เสน่ห์นาคา
เกริ่นเรื่อง

“ในเมื่อชาติภพนี้ หม่อมฉันกับเสด็จพี่เกิดมาต่างเผ่าพันธุ์ และหม่อมฉันก็มีรูปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว และเสด็จพี่ก็รังเกียจที่หม่อมฉันเป็นเช่นนี้”วสินารีมองหน้าเขาจริงจังก่อนจะตั้งจิตมั่น
“หม่อมฉันขอ ..ขอให้”นางหายใจติดขัด หัวใจบีบตัวส่งผลให้เลือดไหลทะลักออกมา
“วสินารี”วนันทะเรียกชื่อนางเมื่อเห็นว่าเลือดของนางทะลักออกมาไม่ยอมหยุด
“พระธิดา”เสียงของพี่เลี้ยงเรียกพร้อมๆ กัน เมื่อเห็นว่าร่างกายนางกำลังแย่ลงทุกที
วสินารีพยายามสูดลมหายใจเข้าฉันปอด นางหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตามุ่งมั่น

“ขอให้ชาติหนึ่งชาติใด หม่อมฉันและเสด็จพี่จงสลับชาติพันธุ์กัน หม่อมฉันขอให้เสด็จพี่บังเกิดเป็นนาคา ส่วนตัวหม่อมฉันนั้นไซร้ ขอจงได้บังเกิดเป็นมนุษย์ และในชาตินั้น ..ขอให้เป็นตัวเสด็จพี่ที่ทุ่มเทความรักทั้งหมดของเสด็จพี่ ..ให้หม่อมฉัน”สิ้นคำนางก็กระอักออกมาเป็นเลือด
“ส่วนหม่อมฉันนั้นไซร้ ..จงอย่าได้มีใจให้เสด็จพี่อีกแม้นเพียงเสี้ยวใจ”พูดจบนางก็สิ้นใจ ดวงตาไม่อาจหลับลงได้
“พระธิดา”เสียงของนางพี่เลี้ยงกรีดร้อง

“พี่ขอน้อมรับคำอธิฐานของน้อง ไม่ว่าชาติภพใดพี่จักติดตามไปรักน้องในทุกภพชาติ”วนันทะหลับตาลงพร้อมๆ กับไฟที่ครอกลงมา ทั้งปราสาทจึงพังทลายลงด้วยไฟที่เผาทำลาย




Tags: พยานาค แฟนตาซี โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 2 พระสนมคนใหม่ หัวใจดวงเดิม

ลิ้งค์ตอนที่ 1 สุวระปุระ
http://home.love-stories.net/lovestories/viewnovel/15382

บทที่ ๒ พระสนมคนใหม่ หัวใจดวงเดิม

วสินารีรักวนันทะจนไม่อาจตัดใจ การที่ลันวตีแย่งความรักจากเขาไป ทำรู้สึกแทบขาดใจ อีกทั้ง เมื่อหลายวันก่อน ลันวตีมาที่ตำหนักนาคราช
“พระนางเหมือนตัวประหลาดเช่นนี้เอง เจ้าพี่จึงรังเกียจยิ่งนัก”ลันวตีกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก เหยียดหยาม
“เจ้างดงามเยี่ยงนี้นี่เอง ..เขาจึงรักใคร่”นั่นคือสิ่งที่วสินารีตอบกลับ
“ผู้ใดจะอัปลักษณ์ได้เช่นพระนาง ซีดเซียวราวกับซากศพ นัยน์ตาสีเขียวน่ากลัว ริมฝีปากขาวเผือด ทั้งร่างไร้ซึ่งความงาม แล้วชายใดจะใช้ชีวิตกับอมนุษย์เช่นพระนาง”
วาจาที่ลบหลู่ดูแคลนนั้น ทำให้วสินารีกำมือเข้าหากันแน่นด้วยความไม่พอใจ นางเป็นถึงธิดาพญานาค มีฤทธิ์เดชและอำนาจ ผู้คนกราบไหว้บูชา

“เจ้าคงภูมิใจในรูปกายที่งดงามของตัวเองมาก”วสินารีกล่าว
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะความงามของหม่อมฉันฤา ที่สามารถมีสวามีองค์เดียวกับธิดาพญานาคเช่นพระนางได้”ลันวตีมองหน้าวสินารีอย่างไม่กลัวเกรง
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าภูมิใจในความงามของตัวเอง ข้าก็จะทำให้เจ้าได้รู้จักกับความงามที่ยิ่งกว่า อีกไม่ช้า วนันทะจะทอดทิ้งเจ้าด้วยมีหญิงอื่นที่งามกว่า”วสินารียกมือขึ้นมาจับใบหน้าของลันวตีให้สบตาด้วย
“จงระวังวันที่เขาหมดรักเจ้า ..จงระวังไว้ให้ดี”พูดจบนางก็ปล่อยมือก่อนเรียกให้ผู้รับใช้มานำตัวลันวตีออกไป

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

วนันทะออกไปประพาสป่า โดยมีเหล่าทหารตามเสด็จไปร่วมร้อยคน กลางป่าจึงกลายเป็นที่ประทับชั่วคราว
หลังจากล่าสัตว์กันทั้งวัน จนดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ ทหารก็ช่วยกันเตรียมที่ประทับแรม ขณะที่วนันทะนั่งอยู่บนก้อนหิน มองทหารที่ช่วยกันเตรียมที่พัก
เสียงฝีเท้าสัตว์เดินย่ำบนใบไม้ ทำให้วนันทะมองไป แล้วได้เห็นกระต่ายขาว น่ารัก เขาจึงปรารถนาจะจับไปฝากลันวตี
“พระโอรส”ทหารคนสนิทรีบตามวนันทะไป
ผู้เป็นเจ้าชายไม่ฟังเสียงใด เพราะมัวแต่วิ่งตามเจ้ากระต่ายน้อย
“รอด้วยพระเจ้าคะ พระโอรส”เสียงทหารห้าคนวิ่งตามมา
ราวมีม่านบางอย่างบังตา ทำให้เหล่าทหารไม่สามารถมองเห็นวนันทะ จึงทำให้เกิดการพลัดหลงกัน

