หัวใจเดิมพันรัก
หนี้สิน ฆ่าตัวตาย ชีวิตใหม่ ความรัก และอุปสรรค โชคชะตาจะนำพาไปในทิศทางใด....
Tags: หนี้สิน

ตอน: บทที่ 1

บทที่ 1

ภูมิรพีมองหญิงสาวที่พากลับมาด้วยเมื่ออาทิตย์ก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะติดต่อญาติของเธอได้ที่ไหน ทั้งยังไม่มีเวลาเหลือพอที่จะเสาะหาอีกด้วย ครั้นจะทิ้งคนป่วยไว้แบบนั้นก็ใจดำไม่พอ ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่ วันๆ เอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงระเบียงหน้าเรือน ข้าวปลาก็ไม่ค่อยยอมกิน ผ่านมาได้ไม่กี่วันเขายังรู้สึกได้ว่าเธอผอมลงไปจากเดิมมาก ขืนปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ดีแน่ วันนี้คงต้องลองพูดคุยกันอย่างจริงจังสักที

“คุณทำงานที่นี่นานหรือยังคะ” เพราะรับรู้การปรากฏตัวของผู้มีพระคุณ พิจิกาจึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา

“นานแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ไม่ได้ขยายความใดต่อ

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ตายสมใจแล้ว” คนต่างถิ่นยิ้มเยาะตัวเอง

“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ แต่คนเราย่อมที่จะมีช่วงวิกฤติของชีวิตกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับมันยังไง ถ้าคุณอยากระบายมันออกมาบ้าง ผมก็ยินดีรับฟังนะ” ชายหนุ่มเสนอตัวเป็นผู้ฟังที่ดี

“ฉันก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะฆ่าตัวตาย คุณเคยได้ยินไหมคะว่า ภายใต้จิตสำนึกของคนเราจะมีด้ายอยู่เส้นหนึ่งที่มีอิทธิพลกับเรามาก ถ้าคุณรักษามันเอาไว้ได้ ชีวิตของคุณก็จะได้ก้าวต่อไปข้างหน้า แต่ถ้ามันขาดลงกลางคันมันก็คือมัจจุราชที่ปลิดชีวิตคุณนั่นเอง”

“ผมดีใจที่เป็นคนต่อด้ายเส้นนั้นให้กับคุณนะ คนเราทุกคนไม่มีใครไม่มีปัญหา อยู่ที่ว่าเราพร้อมจะต่อสู้กับมันหรือเปล่า คุณผิดหวังในเรื่องของความรักหรือเปล่าครับ” เจ้าของบ้านลองสันนิษฐาน

“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ มันเป็นผลพ่วงที่ตามมามากกว่า ไหนๆ คุณก็เป็นคนต่อชีวิตให้ฉัน ฉันก็จะเล่าให้คุณฟัง เมื่อสองอาทิตย์ก่อน คนรักของฉันโทรมาบอกเลิกให้เหตุผลว่าเขามีคนใหม่แล้ว มีมานานแล้วและหมดรักฉันมาตั้งนานแล้ว ฉันถามเขาว่าเมื่อหมดรักกันแล้วทนคบกันอยู่ทำไม คุณรู้ไหมเขาตอบฉันว่าอะไร” หญิงสาวหันไปถามคนนั่งข้างๆ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ

“เขาตอบฉันว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องเก่า พูดได้เฉพาะเรื่องวันนี้ ถ้าไม่พูดคุยกันดีๆ ก็ไม่ต้องพูดไม่อยากฟัง ฉันถามว่าฉันไม่มีสิทธิ์รู้เหตุผลที่ถูกทิ้งอย่างนั้นหรือ ฉันทำอะไรผิด ไม่รักกันแล้วคุณทำเพื่ออะไร คำตอบที่ได้รับ มันเจ็บกว่าที่เขาบอกเลิกฉันอีก เขาต้องการแค่รถกับเงินของฉันเท่านั้น” พิจิกาหัวเราะให้กับความโง่เขลาของตัวเอง

“เมื่อปีก่อนเขาอยากซื้อรถ ฉันก็ค้านเพราะกลัวว่าจะไม่มีเงินผ่อน แต่เขาก็ให้เหตุผลว่ารถจะทำให้ทำงานสะดวกขึ้น เมื่อคิดถึงผลได้ผลเสีย เราก็ตกลงใจออกรถโดยใช้ชื่อเขาเป็นคนซื้อ ส่วนฉันเป็นคนค้ำ รถคันนี้เราออกค่างวดคนละครึ่ง เพราะคิดว่ามันเป็นรถของเรา แต่ปรากฏว่าบางเดือนฉันก็ต้องหาเงินจ่ายค่างวดคนเดียว เพราะเขาหมุนเงินไม่ทัน ฉันไม่มีโอกาสรู้เลยว่าที่เขาหมุนเงินไม่ทันเพราะธุรกิจ หรือเพราะผู้หญิงคนนั้นกันแน่” หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บจี๊ดๆ ตรงหัวใจ

