กรุ่นไอรักหลังลมร้อน
สบายๆ คลายเครียด..
Tags: สาวขอนแก่นเข้ากรุง

ตอน: ตอนที่13 : รังใหม่

หลังจากธันวาขับรถพาหญิงสาวออกมาจากอพาท์เม้นท์อย่างหวาดเสียว คนางค์นั่งเป็นใบ้น้ำลายบูดอยู่ในรถไม่ได้พูดได้จาออกมาซักคำ หญิงสาวพยายามชวนพูดชวนคุยแต่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบจากฝ่ายตรงข้ามซักแอ่ะ ธันวาเงียบกริบตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเดียวปาดซ้ายปาดขวาให้วุ่นไปหมด เล่นเอาคนางค์แช่งชักหักกระดูกในใจก็หลายหน นานๆทีก็หันมาค้อนให้ซักขวับหนึ่งหมั่นไส้ ถ้าอาการค้อนมันฆ่าคนได้ชายหนุ่มคงจะตายและก็ฟื้น ฟื้นและก็ตายไปหลายตลบแล้ว หญิงสาวนั่งหน้ามุ่ยบ่นอุบอิบออกมาเบาๆ

“ถนนเป็นของตัวเองหรือไงไม่รู้ ขับไม่เกรงใจ!” ธันวาทำหูทวนลมตาก็มองถนนอยู่อย่างงั้น ขาเหยียบคันเร่งไม่มีผ่อน คนางค์ปลายหางตามองนิดหนื่ง ซักครู่ก็ทำหน้ามาดมั่นพยักหน้าหงึกๆ ยกมือขึ้นโมทนาสาธุ!

“เจ้าพระคู้ณ! ขอให้ตำรวจเรียกทีเหอะ แม่จะหัวเราะให้ฟันโยก” เงียบ! ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบรถยังเหาะหวืออยู่อย่างงั้น คิ้วหญิงสาวเริ่มขมวดทีนี้หันหน้ามาหาชายหนุ่มเต็มตัวเลย พูดออกมาเสียงดังลั่น

“ฉันจะอ๊วก!!!” ธันวาสะดุ้งโหยงรถเป๋ออกนอกทางนิดหนึ่งรีบบังคับกลับเข้ามาอยู่ในเลน หันมาตวาดแว๊ด

“นี่ยายบื้อ! จะตะโกนทำไมฮะ! และอย่าบังอาจมาอ๊วกใส่ในรถฉันนะ” คนางค์มองตาขวาง แกล้งไอค๊อก! ไอแค๊ก!เสียงดัง เอามือจับลำคอไว้ ทำท่าจะขย้อนไอ้ของที่อยู่ในกระเพาะออกมาหาชายหนุ่ม ธันวาหันหน้าเลิ่กลั่กไหนจะต้องดูถนน ไหนจะต้องคอยดูไอ้พวกที่ตามตูดมา และยังต้องมาพวงกับยายจอมยุ่งข้างๆอีก เริ่มทำตัวไม่ถูก จุ๊ปากออกมาเสียงดัง

“ว้า! ยายนี่หนิ มันสกปรกนะเนี่ย กลั้นๆ เอาไว้ก่อน”

“อั๊น..อั้น..ไอ้ไอ่แอ้วววว!” ส่งเสียงอู้อี้ออกมาเสียงดังลั่น ทำประหนึ่งว่ามันมาจุกอยู่ที่คอหอยแล้วตอนนี้ ธันวาตาเหลือก

“ดะ..ดะ..เดี๋ยวๆ” ละล่ำละลักออกมาอย่างไว สายตาเหลือบมองกระจกหลังเห็นว่าพ้นดีแล้วไม่มีใครตามมา ก็ค่อยๆ ตีไฟซ้ายขับเข้าข้างทางจอดเรียบฟุตบาท รีบตะกายออกจากรถเดินอ้อมมาหาหญิงสาว เปิดประตูรถอย่างไว

“มา! ลงมา” คนางค์นั่งเฉยทำหน้าไร้เดียงสา

“ลงไปทำไมอ่ะ”

“ก็เธอจะอ๊วกไม่ใช่เหรอ เนี่ยฉันจอดให้แล้ว ลงมา!” เร่งมาอีกระลอก คนางค์ยิ้มแฉ่งส่งให้

“มันหายแล้วอ่ะ ไม่เป็นอะไรแล้ว” ชายหนุ่มเริ่มเอะใจคิ้วเริ่มขมวดมุ่น หน้าตาของเจ้าหล่อนไม่มีอาการแม้แต่น้อย แถมยังสดชื่นกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย ส่งเสียงเข้มถามออกมา

“เธอแกล้งใช่มั๊ย!” หญิงสาวหุบยิ้มฉับ ค่อยๆส่งเสียงอุบอิบออกมาเบาๆ

“ก็อยากขับเร็วทำไมล่ะ อย่างกับจรวดปาดซ้ายปาดขวาเดี๋ยวก็ชนกันเท่านั้น ฉันก็เลยต้องหยุดไว้ก่อน เพื่อความไม่ประมาท”ทำหน้างอส่งให้อีกด้วยเปรียบเสมือนว่าเป็นความผิดของชาย หนุ่ม ธันวาทำปากจึกจักหงุดหงิดอารมณ์เต็มที่ หันไปมองทางอื่นซะอย่างงั้น เพราะรู้ดีว่าถ้าขืนยังมองยายตัวดีข้างหน้านี่มีหวังขันติของเขาคงจะเริ่ม เปลี่ยนเป็นขันแตกในไม่ช้า ใจอยากจะเอื้อมมือไปบีบคอยายเบื๊อกนี่สั่งสอนซะให้เข็ด แต่ก็ทำได้แค่คิดมือก็ปิดประตูกลับมาเสียงดัง หญิงสาวสะดุ้งโหยง! เหลือบตามองไปนอกรถเห็นธันวาทำปากขมุบขมิบเคี้ยวฟันกรอดๆ เดินอ้อมกลับมานั่งประจำที่คนขับ ค่อยๆนำรถเคลื่อนตัว ปากก็ส่งเสียงออกมาเนิบๆ พยายามระงับอารมณ์เต็มที่

“เธอนี่ยิ่งกว่าเด็กสามขวบอีก เรียกร้องความสนใจเป็นเด็กๆไปได้ และก็ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเอาซะเล้ย!” ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา คนางค์ทำตาขวางใส่

“ทำไม! ไม่รู้เรื่องอะไร”ชายหนุ่มหัวเราะหึ หึ

“จะตายยังไม่รู้ตัว! ถ้าฉันไม่ขับอย่างเงี้ยน่ะเหรอ ป่านนี้เธอได้นอนแอ้งแม้งลมหายใจไม่มีเหลือหลอพอที่จะมาทำท่ากวนประสาทฉัน อย่างเมื่อกี้นี้หรอก” คนางค์ตาเหลือก

“ทะ..ทำไม!”ธันวาปลายหางตามองนิดหนึ่งน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“ก็ไอ้พวกมือปืนน่ะสิ เดินเกือบจะถึงรถอยู่แล้วดีที่ฉันเห็นทันไม่งั้นมีหวังขึ้นหน้าหนึ่งแน่”

“จริงอ่ะ!” หญิงสาวตาเบิกโพลง หันหน้าเลิ่กลั่กเริ่มนั่งไม่อยู่สุข

“และ..และตอนนี้มันยังตามอยู่หรือเปล่า..และ..และคุณทำไมไม่บอกฉัน ตั้งแต่แรก ปล่อยให้ฉันนั่งบื้ออยู่อย่างงั้นอ่ะนะ ฮือๆๆ ทำไมใจดำอย่างงี้ล่ะ และถ้าฉันเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ ฉันมีพ่อมีแม่นะ” โอดครวญออกมาเสียงดัง ธันวาชักเหลืออด

“ก็รับผิดชอบอยู่นี่ไงล่ะ ขับพาออกมาเนี่ย! ยังจะมาบ่นอีกเดี๋ยวก็ปล่อยลงตรงนี้เลยนี่” พูดน้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำหันมามองตาขวาง ทำเอาคนางค์นิ่งเงียบโดยฉับพลันไม่กล้าสบตาพึมพำออกมาเบาๆ

“ก็จะบอกกันมั่งไม่มีอ่ะ นั่งอมอะไรอยู่ก็ไม่รู้..วุ้ย!!”หงุดหงิด! หงุดหงิด! ตีต้นขาตัวเองดังเพี้ย! แค้นใจทำอะไรเขาไม่ได้ นั่งหน้าคว่ำมองออกไปนอกรถ ชายหนุ่มเหลือบตามองนิดหนึ่งพอเห็นท่าทางของหญิงสาวที่นั่งข้างๆ มุมปากได้รูปก็ยกขึ้นน้อยๆ หันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าใหม่ ซักครู่หญิงสาวก็นั่งตัวตรงตาเพ่งมองออกไปนอกรถ ชายหนุ่มขับพาคนางค์กลับมาที่ ตึก TD Goup ลงไปจอดชั้นใต้ดิน..