วสินารียืนอยู่ตรงลำธาร สองมือพนมแล้วร่ายคาถา เพื่อกลายเป็นมนุษย์
“งดงามยิ่งนักเพคะ พระธิดา”นางนาคาพี่เลี้ยงกล่าวชม
“หากพระโอรสได้เห็นร่างมนุษย์ของพระธิดา จะเป็นอย่างไร หม่อมฉันอยากรู้นัก”นางพี่เลี้ยงอีกตนพูดขึ้น
“หากพระธิดาให้พระโอรสได้ยลสิริโฉมตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องเสียพระทัยเช่นนี้”นางนาคาพี่เลี้ยงคนแรกพูดอีกครั้ง
“ข้าผิดเอง ที่คิดว่าความรักก่อเกิดที่จิตใจ หาใช่รูปลักษณ์ หากแต่ตอนนี้ข้ารู้ซึ้งแล้วว่า มนุษย์มองกันแค่เพียงสิ่งที่ตาเห็นภายนอกเท่านั้น”วสินารีน้ำตาเอ่อด้วยความน้อยใจ

“พระโอรสเสด็จมาโน่นแล้วเพคะ”นางพี่เลี้ยงบอก สายตามองไปยังวนันทะที่วิ่งไล่กระต่ายซึ่งก็คือ ..นาคาจำแลง
“พวกเจ้าไปได้”วสินารีสั่ง ส่วนตัวเองก็เดินลงไปในลำธาร
เมื่อวนันทะวิ่งตามกระต่ายมาถึงลำธาร ก็ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังอาบน้ำ นางหันหลังให้ เขาจึงมองไม่เห็นหน้า
วนันทะมองหากระต่ายน้อย สายตามองไปรอบๆ แต่ไร้แม้แต่เงา
“หายไปไหน เร็วจริง”เขาบ่น ก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับไป
ทันใดนั้นเอง เสียงหญิงสาวที่อาบน้ำอยู่กลางลำธารได้ร้องให้คนช่วย
“ช่วยด้วย ..ช่วย”เสียงของนางขาดหายเป็นช่วงๆ ตามร่างที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำ ราวกับคนกำลังจะจม
วนันทะหันไปมอง จึงได้เห็นหญิงสาวที่พยายามตะกายน้ำเพื่อไม่ให้จม
“เจ้า ..”เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็ไม่รีรอ รีบว่ายน้ำลงไปช่วย

“ช่วย ..”ร่างของนางจมลงไปใต้น้ำ ก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง
“ช่วยด้วย”เสียงร้องขอความช่วยเหลือ ยิ่งกระตุ้นให้วนันทะว่ายน้ำเร็วขึ้น
“ช่วย ..”ร่างของนางจมลงใต้น้ำ ไม่มีวี่แววว่าจะโผล่ขึ้นมา เขาจึงดำลงไปเพื่อควานหา
“ผุง! ผุง! ผุง!”ฟองอากาศจากจมูกและปากออกมาจากร่างของนาง ดวงตาค่อยๆ ปิดลง ราวกับคนที่กำลังจะหมดสติ
วนันทะเห็นเช่นนั้นก็รีบคว้าร่างนางขึ้นมาเหนือน้ำ ก่อนจะพาเข้าฝั่งลำธาร โดยเมื่อมาถึงบริเวณน้ำตื้น เขาก็อุ้มร่างที่หมดสติไว้ในอ้อมแขน
วนันทะวางนางลง จากนั้นก็ช่วยผายปอดให้ มือของเขาจับใบหน้าของร่างที่ไร้สติ เพื่อให้เปิดริมฝีปาก ก่อนจะประกบริมฝีปากของตัวเองลงไป
ทันทีที่ริมฝีปากวนันทะแนบลงมา วสินารีก็ใจเต้นแรง แต่ยังคงแสร้งหมดสติ

“ฟื้นสิ”เขาตบหน้านางเบาๆ เพื่อเรียกคืนสติ
“ลืมตาเถิด ฟื้นขึ้นมา”วนันทะพูดกับร่างที่นอนสลบ
“ข้าจะต้องทำอย่างไร”เขาพยายามตั้งสติ แล้วนึกในสิ่งที่ต้องจัดการ
วนันทะตัดสินใจอุ้มนางกลับไปยังที่ประทับแรม เพราะหากรอให้มืดค่ำกว่านี้ อาจหลงป่า แล้วจะแย่ไปทั้งสองคน

*¬¬¬¬¬__________________________________________*
วนันทะอุ้มหญิงสาวที่ช่วยไม่ให้จมน้ำ เข้ามาในพลับพลาที่ประทับ จากนั้นก็นำนางไปวางลงบนแท่นบรรทม ซึ่งทหารช่วยกันตัดไม้ทำเป็นแคร่ แล้วเอาผ้าปู
“พระโอรส”ทหารคนสนิทตามเข้ามา ปากก็ซักถามไม่ยอมหยุด
“พระองค์เสด็จไหน พวกข้าตามหากันทั่วแต่ไม่พบ ตอนนี้มีทหารอีกกึ่งที่ยังตามหาพระองค์อยู่”
“ข้าไม่เป็นไร ตอนนี้กลับมาแล้ว ส่งสัญญาณให้ทหารกลับมาได้”วนันทะกล่าว
“พระเจ้าคะ”ทหารคนสนิทน้อมรับ แต่ยังคงสงสัย สายตามองไปยังหญิงสาวที่อีกฝ่ายอุ้มกลับมาด้วย
“แล้ว ..นาง ..”ไม่ทันที่จะถาม ก็ถูกวนันทะไล่
“ออกไป อินธร หากข้าไม่เรียก ห้ามใครเข้ามา”
“พระเจ้าคะ”อินธร ..ทหารคนสนิทหันหลังแล้วเดินออกไป
“ออ ..อินธร ช่วยตามหมอหลวงให้ข้าด้วย”วนันทะสั่ง
“พระเจ้าคะ”

