปไหนแล้วล่ะ!”

“นั่นสิพี่นาง..เมื่กกี้มันยังจี้ก้นเราอยู่เลยอ่ะ”เสียงเปียสอดแทรกออกมาบ้าง คนางค์รีบหันมาหาธันวา

“เมื่อกี้ มันมีจริงๆนะ”

“อึมม์! ฉันเห็นแล้ว” คนางค์ขมวดคิ้วมุ่น

“และ..แล้วยังไง” ธันวายังไม่ทันพูดต่อ ก็ต้องเงียบลงทันทีเพราะมีชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำถึงสี่คนวิ่งกลับเข้ามาตรง ที่ทั้งสามคนยืนอยู่ คนที่ดูเหมือนจะอายุมากสุดเอ่ยออกมาน้ำเสียงเรียบๆ

“ไม่ทันครับคุณธันวา มันวิ่งหายไปเร็วมาก” ธันวาพยักหน้า

“ไม่เป็นไรจ่า! จำหน้าไอ้สองคนนั่นไว้ด้วย” ชายหนุ่มหันมาหาคนางค์ ที่ยังยืนงงๆ ทำหน้าไม่ไว้ใจมองจ้องนิ่งมายังคนแปลกหน้าทั้งสี่ มีเปียยืนแอบอยู่ข้างหลัง

“คนางค์ นี่จ่าตาบ คนที่จะมาคอยดูแลเธอช่วงนี้” คนางค์ตาเบิกโพลง

“ดะ..ดูแลฉันเหรอ!”

“ใช่! จ่ากับลูกน้องจะมาคอยคุ้มกันเธอช่วงระหว่างที่เธอพักอยู่ที่ตึกนั่น” จ่าตาบส่งยิ้มให้เห็นฟันขาวจั๊ว คนางค์เห็นยิ้มเข้าก็รู้สึกถูกชะตา ยกมือขึ้นไหว้ส่งยิ้มปูเลี่ยนๆไปให้

“นะ..นางรบกวนคุณจ่า กับลูกน้องคุณจ่าด้วยนะคะ..แหะๆ..รับรองว่าไม่ดื้อค่ะ บอกอะไรทำตามหมด”ธันวาเห็นท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าก็ถอนหายใจอีกเฮือก ให้ตายเหอะยายนี่ เมื่อไหร่จะทำตัวเหมือนผู้หญิงคนอื่นเขามั่งนะ จ่าตาบหัวเราะออกมาเบาๆ

“ยินดีครับคุณคนางค์ ไม่มีปัญหา! มันเป็นหน้าที่ของพวกผมอยู่แล้ว” คนางค์ยิ้มพริ้ม มีเปียสะกิดหลังยิกๆ กระซิบออกมาเบาๆ

“พี่นาง..พี่นาง!”

“อะไร!”

“พี่นางมีคนคอยคุ้มกันด้วยเหรอ?..ไอ้ที่เขาเรียกว่าบอดี้กาดใช่เปล่า? และ..แล้วพี่นางทำไมต้องมีคนคอยดูแลด้วยล่ะ?” ถามมาเป็นชุด คนางค์ไม่รู้จะตอบว่าไง ก็เลยส่งเสียงเข้มกลบเกลื่อนไว้ก่อน

“อย่ารู้เลย ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” เปียเบะปาก ตัวเองก็แก่กว่าเขาไม่กี่ปีทำมาเป็นผู้ใหญ่ ค้อนใส่หลังคนางค์ ปากก็ส่งเสียงงึมงำ ออกมาอีก

“แล้วเรื่องพี่ป้องล่ะพี่นาง..ตอนนี้เป็นไงบ้างแล้วก็ไม่รู้” คนางค์เพิ่งนึกได้ จริงสินะพี่ชายของเปียโดนไอ้ผู้ร้ายจับตัวไปนี่ หันหน้าไปหาธันวารีบพูดออกมา

“คะ..คุณธันวา พี่ชายของเปียโดนไอ้ผู้ร้ายกลุ่มเมื่อกี้นี้จับตัวไปค่ะ” ธันวาขมวดคิ้วมุ่น จ้องหญิงสาวตรงหน้าเขม็ง