“ไป! ลง!” คนางค์พนักหน้าหงึกๆ ลงตามอย่างไว ปิดประตูรถได้ก็โกยอ้าวจะไปขึ้นลิฟท์ที่จอดรออยู่ แต่ชายหนุ่มคว้าต้นแขนไว้ซะก่อน

“จะไปไหนน่ะ”

“ก็จะขึ้นไปทำงานไง” ธันวาขมวดคิ้ว

“ยังไม่ต้อง” ลากคนางค์มาอีกทาง

“ดะ..ดะ..เดี๋ยว ๆ จะลากฉันไปไหนเนี่ย” หญิงสาวขืนตัวไว้แต่ไม่เป็นผล ดูเรี่ยวแรงชายหนุ่มจะเยอะซะเหลือเกิน ตัวคนางค์แทบจะปลิว

“ตามมาเถอะน่า อย่าเรื่องมาก” พามาหยุดหน้าลิฟท์ส่วนตัว คนางค์ขมวดคิ้วมุ่น

“ทำไมไม่ให้ฉันขึ้นตัวโน้นล่ะ อันนี้มันลิฟท์ส่วนตัวคุณไม่ใช่เหรอ” ธันวาเลิกคิ้วส่งให้

“ก็ใช่นะสิ รู้แล้วยังจะถามอีก”

“งั้นฉันไปตัวโน้นก็ได้ คุณขึ้นไปเถอะ” แกะมือชายหนุ่มพัลวัล

“ไม่ต้อง! ไปด้วยกันนี่แหละ” ว่าแล้วก็ดึงหญิงสาวเข้ามาในลิฟท์ กดปิดทันทีคนางค์อ้าปากหวอกำลังจะเอื้อนเอ่ย

“เงียบก่อน! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นฟังฉันพูดก่อน” คนางค์หุบปากฉับสายตาก็เหลือบมองตำแหน่งของลิฟท์ที่จอดอยู่

“ลิฟท์มันไม่เคลื่อนอ่ะ คุณไม่กดเหรอ!” ยังมีหลุดออกมาอีก ธันวาส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

“จะเชื่อฉันสักหน่อยหนึ่งได้มั๊ย เงียบๆ ก่อน” หญิงสาวถอนหายใจเฮือก

“ก็ได้! ก็ได้! จะพูดอะไรก็พูดมา” ยืนหน้ามุ่ยเอาหลังพิงผนังลิฟท์ไว้

“มาใกล้ๆนี่ ยืนตรงนั้นจะไปเห็นอะไรล่ะ” พูดเสียงเขียวออกมาอีก พร้อมกับลากตัวคนางค์ให้เข้ามาใกล้ หญิงสาวหน้าเหวอ

“หะ..เห็นอะไร”

“ฉันจะบอกรหัส และก็การใช้ลิฟท์ตัวนี้” คนางค์ งง! เป็นไก่ตาแตก ส่ายหน้าอย่างเร็ว

“ไม่เป็นไร! ไม่ต้องหรอก ดะ..เดี๋ยวฉันใช้ตัวอื่นได้คุณเก็บเอาไว้ใช้คนเดียวเถอะ ไม่ต้อง!” ยกไม้ยกมือปฏิเสธให้ว่อนไปหมด ชายหนุ่มเริ่มไม่สบอารมณ์

“ตัวอื่นมันไปถึงชั้นบนสุดที่ไหนเล่ามีตัวนี้ตัวเดียว อย่าเรื่องมากน่า” เท่านั้นแหละ ตาคนางค์แทบจะหลุดออกมานอกเบ้า

“และทำไมฉันจะต้องขึ้นไปชั้นบนสุดด้วยล่ะ ไม่เห็นมีความจำเป็นเลย ฉันไม่ขึ้นไปหรอก ไม่เอ๊า!”ทำท่าจะถอยกรูด แต่ชายหนุ่มรีบจับแขนไว้ซะก่อน คิ้วธันวาเริ่มขมวดมุ่น ให้ตายเหอะ! คงไม่มีใครเรื่องมากเท่ายายนี่อีกแล้วมั้ง พูดน้ำเสียงรอดไรฟันออกมา

“ก็เธอจะต้องพักอยู่บนนั้นถ้าไม่ขึ้นไอ้ตัวนี้ไปและเธอจะเหาะขึ้นไปได้หรือไงเล่า”

“อ้าว! ก็ไหนว่าพักที่บ้านคุณไงล่ะ”น้ำเสียงแปลกใจเต็มที่

“บอกผิด!”

“บะ..บะ..บอกผิด! บอกผิดเนี่ยนะ” เธอไม่อยากจะเชื่อ หน้าตาเหยเก

“เหอะน่า! มันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ”

“มันไม่เหมือนกัน! อยู่ที่นั่นคนออกตั้งเยอะแยะแต่ที่เนี่ยมีแค่คุณกับฉันสองคนเอง มันไม่เหมือนกันหรอก” เถียงออกมาอย่างเร็ว ทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้!

“ใครบอกว่าฉันจะอยู่ที่นี่ด้วย”

“อ้าว! กะ..ก็!” ทำหน้าฉงน

“ระหว่างที่เธอพักอยู่ที่นี่ฉันก็กลับบ้าน เธอก็อยู่ของเธอไป เดี๋ยวฉันจะให้กาดมาเฝ้าเธอไว้ด้วยเพื่อความปลอดภัย” นั่นแหละหน้าตาค่อยผ่อนคลายขึ้น เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มจะไม่มาเอี่ยวด้วย แต่ยังมีไว้เชิงนิดหน่อยส่งเสียงออกมาเบาๆ

“ตะ..แต่มันจะดีเหรอ ใครรู้เข้ามันจะน่าเกลียดอ่ะ ฉันเป็นผู้หญิงนะและก็โสดด้วย ถะ..แถมสวยด้วยนิดหน่อย แหะๆ” ทำท่าเหนียมอายอมยิ้มเล็กน้อย ธันวาถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ ติงต๊องจังเลยยายนี่

“อยู่นี่น่ะดีที่สุดแล้วขืนไปอยู่บ้านฉันอีกมีหวังเธอได้สละโสดแน่ๆ เพราะแม่ฉันเตรียมจะจับคู่เธอกับฉันหรือไม่ก็เจ้าสิงห์ให้เธออยู่ หรือว่าเธอจะเอาแบบนั้นไปอยู่บ้านฉันน่ะ” เลิกคิ้วถามส่งมาอีก คนางค์สั่นหน้าอย่างไว

“มะ..ไม่อ่ะ อยู่ที่นี่ก็ได้”

“ดี! ทีนี้ก็เข้ามาใกล้ๆนี่ ฉันจะได้สอนซักที เสียเวลา!” คนางค์ยังขืนตัวอยู่ เอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ

“เอ่อ!”

“อะไรอีก!” น้ำเสียงเข้ม

“คะ..คือ..คุณไม่ได้อยู่ด้วยจริงๆ นะ!” ธันวาถอนหายใจดังเฮือก เริ่มเมื่อยปากแล้วไม่รู้ว่าจะต้องพูดอีกนานแค่ไหนกว่าจะให้ยายเบื้อกนี่ยอม แต่โดยดี

“จริง! ฉันจะโกหกทำไมเล่า แค่นี้ฉันก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ฉันไม่หาเหาใส่หัวให้มากไปกว่านี้หรอก ไม่ใช่สเปค!” คนางค์ค้อนให้ขวับทำปากขมุบขมิบ แหวะ!ไม่ใช่สเปค และไอ้ใครที่ไหนที่มันเอาปากมาชนกับปากฉันน่ะเฮอะ ทำมาเป็นพูดดี เดี๋ยวถ้ามีมาอีกนะแม่จะกัดให้ขาดเลย! อาฆาตแค้นในใจ

“เร็ว! ลีลาอยู่ได้เสียเวลา”เร่งมาอีกคำรบหนึ่ง

“ก็ได้! ก็ได้!” เดินหน้างอเข้าไปหา

“ไหนอ่ะ!” ส่ายตาก็สอดส่ายมองดูแผงตัวเลขที่อยู่ตรงหน้า คนางค์เพิ่งจะสังเกตว่าลิฟท์ตัวนี้ระบบตัวเลขซับซ้อนและก็เยอะกว่าตัวที่เคย ขึ้นเป็นประจำ

“ฉันตั้งรหัสล๊อคเอาไว้ ถ้าไม่ป้อนลงไป ลิฟท์ตัวนี้ก็จะไม่เคลื่อนที่” คนางค์ขมวดคิ้วมุ่น

“คราวที่แล้วฉันไม่เห็นคุณต้องใส่รหง..รหัสอะไรเลยมันก็เคลื่อนที่ดีเฉย”

