เสน่ห์นาคา
เกริ่นเรื่อง

“ในเมื่อชาติภพนี้ หม่อมฉันกับเสด็จพี่เกิดมาต่างเผ่าพันธุ์ และหม่อมฉันก็มีรูปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว และเสด็จพี่ก็รังเกียจที่หม่อมฉันเป็นเช่นนี้”วสินารีมองหน้าเขาจริงจังก่อนจะตั้งจิตมั่น
“หม่อมฉันขอ ..ขอให้”นางหายใจติดขัด หัวใจบีบตัวส่งผลให้เลือดไหลทะลักออกมา
“วสินารี”วนันทะเรียกชื่อนางเมื่อเห็นว่าเลือดของนางทะลักออกมาไม่ยอมหยุด
“พระธิดา”เสียงของพี่เลี้ยงเรียกพร้อมๆ กัน เมื่อเห็นว่าร่างกายนางกำลังแย่ลงทุกที
วสินารีพยายามสูดลมหายใจเข้าฉันปอด นางหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตามุ่งมั่น

“ขอให้ชาติหนึ่งชาติใด หม่อมฉันและเสด็จพี่จงสลับชาติพันธุ์กัน หม่อมฉันขอให้เสด็จพี่บังเกิดเป็นนาคา ส่วนตัวหม่อมฉันนั้นไซร้ ขอจงได้บังเกิดเป็นมนุษย์ และในชาตินั้น ..ขอให้เป็นตัวเสด็จพี่ที่ทุ่มเทความรักทั้งหมดของเสด็จพี่ ..ให้หม่อมฉัน”สิ้นคำนางก็กระอักออกมาเป็นเลือด
“ส่วนหม่อมฉันนั้นไซร้ ..จงอย่าได้มีใจให้เสด็จพี่อีกแม้นเพียงเสี้ยวใจ”พูดจบนางก็สิ้นใจ ดวงตาไม่อาจหลับลงได้
“พระธิดา”เสียงของนางพี่เลี้ยงกรีดร้อง

“พี่ขอน้อมรับคำอธิฐานของน้อง ไม่ว่าชาติภพใดพี่จักติดตามไปรักน้องในทุกภพชาติ”วนันทะหลับตาลงพร้อมๆ กับไฟที่ครอกลงมา ทั้งปราสาทจึงพังทลายลงด้วยไฟที่เผาทำลาย




Tags: พยานาค แฟนตาซี โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 3

ตอบคอมเม้นท์ คุณ Sukhumvit 66 -- เรื่องนี้เปิดให้มีการสั่งจองที่ในเฟสบุคของ สำนักพิมพ์ ฟินนิกซ์ ค่ะ ตอนนี้กำลังเปิดจองอยู่ค่ะ //เวอร์ชั่นที่เปิดจองเป็นอีโรติก เรทค่อนข้างสูงค่ะ ก็เลยเปิดให้จองกันแค่ในกลุ่ม

บทที่ ๓ ตัวตนแห่งนาง

พันทราเทวียืนอยู่ในสวนอุทยาน โดยมีนางกำนัลทั้งสองที่ติดตามมาจากสุวระ-ปุระอย่างทิพย์กัญญาและทิพย์ผกานั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ
พันทราเทวีเหม่อลอย คิดถึงใครบางคนที่ใจร้ายใจดำ แต่นางก็ยังรักเขาไม่คลาย
“คิดอะไรอยู่”ชยะวรมันเดินเข้ามาในอุทยานที่มีพันทราเทวียืนอยู่
“เสด็จพี่”นางตกใจเมื่อมีเสียงเรียก
“ใช่ พี่เอง”เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“น้องยืนเหม่อเช่นนี้ คิดถึงสุวระปุระหรือ”ชยะวรมันถาม
“เพคะ”พันทราเทวีตอบพร้อมทั้งหลบสายตา ไม่กล้ามองสบตา เพราะกลัวเขาจะจับผิด

“หากคิดถึงบ้านเมืองของน้อง พี่อนุญาตให้กลับไปเยี่ยมได้ เพราะนี่ก็หลายเดือนแล้วที่น้องจากมา”ชยะวรมันเข้าใจ
“ขอบพระทัยเพคะ”นางยกมือไหว้ความเมตตาของเขา
ชยะวรมันยื่นมือมาจับมือพันทราเทวีที่กำลังไหว้เขา
“สิ่งใดที่เป็นความสุขของน้อง สิ่งนั้นก็คือความสุขของพี่ และสิ่งใดที่เป็นความทุกข์ของน้อง สิ่งนั้นคือความทุกข์ของพี่เช่นกัน”ชยะวรมันกล่าว
พันทราเทวี ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองสบตาเขา

“ยิ่งเสด็จพี่ดีกับหม่อมฉันมากเท่าไหร่ หม่อมฉันก็ยิ่งผิดต่อพระองค์”นางพูดจากใจจริง
“พี่ไม่อยากให้น้องรู้สึกผิด ..แต่พี่อยากให้น้องรู้สึกรักพี่บ้างก็พอ”นั่นคือสิ่งที่ชยะวรมันปรารถนา
“สักวันหนึ่ง หม่อมฉันอาจจะรักพระองค์”พันทราเทวียิ้มน้อยๆ
“แต่ตอนนี้ยังไม่รักใช่ไหม”เขาถาม
“หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยโทษเพคะ”นางกล่าว
“เช่นนั้นพี่ก็ยังคงต้องนอนห้องตัวเองต่อไป”ชยะวรมันพูดยิ้มๆ ไม่มีท่าทีเคืองโกรธ
“หม่อมฉัน ..”พันทราเทวียิ่งรู้สึกผิดที่แต่งงานกันแล้วแต่นางก็ไม่เคยร่วมหอกับเขาแม้แต่ครั้งเดียว นั่นเพราะใจยังไม่อาจมีใคร นางยังไม่พร้อมให้ใครเข้ามาแทนที่พัทติยะ
“พี่จะรอจนกว่าน้องจะยินยอมพร้อมใจ แม้นจะนานเพียงใด พี่ก็จะรอ”ชยะวรมันให้คำมั่น สักวันเขาจะต้องชนะใจพันทราเทวี

ทางด้านพัทติยะก็ได้แต่เหม่อ จิตใจล่องลอยไปยังนางผู้เป็นที่รัก ..แต่ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทั้งเขาและนางมีหน้าที่ต่อแผ่นดิน

หากชายชาติทหารละทิ้งแผ่นดิน ..แล้วอาณาจักรจะเป็นอย่างไร
เขาจึงเลือกละทิ้งหัวใจ เพื่อความมั่นคงของแผ่นดินเกิด

“เจ้าคงไม่เข้าใจ และไม่อภัยให้ข้าใช่ไหม ..พันทรา”พัทติยะหลับตาลงอย่างเจ็บปวด
“แม้นข้าจะไม่เคยบอกรักเจ้า แต่ใจข้าก็ไม่เคยรักใคร ..นอกจากเจ้าเพียงคนเดียว”

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

ลันวตียืนอยู่ตรงหน้าต่างของตำหนักตัวเอง สายตามองไปยังอุทยานซึ่งพระสวามีและสนมคนใหม่กำลังเดินชมความสวยงามของสวนดอกไม้
“ข้าจะทำอย่างไรให้นางออกไปจากชีวิตเจ้าพี่”ลันวตีถามตัวเอง สายตายังคงมองไปยังวนันทะที่เดินออกไปจากอุทยาน เพื่อไปว่าราชการงานเมือง จึงปล่อยให้พระสนมคนใหม่และนางกำนัลอยู่กันตามลำพัง
เมื่อเห็นเขาไปแล้ว ลันวตีก็หันหลังให้หน้าต่างก่อนจะเดินผ่านประตูออกไป เพื่อไปพบเจอกับผู้เป็นศัตรูหัวใจ

“เจ้าคงมีความสุขมากใช่ไหม ที่สามารถทำให้เจ้าพี่ลุ่มหลงเจ้าเพียงผู้เดียว”ลันวตีเดินมายังบริเวณที่วสินารีซึ่งเป็นที่รู้จักในนามพระสนมนารี กำลังยืนชมทิวทัศน์
“ ..”สนมคนใหม่แน่นิ่ง ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอีกฝ่าย ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง
“ข้าพูดกับเจ้า ไม่ได้ยินฤ”ลันวตีถามด้วยความไม่พอใจ
“ต่างคนต่างอยู่เถิด ลันวตี”วสินารีกล่าว ราวกับต้องการยุติปัญหา นางไม่ปรารถนาจะก่อเวรสร้างกรรมกับใครอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“อย่าจองหองกับข้า”ลันวตีเดินเข้ามากระชากวสินารีให้หันมาเผชิญหน้ากัน
“นางสาวชาวป่าชาวดง พงศ์พันธุ์ชั้นต่ำเยี่ยงเจ้า อย่าบังอาจมาต่อปากกับข้า”พูดจบลันวตีก็ตบอีกฝ่ายจนหน้าหัน
วสินารีใบหน้าหันไปตามแรงตบ ดวงตาของนางกลายเป็นสีเขียวเมื่อโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางหันกลับมาแล้วใช้มือจับใบหน้าลันวตี