“นี่อย่าบอกนะ..ที่เธอฝืนคำสั่งฉันที่ห้ามเธอออกนอกตึกเนี่ย เพราะว่าเธอจะมาช่วยพี่ชายของเด็กนี่” คนางค์หน้าม่อย เอ่ยน้ำเสียงตะกุก ตะกักออกมา

“มะ..มันก็ไม่เชิงหรอก” ยืนก้มหน้าสำนึกผิด ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ส่งเสียงออกมาเนิบๆ

“ไหน..ลองเล่ามาซิ” คนางค์รีบเงยหน้าทันทีเล่าออกมาอย่างไว มีเปียคอยเสริมเป็นพักๆ สักครู่ธันวาก็หันไปหาจ่าตาบ

“จ่าคิดว่าไง”

“ไม่น่ายากครับ เดี๋ยวพาคุณเปียไปแจ้งความกับตำรวจไว้ก่อนพวกเพื่อนผมเยอะ บอกรูปพรรณสัณฐานให้ชัดเจน ถ้าจำทะเบียนรถ ยี่ห้อรถได้อย่างงี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา คงเจอแน่แต่ไปเจอสภาพไหนนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง” คนางค์ได้ฟังถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก! มีเปียยืนทำหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ข้างๆ ธันวาหันมองคนางค์

“เธอแน่ใจนะว่าไอ้พวกนั้นไม่ได้ตามเธอ..แต่ตามเด็กเปียนี่” คนางค์พยักหน้าหงึกๆ ธันวาขมวดคิ้ว เขารู้สึกสังหรณ์ใจพิกลไอ้ผู้ร้ายนั่นหน้าตาคุ้นๆ หน้ามันเหมือนกับไอ้คนที่จะไล่ยิงเขากับคนางค์เมื่อเช้านี้..ชายหนุ่มหันมา หาจ่าตาบ.

“งั้นเอาตามนี้แล้วกันเดี๋ยวจ่าพาเด็กนี่ไปสถานีตำรวจและก็ไปส่งที่บ้าน ส่วนฉันจะพาคนางค์กลับเอง” เปียได้ยินดังนั้นรีบส่งเสียงมาอย่างไว

“พี่นาง! พี่นางไปกับหนูนะ..จะปล่อยให้หนูไปคนเดียวได้ไง” คนางค์รีบหันหน้าไปหาธันวาทำหน้าเศร้าขอความเห็นใจ ชายหนุ่มทำปากจึก จัก

“ก็ได้ๆ ไปกันทั้งหมดนี่แหละ..หาแต่เรื่องเข้าตัวดีนัก” บ่นงึม งำเป็นหมีกินผึ้ง ทั้งหมดพากันไปที่โรงพักสน.ที่เกิดเหตุ ใช้เวลาอยู่ประมาณสองชั่วโมงได้ก็พากันกลับ ธันวาแวะไปส่งเปียที่บ้าน มีรถของจ่าตาบตามมาไม่ห่าง มาถึงที่ตึกเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม จ่าตาบและลูกน้องขอตัวกลับก่อน ทั้งหมดจะมาเริ่มงานกันในวันรุ่งขึ้น..ชายหนุ่มพาคนางค์ขึ้นไปห้องพัก พอถึงหน้าห้องก็ยืนรอให้คนางค์เปิดประตูอยู่อย่างงั้นไม่มีทีท่าว่าจะกลับ พลอยทำให้คนางค์ขมวดคิ้ว งง!

“คุณกลับไปได้แล้วล่ะ..ฉันจะเข้าห้องแล้ว”ธันวาเลิกคิ้ว

“ไม่!..คืนนี้ฉันจะค้างที่นี่” คนางค์ตาเหลือก คิดว่าตัวเองฟังผิดถามส่งมาอีกครั้ง

“คะ..ค้างที่นี่เหรอ”

“อึมม์!” หญิงสาวอ้าปากหวอ ไม่อยากจะเชื่อ รีบพูดออกมาเสียงดัง

“ก็..ก็ไหนคุณบอกว่าคุณจะไม่อยู่ที่นี่ไง..คุณจะกลับบ้าน ทำไมมากลับคำเอาดื้อๆอย่างงี้ล่ะ” ธันวาถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิ้วเริ่มพันกันยุ่ง พูดน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำออกมา

“วันนี้เท่านั้น!..ฉันอยู่แค่วันนี้..เธอจะอยู่ไปได้ยังไงเล่าไม่มีคน คอยดู..ไม่กลัวหรือไง” คนางค์หน้าม่อย ไอ้กลัวมันก็กลัวอยู่เหมือนกันแหละ..อยู่ซะชั้นบนสุดเลยตอนกลางคืนท่าทาง วังเวงจะตาย แต่จะให้ชายหนุ่มมารวมอยู่ในห้องด้วยนี่ มันก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจน่ะ..