ไม่นานหมอหลวงก็เข้ามา และทำการตรวจก่อนจัดยาแล้วต้มให้นางดื่ม
“หลังจากดื่มยาไปแล้ว อาการก็คงทุเลาขึ้น แต่คืนนี้อาจมีไข้แทรก จึงต้องให้ดื่มยาอีก”หมอหลวงกล่าว
“ได้ ข้าจะดูแลนางเอง”วนันทะรับอาสา
“พระเจ้าคะ”เมื่อสิ้นสุดหน้าที่ หมอหลวงก็ออกไป ปล่อยให้อีกฝ่ายดูแลนางตามลำพัง
สายตาวนันทะมองใบหน้าของหญิงสาว ที่นอนหมดสติบนแท่นบรรทมอย่างพิจารณา
ใบหน้านางสวยได้รูป ปาก แก้ม คิ้ว คาง ทุกส่วนประกอบลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์ งดงามจนเกินคำบรรยาย

*¬¬¬¬¬__________________________________________*
ยามดึกดื่นค่ำคืน อากาศกลางป่ายิ่งหนาวเหน็บ วนันทะเบียดกายเข้ามาใกล้ร่างที่นอนร่วมเตียงเดียวกับเขา
วสินารีรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ใกล้ชิดกัน และยิ่งเมื่อแขนของเขาโอบร่างนาง ทำให้ใจยิ่งเต้นแรง ดวงตานางลืมขึ้น จากนั้นก็หันใบหน้าไปมอง

เขาอยู่ใกล้เพียงนี้ แต่ไย ใจไกลกันสุดขอบฟ้า
หากสามารถไขว่คว้าใจเขามาครอง คงไม่ต้องนองน้ำตา

สายตาของวสินารีมองใบหน้าวนันทะท่ามกลางแสงสว่างสลัวๆ ของคบเพลิงที่สว่างจากภายนอกพลับพลา
“ข้ากำลังฝัน ..หรือมันคือความจริง”นางแทบไม่อยากเชื่อตัวเอง
ทันใดนั้น วนันทะรู้สึกตัว เขาค่อยๆ คลายอ้อมแขน แล้วลืมตาขึ้น ขณะเดียวกันวสินารีก็รีบหลับตาลง
วนันทะค่อยๆ ยันตัวขึ้น โดยข้อศอกขวาค้ำยันแท่นบรรทม ขณะที่มือซ้ายแตะที่หน้าผากนางเพื่อทดสอบความร้อนของร่างกาย
“ทุเลาลงแล้ว”เขาพูดก่อนจะลงจากแท่นบรรทม แล้วเดินออกไปนอกพลับพลา

“พระโอรส”อินธรเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นวนันทะออกมาจากที่ประทับ
“ยาของนางอยู่ไหน”
“เตรียมไว้พร้อมแล้วพระเจ้าคะ”อินธรรีบเดินไปยังกองไฟที่ก่อไว้ เพื่อให้ความสว่าง และใช้ต้มยาไปในขณะเดียวกัน
เพียงไม่นานถ้วยยาก็มาอยู่ในมือของวนันทะ เขาจึงนำกลับเข้าที่ประทับไป
“สงสัยจะได้พระชายาอีกพระองค์กระมั่ง”อินธรพูด แล้วเดินกลับไปนั่งใกล้ๆ กองไฟ

*¬¬¬¬¬__________________________________________*
เช้าวันต่อมา
วนันทะลืมตาตื่น โดยที่ยังกอดร่างของหญิงสาวแสนสวยไว้ในอ้อมกอด
“เช้าแล้วหรือ”เขาพูดกับตัวเองก่อนจะค่อยๆ คลายอ้อมแขนจากร่างของนาง
วนันทะมองใบหน้าของนางอย่างพิจารณาอีกครั้ง เมื่อคืนแสงสว่างสลัวๆ ยังสามารถเห็นความงามของนาง แต่ตอนนี้แสงสว่างมากพอ จึงสามารถมองเห็นเต็มตา
ขณะนั้นเอง เปลือกตาของวสินารีก็ค่อยๆ ลืมขึ้น และเมื่อเห็นเขานั่งมองจ้องมา ใบหน้านางก็แดงด้วยความเขินอาย

“เจ้าฟื้นแล้ว”วนันทะกล่าว
วสินารีพยายามทรงตัวลุกขึ้น โดยที่มีเขาช่วยประคอง นั่นเองที่ทำให้นางน้ำตาเอ่อ เมื่อคิดว่า เขาไม่เคยดีกับนางเช่นนี้

แค่เพียงรูปลักษณ์ที่ต่างไป ทำให้ใจคนเสน่หา
มนุษย์มองแค่กายา ซึ่งเป็นเพียงมายา
ไยคนจึงหลงกับภาพลวงตา เสน่หาเพียงแค่รูปกาย