“ใครกันแน่ที่ต่ำศักดิ์ นางมนุษย์จิตใจต่ำ”วสินารีไม่ชอบการดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น จึงบันดาลโทสะเมื่ออีกฝ่ายดูแคลน
“เจ้า ..”ลันวตีตกใจเมื่อเห็นดวงตาของนารีเป็นสีเขียวมรกต “เจ้าไม่ใช่มนุษย์”
เมื่อตระหนักได้ว่าความโกรธทำให้แสดงความเป็นนาคราช วสินารีก็รีบตั้งสติ ปรับอารมณ์เสียใหม่ ดวงตานางค่อยๆ เปลี่ยนกลับมาเป็นนัยน์ตามนุษย์ตามเดิม
“นางผีป่าผีไพร ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดเสด็จพี่ลุ่มหลงเจ้าหนักหนา ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องร่ายมนต์ใส่พระองค์เป็นแน่”ลันวตีพูด ขณะที่เท้าก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกกลัวว่าหากอยู่ใกล้จะเกิดอันตรายแก่ชีวิตตัวเอง
“ข้าไม่ใช่นางป่านางไพรดังที่เจ้าใส่ความ”วสินารีกล่าว
“ข้าไม่เชื่อ ข้าเห็นกับตาว่านัยน์ตาเจ้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว มนุษย์ผู้ใดจะทำเยี่ยงนั้นได้ มีเพียงพวกผีสางนางไม้เท่านั้นที่ทำเช่นเจ้าได้”ลันวตีพูดจบก็หันหลังแล้วรีบเดินจากไป
วสินารีมองตามด้วยความหนักใจ ทั้งๆ ที่ไม่อยากก่อเวรสร้างกรรมกับใคร แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมหยุดสร้างกรรมกับนาง

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

หลังจากว่าราชการงานเมืองเสร็จแล้ว วนันทะก็ได้พบกับลันวตีที่มาดักรออยู่หน้าท้องพระโรง
“เสด็จพี่ เสด็จพี่เพคะ”ลันวตีรีบตรงเข้าไปหาผู้เป็นสวามี
“วตี”เขามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“เสด็จพี่ นารีไม่ใช่คนเพคะ นางเป็นผีป่าผีไพร เสด็จพี่ต้องขับไล่นางไป เชื่อหม่อมฉันเถิด”
ลันวตีรู้สึกหลอนน้อยๆ
“เจ้าพี่ต้องจัดการนารี เชื่อหม่อมฉัน”นางย้ำขณะที่หันไปมองรอบๆ ด้วยอาการกลัวๆ
“วตี เจ้าจงฟังข้า นารีไม่มีวันเป็นผีป่าผีไพรเฉกเช่นที่เจ้ากล่าวหา ข้ารู้ดี”วนันทะพูด
“แต่หม่อมฉันเห็นดวงตานางสีเขียวน่ากลัว นางต้องเป็นผีสางนางไม้จำแลงกายเป็นแน่ นางไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีมนุษย์ใดจะงดงามได้ปานนั้น”ลันวตีพยายามพูดให้สวามีเชื่อ
“เหลวไหล ไร้ความน่าเชื่อถือสิ้นดี เจ้าจงอย่าใส่ความนารีเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า”วนันทะกล่าวก่อนจะเดินจากไป ไม่สนใจในสิ่งที่ลันวตีกราบทูล

ยามเมื่อรักมักลุ่มหลง ใครยุยงใส่ไคล้ย่อมไม่เชื่อ
แต่หากเบื่อเมื่อใด พูดอะไรก็ไม่รับฟัง

“เสด็จพี่”ลันวตีมองตามไปด้วยใบหน้างุนงง
“ก่อนหน้า ไม่ว่าหม่อมฉันกล่าวสิ่งใด เจ้าพี่ก็คล้อยตาม แต่เหตุใดวันนี้ ทุกอย่างแปรผัน”นางแทบไม่อยากเชื่อว่า คำพูดของตัวเองจะไร้ความหมายต่อเขาอีกต่อไป

ทางด้านวสินารีได้ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง สายตามองไปยังปราสาทนาค รู้สึกกังวลเกี่ยวกับลันวตี ป่านนี้คงบอกวนันทะแล้วว่านางไม่ใช่มนุษย์ เช่นนั้นจะอธิบายกับเขาอย่างไร
“นารี”เสียงของวนันทะดังจากด้านหลัง
วสินารียืนนิ่ง ไม่ไหวติง ราวกับรูปปั้นที่ไม่อาจเคลื่อนไหว เพราะใจหวั่นกลัว
“นารี ..”เขาหนักใจที่ไม่อาจปกป้องพระสนมคนใหม่ ไม่ให้ถูกรุกราน
แต่วสินารีกลับคิดว่าเขารู้แล้วว่านางเป็นใคร จึงหลับตาลงราวกับยอมรับชะตากรรมตัวเอง น้ำตาไหลลงมา เมื่อคิดว่านับแต่นี้ จะไม่มีเขาเคียงกายอีก
“ข้าไม่คิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น”วนันทะพูดก่อนจะถอนหายใจ
“หม่อมฉัน ..”วสินารีสะอื้นไห้ น้ำตาไหลไม่ยอมหยุด
เมื่อเห็นอาการเสียใจของสนมคนโปรด เขาก็รีบรุดเข้าไปหานาง
“นารี”วนันทะโอบกอดนางจากด้านหลัง สองแขนของเขารัดร่างนางไว้แน่น
“เสด็จพี่”วสินารีแปลกใจที่เขาไม่รังเกียจ หรือเขาจะรับความเป็นพญานาคของนางได้
“ข้าไม่คิดว่าลันวตีจะใส่ความเจ้าเช่นนี้ แต่อย่าได้กังวลอีกเลย ข้าสั่งห้ามนางไม่ให้ใส่ไคล้เจ้าแล้ว หากนางยังกล่าวหาเจ้าว่าเป็นผีสางอีก ข้าจะจัดการลงโทษนางเอง”เขาพูดขณะที่เอาคางวางบนไหล่นาง สายตามองออกไปเบื้องนอกหน้าต่าง
“เช่นนั้นหรือเพคะ”วสินารีรู้สึกโล่งอกที่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่กังวล