“ก็..ก็!”

“ไม่ต้องเรื่องมาก..ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่ะ..เปิดประตูซักที ร้อน!”เร่งมายิกๆ คนางค์ค้อนตาคว่ำ เสียบการ์ดอย่างเร็ว กดตัวเลขอย่างกระแทกกระทั้น พอประตูเปิดได้ก็ไม่ยอมรอเดินเข้าห้องพรืดๆ ยืนมองไปรอบๆห้อง

“คุณให้คุณปานไปเอาเสื้อผ้าฉันมาแล้วใช่หรือเปล่า!”

“มาแล้วมั้ง! ลองหาดู” คนางค์ยู่หน้าส่งให้ เชอะ ขี้เก็ก! รีบเดินวนดูรอบห้องไม่มีวี่แววข้าวของเครื่องใช้ของเธอซักชิ้น..

“ไม่เห็นมีเลย” ธันวาถอดสูทตัวนอกออกจากตัว เดินเข้าไปในห้องส่งเสียงออกมา

“อยู่นี่” คนางค์โผล่หน้าเข้าไปเห็นเป้สีเหลืองใบเก่งกองอยู่บนเตียง เสื้อผ้าที่ติดมากับไม้แขวนวางอยู่ข้างๆ ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เธอนึกว่าวันนี้จะต้องซักแห้งซะแล้ว...

“ห้องนี้คุณให้ฉันใช้ใช่หรือเปล่า!” ชายหนุ่มพยักหน้า

“งั้นคุณก็ไม่มีสิทธิ์ถือวิสาสะ เดินเข้ามาในห้องนี้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาติจากเจ้าของอย่างฉัน” ธันวาหัวเราะหึหึ เดินเข้ามาหา

“ไม่จำเป็น! ฉันจะเข้าหรือจะออกมันก็เรื่องของฉัน..ไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาติจากเธอ เข้าใจ๋!” ยักคิ้วส่งให้คนางค์แล้วก็เดินผ่านออกไป หญิงสาวมองตาขวาง กวนชะมัด! จะมีใครกวนโมโหได้เท่าตานี่อีกมั๊ยเนี่ย! เมื่อก่อนก็ไม่เห็นเป็นอย่างงี้ กินยาผิดแน่ๆ ต้องกินยาผิดชัวร์ สมองมันถึงได้แปรปรวนขนาดนี้ ปลายหางตามองอีกรอบ เข่นเคี่ยวเคี้ยวฟัน กรอดๆ เดินเข้าไปในห้องปิดประตูกลับมาดังปัง!! และก็ไม่มีทีท่าว่าจะออกมาจากห้องที่หายวับเข้าไป ธันวานั่งขมวดคิ้วอยู่หน้าจอโทรทัศน์ ยายเบื๊อกนั่นกะจะขังตัวเองอยู่ในห้องเลยหรือไง ข้าวปลาไม่ยอมออกมากิน นึกถึงเมื่อบ่ายนี้ก็เกิดอาการโมโหขึ้นมาอีกระลอก ถ้าเขาไม่โทรลงไปหาเจ้าดลก็คงไม่มีทางรู้แน่ๆ ว่ายายบื้อนั่นไม่อยู่ในบริเวณตึกนี่ ดีนะที่ยังจดร่องรอยทิ้งไว้ให้ตามไปพบได้ ถ้าไม่มีไอ้กระดาษแผ่นนั้นป่านนี้ก็ยังคงงมหากันทั่วกรุงเทพฯ ประจวบเหมาะกับที่จ่าตาบเข้ามาหาเขาพอดีก็เลยออกไปด้วยกัน..ชายหนุ่มถอน หายใจออกมาเฮือกใหญ่ ค่อยๆลุกจากโซฟาเดินไปเคาะประตูหน้าห้อง..