“ตอนนั้นฉันยังไม่ได้ตั้ง..มา! อย่าถามมาก”ดึงหญิงสาวให้ใกล้เข้ามาอีก ตัวแทบจะเกยกันศรีษะคนางค์อยู่แค่ระดับคางของชายหนุ่มเท่านั้น ธันวาสอนกรอกหูอยู่อย่างงั้น ทำเอาคนางค์เสียวหลังหูวูบ! วูบ! ใจเต้นตึ๊ก ตั๊กขึ้นมาซะเฉยๆ เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวๆ ที่บริเวณใบหน้า บ้าจริง! ทำไมต้องมายืนพูดอยู่ข้างหลังอย่างงั้นด้วยเล่า ที่อื่นมีตั้งเยอะไม่รู้จักไปยืน และทำไมเราถึงรู้สึกร้อนจังเลยอ่ะหรือว่าแอร์เสีย ไม่นี่! เครื่องก็ยังเดินอยู่ หรือว่าเราจะป่วย โอ้พระเจ้า! ต้องป่วยแน่ๆเลย และทำไมต้องมาป่วยตอนนี้ด้วยล่ะ และ..และถ้าเผื่อตานี่ทำอะไรเราในลิฟท์ล่ะเราจะทำยังไง แรงเราคงไม่มีขัดขืนแน่ๆ เลย ไม่มีใครเห็นด้วย ไม่เอ๊า! เราจะมาเสียความบริสุทธิ์ในลิฟท์นี่น่ะเหรอ ฮือๆ ไม่เอาจริงๆด้วย ถึงเขาจะหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ก็เถอะ แต่เราก็ลูกผู้หญิงนะ..

“เป็นบ้าอะไร” หญิงสาวสะดุ้งโหยง..

“คะ..ค้า” ชายหนุ่มส่งเสียงเขียวกลับมา

“ฉันถามว่าเป็นอะไรยืนนิ่งตั้งนานแล้วเนี่ย บอกให้กดไม่กด!เป็นอะไรขึ้นมาอีก” คนางค์หน้ามุ่ย

“ปะ..เปล่า!..กดยังไงอ่ะ” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก

“กดรหัสลงไป รหัสเดียวกับห้องพักฉันนั่นแหละจำได้หรือเปล่าเคยบอกไปแล้วเมื่อคราวก่อนน่ะ” คนางค์กลับหลังหันทันทีมองตาขวาง

“ใครจะไปจำได้ยาวอย่างกับรถไฟอย่างงั้นน่ะ” ธันวาหัวเราะหึหึ

“ไหนว่าสมองดีไม่ใช่เหรอ อ่านประมวลมาเป็นพันๆข้อ เรื่องจำตัวเลขแค่นี้เรื่องจิ๊บจ๊อยนี่”

“ก็อีตอนนั้นกับไอ้ตอนนี้เวลามันห่างกันตั้งเยอะ และฉันก็ไม่ได้คิดที่จะขึ้นมาอีกแล้วด้วยก็เลยไม่ได้เก็บมาใส่ไว้ในหัว” ธันวาอมยิ้มเอามือท้าวกับขอบประตูลิฟท์ไว้ ดูคล้ายๆกับจะโอบคนางค์กลายๆ หญิงสาวทำหน้าไม่ไว้ใจ

“จะ..จะทำอะไร”

“เปล่า! หันไป!” คนางค์ค่อยๆหันกลับแบบกล้าๆ กลัวๆ ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงระรัวเร็วทำเอาคนางค์ชะงักกึก

“ช้าๆ หน่อยสิคุณจำไม่ได้ สมองคนนะไม่ใช่คอมพิวเตอร์” กระเง้ากระงอดออกมา ธันวาหมั่นไส้ยกมือหยิกไปที่แก้มใสของคนที่ยืนหันหลังให้ หญิงสาวถึงกับโอดครวญ

“เจ็บนะ!” มือก็จับแก้มปร้อยๆ

“หยิกให้เจ็บจะได้ไม่ต้องพูดมาก กดไป!” บอกทวนตัวเลขมาอีกครั้งคนางค์กดอย่างว่องไวไม่มีติดขัด สักครู่ลิฟท์ค่อยๆ เลื่อนขึ้นตามลำดับ แต่ธันวาไม่มีทีท่าว่าจะถอยตัวออกห่างยังยืนคุมหลังอยู่อย่างงั้น หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นรีบหันกลับมาเผชิญหน้า

“ถอยออกไปซักทีสิ ฉันอึดอัด” ชายหนุ่มเลิกคิ้วส่งให้ ร่างกายไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

“มะ..มันร้อนอ่ะ ที่แคบจะตายยืนเบียดอยู่ได้ ถอยออกไปซักทีสิ” ยกมือขึ้นจะผลักอกธันวาให้ถอยห่าง แต่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นลูกผู้หญิง พ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่เคยสอนไว้ว่าอย่าจับเนื้อต้องตัวผู้ชายในที่ลับตาคนมัน ไม่งาม ดังนั้นจากกางห้านิ้วก็ค่อยๆหดลงเหลือนิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวจิ้มไปที่ทรวงอก กำยำตรงหน้า จึก! จึก! ประมาณว่าดันให้ถอยห่าง ชายหนุ่มก้มลงมองนิ้วมือน้อยๆบนหน้าอกของตัวเองก็อมยิ้มออกมา

“ทำอะไรน่ะ จะสะกิดเอาอะไร”

“สะกิดที่ไหนเล่า” หน้ายังคงความมุ่ยอยู่ทำปากยื่นน้อยๆ อย่างไม่พอใจ เงยหน้าขึ้นสบตาธันวา เท่านั้นแหละชายหนุ่มมีอันต้องเบิกตากว้างเพิ่งสังเกตว่าแก้มนวลใสเกิดอาการ ช้ำเป็นจ้ำอย่างเห็นได้ชัดด้วยฝีมือของตนเองเมื่อซักครู่ อุทานออกมาเบาๆ

“บ้าจริง! เจ็บหรือเปล่าน่ะ” ยกมือจะจับไปที่บริเวณใบหน้า คนางค์ตกใจ! ผงะหน้าถอยหลังศรีษะโขกไปบนแผงตัวเลขลิฟท์ดังโป๊ก!

“อุ้ยส์! เจ็บอ่ะ!” เอามือกุมศรีษะไว้ธันวาอมยิ้มบางๆ เคาะหน้าผากกลมมลไปหนึ่งที

“ซุ่มซ่ามไม่เคยเปลี่ยน” หญิงสาวค้อนประหลับประเหลือกส่งให้ ธันวาจ้องมองนิ่งมือหนาค่อยๆ เคลื่อนมายังบริเวณรอยช้ำบรรจงแตะหลังมือไปบนแก้มนวลอย่างแผ่วเบา

“เจ็บหรือเปล่า! ตรงเนี้ย ฮึมม์” กระซิบเสียงแผ่วออกมา คนางค์ใจสั่นหวิวๆ ปากมันหนักขึ้นมาซะเฉยๆ เป็นใบ้ไปชั่วขณะ ได้แต่จ้องตอบชายหนุ่มอยู่อย่างงั้น

“ว่าไง! ถามไม่ตอบ เจ็บหรือเปล่า” กระซิบถามมาอีกครั้ง หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์พยักหน้าน้อยๆ ธันวาอมยิ้มพึมพำออกมาเบาๆ

“ฉันขอโทษ!” หญิงสาวสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ละแผ่วๆ บริเวณผิวหน้า แก้มบางใสเริ่มมีสีแดงระเรื่อร้อนผ่าวๆขึ้นมาซะอย่างงั้น ธันวาเห็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกระทันหันบนแก้มนวลของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ เกิดความเอ็นดูเป็นยิ่งนักยิ้มน้อยๆผุดขึ้นตรงมุมปาก ใบหน้าเคลื่อนลงมาใกล้ยิ่งขึ้นปลายจมูกแทบเฉี่ยวแก้มนวล

“ยะ..อย่า!” คนางค์อุทานออกมาอย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มจะนำพาเสียงหญิงสาวก็หาไม่ บรรจงจุมพิตแผ่วไปยังรอยช้ำที่ตัวเองเป็นผู้กระทำขึ้นหวังจะให้ความเจ็บปวด มันหายไป คนางค์นิ่งอึ้งลมหายใจเริ่มติดขัดหัวใจเหมือนจะหยุดเต้น

ติ๊ง!!!