“นารี”วนันทะใช้มือบังคับร่างนางให้หันมาเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็ใช้นิ้วกรีดน้ำตาบนใบหน้าที่ยังคงไหลเป็นทาง
“อย่ากังวลสิ่งใดเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่ทอดทิ้ง”เขาเชยคางนางให้ใบหน้าเงยขึ้น เพื่อมองให้ชัดเจน

“ผู้ชายชอบหญิงงาม แต่สุดท้ายจะหยุดอยู่กับหญิงที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ มีความสุข ทว่า เจ้ามีทั้งสองอย่างนี้ เช่นนั้นจงอย่ากังวลว่าข้าจะไปจากเจ้า”วนันทะกล่าว
“แต่หากหม่อมฉันไร้ความงาม แต่มีเพียงความสบายใจเมื่อพระองค์อยู่ใกล้ เช่นนั้นแล้วพระองค์ยังจะอยู่กับหม่อมฉันฤา”วสินารีใคร่รู้
“ที่สุดของความรักคือความเข้าใจ และการยอมรับความเป็นตัวของตัวเองของกันและกัน”เขามองสบตานางนิ่ง
“ความรักที่ข้ามีให้เจ้า มากจนข้าสามารถยอมรับทุกอย่างได้”วนันทะก้มลงจูบหน้าผากนาง
“แล้วถ้าหากหม่อมฉัน ..”วสินารีพูดยังไม่จบ เขาก็จุมพิตริมฝีปากนาง ไม่ยอมให้พูดสิ่งใดได้อีก
“อืม”วนันทะครางออกมาด้วยความพอใจในรสจูบที่นางเริ่มตอบสนองกลับ สองแขนกระชับกอดร่างของนางแน่นขึ้น ร่างกายจึงแนบชิดสนิทเนื้อ

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

ลันวตีเดินไปเดินมาราวกับกำลังใช้สมองครุ่นคิด พยายามคิดทบทวนในสิ่งที่ได้ประจักษ์ด้วยสายตาตัวเอง
“ข้ามั่นใจว่านางไม่ใช่มนุษย์”ลันวตีพูดกับตัวเอง
“ในเมื่อไม่ใช่มนุษย์ แล้วจะเป็นอะไร ในเมื่อนางมีเลือดเนื้อสามารถจับต้องได้ หากนางเป็นภูติไพรไยมีตัวตนให้คนสัมผัส”ลันวตีพยายามขบคิด
“หากแม้นข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเมื่อไหร่ ..”สายตานางอาฆาต
“อย่าได้หมายจะมีชีวิตเป็นหนามตำใจข้าได้อีก”

ทางด้านวสินารีกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ความฝันที่แสนจะโหดร้ายทำให้นางนอนกระสับกระส่าย ใบหน้าซึมไปด้วยเหงื่อ
“ไม่”นางส่ายหน้าไปทางซ้ายก่อนจะหันมาทางขวา
“อย่า”วสินารีร้องห้าม
“ดาบนารายณ์”นางพร่ำพูดอยู่อย่างนั้น จนทำให้วนันทะซึ่งนอนอยู่ใกล้ๆ ตื่นขึ้น
“นารี”เขาเรียกพระสนมคนโปรด
“นารี”วนันทะใช้มือตบใบหน้านางเบาๆ

“เสด็จพี่”วสินารีลืมตาตื่น
“อย่าฆ่าหม่อมฉัน”นางพูดด้วยอาการหายใจติดขัดราวกับคนกำลังจะขาดใจ
“พี่ไม่มีวันทำเยี่ยงนั้น”เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เจ้าแค่ฝันไป”วนันทะกล่าวก่อนจะดึงนางเข้ามากอด แล้วปลอบให้หายหวาดกลัว
“นอนเถิด น้องแค่ฝันร้าย”
วสินารีค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง ภายใต้อ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นของสวามี