“คนางค์..ทำอะไร” ไม่มีทีท่าว่าจะตอบรับ

“คนางค์ ไม่กินข้าวหรือไง ไม่หิวเหรอ!”เงียบบ!! ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

“นี่! ถ้าเธอไม่ออกมาฉันจะพังประตูเข้าไปนะ”เงียบ!!

“หนึ่ง! สอง! สา..”ประตูเปิดผลั่วออกมา มีเจ้าของชื่อที่ธันวาเรียกเมื่อซักครู่ยืนอยู่ ใบหน้าหลังกรอบแว่นแดงแป๊ดงอหงิกเหมือนขิงขาดน้ำ รวบผมหนาขมวดเป็นก้นหอยไว้บนศรีษะ มีหมอนใบโตอยู่ในอ้อมกอด

“เป็นอะไร!”

“เปล่า!” เดินพรวดๆ ออกมาจากห้องไปนั่งบนโซฟา..ชายหนุ่มยืนพิงกรอบประตูห้องมองอยู่ ส่งเสียงมาเนิบๆ

“ฉันจะอาบน้ำ” คนางค์หันมามองตาขวาง

“แล้วไง..จะให้ฉันไปถูตัวให้หรือไง”ทำหน้าบอกบุญไม่รับ ธันวาหัวเราะ หึหึ

“จะทำให้หรือเปล่าล่ะ!” เท่านั้นแหละออกมาเป็นชุด

“อะ..ไอ้บ้า..อะ..ไอ้ทุเรศ” เขวี้ยงหมอนที่กอดแนบอก ส่งไปยังชายหนุ่ม ธันวาหัวเราะออกมาเบาๆ รีบรับหมอนเอาไว้

“อย่าหงุดหงิดให้มันมากนักเลยน่ะ ฉันไม่คิดสั้นหรอก..ฉันแค่จะบอกว่าฉันจะไปอาบน้ำ เธออยู่ข้างนอกนี่ก็เตรียมอาหารไว้แล้วกัน เดี๋ยวฉันออกมากิน”ว่าแล้วก็เดินลับหายเข้าไปในห้อง หญิงสาวค้อนประหลับประเหลือกหงุดหงิดอารมณ์เป็นยิ่งนัก ซักครู่ก็ตาเหลือก โอ้! ม่ายยย! ชะ..ชะ.. ชุด..ชั้นใน ฉันตากชุดชั้นในไว้ในห้องน้ำ ฮือๆๆ รีบลุกจากโซฟาอย่างเร็ว แทบถลาไปหน้าห้อง มือก็บิดลูกบิดประตู มันล๊อค ทำยังไงก็ไม่ออก รีบระรัวมือไปบนประตู

“คุณ..คุณธันวา เปิดประตูก่อน” เงียบบ!!! เคาะยังไงก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิด คนางค์เดินวนเวียนอยู่หน้าห้องซักครู่ก็ตัดใจ..เดินหงอยคอตกไปตรงมุมทำ ครัว..