เสียงลิฟท์ที่หยุดตัวลงทำให้ทั้งสองร่างชะงักงันกันทั้งคู่ ประตูค่อยๆ เปิดออกภาพเบื้องหน้าถึงกับทำให้คิ้วเข้มของธันวาเริ่มมาบรรจบกันอีกครั้ง เห็นแจ๊ดเลขาสาวของดลชัยยืนอ้าปากหวอ ตาเบิกโพลงมองเข้ามาในลิฟท์ ธันวารีบมองตัวเลขบ่งบอกสถานะของชั้นที่จอดอยู่ ตัวเลขสว่างวาบที่ชั้นสามสิบสาม

“บ้าจริง!” ชายหนุ่มสบทพึมพำ มือรีบกดปุ่มปิดระรัวเร็ว ยังไม่ลืมที่จะเอาแขนกำยำบังร่างเล็กที่กอดเอาไว้ด้วย คนางค์ละล่ำละลักถามออกมา

“มะ..มีอะไร”ชายหนุ่มก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมกอด ส่งเสียงรอดไรฟันออกมาเบาๆ

“ไม่มีอะไร..ไม่ต้องหันไป!” สิ้นเสียงธันวาเท่านั้นแหละ คนางค์รีบหันขวับทันที ก้มลงมองรอดแขนชายหนุ่มออกไปนอกลิฟท์ที่กำลังเคลื่อนตัวปิด เห็นแจ๊ดยืนตาโตอ้าปากหวอชี้นิ้วเข้ามา ตะโกนเรียกชื่อคนางค์โวกเวก แล้วประตูลิฟท์ก็เลื่อนปิดลงบังเกิดความสงบเงียบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คนางค์ไม่อยากจะเชื่อหลับตาปี่รีบหันขวับกลับมาโดยไวหน้าตาเหยเก

“ฮือๆๆ จะ..แจ๊ดดด!!” ทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกหน้าตาเซ็งจัด

“เป็นบ้าอะไรอีก!”

“กะ..ก็แจ๊ดอ่ะ” ยังคร่ำครวญไม่เลิก

“แล้วยังไง”

“ก็แจ๊ดมันเห็นคุณกับฉันเมื่อกี้นี้อ่ะ!” ธันวาขมวดคิ้วมุ่น

“ก็ฉันบอกไม่ต้องหันไป เธออยากดื้อหันไปดีนักก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ” ชายหนุ่มถอนฉิว เขาอยากจะเขกกะโหลกยายบื้อนี่ซะจริงๆ บอกอย่างทำอย่างไม่เคยเชื่อฟัง

“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ก็เห็นบอกว่าไม่มีอะไรนี่ ฉันก็เลยหันไปน่ะสิ ไม่คิดว่าแจ๊ดมันจะยืนดูอยู่อ่ะ และเนี่ยทำยังไงละทีนี้ ยายแจ๊ดมันต้องตั้งคำถามใส่ฉันเป็นชุดๆแน่เลย ความดีที่ฉันเพาะบ่มไว้ มันมาย่อยยับแตกสลายลงในวันนี้แน่ๆ ฉันไม่อยากจะเชื่อ! ฮือๆๆ” โอดครวญเสียงดังลั่น ธันวาทำปากจึกจักเริ่มหงุดหงิดแล้ว ถอยออกมายืนกอดอกพิงผนังลิฟท์ พูดเสียงแข็งส่งออกมา

“ก็เธอไม่ใช่เหรอเป็นคนกดลิฟท์น่ะ บอกให้กดชั้นสี่สิบดันผ่าไปกดสามสิบสาม บื้อจริง!” ทำหน้าเซ็งจัด หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นส่งเสียงออกมาอย่างไว

“มะ..ไม่!..เมื่อกี้ฉันกดสี่สิบจริงๆนะ..สาบานก็ได้ ตะ..แต่ทำไมมันมาเป็นชั้นนั้นได้ล่ะ” ทำหน้าฉงน ซักครู่ก็ตาเบิกโพลง

“ใช่แล้ว! มันต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆ เลย ตอนที่หัวฉันไปโขกแผงลิฟท์น่ะ!” ธันวาถอนหายใจเฮือก

“ซุ่มซ่าม!” หญิงสาวตาเหลือก ส่งเสียงออกมาปาวๆเสียงดัง

“ฉันเนี่ยนะซุ่มซ่าม! ก็คุณไม่ใช่เหรอคิดจะแต๊ะอั๋งฉันอ่ะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วส่งให้ อมยิ้มในหน้า ถามน้ำเสียงกวนๆออกมา

“ฉันเนี่ยนะคิดจะแต๊ะอั๋งเธอ พูดผิดพูดใหม่ได้นะ ยายเตี้ย!”

“ยะ..ยายเตี้ย..ฉะ..ฉันเนี่ยนะเตี้ย!” ความโกรธเริ่มขึ้นมาเป็นระลอก ควันเริ่มออกหู จมูกบานพะเยิบๆ ว่าอย่างอื่นได้ แต่เรื่องเตี้ยเนี่ยยอมไม่ได้ มันไม่จริง! พระเจ้า! เตี้ยเนี่ยนะ! รีบส่งเสียงละล่ำละลักออกมาอีกครั้ง

“คะ..ใครว่า..ฉะ..ฉัน..ตะ”

ติ๊ง!!! เสียงลิฟท์หยุดตัวลงอีกครั้งคนางค์อ้าปากหวอ ธันวาดีดตัวออกจากผนังลิฟท์เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าหญิงสาวยิ้มตาหยีส่งให้

“แมลงวันบินเข้าปาก!” หญิงสาวหุบปากฉับ ธันวาหัวเราะหึหึ เดินผ่านหญิงสาวออกจากลิฟท์ คนางค์ยังคงยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่อย่างงั้น โกรธ!!!

“นี่ยายเบื๊อก ออกมาซะทีสิจะสิงสถิตอยู่ในนั้นอีกนานมั๊ย!”ส่งเสียงขุ่นเข้ามาอีก หญิงสาวกัดฟันกรอดๆ เดินโท่งๆ ออกมาจากลิฟท์ใบหน้าบึ้งตึง นี่ฉันเห็นว่ามีพระคุณกับฉันนะอุตส่าห์ถ่อไปรับฉันถึงเกาะกลางถนน ไม่งั้นอย่าได้หวังว่าฉันจะเหยียบย่างเข้าไปอยู่เลย ไอ้ฮาเรมนั่นน่ะ เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม หน้าตาบอกบุญไม่รับ ธันวาก้มลงมองเลิกคิ้วส่งให้

“เป็นอะไรอีก!”

“เปล่า!” น้ำเสียงเข้มจัด ชายหนุ่มยังคงจ้องมองอยู่ส่งเสียงมาอีกครั้ง

“เหอะน่า! ฉันจะไปแต๊ะอั๋งเธอทำไมล่ะ คิดมาก!” หญิงตาเหลือก

“ไม่ใช่! คุณว่าฉันเตี้ย!” ธันวามีอันต้องเลิกคิ้วอีกครั้ง หัวเราะหึหึ

“อ้อ!โกรธที่ว่าเรื่องเตี้ย ไม่ใช่เรื่องแต๊ะอั๋ง” คนางค์ขมวดคิ้วมุ่น เริ่มสับสนกับตัวเองตกลงเราโกรธเขาเรื่องอะไรล่ะเนี่ย

“มะ..ไม่ใช่..แต๊ะอั๋งก็ด้วย คุณแต๊ะอั๋งฉัน แถมยังมาว่าฉันเตี้ยอีก” ธันวาพยักหน้าหงึกๆ

“แล้วไง!”

“แล้วไงอะไร!” ส่งเสียงถามมาทันควันเช่นกันหน้าตาเอาเรื่อง อมยิ้มเริ่มผุดที่ริมฝีปากชายหนุ่ม ส่งเสียงออกมาเนิบๆ

“แต๊ะอั๋งแล้วไง ว่าเตี้ยแล้วไง..เธอเตี้ยจริงหรือเปล่าล่ะ!”

“ไม่!” จ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง

“นั่นน่ะสิ! ถ้าไม่แล้วเธอจะเดือดร้อนทำไม! จริงมั๊ย!” หญิงสาวเริ่มคิดตาม สักครู่ก็พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย ธันวากลั้นหัวเราะเต็มที่ หลอกง่ายจัง! สักครู่คิ้วเรียวงามเริ่มพันกันอีกรอบ

“ตะ..แต่คุณแต๊ะอั๋งฉันนี่” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก อารมณ์ดีๆเมื่อซักครู่นี้เริ่มหดหาย

“ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่! เรื่องมากน่า! ไอ้อาการแต๊ะอั๋งเนี่ยมันเกิดจากการที่เราชื่นชอบ ชื่นชม อยากชิดใกล้ ถูกใจปิ๊ง! ปั๊ง! แล้วฉันจะไปทำอย่างงั้นทำไมล่ะ ก็บอกอยู่ว่าไม่ใช่สเปค” คนางค์ขมวดคิ้วมุ่น

“ถ้าไม่ชอบ..ละ..และคุณทำแบบนั้นทำไม”

“ทำอะไร!” เสียงเริ่มเข้ม

“ก็เอาปากมาชนกับแก้มฉันน่ะ..และ..และก่อนหน้านี้ก็เอาปากมาชนกับปากฉัน ด้วย จะแกล้งฉันเหรอ!” ชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้วบ้างแล้ว จ้องหน้าหญิงสาวนิ่งเอ่ยออกมาเบาๆ

“และเธอคิดว่าเพราะอะไรล่ะ!” คนางค์มองด้วยหางตา เริ่มไม่ไว้ใจ

“คุณจิตใจไม่บริสุทธิ์ใช่มั๊ย คิดจะรวบหัวรวบหางฉันใช่เปล่า!” ธันวาพ่นลมหายใจออกมาดังพรืด ยายติงต๊องเอ๊ย คิดได้เป็นฉากๆ ยกมือขึ้นนวดขมับ

“คุยกับเธอแล้วฉันปวดหัว”

“เชอะ! ปวดหัว!..ปวดเป็นคนเดียวหรือไง” บ่นงึมงำหน้ามุ่ยตุ้ย ชายหนุ่มปลายหางตามองนิดหนึ่งแล้วก็เลิกสนใจ ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อปากก็พูดพึมพำออกมา

“เอาเป็นว่าต่อไปมันจะไม่เกิดขึ้นอีก ถือว่าที่ผ่านมามันเป็นอุบัติเหตุแล้วกัน” คนางค์ค้อนขวับ ส่งเสียงอุบอิบออกมาเบาๆ

“ลองเข้ามาอีกสิ ถ้าไม่สวนกลับ ไม่ใช่นังนางแน่ๆ” ธันวาทำหูทวนลม ยื่นของในมือส่งให้ คนางค์มองชายหนุ่มตาขวาง

“อะไร!”