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

ลันวตีฝันร้าย ในฝันนางได้เห็นดวงตาสีเขียวมรกตมองจ้องมาราวกับไม่พอใจ
“วสินารี”ใบหน้าของเจ้าของดวงตาสีมรกตค่อยๆ เด่นชัดขึ้น
“ไม่”ลันวตีนอนดิ้นไปมาบนเตียง ราวกับหลีกหนีการถูกทำร้าย
“ม้ายยย!”นางสะดุ้งตกใจตื่นภายใต้ความมืดของรัตติกาล
“วสินารี”ลันวตียังคงจดจำสายตาและใบหน้าของวสินารีในร่างนาคา
เมื่อฝันร้ายผ่านพ้นไปนางก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลง ยังคงครุ่นคิด สายตาสีเขียวมรกตยังติดอยู่ในห้วงสำนึก

จวบจนเวลาล่วงเลยผ่าน แสงอาทิตย์สาดทอไปทั่วพื้นดิน ลันวตีรู้สึกง่วงจึงหลับตาลง แต่แล้วในความสะลึมสะลือ นางก็นึกอะไรบางอย่างได้ ลันวตีลืมตาขึ้นทันใด รีบทรงตัวลุกขึ้นนั่ง สมองนึกทบทวนระหว่างความฝันและสิ่งที่ได้พบเจอ
“ดวงตาเช่นนั้น”นางนึกเปรียบเทียบระหว่างดวงตาของพระสนมคนใหม่ที่มีสีเขียวมรกตยามเมื่อพิโรธโกรธา และสายตาของพวกพญานาค
“หรือว่า สนมคนใหม่จะเป็นพวกพญานาค”ลันวตีหน้าตาตื่น
“จะเป็นไปได้อย่างไร”นางกำลังคิดถึงความเป็นไปได้
“พญานาคจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้”ลันวตียังจำเหล่านาคาในวันที่วนันทะและวสินารีแต่งงานกัน วันนั้นมีทั้งพญานาคในร่างนาคีนาคาผิวซีดเผือด และพญานาคในร่างมนุษย์
“พญานาคสามารถจำแลงกายได้”นางพูดด้วยสีหน้าตระหนก พลันสมองนึกทบทวนวันที่บุกไปปราสาทนาค และพูดถากถางวสินารี ลันวตียังคงจดจำคำพูดของอีกฝ่ายได้

“พระนางเหมือนตัวประหลาดเยี่ยงนี้เอง เจ้าพี่จึงรังเกียจยิ่งนัก”ลันวตีกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก เหยียดหยาม
“เจ้างดงามเยี่ยงนี้นี่เอง ..เขาจึงรักใคร่”นั่นคือสิ่งที่วสินารีตอบกลับ
“ผู้ใดจะอัปลักษณ์ได้เช่นพระนาง ซีดเซียวราวกับซากศพ นัยน์ตาสีเขียวน่ากลัว ริมฝีปากขาวเผือด ทั้งร่างไร้ซึ่งความงาม แล้วชายใดจะใช้ชีวิตกับอมนุษย์เช่นพระนาง”
วาจาที่ลบหลู่ดูแคลนนั้นทำให้วสินารีกำมือเข้าหากันแน่นด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าคงภูมิใจในรูปกายที่งดงามของตัวเองมาก”วสินารีกล่าว
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะความงามของหม่อมฉันฤา ที่สามารถมีสวามีองค์เดียวกับธิดาพญานาคเช่นพระนางได้”ลันวตีมองหน้าวสินารีอย่างไม่กลัวเกรง
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าภูมิใจในความงามของตัวเอง ข้าก็จะทำให้เจ้าได้รู้จักกับความงามที่ยิ่งกว่า อีกไม่ช้า วนันทะจะทอดทิ้งเจ้าด้วยมีหญิงอื่นที่งามกว่า”วสินารียกมือขึ้นมาจับใบหน้าของลันวตีให้สบตาด้วย
“จงระวังวันที่เขาหมดรักเจ้า ..จงระวังไว้ให้ดี”พูดจบนางก็ปล่อยมือก่อนเรียกให้ผู้รับใช้มานำตัวลันวตีออกไป
“ฤาจะเป็นนาง”ลันวตีคิดหนัก