“รู้สึกเป็นเช่นไร”วนันทะถาม
“ข้าไม่เป็นไร”วสินารีตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้อยใจที่อีกฝ่ายตัดสินความรักจากภาพลักษณ์ภายนอก ตอนแรกนางคิดว่าจะเข้มแข็ง แต่เมื่อใกล้กันเช่นนี้ จึงรู้ว่าใจนางอ่อนแอทุกครั้งที่อยู่กับเขา
วสินารีสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วมองหน้าเขาตรงๆ โดยบอกตัวเองว่าต้องชนะใจตัวเองให้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นจะชนะใจเขาได้อย่างไร
“ขอบคุณ ที่ช่วยข้า”นางพูด สายตามองสบตาเขา
ครั้งนี้เองที่วนันทะรู้สึกเหมือนตกอยู่ในอานัสของนาง แค่เพียงได้มองสบสายตา ใจก็สั่นระรัว
นางงดงามเกินใครในพสุธา
เพียงได้พบสบตา ความเสน่หาก็บังเกิด
ชายใดได้ยลพักต์ คงมิอาจหักห้ามใจใฝ่ปอง

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

เมื่ออาการดีขึ้นวสินารีก็ต้องการจากลา แต่วนันทะไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น เขาไม่ยอมให้นางกลับไปเพียงลำพัง
วนันทะและขบวนเสด็จไปส่งวสินารีจนถึงหมู่บ้านที่นางบอก แต่เมื่อมาถึงกลับได้เห็นเพียงซากศพคนตาย และบ้านเรือนที่ถูกเผาทำลาย เนื่องจากโดนโจรปล้นทำลายเมื่อคืนที่ผ่านมา
จากการได้ประจักษ์กับตาว่านางไร้ญาติขาดมิตร เขาจึงไม่อาจทอดทิ้งไว้เพียงลำพัง วนันทะพาวสินารีหรือที่เขารู้จักในนามนารี กลับเข้าพระราชวัง และแต่งตั้งนางให้เป็นพระสนมฝ่ายซ้าย นั่นเองที่ทำให้ลันวตีโมโหเกรี้ยวกราด ขว้างปาสิ่งของ

“ม้ายยยย!”นางตะโกนร้องสุดเสียง
“ไม่จริง เจ้าพี่ไม่มีวันรักใคร นอกจากข้า”ลันวตีไม่อาจยอมรับความปราชัย
“ตั้งแต่มีนางสนมใหม่ เจ้าพี่ก็ไม่เสด็จมาหาข้าอีกเลย”ลันวตีคับแค้นใจในการเปลี่ยนไปของพระสวามี นางรีบเดินไปยังกระจก และได้เห็นรูปลักษณ์ที่งดงามของตัวเอง
“ข้ายังงดงามไม่ส่าง แต่นางสนมคนใหม่กลับงดงามยิ่งกว่า”ลันวตีเจ็บใจกับความงามที่เป็นรอง ซึ่งเป็นเหตุให้สวามีปันใจ
“ม้ายยยย!!!”นางกรีดร้องออกมาอีกครั้ง

ทางด้านวสินารีกำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตามองตรงไปยังตำหนักนาคราช
“แม้นได้เสด็จพี่มาครอบครอง แต่ข้ายังคงพ่ายแพ้อยู่ดี”นางน้ำตาร่วง
“หากวันใดที่พระองค์รู้ว่าข้าและวสินารีคือคนเดียวกัน ..”ไม่มีคำใดพูดออกมา คำพูดต่างๆ จุกอยู่ตรงหัวใจ
เสียงฝีเท้าของวนันทะเดินเข้ามาจากด้านหลัง ทำให้นางรีบเช็ดน้ำตาบนหน้า
“คิดสิ่งใดฤา”เขาเข้ามาโอบกอดร่างของนางจากด้านหลัง แล้วหอมแก้มนางอย่างจู่โจม
“เสด็จพี่”วสินารีเขินอาย
“ไยต้องเขินไป เจ้าเป็นชายา เป็นเมียข้า จึงเปรียบดั่งคนเดียวกัน”เขาพูด
“แต่พระองค์ก็ไม่ได้มีหม่อมฉันเป็นชายาแค่คนเดียว”นางตอกกลับ
“ก็จริง แต่พวกนางเป็นชายาข้าก่อนที่ข้าจะเจอเจ้า หากแม้นข้าเจอเจ้าก่อนใคร ข้าคงไม่มีหญิงอื่น”วนันทะกล่าวขณะที่รวบร่างนางแน่นขึ้น

“ตอนนี้พระองค์เจอหม่อมฉันแล้ว เช่นนั้นมีหม่อมฉันเพียงคนเดียวได้หรือไม่”นางถาม
“เจ้าหึงหวงข้าฤ”เขาเชยคางผู้เป็นชายาให้หันมามองสบตากัน
“ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์หึงหวง”วสินารีพูดตามความรู้สึก เพราะส่วนลึกรู้ดีว่าตัวเองเป็นใคร นางเคยชินกับการไม่มีสิทธิ์ในตัวเขาตลอดมา
“เจ้ามีสิทธิ์ มีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวข้า”วนันทะตอกย้ำให้ผู้เป็นชายาจดจำ
“ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์”นางแย้ง
“เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเถียงไม่ออก เจ้าจะได้รู้ว่าข้าเป็นสิทธิ์ของเจ้า เฉกเช่นที่เจ้าเป็นสิทธิ์ของข้า”พูดจบ เขาก็ใช้สองแขนยกร่างนางแล้วพาเดินไปที่แท่นบรรทม
“ไม่เพคะ”วสินารียังคงยืนยันคำเดิม
“มีสิทธิ์”เขาเถียงกลับขณะที่วางนางลงเตียง
“ไม่มีเพคะ”วสินารีพลิกตัวหลบไปยังอีกฝั่งของแท่นบรรทม ก่อนจะลงไปยืนอยู่อีกฟาก