“ดูซะก่อนแล้วค่อยถาม” เสียงเริ่มเขียวแล้ว นั่นแหละถึงได้ก้มลงมองได้ คีย์การ์ด

“เอาเก็บไว้กับเธอ เวลาเข้าออกก็ใช้ไอ้การ์ดเนี่ยแหละ” หญิงสาวยื่นมือไปรับ

“คุณไม่มีสำรองใช่มั๊ย!” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

“ทำไม”

“ก็..ก็ถ้าคุณมีมันก็ไม่ดีน่ะสิ ฉันเป็นผู้หญิงนะ ต้องการความเป็นส่วนตัว เผื่ออยู่ดีๆ คุณเปิดผลั่วเข้ามาโดยที่ฉันไม่รู้ตัว และกำลังนุ่งน้อยห่มน้อยอยู่จะทำยังไงล่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะหึหึ ยิ้มตาหยีให้อีกครั้ง

“จะทำยังไงล่ะ ฉันก็รีบเอามือปิดตาเท่านั้น กลัวเสียสายตา ของดีๆมีให้ดูเยอะกว่านี้อยู่ข้างนอก ทำไมฉันจะต้องอยากมาดูเธอด้วยล่ะ แบนเป็นกล้วยทับอย่างงั้น” มองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า คนางค์ตาเบิกโพลง กำลังจะอ้าปาก แต่ชายหนุ่มขัดขึ้นซะก่อน

“อย่าเรื่องมาก เปิดๆเข้าไปใช้รหัสเดียวกับลิฟท์นั่นแหละ จำได้หรือเปล่า!” คนางค์ค้อนให้อีกขวับ มือก็เสียบการ์ดกดตัวเลขอย่างไว เสียงสลักประตูดังคลิ๊ก ธันวาเปิดประตูก้าวนำหญิงสาวเข้ามาในห้อง พาเดินสำรวจไปทั่ว

“จะมีแม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาดห้องให้ทุกวัน รวมทั้งเรื่องเสี้อผ้าด้วย” คิ้วหญิงสาวเริ่มขมวดอีกครั้ง

“ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวฉันทำเอง เรื่องแค่นี้ไม่ต้องมีแม่บ้านหรอก ฉันทำไหว” ชายหนุ่มหันมามอง คนางค์พยักหน้าหงึก ๆ หน้าตาจริงจังมาก ทำเอาธันวาเกือบหลุดหัวเราะออกมา กระแอมกระไอออกมาเบาๆ

“ตามใจ! ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกแล้วกัน ส่วนเรื่องเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวของเธอเดี๋ยวฉันให้ปานระวีไปเอาที่ อพาท์เม้นท์มาให้ ขอกุญแจด้วย” แบมือออกมาตรงหน้า คนางค์อิดออดไม่อยากจะหยิบให้

“ให้ฉันไปเอาเอง ไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้” เสียงแข็ง หญิงสาวทำปากจึกจัก ค่อยๆล้วง ค่อยๆ ควักกุญแจออกมาจากกระเป๋ายื่นส่งให้ ชายหนุ่มรับมา พลิกดูนาฬิกาที่ข้อมือ เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงครึ่งแล้ว เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า

“หิวหรือเปล่า!” คนางค์พยักหน้าอย่างไว

“หิวอ่ะ! ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย” หน้าตาเหยเก ธันวาถอยหายใจอีกเฮือกถอดสูทตัวนอกโยนไว้ที่โซฟา เอื้อมมือมาจับข้อมือหญิงสาว

“มา! ตามมา” จูงให้เดินไปด้วยกัน ธันวาพามามุมด้านในสุดที่แบ่งกั้นเป็นพื้นที่ทำครัว มีเคาร์เตอร์น้อยๆ กั้นอยู่ด้านหน้า ชายหนุ่มพาเดินมาถึงหน้าตู้เย็นใบใหญ่ เปิดประตูตู้เย็นอย่างเบามือ คนางค์ที่ยืนหยุดรออยู่ด้านหลังมองเข้าไปในตู้ ถึงกับอุทานออกมา

“ป๊าดดด! ทำไมมันเยอะอย่างงั้นล่ะ กินเข้าไปหมดหรือคุณ!” ผักผลไม้เต็มตู้ไปหมด อาหารกล่องสำเร็จรูปก็วางเป็นระเบียบอยู่ในช่องแช่แข็ง ธันวาเหลือบตามองคนด้านหลัง เห็นกริยาอาการก็หัวเราะออกมาเบาๆ หันกลับไปดูในตู้ใหม่ เรื่องนี้ต้องชมน้องสาวเขา ไม่เคยปล่อยให้ตู้เย็นว่างเลยซักครั้งหามาเติมให้เต็มตลอด ธันวาเลือกหยิบอาหารสำเร็จรูปออกมาหนึ่งกล่อง ยื่นส่งให้คนางค์

“กินได้หรือเปล่า!”

“อะไรอ่ะ!” ก้มอ่านใหญ่ แกงเผ็ดเป็ดย่าง ป๊าดดดด! มีแบบนี้ด้วย เงยหน้าขึ้นยิ้มแหยๆ ให้ชายหนุ่มตรงหน้า

“ไม่กินเป็ดอ่ะ” ชายหนุ่มหันกลับไปเลือกใหม่

“อ่ะ! อันนี้ล่ะ” ก้มลงอ่านอีก ไก่ผัดถั่วลันเตา หัวเราะแหะๆ

“ไม่ชอบถั่วอ่ะ” ธันวาขมวดคิ้ว

“ไม่ยอมกินผัก แล้วเมื่อไหร่จะตัวโต ตัวแกนเป็นเด็กขาดสารอาหารอยู่อย่างเงี้ย” คนางค์ทำหน้ามุ่ย ส่งเสียงออกมาเบาๆ

“มาม่ามีมั๊ยอ่ะ ยำยำก็ได้ หรือจะเป็นไวไวก็ดี เอาเป็นเส้นๆ น่ะ แช่น้ำร้อนแป๊บหนึ่งฉันก็กินได้แล้ว ไม่เรื่องมากหรอก” ธันวาถอนหายใจเฮือก เลือกหยิบข้าวกล่องออกมากล่องหนึ่ง ปิดตู้เย็นเสร็จก็เอื้อมมือไปบนตู้เหนือหัว

“พวกอาหารแห้งอยู่ตู้ข้างบนนี่” คนางค์พยักหน้าหงึก ๆ ฟังอย่างตั้งใจ

“ส่วนจานชาม ช้อน ก็อยู่ในตู้ด้านล่าง” ธันวาชี้โบ้ชี้เบ้ไปด้านล่าง หญิงสาวมองตาม

“เธอช่วยหยิบชาม กับจานให้ฉันอย่างละใบซิ” หญิงสาวกุลีกุจอ อย่างขมักเขม่นหยิบมาให้อย่างไวเดินมาหยุดข้างๆชายหนุ่มที่กำลังยืนแกะซอง บะหมี่ให้

“เอาสอง” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง เลิกคิ้วส่งให้ งง!

“อะไร!”