ธันวาไม่สนใจเสียงเคาะประตูหน้าห้อง เดินมาเปิดตู้เสื้อผ้าคิ้วเข้มมีอันต้องขมวดมุ้น คนางค์เลื่อนเสื้อผ้าของเขาไปทางด้านขวา และก็แขวนส่วนของตัวเองไว้ทางด้านซ้าย ชายหนุ่มยืนจ้องนิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาแล้วข้าวของเครื่องใช้ของเขาจะไม่มีของคนอื่นมาปะปน แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างงั้น มันก็เลยทำให้เขารู้สึกแปลกๆชอบกล มันเหมือนกับว่าความเป็นส่วนตัวของเขากำลังจะหายไป..ธันวาปิดตู้เสื้อผ้า เดินเข้าห้องน้ำสายตาก็ไปสะดุดกับแปรงสีฟันสีน้ำเงินขาวที่วางคู่กับของเขาในถ้วยแก้วใบใส..ชายหนุ่มยกขึ้นมาดูใกล้ๆ หัวเราะออกมาเบาๆ ช่างสรรหาจริงๆ ยายนี่สงสัยจะเป็นแฟนตัวยงของไอ้การ์ตูนญี่ปุ่นนั่นแน่ๆ ธันวาสำรวจไปทั่วเห็นข้าวของเครื่องใช้ของผู้หญิงวางเรียงอยู่ตรงหน้ากระจก ยกแป้งฝุ่นที่หญิงสาวใช้ขึ้นมาอ่านดู..แป้งเด็ก! ไอ้กลิ่นหอมๆนั่น มาจากไอ้แป้งชนิดนี้น่ะเหรอ! เดินเข้าไปส่วนในพลางแกะกระดุมเสื้อไปด้วย สายตาเจ้ากรรมเหลือบไปเห็นผ้าลูกไม้ตัวบาง สีดำสนิทชิ้นน้อยๆ สองชิ้นแขวนอยู่ตรงราวแขวนเสื้อผ้าด้านล่าง ก็ต้องสะดุ้ง จ้องมองนิ่ง ซักครู่ก็อมยิ้มออกมา ยายเบื้อกนั่นใส่ผ้าลูกไม้ด้วย แถมยังสีดำอีกต่างหาก ชายหนุ่มอมยิ้ม หัวเราะออกมาเบาๆ คนางค์เธอยังจะมีอะไรทำให้ฉันเซอร์ไพรส์อีกไหมเนี่ย! หลังจากอาบน้ำเสร็จธันวาเดินออกมาจากห้อง เห็นคนางค์ยืนคอยอยู่หน้าประตู..

“มีอะไร!” คนางค์วิ่งจู๊ด! สวนกลับเข้าไปในห้องทันที ซักครู่ก็เดินออกมาเห็นธันวาไปนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อย หญิงสาวเดินเข้าไปหยิบชามของตัวเองเดินเลี่ยงมานั่งตรงโซฟาหน้าโทรทัศน์ ธันวาเลิกคิ้ว

“ทำไมไม่มากินตรงนี้” เงียบ!! ไม่มีเสียงตอบมาซักแอ่ะ ชายหนุ่มทำปากจึกจัก ยกจานของตัวเองไปนั่งข้างๆ..คนางค์นั่งเงียบไม่หันมามอง บังคับสายตาให้อยู่แค่จอโทรทัศน์กับชามบะหมี่บนตัก ธันวาเหลือบตามองหญิงสาว เห็นนิ่งเงียบก็หมั่นไส้ ตักชิ้นเป็ดในจานยื่นใส่เข้าไปในชามบะหมี่ข้างๆ คนางค์ก้มลงมองแล้วก็ต้องตาเบิกโพลง

“ปะ..เป็ด!” ส่งเสียงดังลั่น ธันวานั่งกินข้าวเฉยสายตาก็จับจ้องไปที่โทรทัศน์ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะอย่างงั้น

“ฉะ..ฉันไม่กินเป็ดอ่ะ..เอามาให้ฉันทำไม” ธันวาหันมาเลิกคิ้วส่งให้

“ฉันก็ไม่อยากกิน” คนางค์ตาเหลือก

“คุณไม่อยากกิน คุณก็เอาไปทิ้งที่อื่นสิ เอามาใส่ไว้ในชามฉันทำไมล่ะ” ชายหนุ่มยักไหล่

“ขี้เกียจ” คนางค์มองตาขวาง กวนโอ๊ยที่สุดเลย คนบ้าอะไรอย่างงี้ก็ไม่รู้ หญิงสาวดึงทิชชู่ออกมาวางบนโต๊ะเตี้ยข้างหน้า ค่อยๆโกยชิ้นเป็ดเจ้าปัญหาออกไปทิ้งบนทิชชู่ที่เตรียมรอไว้ แต่แล้วก็ต้องตาเหลือกอีกรอบ ธันวายื่นมาใส่ไว้ในจานอีกครั้ง ทีนี้ชิ้นใหญ่ด้วย หันขวับไปมองชายหนุ่มข้างๆ เห็นธันวาเลิกคิ้วส่งให้ หญิงสาวระงับอารมณ์เต็มที่ เย็นไว้คนางค์ ขันติ! ขันติ! รีบโกยทิ้งอย่างไว ธันวาทำอีกเป็นครั้งที่สาม ทีนี้คนางค์ไม่นิ่งเฉยแล้ว กระแทกชามไปบนโต๊ะเบื้องหน้าเสียงดัง! ลุกจากที่นั่งกำลังจะก้าวขา แต่ชายหนุ่มเอื้อมมือมาจับข้อมือไว้ซะก่อน