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

ลันวตีและเหล่านางกำนัลไปยังปราสาทนาคราช เพื่อเข้าพบวสินารี แต่ทหารนาคกลับไม่ให้นางเข้าไป
“ตอนนี้พระธิดาไม่อยู่”ทหารนาคกล่าว
“ไม่อยู่ นางไปหนใด ในยามเช้าตรู่เยี่ยงนี้”ลันวตีถามต่อ
“เอ่อ ..”เหล่าทหารนาคามองหน้ากัน
“พระธิดากลับเมืองบาดาลไปสองวันแล้ว”ทหารนาคอีกตนกล่าว
“เช่นนั้นฤ”ลันวตีกระตุกยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก ไม่เชื่อในคำกล่าวเหล่านั้น แต่ก็ไม่ถกเถียงด้วย นางหันหลังแล้วเดินกลับ สมองใคร่ครวญว่าควรทำเช่นไรจึงจะรู้ความจริง
“ข้าจะกระชากตัวตนนางออกมาเอง”ลันวตีตั้งปณิธาน
*¬¬¬¬¬__________________________________________*
อีกไม่กี่วันจะถึงกำหนดการทำพิธีสักการะนาคราช ซึ่งกำลังจะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ลันวตีมองทหารและเหล่านางกำนัลช่วยกันตระเตรียมพิธี
“พิธีบูชานาคราช”ลันวตีมองอย่างใช้ความคิด
“ในวันนั้นวสินารีคงเลี่ยงการปรากฏกายไม่ได้ และขณะเดียวกัน สนมคนโปรดจักต้องอยู่ร่วมในพิธีด้วย”เมื่อคิดได้เช่นนั้นลันวตีก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ

ทางด้านวสินารีกำลังกลัดกลุ้มกับสถานการณ์ที่ใกล้เข้ามา พิธีสักการะบูชานาคราชกำลังจะครบรอบปี
“ข้าจะทำฉันท์ใด พี่สินสมุทร”วสินารีถามพี่เลี้ยงคนสนิท
“หม่อมฉันคิดไม่ออกว่าจะปรากฏสองกายในเวลาเดียวกันได้เช่นไร”นางพี่เลี้ยงกังวล
“แม้นนาคราชจะสามารถจำแลงกาย แต่พวกเราก็ไม่สามารถมีสองกายในเวลาเดียวกัน”วสินารีพยายามคิดหาวิธี
“ฤาจักถึงเวลาแล้วที่ข้า ควรบอกความจริงกับเสด็จพี่”นางราวกับตัดใจ อยากเผชิญหน้ากับความจริงเช่นกัน อยากรู้ว่าวนันทะจะรับความจริงได้หรือไม่
“อย่าเพคะพระธิดา หม่อมฉันเกรงว่า ..”สินสมุทรหยุดไว้เพียงแค่นั้น
“ข้าก็กลัวเช่นกัน”วสินารียอมรับว่ากลัวการสูญเสียอีกครั้ง นางรักวนันทะมากเกินกว่าจะเสียเขาไป นางไม่ต้องการพิสูจน์รักแท้หรือการยอมรับในตัวตนที่แท้จริงอีก แต่สิ่งที่วสินารีต้องการในเวลานี้คือ การได้รักและอยู่กับวนันทะตลอดไป

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

ในที่สุดวันสักการะบูชาพญานาคก็มาถึง ท้าววสุธรปรากฏกาย โดยมีวสินารียืนถัดออกไป ผู้คนต่างก้มลงกราบเจ้าผู้ปกครองเมืองบาดาลที่สามารถสั่งฟ้าสั่งฝน
“ขอน้อมรับเสด็จองค์วสุธร”พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีกล่าวขณะที่กำลังหมอบกราบอยู่บนพื้น โดยมีเชื้อพระวงศ์และเหล่าอำมาตย์เสนาพร้อมหน้าพร้อมตากันในบริเวณพิธี
ลันวตีและคนอื่นๆ ยังคงกราบ หมอบราบไปกับพื้น
“แน่แล้ว นางสนมคนโปรดก็คือวสินารีแน่นอน”ลันวตียิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก
“ไม่ต้องมากพิธี”ท้าววสุธรกล่าว
ผู้คนในบริเวณพิธีจึงค่อยๆ เปลี่ยนจากการหมอบกราบ มาเป็นการนั่งตัวตรง สายตาทุกผู้คนมองตรงไปยังจอมนาคราชที่ปรากฏกายให้ผู้คนพบเห็น
ลันวตีมองไปยังวสินารีในร่างนาคีซึ่งมีผิวกายซีดเผือดราวซากศพ นัยน์ตาสีเขียวมรกตตามพงศ์พันธุ์ของนาง
ลันวตีละสายตาจากธิดาพญานาค แล้วหันมาทางวนันทะ