“เอาสองซองอ่ะ! หิว” ทำหน้าประจบ หัวเราะแหะๆ ธันวาทำปากจึกจัก เอื้อมไปหยิบลงมาให้อีกซองปากก็พูดปาวๆ

“กินมากมันดีที่ไหน ไอ้อาหารประเภทเนี้ย! เนื้อหมูผักเผิกน่ะกินซะมั่ง ทำตัวเป็นเด็กๆ” คนางค์ทำปากขมุบขมิบตาม เซ็ง! สายตาก็มองมือชายหนุ่มที่จัดเตรียมกับอาหารตรงหน้า หญิงสาวถึงกับแปลกใจ ดูเหมือนธันวาจะเคยชินกับงานประเภทนี้ ดูไม่ขัดไม่เขินหยิบจับอะไรดูคล่องแคล่วว่องไวไปซะหมด ป๊าดด! นึกว่าจะเก่งแค่งานหลวง งานราษฎร์ก็เป็นกับเขาด้วยแฮะ! นายนี่ก็มีดีเหมือนกันนะนายธันวา คนางค์ยังคงสังเกตชายหนุ่มอยู่ทีนี้ไล่มองตั้งแต่ใบหน้าด้านข้าง ผมหนาหยักศกหน่อยๆ หล่นมาปรกหน้าปรอยหนึ่ง หญิงสาวยิ้มพริ้มหล่อเหมือนกันแฮะนายนี่ เสื้อเชื้ตสีขาวที่ใส่ก็ช่างเหมาะเจาะพอดีเปี๊ยบ! เนี๊ยบอะไรอย่างงั้น ขาวอย่างกะโอโมแหนะ! เนคไทก็ช่างเลือก เข้ากั๊น เข้ากัน มีรสนิยมนะเนี่ย! อิอิ! ยืนยิ้มตาแทบจะปิด

“อะไร!” คนาค์สะดุ้งโหยง เห็นชายหนุ่มขมวดคิ้วมองหน้าตัวเองอยู่

“เป็นอะไร!” ถามส่งมาอีกเสียงเข้ม

“อะไรๆ..มะ..ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย!” รีบยกมือยกไม้ปัดหน้าปัดผมเป็นการใหญ่ อยากจะเขกหัวตัวเองเป็นยิ่งนัก คิดไปได้ยังไงว่าตาเนี่ยหล่อมีรสนิยม ยังไม่ได้ครึ่งของคุณดลเลย กร่นด่าตัวเองในใจ

“อ่ะ! เอาไปเวฟ ทำเป็นหรือเปล่าหรือว่าต้องให้สอน” คนางค์เบะปาก พูดออกมาปาวๆ

“เชอะ! ถึงฉันจะมาจากต่างจังหวัด แต่ก็ไม่ใช่จะทุรกันดารนะคุณ เซเว่นอิเร่เว่นเข้าถึง เพราะฉะนั้นไม่กันดาร..ไม่กันดาร..ขอบอกๆ..อย่ามาบรั๊ฟกันให้ยาก เรื่องแค่เนี้ย ติ๋ว ติ๋ว” เลื่อนจานข้าวของชายหนุ่ม กับชามมาม่าที่มีน้ำพร้อมมาไว้ตรงหน้า

“ไหนอ่ะ ไมโครเวฟ” หันหน้าเลิกลั่กหาใหญ่ ธันวาหัวเราะหึ หึ

“ไหนบอกว่าไม่กันดาร อยู่ตรงหน้ายังไม่เห็นอีก ถ้าเป็นงูมันคงจะฉกเธอตายไปแล้วล่ะน่ะ..อวดเก่ง!” คนางค์ งง! เป็นไก่ตาแตก หาใหญ่ยังไงก็ไม่เห็น

“ไหนอ่ะ ไม่เห็นมีเลย คุณหลอกฉันหรือเปล่า” ธันวาส่ายหน้าส่งให้ เอือม! กระเถิบเข้ามายืนข้างๆ ยื่นมือไปเคาะกระจกผนังตรงหน้าหญิงสาวดัง ก๊อกๆ คนางค์ตาเหลือกพูดออกมาเสียงดัง

“Build in” ธันวาพยักหน้า หงึกๆ

“ใช่! Build in” หญิงสาวทำหน้าฉงน

“คุณอย่าบอกนะว่าคุณ ฝังไอ้ไมโครเวฟนี่ไปในผนังน่ะ ฉันเคยเห็นแต่เขาเอาแต่ตู้เสื้อผ้าเข้าไปไว้ ไม่คิดว่าจะมีไอ้นี่ด้วยหนิ” ธันวาหัวเราะออกมาเบาๆ

“เดี๋ยวนี้เขาก็ทำอย่างงี้กันทั้งนั้นแหละ ประหยัดเนื้อที่..ว่าแต่ใช้เป็นหรือเปล่า” ถามส่งมาอีก คนางค์ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม

“สงสัยจะไม่เป็นอ่ะ ก็ฉันเคยใช้ไอ้ไมโครเวฟแบบนี้ที่ไหนเล่า เคยแต่ไอ้เครื่องที่มันธรรมดาอ่ะ หน้าตาแปลกๆอย่างงี้ยังไม่เคย” ธันวาอมยิ้ม และก็เริ่มหลักสูตรวิชาที่ว่าด้วยเรื่องการใช้ไมโครเวฟ คนางค์ยืนฟังอย่างตั้งใจทำตามที่ชายหนุ่มบอกทุกประการ เสร็จสรรพก็ยกไปวางไว้บนโต๊ะที่มีชายหนุ่มนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่

“อ่ะ! เสร็จและ” ชายหนุ่มพับหนังสือ ก้มมองจานข้าวตัวเองตรงหน้าควันลอยฉุยๆ เหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามเห็นนั่งก้มหน้ายิ้มพริ้มกับชามบะหมี่ สำเร็จรูป ทำประหนึ่งว่าไอ้ในชามน่ะเป็นทองคำล้ำค่าก็ไม่ปาน

“บ้าหรือเปล่า! นั่งยิ้มอยู่ได้” พูดเปรยออกมา คนางค์เงยหน้าขึ้นมองส่งยิ้มพริ้มให้อีกระลอกไม่ถือสา อารมณ์กำลังดี มีบะหมี่ชามโตอยู่ตรงหน้า หิว! ยักคิ้วส่งให้ธันวา จึก จึก ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ รอยยิ้มเริ่มระบายที่ใบหน้า ยายนี่บ๊องจริงๆ ด้วย

“ของคุณก็ท่าจะอร่อยเนอะ อะไรน่ะ!” พยักเพยิกหน้าถาม มือก็จ้วงช้อนลงไปในชามตักน้ำขึ้นมาเป่า พรวดๆ ธันวาชะงักช้อนที่กำลังจะเข้าปากเงยหน้าขึ้นมอง เอ่ยชื่ออาหารออกมาคนางค์ถึงกับตาโต

“เมื่อกี้คุณไม่เห็นบอก ว่ามีไอ้นี่ด้วย” ธันวาเลิกคิ้ว

“ทำไม! บอกไปแล้วจะกินเหรอ”

“ก็..ก็แหม!..กินได้..ไอ้อย่างเนี้ยฉันกินได้” ทำท่าเหนียมอาย หัวเราะแหะๆ ก้มลงหมุนบะหมี่คำโตส่งเข้าปากพรวด! ธันวาจ้องมองนิ่งเคี้ยวไปด้วยอมยิ้มไปด้วย ให้ตายเถอะความเขินอายของยายนี่อยู่ที่ไหนหนอธรรมชาติเหลือเกินแม่คุณ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นนั่งต่อหน้าเขาคงจะค่อยๆ คีบทีละเส้นส่งเข้าปาก แต่ยายเบื้อกนี่ล่อซะคำเท่าบ้าน สงสัยจะหิวจริงๆ หัวเราะหึ หึ ตักชิ้นไก่ที่อยู่ในจานยื่นส่งไปให้ตรงหน้า หญิงสาวชะงักช้อนเงยหน้าขึ้นมองยิ้มพริ้ม

“ไม่เอาหรอก ฉันพูดเล่น คุณกินเถอะ”

“ลองดู” คะยั้นคะยอมาอีกครั้ง คนางค์ค่อยๆ เอาตะเกียบคีบไก่ออกจากช้อนชายหนุ่ม ส่งเข้าปาก เคี้ยวหงุบหงับกลืนลงคอเอื๊อก

“อึมม์..อร่อย!” พยักหน้าหงึก ๆ ก้มลงค่อยๆพันเส้นบะหมี่ในชามส่งใส่ช้อนยื่นไปให้ตรงหน้าชายหนุ่ม

“อ่ะฉันให้ แลกกัน” ธันวาถึงกับตาเบิกโพลง ส่งเสียงมาอย่างไว

“ไม่ต้อง!” รีบเลื่อนจานหนี คนางค์ทำหน้าฉงน ส่งเสียงออกมาปาวๆ

“อร่อยนะคุณทำมาเป็นเลื่อนจานหนี ไม่เคยกินซะแล้ว ไอ้ข้าวกับไอ้เส้นบะหมี่เนี่ยมันช่างเข้ากั๊น เข้ากันนะจะบอกให้” ธันวาสั่นหน้ายิกๆ พูดออกมาเสียงแข็ง

“ไม่ต้อง! เธอจะกินก็กินไป มันเข้ากันได้ที่ไหนล่ะ ข้าวก็ข้าว เส้นก็เส้นมันจะมารวมกันได้ยังไง” คนางค์ทำตาโต ยื่นส่งมาให้ตรงหน้าอีกครั้ง