“กลับขึ้นมา”วนันทะสั่ง แล้วส่ายหน้ายิ้มๆ กับความดื้อดึงของอีกฝ่าย
“ไม่เพคะ”นางไม่ยอมทำตาม
“อย่าให้ข้าจับได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะแสดงสิทธิ์กับเจ้าแบบไม่มีการผ่อนปรน”เขาเตือน พร้อมทั้งเดินไปยังอีกฝั่งของแท่นบรรทม แต่ผู้เป็นชายากลับเดินหนีไปอีกด้าน
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า จะขึ้นกลับมาโดยดี หรือให้ข้าจับเจ้าขึ้นเตียง”วนันทะถาม
“ไม่เพคะ”วสินารีกล่าวอยู่อย่างนั้น
“ไม่ใช่ไหม”เขาพยักหน้าก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปจับ แต่นางหลบหลีกได้ทัน วนันทะก็ไม่ยอมแพ้ วิ่งเข้าไปจับอีกครั้ง
“ว้าย!”นางอุทาน เมื่อร่างของเขาพุ่งเข้ามา ทำให้ทั้งสองร่างล้มลงไปบนพื้น

“จับได้แล้ว ครานี้ยังจะขัดคำสั่งข้าอีกไหม”วนันทะถาม
“ขัดเพคะ”
“ไยคำถามนี้เจ้าไม่ตอบว่า ไม่เพคะ”เขาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ปล่อยหม่อมฉันเถิดเสด็จพี่”วสินารีร้องขอ เมื่อถูกแขนของเขาโอบรัด ร่างของนางกำลังนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาเขา ทั้งสองยังคงนอนอยู่ตรงพื้นห้อง
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมขึ้นเตียง ข้าก็ไม่ขัด”วนันทะกล่าว
“ขอบพระทัยเพคะ”นางยิ้มให้

“เปลี่ยนที่บ้างก็ดี”สายตาเขาเจ้าเล่ห์
เมื่อได้เห็นสายตาวนันทะ จึงพอจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงสิ่งใด
“ไม่เพคะ”วสินารีขัดขืน แต่มีหรือจะต้านทานความรักจากเขา
ร่างของวนันทะขยับมาอยู่เหนือร่างนาง แขนซ้ายค้ำยันบนพื้นห้อง มือขวาจับชายผ้าซึ่งยาวถึงเท้าของนางให้เลื่อนขึ้นมา จึงทำให้เห็นน่องขาวที่ไร้ตำหนิใด ใบหน้าของเขาซุกลงบนซอกคองามระหงก่อนจะเลื่อนต่ำลงมายังเนินอกของนาง
ทั้งมือ และริมฝีปากของวนันทะทำงานประสานกันอย่างคล่องแคล่ว เชี่ยวชาญ จนวสินารีแทบไร้การต้านทาน
“อย่าเพคะ”นางห้ามเมื่อริมฝีปากของเขาครอบครองยอดปทุม
รสรัก รสเสน่หา
สองกายาแทบมอดไหม้ หลอมใจเป็นหนึ่ง

“ข้ารักเจ้า”เขาเอ่ยคำรักให้ซึ้งใจ
เพียงได้ยินคำนี้ วสินารีก็ไม่คิดต่อต้านอีก นางยอมพลีกายเพื่อได้รักจากเขา

ไร้แล้วความต้านทาน ไร้การต่อต้านใด
ใจกายพร้อมยอมพลี เพื่อให้รักคงอยู่

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

ลันวตีไม่อาจอดทนรอให้วนันทะมาหา ด้วยรู้ดีว่า บัดนี้ใจของสวามีแปรเปลี่ยนไป ในหทัยมีเพียงนางสนมคนใหม่ จนลืมเลือนรักเก่า
เมื่อมาถึงตำหนักของนางสนมผู้เป็นศัตรูหัวใจ ลันวตีก็เดินเข้ามาในห้องโถง ซึ่งมีหญิงสาวผู้เลอโฉมกำลังนั่งร้อยมาลัย
ร่างของใครบางคนเดินเข้ามา วสินารีจึงละลายตาจากเข็มร้อยมาลัย เพื่อมองว่าเป็นใคร
“ลันวตี”นางเอ่ยนามนั้นด้วยเสียงเบาหวิว

“ไม่คิดจะทักทายข้าบ้างฤ”ลันวตีถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เชิญนั่งก่อน”วสินารีกล่าว
“ข้าหมายถึง เจ้าไม่ยกมือวันทาเคารพข้าบ้างหรือไร”ลันวตีพยายามข่มอีกฝ่าย
“แล้วท่านเล่า เคยวันทาพระชายาวสินารีบ้างหรือไม่”สายตาของวสินารีซึ่งรู้จักกันในนามนารีถามอย่างไม่เกรงกลัว
“ปากดีนัก นึกว่าเจ้าพี่รักและหลง จึงยโสโหหัง”ลันวตีน้ำเสียงเคืองโกรธ
“ก็คงเฉกเช่นเดียวกับท่าน เมื่อตอนยังคงเป็นที่รักใคร่ของเสด็จพี่”วสินารีกำลังให้อีกฝ่ายชดใช้กรรมที่เคยกระทำไว้
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ข้ายโสโอหังกับพระนางวสินารี”ลันวตีถาม
“เอ่อ ..”วสินารีซึ่งเป็นที่รู้จักในร่างมนุษย์ นามนารีอ้ำอึ้ง ก่อนจะตอบออกไป
“ข้า ..ข้าได้ยินคนเล่าลือกัน”
“แสดงว่าเจ้าก็ร้ายใช่เล่น เข้ามาอยู่ได้ไม่นาน แต่รู้หลายเรื่อง”ลันวตีกล่าว ขณะที่สายตามองอีกฝ่ายราวพิจารณา

“เจ้าเป็นคนที่ข้าไม่ควรประมาท”ลันวตีพูดออกมาตรงๆ
“เช่นนั้นก็จงระวังไว้ให้หนัก”วสินารีตอกกลับ
ทางด้านวนันทะเดินเข้ามาในห้องโถงซึ่งทั้งสองนางกำลังเผชิญหน้ากัน เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัด วางตัวลำบาก
“เสด็จพี่”ลันวตีรีบเดินเข้าไปหาผู้เป็นสวามี
“เอ่อ ..”วนันทะเหงื่อตก เพราะตอนนี้สายตาอีกนางกำลังมองมา