“จะไปไหน” เงียบ! ธันวาวางจานของตัวเองบนโต๊ะเบื้องหน้า เอ่ยออกมาอีกครั้ง

“ว่าไง จะลุกไปไหน!”เงียบ! มีแต่เสียงฟึดฟัดที่ออกมาจากจมูกน้อยๆของคนเบื้องหน้า ธันวาอมยิ้ม ถามส่งมาอีก

“โกรธเหรอ!”ไม่มีเสียงตอบออกมาซักคำ ธันวายังจับข้อมือหญิงสาวไว้แน่น

“หรือว่าอาย!!” ได้ผล! หันขวับมามองทันที จ้องเขม็ง

“อะ..อายอะไร” ธันวาเลิกคิ้ว อมยิ้มน้อยๆ

“เปล่า!” คนางค์มองด้วยหางตาเริ่มไม่ไว้ใจ ซักครู่ก็ตาเบิกโพลง

“คะ..คุณเห็น..คุณเห็นใช่มั๊ย” ธันวายิ้มพริ้ม ตอบออกมาเนิบๆ

“สองลูกกะตา” หน้าขาวใสเริ่มแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวอยากจะเอาหัวมุดแทรกแผ่นดินหนีซะให้รู้แล้วรู้รอด รีบดึงแขนจะกลับเข้าห้องแต่ธันวารั้งไว้ซะก่อน

“ไม่ต้องอายหรอกน่า อย่างที่เคยบอกไงฉันเห็นมามากกว่านี้เยอะ ไม่ต้องคิดมาก..ไม่เป็นที่ใส่ใจอยู่แล้ว”

“มะ..ไม่ต้องคิดมาก..มะ..ไม่เป็นที่ใส่ใจงั้นเหรอ” หญิงสาวทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้ ระล่ำระลักออกมาอย่างไว

“คุณพูดออกมาแบบนี้ได้ยังไง ฉันเป็นผู้หญิงนะ..และ..และคุณก็เป็นผู้ชาย..และ..และคุณก็เห็น..โอ้พระเจ้า! คุณเห็นอ่ะ!..และจะไม่ให้ฉันคิดมากได้ยังไง” ธันวาพยักหน้าหงึกๆ

“อึมม์..ก็แค่แปรงสีฟันลายการ์ตูนโดเรมอน ไม่ต้องคิดมากหรอกน่าฉันไม่บอกคนอื่นหรอก” เท่านั้นแหละหน้าตาที่ยับยู่ยี่เมื่อซักครู่นี้บานเป็นกระด้งขึ้นมาทันที ถอยกลับลงมานั่งบนโซฟาใหม่

“ปะ..แปรงเหรอ! คุณพูดถึงแปรงเหรอ!”

“ใช่! ก็เรื่องแปรงน่ะสิ หรือเธอมีอย่างอื่นอีก” เลิกคิ้วถามส่งมา คนางค์ส่ายหน้าอย่างไว ยกมือปฎิเสธให้ว่อนไปหมด

“ไม่มี..มะ..มีที่ไหนล่ะ..ไม่มีจริงจริ๊ง..แหะๆ”หัวเราะออกมาเบาๆ กลบเกลื่อน ชายหนุ่มลอบยิ้มหันกลับไปดูโทรทัศน์ต่อพูดออกมาเบาๆ

“ฉันหิว” คนางค์มองด้วยหางตา

“หะ..หิวเหรอ!..ทำไมไม่กินไอ้นี่ล่ะ” เลื่อนจานข้าวของชายหนุ่มมาวางไว้ตรงหน้า ธันวาปลายหางตามองนิดหนึ่ง

“ไม่อยากกินไอ้นี่” หญิงสาวขมวดคิ้ว

“ไม่อยากกินไอ้นี่ และจะกินอะไรล่ะ เรื่องมาก!” บ่นออกมาเบาๆ ทำปากขมุบขมิบ ชายหนุ่มเหลือบสายตามาเห็นพอดีอมยื้มน้อยๆ เริ่มผุดที่ริมฝีปาก..