“ลองกินซักคำสิคุณ มันอร่อยนะเชื่อฉันสิ ฉันกินกับไอ้เปี๊ยกออกบ่อย!” ธันวาชะงักกึก จ้องมองนิ่ง

“ใครไอ้เปี๊ยก! ไอ้เปี๊ยกไหน!”ถามเสียงเขียว

“ก็ไอ้เปี๊ยกไง! เพื่อนผู้ชายซี้ปึ๊ก ก็ที่ฉันเคยบอกว่ากิน นอน เล่น เที่ยวอาบน้ำอาบท่าด้วยกัน มาตั้งแต่เด็กไม่เคยห่างน่ะ” คิ้วธันวาเริ่มขมวด ขยับนั่งตัวตรงเด๋วพูดออกมาเสียงดัง

“อาบน้ำอาบท่า!” คนางค์พยักหน้าหงึกๆ อมยิ้มพริ้ม นึกถึงอดีตครั้งยังเยาว์วัย

“ใช่! อาบน้ำด้วยกัน ตอนป.2 น่ะ ฉันหลอกให้มันลงกะละมังด้วย” ธันวาตาเหลือก

“เธอหลอกให้มันลงกะละมังด้วย” เสียงสูงปรี๊ด!! หญิงสาวพยักหน้าหงึก ๆ อีกครั้ง

“ใช่! แต่ก็แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวแหละ คราวหลังๆมันรู้ทัน มันไม่ยอมแล้ว” หัวเราะเสียงดัง เอิ๊ก อ๊ากสะใจมองเห็นลูกกระเดือกไหวๆ ไม่ได้รู้สึกถึงบรรยากาศที่มันเริ่มมาคุคุ โดยรอบ

“เลิกคบ!” เสียงเขียวพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ คนางค์เบรกหัวเราะดังเอี๊ยดด!!!

“ฮะ!” อ้าปากหวอ

“ฉันบอกให้เลิกคบ ใช่ไอ้คนนี้หรือเปล่าที่เธอเคยบอกว่าช่วยมันออกบ่อยตอนมันเมาไม่ได้สติน่ะ” หญิงสาวพยักหน้าหงึก ๆ

“ถ้างั้นก็เลิกคบ เธอคบไปได้ยังไงไอ้คนแบบนี้ หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตลอด แถมยังพากินอะไรที่ไร้สารอาหารอย่างงี้อีก..เลิกคบได้เลย” พูดไม่มีเบรก หญิงสาวตาเหลือกมองช้อนที่เต็มไปด้วยเส้น ที่ยังถือค้างคาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม

“ตะ..ตะ..แต่”

“ไหน! ไอ้ที่ว่าอร่อยนักหนากินด้วยกันบ่อยน่ะ เอามานี่ซิ” เลื่อนจานมาตรงหน้า คนางค์ยิ้มแหยๆ ส่งให้ ค่อยๆ หย่อนไอ้ของที่อยู่ในช้อนลงไปในจานของชายหนุ่ม ธันวามองด้วยความชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตักเส้นเข้าปากพร้อมข้าว หญิงสาวจ้องมองนิ่ง ลุ้น! ชายหนุ่มค่อยๆเคี้ยว ซักแป๊บก็กลืนลงคอดังเอื๊อก ยกน้ำขึ้นดื่มตาม ส่งเสียงออกมาเนิบๆ

“ไม่เห็นอร่อยตรงไหนเลย ก็งั้นๆ” คนางค์กระพริบตาปริบๆ ถอยกลับมาพิงเก้าอี้ คิ้วเริ่มขมวดมุ่น เป็นอะไรล่ะตานี่ไม่กินก็ไม่กินสิ ทำมาเป็นเสียงดังทำท่ายียวนกวนประสาทแบบนั้น เชอะ! เบ้หน้าส่งให้ ก้มหน้าก้มตากินไอ้ที่อยู่ในชามต่อ

“เข้าใจใช่มั๊ย ไอ้ที่ฉันบอกเธอเมื่อซักครู่นี้น่ะ” ส่งเสียงเข้มถามมาอีก คนางค์เงยหน้าขึ้นมอง รีบเคี้ยวอย่างเร็ว กลืนลงคอดังเอื้อก ยกน้ำขึ้นดื่มฮวบๆ

“อะไร!” ส่งเสียงเข้มกลับมาบ้าง

“เลิบคบไอ้เปี๊ยกอะไรนั่นซะ” หญิงสาวเบ้หน้าส่งให้

“บ้าน่ะสิ! ทำไมฉันจะต้องเชื่อคุณด้วย แค่ฉันมาอยู่นี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว นี่ยังอยากจะให้ฉันเลิกคบไอ้เปี๊ยกอีก มันไม่มากไปหน่อยเหรอ”ธันวาขึงตาใส่หญิงสาวตรงหน้า คนางค์จะกลัวก็หาไม่ลอยหน้าลอยตาส่งสายตาตอบกลับมา ซักครู่ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นจากโต๊ะ

“ฝากเก็บจานด้วย วันนี้ฉันให้เธอหยุดหนึ่งวันเดี๋ยวฉันบอกเจ้าดลให้ อย่าเพิ่งออกไปไหนพ้นจากตึกนี้จนกว่าจะมีกาดมาคอยคุ้มกัน” พูดเสร็จก็เดินอ้าวๆออกไป ไม่สนใจคนางค์ที่นั่งอ้าปากหวอ งง! เลยซักนิด ชายหนุ่มเดินไปหยิบสูทที่พาดอยู่ตรงพนักโซฟา แล้วก็พาตัวเองเดินออกจากห้องไป เสียงประตูปิดกลับมาดังคลิ๊กนั่นแหละ คนางค์ถึงเริ่มกลับมาสู่สภาวะปรกติอีกครั้ง หุบปากฉับ บ่นออกมาปาวๆ

“บ้าจริง! ผีเข้าผีออก บทจะไปก็ไปดื้อๆ และดูสิปล่อยเราเอาไว้ที่นี่คนเดียวเนี่ยนะ ทำอย่างงี้ได้ยังไง วุ้ย!” หงุดหงิด หงุดหงิด หน้างอเป็นม้าหมากรุก ยกจานชามไปล้างด้วยอารมณ์ขุ่นมัว บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้งอยู่คนเดียว ซักครู่ก็เสร็จเดินไปเดินมาอยู่อย่างงั้น รู้สึกมันเงียบผิดปรกติหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปแล้ว ไม่ไหว! ลงไปทำงานดีกว่า นึกได้ดังนั้นก็โกยอ้าวออกจากห้องทันที..

ติ๊ง!!! ลิฟท์หยุดตัวลงที่ชั้นยี่สิบแปด คนางค์รีบก้าวเดินออกมา มีอันต้องเซถลาทันที เพราะมีมือดีมาจับข้อมือไว้ดัง หมับ!!

“มานี่เลยแก ยายตัวดี” เสียงแจ๊ดกระซิบขู่ฟ่อส่งมา คนางค์ตาเหลือก

“ดะ..ดะ..เดี๋ยวแจ๊ด! ยายแจ๊ด” เอาเท้าจิกพื้นไว้อย่างไว ขืนตัวไว้เต็มที่แต่ไม่เป็นผล

“แกเป็นอะไรเนี่ย แจ๊ด! ค่อยๆก็ได้ เดี๋ยวล้ม!” เซ ทะแลด แทด แถ ตามคนเดินหน้า

“ไม่ต้องเลย มาเคลีย์กับฉันเร็วๆ เลยด้วย” ลากมาที่โต๊ะทำงานของคนางค์ จับให้นั่งบนเก้าอี้ ตัวเองก็ไปลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ

“เล่ามา!” ทำหน้าทำตาขึงขัง

“อะไร” เฉไฉ

“ไม่ต้องเลย แกหายหัวไปตั้งแต่เช้า แล้วเมื่อชั่วโมงที่แล้วไปโผล่อยู่ในลิฟท์กับพระเอกของฉันได้ยังไง ยายนาง เล่ามาเดี๋ยวนี้” ขู่มาอีกคำรบ คนางค์เกาหัวแกรกๆ ไม่รู้จะเล่ายังไงตานั่นก็ไม่ได้บอกซะด้วยว่าให้เปิดเผยได้หรือเปล่า ทำไงดีล่ะ!