“เสด็จพี่ ไม่คิดถึงหม่อมฉันบ้างหรือเพคะ”ลันวตีถาม ขณะที่โอบกอดร่างเขาไว้
“คือ ..ข้า”วนันทะหันมามองวสินารี ก็ได้เห็นแววตานิ่งเฉย ราวกับไม่หึงหวง
เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงไม่พอใจ ไยนางไม่ไยดี ราวกับเขาไม่มีค่าต่อใจนาง
“ข้าคิดถึงเจ้าเสมอ ลันวตี”วนันทะกล่าว ขณะที่สายตามองไปยังวสินารีซึ่งรู้จักในนามนารี หญิงมนุษย์ผู้เลอโฉมเหนือหญิงใดในแดนดิน
“เช่นนั้น คืนนี้ประทับที่ตำหนักหม่อมฉันนะเพคะ”ลันวตีออดอ้อน

วสินารีชะงักมือที่ร้อยมาลัย สายตามองดอกไม้ในมือ แต่หูกลับเฝ้ารอฟังคำตอบจากปากของวนันทะ
“ย่อมได้”คำตอบของเขา ทำให้ใจวสินารีสลาย
ผู้ชาย ร้ายนัก
บอกรักแค่เพียงลมปาก หากแต่ไม่เคยมีรักในใจ
หญิงใดหลงเชื่อ คงไม่เหลือลมหายใจ

เมื่อเห็นพระสนมคนโปรดยังคงนั่งร้อยพวงมาลัย ไม่สนว่าเขาจะอยู่หรือไป ความน้อยใจก็แผ่ซ่านไปทั่ว
“ข้าจะไปตำหนักวตี”วนันทะกล่าว สายตายังคงมองไปที่วสินารีซึ่งรู้จักในนามสนมนารี
“เพคะ”นางตอบ
“ข้าอาจจะไปอยู่หลายราตรี”เขายังคงอยากเห็นความหึงหวงจากพระสนมคนใหม่
“เพคะ”วสินารีตอบ
“ดี เจ้าใจกว้างดี”คำพูดของเขาราวกับชมเชย ทว่า มันคือการประชดเสียมากกว่า
“ไปกันเถิดวตี”วนันทะกล่าวก่อนจะเดินนำออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ

เมื่อวนันทะและลันวตีออกไปแล้ว วสินารีก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว น้ำใสๆ ไหลร่วงลงมาด้วยความเสียใจ
“ต่อให้งดงามปานใด ก็ไม่สามารถหยุดใจชายมากรักเอาไว้ได้”นางเริ่มตระหนักในความรักที่ไม่เที่ยงแท้ รักสามารถผันแปรได้ตลอดเวลา
“ข้าคงมีเวรกรรม จึงรักชายหลายใจเช่นท่าน”วสินารีสุดชอกช้ำ เมื่อคิดได้ว่า ต่อให้งดงามปานใด ใจเขาก็ไม่มีวันหยุดรักไว้ที่นาง

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

วสินารีถอดใจ นางกลับไปยังตำหนักนาคราช ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนจากร่างมนุษย์สู่ร่างนาคี ตามเผ่าพันธุ์ชาติกำเนิด
“อย่าเสียพระทัยเลยเพคะพระธิดา”นางพระพี่เลี้ยงพยายามปลอบ
“ข้ารู้สึกเหมือนจะหมดแรงและตายลงตรงนี้”ธิดาแห่งเมืองบาดาลกล่าวทั้งน้ำตา
“อย่าโศกาเลยเพคะ ตามที่หม่อมฉันได้เห็น หม่อมฉันคิดว่าพระโอรสทำไปเพราะต้องการให้พระธิดาหึงหวงเท่านั้นเอง”คำพูดของพระพี่เลี้ยงทำให้วสินารีนิ่งคิด
“จริงฤ พี่สินสมุทร”ธิดาแห่งเมืองบาดาลถาม
“เพคะ เชื่อสินสมุทรเถิด”นางพระพี่เลี้ยงตอกย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจ

ทางด้านวนันทะนั่งหน้าบึ้ง ห้วงคำนึงนึกถึงเพียงแค่ชายาคนใหม่ จิตใจสับสนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใจหนึ่งหวั่นเกรงกลัวนางเคืองโกรธ อีกใจก็นึกโมโหที่นางไม่หึง
“เสด็จพี่”เสียงของลันวตีดังขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายได้แต่นั่งนิ่ง
“อะ!”เขาตกใจ หันมาตามเสียงของนาง
“ใจลอยไปไหนเพคะ”ลันวตีถาม
“ข้า ..”วนันทะถอนหายใจ รู้สึกตึงเครียด
“พระองค์ประทับอยู่กับหม่อมฉัน ไยเหม่อลอย”นางตัดพ้อน้อยๆ
“ข้าขอโทษ”เขากล่าวอย่างเสียไม่ได้
ลันวตีมองอาการของผู้เป็นสวามีก็พอจะรู้ได้ว่า เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ความรักของเขาที่เคยมีให้นาง บัดนี้จางหาย