“เหตุใดพระสนมคนโปรดไม่มาร่วมในพิธีสำคัญเช่นนี้เพคะ”นางถามสวามีที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“นารีไม่สบาย ข้าจึงให้นางพักผ่อน”วนันทะตอบ
“เช่นนั้นฤ หม่อมฉันคิดว่านางกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเราเสียอีก”คำพูดของลันวตีทำให้วนันทะขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ
“เจ้าพูดเรื่องใด”เขาสงสัย
“หม่อมฉันคิดว่า พระนางวสินารีกับนารีเป็นคนเดียวกัน พวกนางจึงไม่สามารถปรากฏสองกายในเวลาเดียวกัน”ลันวตีกล่าว
“เหลวไหล พวกนางจะเป็นคนเดียวกันได้เยี่ยงใด”เขาไม่เชื่อ
“หม่อมฉันเคยเห็นนัยน์ตาของนารีเป็นสีเขียว เช่นเดียวกับนัยน์ตาของพวกพญานาค และหม่อมฉันก็มั่นใจว่า นารีก็คือพระนางวสินารีจำแลงกาย”ลันวตีปักใจเช่นนั้น
“เลิกใส่ไคล้นารีได้แล้ว วตี”วนันทะพูดก่อนหันไปมองยังพิธีกรรม โดยไม่สนใจลันวตีอีก

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

หลังจากสิ้นสุดพิธีบวงสรวง ท้าววสุธรก็เสด็จกลับเมืองบาดาล โดยมีวสินารีตามไปส่งยังชายทะเล
โอกาสนั้นเองที่ลันวตีรีบดึงมือวนันทะให้เดินตามนางไป เพื่อพิสูจน์ความจริง
“เจ้าจะพาข้าไปหนใด วตี”วนันทะถาม ขณะที่เดินไปตามแรงดึงของนาง
“หม่อมฉันจะไปเยี่ยมพระสนมนารี หม่อมฉันจะดูให้เห็นว่านางป่วยจริง”ลันวตีกล่าว เขาจึงได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็ยอมเดินตามนางไปแต่โดยดี
เมื่อมาถึงตำหนักของพระสนมคนโปรด ลันวตีก็มองไปรอบๆ ราวกับจะมองหาเจ้าของตำหนัก แต่ก็ไร้นาง
“หม่อมฉันขอเข้าไปดูในห้องบรรทม”พูดจบนางก็เดินไปโดยไม่รอการอนุญาต
ทั้งห้องว่างเปล่า ลันวตีมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นสนมคนโปรด
“เสด็จพี่บอกว่าพระสนมป่วย แต่แล้วเหตุใดนางไม่อยู่ที่ตำหนัก”ลันวตีหันมาถามวนันทะที่เดินเข้ามาสมทบ สายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหานารี แต่ทั่วทุกที่ไม่มีนาง
“เมื่อไม่มีนารีก็จะปรากฏวสินารี แต่หากเมื่อใดไม่มีวสินารีก็จะปรากฏพระสนมนารี เช่นนี้ไม่แปลกประหลาดเกินไปฤา เสด็จพี่”ลันวตีมองเขาอย่างต้องการคำตอบ
“เจ้าหมายความถึงอะไร”วนันทะถาม

“หม่อมฉันให้คนไปสืบที่ตำหนักนาคราช แต่ปรากฏว่าพระนางวสินารีไม่เคยประทับอยู่ เพราะพระนางมาอยู่กับพระองค์ที่นี่ ในร่างหญิงมนุษย์นามนารี”ลันวตีมองสบตาเขา
“เป็นไปไม่ได้”วนันทะไม่เชื่อ
“เช่นนั้น พระองค์ต้องให้พระนางวสินารีและพระสนมนารีปรากฏกายพร้อมกัน แล้วหม่อมฉันจักไม่เคลือบแคลงสงสัยใดๆ อีก”ลันวตีกล่าว
วนันทะมองนางด้วยสีหน้าครุ่นคิด แต่ก็พยักหน้ารับ
“ย่อมได้”เขาบอก

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

วสินารีในร่างหญิงมนุษย์ กลับมายังตำหนักของพระสนมนารี และเมื่อมาถึงนางพี่เลี้ยงคนสนิทซึ่งอยู่ในร่างมนุษย์ก็รีบมารายงานความเป็นไป
“แย่แล้วเพคะ พระธิดา”สินสมุทรในร่างมนุษย์กล่าว
“มีเรื่องอันใดฤา”นางถาม
“ตอนนี้พระสนมลันวตีเสด็จมาที่นี่พร้อมกับพระโอรส เพื่อมาหาพระสนมนารีเพคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นวสินารีก็นิ่งไป ใบหน้าสลดลง
“ข้ารู้สึกไม่สบายใจที่หลอกลวงผู้อื่นดั่งที่กระทำอยู่ ที่ข้ากำลังปกปิดอยู่นี้ เรียกว่าการโกหก และข้าไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นเลย”วสินารีกล่าว
“เช่นนั้นแล้ว พระธิดาจักทำเช่นใดฤาเพคะ”สินสมุทรถาม
“เหล่านาคราชเช่นเราควรรักศักดิ์ศรีของตัวเอง ต้อนนี้ข้ารู้สึกไร้แล้วซึ่งศักดิ์ศรีใดๆ”นางเดินเข้าไปในตำหนักด้วยความรู้สึกเศร้าใจ