“อยากกินไข่เจียว..ไม่ได้กินนานและ ทำให้กินหน่อย” คนางค์ตาเหลือก!

“จะกินก็ทำเองสิ ทำไมต้องให้ฉันทำด้วย มือไม่มีหรือไง” ธันวาหันมามองจ้องเขม็ง

“ทำไม! ทำให้ฉันกินไม่ได้หรือไง..หรือว่าทำไม่เป็น” หญิงสาวของขึ้นทันที เรื่องอื่นว่าได้แต่ไอ้เรื่องทอดไข่นี่อย่าได้บังอาจ ไม่รู้จักคนางค์ซะแล้ว

“เชอะ! ทำมาเป็นดูถูก..จะเอาซักกี่ไข่บอกมาได้เลย..กรอบนอกนุ่มในก็เคยมาแล้ว หรือจะเอาแบบกรอบในนุ่มนอกก็ได้ หรือจะแบบกรอบทั้งข้างนอกและข้างในได้ทั้งนั้น.. เพราะฉะนั้น อย่าดูถูก ขอร้อง ขอร้อง” ยักคิ้วแพล๊บๆ ส่งให้ธันวา ชายหนุ่มยิ้มตาหยีส่งให้พูดออกมาเบาๆ

“เอาแบบกินได้น่ะ แค่นั้นแหละที่ต้องการ” คนางค์ค้อนประหลับประเหลือก ลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปในครัว ซักครู่ก็ส่งเสียงปาวๆออกมา

“คุณ!! พริกป่นอยู่ไหน” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก ลุกเดินตามเข้าไป เห็นคนางค์กำลังตีไข่ในชามฟองฟอดไปหมด ธันวาเอื้อมมือไปเปิดตู้บนชั้นเหนือหัวหยิบขวดพริกป่นส่งให้ หญิงสาวรีบรับไป และก็เทลงไปในชามไข่ที่ตีไว้จนขึ้นฟอง พรวด!!! ธันวาตาเหลือก รีบพูดออกมาเสียงดัง

“จะบ้าเหรอเปล่า ไข่เจียวใครเขาใส่พริกป่นกัน”

“เหอะน่า! เชื่อหัวฉันเถอะ..ขอบอกสุดยอด! แซบอีหลีเด้อค่า!! มันเข้าถึงเนื้อไข่เลยนา..ไม่ต้องไปเสียเวลาทำน้ำปลาพริกป่น ใส่มันรวมๆกันเข้าไปนี่แหละ Work Work ฉันทำกินออกบ่อยตอนอยู่ที่บ้านน่ะ” พูดเสร็จก็หันมามองหน้า

“ว่าแต่ คุณว่างหรือเปล่า” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

“ทำไม!”

“หุงข้าวให้หน่อย ฉันมือไม่ว่าง” ธันวาส่ายหน้าอย่างไว

“เรื่อง! เธอนั่นแหละทำ จะมาใช้ฉันได้ยังไง” ทำท่าจะเดินออกจากครัว คนางค์รีบคว้าแขนไว้ ถลึงตาใส่

“ก็ฉันไม่ว่าง ไม่เห็นหรือไง ตัวเองเป็นคนจะกินเองแท้ๆ นี่ฉันอุตส่าห์เสียสละเวลาอันมีค่ามาทอดไข่สูตรพิเศษให้..ยังจะมาเกี่ยงอีก เดี๋ยวก็ไม่ทำให้กินซะเลยนี่” ชายหนุ่มทำปากจึก จัก

“ก็ได้!” เดินเข้าไปด้านใน คนางค์ยิ้มพริ้ม ชนะ!นายนี่ก็ว่าง่ายเหมือนกันน้า! นึกว่าจะดื้อเอาหัวชนฝาอย่างเดียว อย่างงี้มันน่าทำของอร่อยๆให้กินหน่อย..อิอิ!

“น้ำเยอะหรือเปล่า!” หญิงสาวตกใจ เพิ่งหลุดจากภวังค์

“คะ..ค้า!!” ชายหนุ่มทำหน้าเซ็ง!