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

พญานาคหนุ่มนามไวษคิณขึ้นมาจากเมืองบาดาล เพื่อมาดูความเป็นไปของวสินารี เขาต้องการดูให้มั่นใจว่า ชีวิตนางสุขหรือทุกข์เพียงใด
เกือบปีแล้วที่นางแต่งงานกับโอรสแห่งสุวระปุระนคร และนานแรมปีเช่นกันที่เขาไม่อาจทำใจกับการสูญเสียนางให้มนุษย์
“พระธิดาเพคะ ท่านไวษคิณมาเยี่ยมเยือนเพคะ”สินสมุทรเข้ามารายงาน
“จริงฤ”วสินารีปรีดาที่จะได้พบกับแม่ทัพหนุ่มจากเมืองบาดาล จึงรีบออกไปพบเจอ
เมื่อเดินเข้ามาในห้องต้อนรับ วสินารีก็ได้เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางห้องโถง
“ไวษคิณ”แม้นเขาจะยืนหันหลังให้ แต่นางจำได้ดี
เสียงเรียกของวสินารีทำให้ไวษคิณหันมามอง
“พระธิดา”เขาเรียกขาน
“ข้าปรีดายิ่งที่ท่านมาเยือน”นางพูด
“แต่หม่อมฉันปรีดายิ่งกว่า”แม่ทัพจากเมืองบาดาลกล่าว ขณะที่มองสบตากัน
“ทุกครั้งที่ข้ากลับไปเยือนเมืองบาดาล ข้าไม่เคยได้พบเจอท่าน แต่ครานี้เป็นท่านที่มาเยี่ยมเยือนข้าถึงสุวระปุระ”วสินารีใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยินดีที่ได้พบเจอเขา

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

วนันทะเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ แค่เพียงหนึ่งราตรีที่ไม่ได้อยู่กับพระสนมคนใหม่ เขาก็แทบจะสิ้นลม เมื่อไม่มีนางเคียงกาย
“เหตุใดข้าคิดถึงเจ้าทุกลมหายใจเข้าออก”วนันทะถามตัวเอง
“ข้าไม่เคยเป็นเช่นนี้กับหญิงใด แม้แต่ลันวตี”เขาบอกไม่ได้ว่าทำไมความรู้สึกที่มีต่อพระสนมคนใหม่จึงสร้างความทรมานให้ตัวเองได้มากเพียงนี้

รัก หรือ หลง
ยังคงแยกไม่ออก บอกไม่ได้ว่าเป็นความรู้สึกใด
หรืออาจจะเป็นไปทั้งสองอย่าง ทั้งรัก ทั้งหลง

วนันทะไม่คิดหาเหตุผลใดอีก เพราะตอนนี้เขาใช้หัวใจมากกว่าใช้สมอง จึงยอมให้ใจเป็นนาย พากายกลับไปหานาง
“เสด็จพี่ จะเสด็จไหนเพคะ”ลันวตีตื่นขึ้นขณะที่เขากำลังจะเดินออกไป
“ข้าจะกลับไปหานารี”วนันทะหันมองพระสนมที่ลุกจากแท่นบรรทม แล้วเดินมาหาเขา
“ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่ยอมให้เสด็จพี่เสด็จ”ลันวตีกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปกอดสวามีไว้จากทางด้านหลังของเขา
“หม่อมฉันไม่ยอม เสด็จพี่ต้องรักหม่อมฉัน อยู่กับหม่อมฉัน”นางพูดพร้อมทั้งกระชับอ้อมแขนที่กอดรัดเขาแน่นขึ้น
วนันทะนิ่ง ใบหน้ากลัดทุกข์ ไม่อยากทำร้ายจิตใจนาง แต่ก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจตัวเองเช่นกัน
“ข้าต้องไป”เขายืนกรานคำเดิม
เมื่อได้ฟังคำ ลันวตีก็รู้สึกเหมือนอ่อนแรง มือที่โอบกอดเขาค่อยๆ คลายออกราวกับไร้เรี่ยวแรงจะรั้งไว้ น้ำตาร่วงไหลลงมา
วนันทะเดินจากไป ไม่หันกลับมามอง ปล่อยให้นางร่ำร้องด้วยความโศกา

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

วสินารีกำลังพูดคุยกับไวษคิณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นานมากแล้วที่ไม่ได้พบเจอชายที่รักดั่งพระเชษฐา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายหาได้รักนางดั่งน้องไม่ ใจของเขาแอบเสน่หาวสินารีมาโดยตลอด แต่นางไม่เคยรู้
ขณะนั้นเอง เสียงของพระพี่เลี้ยงคนโปรดดังเข้ามาก่อนตัว ทำให้วสินารีและไวษคิณหันไปมองเป็นตาเดียว
“เกิดเรื่องแล้วเพคะพระธิดา”สินสมุทรรีบนั่งพับเพียบ พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ตอนนี้องค์วนันทะเสด็จกลับตำหนัก แต่ไม่เจอพระสนมนารี ตอนนี้นางกำนัลและทหารช่วยกันตามหาเป็นการใหญ่เลยเพคะ”
“จริงฤ พี่สินสมุทร”วสินารีตกใจ ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะบานปลายอย่างที่เป็น
“หม่อมฉันคิดว่า พระธิดารีบแปลงกายสู่ร่างมนุษย์ แล้วรีบเสด็จกลับตำหนักโน้นเถิดเพคะ”นางพี่เลี้ยงแนะนำ
“ได้”วสินารีรีบทำตามคำนั้น
ไวษณพงุนงงกับเหตุการณ์ชุลมุน ไม่เข้าใจเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น
“ข้าต้องรีบกลับไปตำหนักโน้น ขอขมาด้วยเถิดท่านไวษณพ”วสินารีกล่าวก่อนจะเดินจากไปอย่างรีบร้อน
“ช้าก่อน พระธิดา”เขาพยายามรั้งนาง แต่ไม่ทัน
“มีเรื่องอันใด”ไวษคิณเป็นกังวล ห่วงใยวสินารียิ่งนัก จึงรีบเดินตามไป

ทางด้านวนันทะพยายามขบคิดว่า พระสนมคนโปรดไปอยู่หนใด ในเมื่อตามหาจนทั่วก็ไม่มีใครพบเจอ
“หรือว่า ..”เขาคิดว่ายังมีอีกที่ที่ยังไม่มีใครไปตามหานาง
“ตำหนักนาคราช”วนันทะเอ่ยสถานที่ที่แทบไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าย่างกรายเข้าไป
“แย่แล้ว”เขาเป็นห่วงพระสนมคนใหม่จะตกอยู่ในอันตราย จึงรีบรุดไปปราสาทนาคราช