“ยังอีกยายนาง แกมีความลับกับฉันเหรอ” ถลึงตาใส่แทบจะปูดออกมานอกเบ้า คนางค์ทำหน้าเบ้ ถอนหายใจเฮือก

“เออๆ ก็ได้ แต่แกรู้แล้วแกต้องเหยียบให้จมดินเลยนะ ไม่งั้นฉันจะเดือดร้อน” แจ๊ดพยักหน้าหงึกๆ เอามือลูดซิบปากทันทีอยากรู้จัด คนางค์ทำหน้าขึงขังเริ่มเล่าออกมาน้ำเสียงกระซิบ

“เรื่องมันเป็นแบบนี้ $@&&&@##$”

“จริงง่ะ” แจ๊ดอ้าปากหวอ คนางค์พยักหน้าหงึกๆ ก้มลงกระซิบใหม่

“##$$$$@@@***&”

“ไม่จริ้งงงง!” ส่งเสียงดังลั่น คนางค์ตาโตเท่าไข่ห่าน ส่งเสียงขู่ฟ่อออกมา

“จะแหกปากทำไมล่ะยายบ้า!” แจ๊ดพยักหน้าหงึกๆ ก้มลงฟังใหม่

“@@@&&&&$$$$%%%”

“โอ้ พระเจ้า!” ทำหน้าทำตาตกใจรีบเอามือปิดปากไว้ คนางค์พยักหน้าหงึกๆ เป็นอย่างงั้นจริง จริ๊ง!

“@@@ %%%%$$$$****@@” แจ๊ดอ้าปากหวอ ทำตัวซี้ตัวสั่น ก้มลงฟังใหม่

“โอ้ม่ายยย!!....โอ้ย!” มือกุมอยู่บนหัว เจอมะเหงกของคนางค์เขกดังโป๊ก

“ยังไม่ทันเล่าเลย! แกจะรีบแหกปากออกมาทำไม ยายนี่หนิ!” มองตาขวางส่งให้ แจ๊ดหัวเราะแหะๆ

“ก็นึกว่าเล่าแล้ว” รีบก้มลงมาฟังต่อ

“@@@$$$+++***”

“จริงง่ะ..เรื่องมันเป็นแบบนี้เองเหรอ ฉันล่ะสงสารแกจังเลย ดูสิต้องมาพลอยติดร่างแหไปด้วย” ทำหน้าทำตาเศร้า

“เห็นมั๊ยล่ะ ฉันไม่ได้กะจะไปยุ่งด้วยซักหน่อย เพียงแต่ดวงมันซวยเท่านั้นเอง” ทำหน้าทำตาเศร้าตาม รีบขอความเห็นใจ ซักครู่แจ๊ดก็ตาเบิกโพลง รีบส่งเสียงแข็งออกมา

“ไม่! แต่เมื่อกี้ฉันเห็นแกกอดกับพระเอกของฉันในลิฟท์” คนางค์สะดุ้งโหยง

“ไม่ได้กอด!”

“กอด! ฉันเห็น” สายตาข่มขู่

“ไม่!” ส่ายหน้าหงึกหงัก

“กอด!แกกอดอย่ามาโกหก ไม่งั้นแกตกนรกป๋อมแป๋มแน่” ทำตาหลี่ๆใส่รู้เท่าทัน คนางค์ถอนหายใจเฮือกพยักหน้าหงึกๆ ทำหน้าทำตาจะตายซะให้ได้ตรงนั้น ส่งเสียงอุบอิบออกมา

“กอด ก็ กอด” แจ๊ดตาพองโตส่งเสียงดังลั่น

“นาง!! แกทำอย่างงั้นกับฉันได้ยังไง พระเอกของฉันนะ” คนางค์ตาเหลือก

“มะ...ไม่ฉันไม่ได้เป็นคนกอดเขา..เขามากอดฉันเองนะ..ฉะ.. ฉันไม่ผิด” แก้ตัวพัลวัล แจ๊ดมองตาขวางทำน้ำเสียงขึ้นจมูก

“เชอะ! ลับหลังฉันแกไม่ยิ่งกว่ากอดเหรอ คงจะเอาปากชนปากกันมาแล้วล่ะสิ” คนางค์หน้าม่อยใจไม่อยู่กับเนี้อกับตัว ส่งเสียงงึมงำออกมา

“อึมม์!” แจ๊ดตาเหลือก

“จะ..จริงง่ะ แกเคยมาแล้วเหรอ” คนางค์เพิ่งรู้สึกตัว

“ฮะ!” แจ๊ดส่งสายตาอำมหิตมาให้

“แกอย่ามาเฉไฉ..เมื่อกี้แกเพิ่งบอกฉันเองว่าเอาปากแกไปชนกับปากเขามาแล้ว” คนางค์อ้าปากหวอ เห็นลูกกระเดือกเต้นดุกดิ๊ก

“มะ..ไม่”

“ไม่กี่ครั้ง”น้ำเสียงคาดคั้น คนางค์ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก ส่งเสียงเบาโหวงออกมาจากริมฝีปากบาง

“มะ..ไม่สองครั้ง” นั่งก้มหน้าสำนึกผิด

“สองครั้ง..โอ้พระเจ้า สองครั้งแหนะ!” แจ๊ดนั่งหน้างอ อยากจะเขกกะโหลกแม่เพื่อนตัวแสบตรงหน้านี่นักถ้าไม่คาดคั้นเอาความจริง คงไม่มีทางหลุดออกมาจากปากเป็นแน่แท้ ซักครู่ก็ถอนหายใจออกมาดังเฮือกส่งเสียงถามมาใหม่

“และแกรู้สึกยังไงบ้าง” คนางค์รีบเงยหน้าขึ้นมองทันทีเห็นแจ๊ดทำตาเจ้าเล่ห์มองอยู่ก็ขมวดคิ้ว

“รู้สึกอะไร”

“ก็ตอนนั้นน่ะ!”ทำตากะลิ้มกะเหลี่ย ยักคิ้วแพล๊บๆ คนางค์ทำหน้าไม่ถูก หน้าร้อนวาบๆขึ้นมาซะเฉยๆ กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกมา แต่เสียงโทรศัทพ์บนโต๊ะดังขึ้นซะก่อนหญิงสาวเอื้อมมือไปรับ

“สวัสดีค่ะฝ่ายกฎหมาย คนางค์รับสายค่ะ”

“........”คิ้วหญิงสาวเริ่มพันกันยุ่ง

“เป็นอะไร..มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“......”

“ดะ..เดี๋ยวนะ” เอื้อมมือไปหยิบปากกากับกระดาษ

“หนูอยู่ที่ไหนน่ะ”

“........” มือจดข้อความยิกๆ

“อยู่ตรงนั้นนะ..อย่าเพิ่งไปไหนเดี๋ยวพี่ไปหา..แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ” รีบวางสายเตรียมตัวลุกจากเก้าอี้ แจ๊ดงง

“จะไปไหน นาง!” คนางค์หยุดชะงัก

“เด็กที่มูลนิธิโทรมาน้ำเสียงแปลกๆ ฉันต้องรีบไป” แจ๊ดขมวดคิ้ว

“แกจะไปได้ยังไงล่ะนาง ก็ไหนคุณธันวาบอกว่าไม่ให้ออกนอกตึกช่วงนี้หนิ” คนางค์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ดวงฉันมันคงจะไม่ซวยไปทั้งวันหรอกแจ๊ด! ฉันว่ามันคงมีเรื่องดีๆ ส่งมาให้บ้างแหละ หรือท่ามันจะซวยซ้ำซวยซ้อนก็ช่างมัน ฉันเริ่มเบื่อแล้ว ตื่นเต้นมาครึ่งค่อนวันเกร็งหัวเกร็งขมับมาตลอด ขอใช้เวลาของตัวเองซักหน่อยเถอะ ”ว่าแล้วก็เดินผละออกไป แจ๊ด งง! หันมามองกระดาษที่คนางค์จดทิ้งไว้บนโต๊ะก็ตาโต

“อ้าว! จดไว้แล้วไม่เอาไปจะจำได้เหรอน่ะ” รีบฉีกกระดาษวิ่งดุ๊กๆ ตามหลังแต่ไม่ทัน คนางค์หายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แจ๊ดยืนเกาหัวแกรกๆอยู่หน้าลิฟท์

“คงจะจำได้ล่ะมั้ง ยายนี่ความจำดีอยู่แล้วหนิ!” ยักไหล่นิดหนึ่งเดินกลับไปทำงานต่อ.....



กรกนก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มิ.ย. 2554, 21:53:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มิ.ย. 2554, 21:53:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 2239





<< ตอนที่12 : เหตุที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด...2   ตอนที่ 14 ความจริงที่ซับซ้อน >>
น้ำแอปเปิ้ล 17 มิ.ย. 2554, 08:48:11 น.
เชียร์ค่ะ อ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่เวบเก่าค่ะ ชอบมาก นางเอกดูน่ารำคาญแต่น่ารักค่ะ ขำดี ฉากคำพูดดูเหมือนเยอะ แต่มันอ่านแล้วได้อารมณ์เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงดีค่ะ ตอนนั้นคุณกรกนกหายไป คิดว่าจะไม่ได้อ่านอีกเสียแล้ว มาคราวนี้มีตอนจบมาด้วยใช่ไหมคะ


wane 17 มิ.ย. 2554, 15:18:02 น.
นางจะหาเรื่องอะไรใส่ตัวอีกเนี่ย


ปูนิ่ม 21 มิ.ย. 2554, 11:26:51 น.
สนุกมากเลยค่ะ ชอบนางเอก รอตอนที่ 14 อิอิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account