“ฉันถามว่าใส่น้ำเยอะหรือเปล่า! ไอ้ข้าวชนิดนี้ฉันไม่เคยหุง” คนางค์ขมวดคิ้ว

“ถามฉัน แล้วฉันจะตอบยังไงล่ะ..ฉันก็ไม่เคยกินไอ้ข้าวของคุณเหมือนกัน..ใส่ๆไปเถอะแค่ไหนก็แค่นั้น” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก ส่งเสียงออกมาเบาๆ

“มั่ว” คนางค์ทำปากขมุบขมิบ หันไปดูไข่ในกระทะต่อ ซักครู่ก็หันมามองชายหนุ่มที่กำลังเสียบไฟตั้งหม้อ

“คุณนี่ก็ทะมัดทะแมงเรื่องในครัวเหมือนกันเนอะ เคยทำบ่อยเหรอ!” หญิงสาวชวนคุย

“ก็ไม่บ่อยหรอก แค่ตอนสมัยที่ฉันเรียนฉันทำกินเองทุกวัน” หันมายักคิ้วส่งให้ คนางค์เบะปาก แหวะ! ทำมาเป็นอวดเก่ง

“ไข่ไหม้แล้ว! กลับซักหน่อยก็ดี อย่าลืมนะเอาแบบกินได้” พูดเสร็จก็เดินอมยิ้มออกไป ปล่อยให้คนางค์ยืนแช่งชักหักกระดูกอยู่คนเดียวตามหลัง ใช้เวลาซักครู่อาหารก็เสร็จสรรพ คนางค์นั่งรอลุ้นระหว่างธันวาตักไข่ฝีมือตัวเองส่งเข้าปาก..

“เป็นไง!” สายตาจดจ่อเต็มที่ เห็นชายหนุ่มค่อยๆ เคี้ยวก็เร่งยิกๆ

“ว่าไง อร่อยมั๊ย!” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเนิบๆ

“ก็งั้นๆ” หญิงสาวขมวดคิ้ว

“จะ..จริงเหรอ..ฉันอุตส่าห์ทำสุดฝีมือ มันไม่อร่อยเลยเหรอ” หน้าม่อย ลุกออกจากเก้าอี้ ธันวารีบฉวยข้อมือหญิงสาวไว้

“จะไปไหน ไม่กินข้าวเหรอ”

“หึ! ไม่หิวหรอก คุณกินเถอะ หรือถ้ากินไม่ลงก็ทิ้งไปก็ได้นะ” ธันวาถอนหายใจออกมาดังเฮือก เอ่ยออกมาเสียงเรียบๆ

“คำว่าก็งั้นๆ..ไม่ได้หมายความว่าไม่อร่อย” คนางค์เงยหน้าขึ้นมองหน้าชายหนุ่มนิ่ง พูดออกมาเบาๆ

“ทำไมคนเราชอบพูดอะไรที่มันซับซ้อนนักนะ ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นตรงไหนเลย” ทิ้งประโยคคำถามไว้อย่างงั้น พาตัวเองเดินกลับเข้าห้อง ปล่อยให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองตามหลังไปเงียบๆ..



กรกนก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2554, 21:16:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มิ.ย. 2554, 21:16:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 2379





<< ตอนที่13 : รังใหม่   
ชอบอ่าน 21 มิ.ย. 2554, 23:52:22 น.
ภีมจะทำยังไงนะ


ปูนิ่ม 22 มิ.ย. 2554, 10:51:18 น.
สนุกน่ารักอ่ะ


เจ้าหญิงสุเอะ 23 มิ.ย. 2554, 02:51:40 น.
จะมีต่ออีกวันไหนน้า........


ratchaneedee 26 มิ.ย. 2554, 08:42:44 น.
รอตอนต่อไปอยู่นะค๊าาาาาา


ปูนิ่ม 21 ก.ค. 2554, 18:40:54 น.
รออ่านตอนใหม่อยู่ค่ะ


teaw 31 ต.ค. 2554, 13:28:58 น.
รอมานานขอตอนต่อไปด้วยจ้า


Maye 10 ธ.ค. 2554, 20:33:04 น.
รอตอนต่อไปนะคะ เคยอ่านในเว็บเก่าเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่จบ เป็นกำลังใจให้นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account