ทางด้านไวษคิณได้เดินมาดักทางข้างหน้า ไม่ยอมให้วสินารีไป จนกว่าจะบอกเขาว่าเกิดเรื่องเดือดร้อนใด ไยแตกตื่นกันนัก
“เกิดเรื่องใดฤาพระธิดา ไยวุ่นวายกันไปหมด”ไวษคิณสงสัย
“ข้า ..”นางไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน ท่านคงไม่เข้าใจข้า”วสินารีกล่าว
“กระหม่อมหรือที่ไม่เข้าใจ ไม่ว่าเกิดเรื่องใด หม่อมฉันจะคอยช่วยพระธิดาอยู่ร่ำไป หรือตอนนี้พระองค์ลืมเลือนไปแล้ว”เขาถามด้วยความน้อยใจ
“ท่านไวษคิณ”นางมองด้วยความซึ้งใจในความห่วงใยที่เขามีให้เรื่อยมา

“ตอนนี้ข้า ..”วสินารีกำลังจะเล่าเรื่องราวโดยคร่างๆ ให้เขาฟัง แต่ดูเหมือนจะมีเสียงใครบางคนที่ทำให้นางพูดต่อไม่ออก
“นารี”วนันทะเรียกวสินารีในร่างมนุษย์ ซึ่งเขารู้จักในนามนารี
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”ผู้เป็นสวามีถามพร้อมทั้งเดินเข้ามาเรื่อยๆ
“หม่อมฉัน ..”นางอ้ำอึ้ง มองหน้าเขาแล้วมองหน้าไวษคิณสลับกันไปมา
“คือ ..”นางตะกุกตะกัก พูดไม่ออก บอกไม่ถูก
ไวษคิณหันไปมอง จึงได้เห็นวนันทะที่มองจ้องอยู่ที่เขาก่อนแล้ว

“พวกเมืองบาดาล”วนันทะมองรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย ก็รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์
“มาหาข้า นารี”ผู้เป็นสวามีสั่ง
วสินารีมองไวษคิณอีกครั้งก่อนจะเดินไปหาวนันทะ จากนั้นก็โดนเขาจับมือแล้วดึงนางให้เดินตามไป
วสินารีหันกลับมามองไวษคิณอีกครั้ง ราวกับจะขอขมาที่เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น

*¬¬¬¬¬__________________________________________*

เมื่อกลับมาถึงตำหนัก วนันทะก็ตำหนิพระสนมคนโปรดเป็นการใหญ่
“ข้าขอสั่งห้าม ไม่ให้เจ้าไปตำหนักนาคราช”เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าขึงขัง
“เหตุใดหม่อมฉันจะไปไม่ได้เพคะ”นางต้องการเหตุผล
“ที่นั่นอันตรายเกินไป เจ้าไม่รู้หรือไรว่านั่นเป็นที่อยู่ของพวกพญานาค ไม่มีมนุษย์คนใดกล้าเข้าไปปะปนดอก”วนันทะกล่าว
“พวกนาคีนาคาโหดร้ายถึงเพียงนั้นเลยฤา”วสินารีมองสบตาเขานิ่ง
“อย่าไว้ใจอมนุษย์เป็นดี”เขาตอบ
“อมนุษย์”นางย้ำคำที่ตำใจตัวเอง น้ำตาร่วงด้วยความน้อยใจเมื่อได้ยินสวามีดูแคลนเผ่าพันธุ์นาคราช

“เจ้าร้องไห้ด้วยเหตุใด”วนันทะเริ่มอ่อนลง เมื่อเห็นน้ำตาของผู้เป็นที่รัก
“หม่อมฉัน ..ซึ้งใจที่พระองค์ห่วงใย”วสินารีเช็ดน้ำตาแล้วเมินหน้าไปทางอื่น
เขาดึงร่างนางเข้าไปกอด ราวกับจะบอกให้รู้ว่านางมีค่าเพียงใด
“หากเกิดอันตรายกับเจ้า ข้าคงสิ้นใจ”วนันทะพูดตามความรู้สึก
“หากวันหนึ่งวันใดหม่อมฉันแก่ชรา หรือวันใดวันหนึ่งเกิดอัปลักษณ์เฉกเช่นพระนางวสินารี พระองค์จะรักหม่อมฉันไหม”พระสนมคนโปรดตั้งคำถาม
“เหตุใดเจ้าถามข้าเยี่ยงนี้”เขาใคร่รู้
“ตอบหม่อมฉันเถิด ยังจะรักหม่อมฉันหรือไม่”นางยังคงต้องการคำตอบ

“ข้ารักไปแล้ว คงยากที่จะเลิกรักได้ ต่อให้เจ้าเป็นอย่างไร ข้าก็จะรักเจ้าตลอดไป”วนันทะน้ำเสียงจริงจัง สองแขนโอบรัดร่างนางแน่นขึ้น
“นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าขอสาบานว่า เจ้าจะเป็นหญิงเดียวในใจ ..หญิงเดียวที่ข้าจะรักไปทุกๆ ชาติภพ”เขาสาบาน
“อย่าสาบาน หากเสด็จพี่ทำไม่ได้”วสินารีกล่าว
“พี่ไม่เคยผิดคำพูด”วนันทะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

*¬¬¬¬¬__________________________________________*




ฟินนิกซ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.พ. 2557, 08:48:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.พ. 2557, 08:48:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1446





<< ตอนที่ 1 สุวระปุระ   ตอนที่ 3 >>
Sukhumvit66 9 ก.พ. 2557, 19:06:18 น.
เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มไหมค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account