วนันทะและลันวตีหันไปมองพระสนมคนโปรดที่เดินเข้ามา
“นารี”เขาเดินเข้าไปหาผู้เป็นที่รักยิ่งเหนือสิ่งใด
“เสด็จพี่”วสินารีในร่างมนุษย์ ซึ่งรู้จักในนามนารี มองพระสวามีก่อนจะมองลันวตี
“นางมาเยี่ยมเจ้า”วนันทะพูดกับพระสนมคนโปรดก่อนจะหันไปมองลันวตี
“ประชวนฤา พระสนม แล้วไยไม่ประทับอยู่ในตำหนัก”ลันวตีถาม
“ข้าอาการดีขึ้นแล้ว จึงออกไปสูดอากาศ”พระสนมคนโปรดอธิบาย
“ไปสูดอากาศหรือเพิ่งจะกลับมาจากพิธีบวงสรวงกันแน่ ..พระนางวสินารี”ลันวตีกล่าวขณะที่เดินใกล้เข้ามาอย่างไร้ความเกรงกลัว
วสินารีนิ่งงัน ตะลึง คิดไม่ถึงว่าลันวตีจะรู้ว่านางเป็นใคร ไปทำอะไรมา
“วตีบอกว่าเจ้าก็คือวสินารีที่จำแลงกายมา แต่พี่ไม่เชื่อ”วนันทะพูด
“เสด็จพี่”พระสนมคนโปรดหันไปมองสวามีด้วยความตกใจ

“ยอมรับความจริงเถิด”ลันวตีกล่าวสมทบ
“ ..”วสินารีในร่างหญิงมนุษย์นามนารีไม่สามารถพูดสิ่งใด หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อคิดว่าความจริงจะถูกเปิดเผย
“จากที่ข้าสังเกต ยามใดที่มีพระนางวสินารีปรากฏ ข้าไม่เคยเห็นพระสนมนารีปรากฏกายให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว แต่หากเมื่อใดที่มีพระสนมนารี พระนางวสินารีก็จะหายไปเช่นกัน”ลันวตีมองสบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ
“ข้าอยากเห็นพระสนมและพระนางวสินารีปรากฏกายพร้อมกันสักครั้ง เป็นบุญตา”ลันวตียิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากราวกับสะใจที่ทำให้อีกฝ่ายจนมุม
วสินารีนิ่งคิด ความรู้สึกผิดในใจและความกลัว ทำให้นางสีหน้าเคร่งเครียด
“ตอบข้ามา เจ้ายินยอมจะปรากฏกายเคียงคู่กับพระนางวสินารีหรือไม่”ลันวตีถาม
วสินารีในร่างหญิงมนุษย์ซึ่งรู้จักในนามนารีมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะตอบกลับ
“ย่อมได้ แต่ข้าขอเป็นวันพรุ่ง จะได้หรือไม่”
“ย่อมได้”ลันวตียิ้มด้วยความพอใจ จากนั้นก็เดินออกไป โดยไม่หันมามองอีก

“นารี”วนันทะโอบร่างของพระสนมคนโปรด มั่นใจว่านางและวสินารีเป็นคนละคน
“พี่เชื่อว่าน้องและวสินารีเป็นคนละคน”เขาปลอบ แต่ดูเหมือนจะตอกย้ำให้นางช้ำใจ
“เสด็จพี่รักที่หม่อมฉันเป็นหม่อมฉัน หรือรักรูปลักษณ์กายภายนอก”นางถาม
“พี่รักน้องครั้งแรกเพราะรูปกาย”วนันทะตอบขณะที่มองสบตาอีกฝ่าย
“แต่เมื่อได้อยู่ด้วยกัน พี่รักที่น้องเป็นน้อง แล้วน้องเล่า รักพี่ด้วยเหตุผลใด”เขาถามกลับ
“หม่อมฉันไม่มีเหตุผลเพคะ รู้เพียงใจหม่อมฉันโหยหาพระองค์ หม่อมฉันใช้เพียงใจในการรัก โดยไม่คิดหาคำตอบและเหตุผลใด เพียงใจบอกว่าใช่ ก็คือใช่”คำตอบนั้นทำให้วนันทะยิ้มอย่างมีความสุข สองแขนโอบกอดนางไว้แน่น
“พี่รักน้องมากเหลือเกิน”เขารำพรรณบอก
“หม่อมฉันรักพระองค์ยิ่งกว่าเพคะ”นางมั่นใจในรักที่มอบให้ คงไม่มีผู้ใดจะเสมอเหมือน

*¬¬¬¬¬__________________________________________*




ฟินนิกซ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มี.ค. 2557, 00:44:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 มี.ค. 2557, 00:44:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1124





<< ตอนที่ 2 พระสนมคนใหม่ หัวใจดวงเดิม   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account