“เงินก้อนสุดท้ายที่ฉันเก็บไว้ก็เอาไปลงทุนทำธุรกิจกับเขา และมีช่วงหนึ่งเงินในร้านหมุนไม่ทัน ก็เป็นฉันอีกที่ไปกู้เงินออกมาพยุงร้านเอาไว้ ผ่านไปได้สามสี่เดือนฉันก็ตกงาน ฉันไม่เคยเอ่ยปากเรื่องเงินกับเขาเลยสักครั้ง นอกจากจะโทรไประบายบ้างว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีเงินใช้ ไม่รู้จะได้งานเมื่อไหร่ เขาคงกลัวว่าฉันจะขอเงินมั้งคะ และคงคิดว่าถึงเวลาที่เราควรต่างคนต่างไปได้แล้ว” น้ำตาไหลออกมาเพื่อช่วยชะล้างบาดแผลที่มองไม่เห็นอีกครั้ง

“ฉันต้องการให้เขาจัดการเรื่องเงินกู้ และให้หาคนมาค้ำประกันรถแทนฉัน ในเมื่อเลิกกันแล้วก็ควรจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่เขากลับไม่ยอมรับรู้อะไรเลย หายเงียบเข้ากลีบเมฆ ติดต่อไม่ได้”

“เขาไม่ได้อยู่ที่เดียวกับคุณหรือ” ภูมิถามหลังจากนั่งฟังอยู่นาน

“เขาอยู่อีกจังหวัดค่ะ ครั้งแรกก็บอกฉันว่าได้งานที่ต่างจังหวัด ต่อมาก็บอกว่าจะทำอาชีพเสริมหารายได้เพิ่มและชวนฉันลงหุ้นด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นของฉัน”

“แล้วคุณจะทำยังไงต่อไป”

“ฉันก็ยังไม่รู้ เพราะฉันทำทุกวิธีแล้ว เริ่มจากโทรไปคุยกับแม่ของเขา ขอให้ช่วยเหลือฉันหน่อย ฉันแค่ต้องการจัดการเรื่องที่ยังค้างคากันอยู่ให้จบ แต่แม่ของเขาก็ทำให้ฉันเจ็บซ้ำสอง เพราะไม่ยอมรับรู้อะไรเลย และไม่เชื่อว่าลูกชายจะเป็นคนแบบนั้น ไม่เชื่อว่าลูกชายตัวเองเลวขนาดหลอกผู้หญิงได้ ทั้งยังกำชับไม่ให้ฉันติดต่อกับลูกชายเขาอีก เพราะกลัวลูกชายมีปัญหากับแฟนใหม่ ส่งผลกระทบกับงานจนทำให้ครอบครัวเดือดร้อน” พิจิกายกมือกุมที่หัวใจตัวเอง ความปวดร้าวมันจี๊ดมาอยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ฉันก็ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า แล้วที่ฉันเดือดร้อนอยู่นี่ ทำไมไม่คิดบ้างว่าพ่อแม่ของฉันจะรู้สึกยังไง เป็นทุกข์แค่ไหน ส่วนเรื่องรถ แม่ของเขาก็บอกว่า ตอนไปออกรถด้วยกันไม่เคยบอก พอเกิดเรื่องแล้วจะมาให้เขารับรู้ เขาช่วยอะไรไม่ได้หรอก ฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร นี่นะหรือคนเป็นผู้ใหญ่ เขาทำกับฉันแบบนี้หรือ” ภูมิรพีเอื้อมมือไปบีบมือหญิงสาวอย่างให้กำลังใจ รู้สึกสงสารในโชคชะตาของคนตรงหน้าจับใจ

“ฉันคงไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าครอบครัวของเขาไม่เคยขอความช่วยเหลือจากฉัน ตอนที่แฟนฉันไปทำงานต่างจังหวัดส่งเงินมาไม่ทัน แม่ของเขาก็โทรมาขอเงินฉัน แล้ววันนี้พวกเขาทำกับฉันยังไง จากนั้นฉันก็ลองติดต่อน้องสาวของเขา เผื่อว่าเป็นผู้หญิงด้วยกันจะเห็นใจกัน แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิมคือไม่สามารถติดต่อได้อีก สรุปก็คือทุกคนพร้อมใจกันโยนขี้ไว้ที่ฉัน”

“ฉันเคยคิดนะว่าทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลกกับฉันแบบนี้ ในขณะที่ฉันทุกข์แสนสาหัส เขากลับอยู่กันอย่างสุขสบายมีเงินใช้ มีความสุข ไม่ต้องรับภาระหนี้สินอะไร ธุรกิจที่ลงทุนร่วมกันก็คงกลายเป็นของเขากับผู้หญิงคนนั้น” คนมีทุกข์ตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตตกอับ หากลืมคิดไปว่าตนก็มีส่วนที่ทำให้ตัวเองต้องมายืนอยู่ตรงปากเหว

“แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นได้จริงๆ หรอก อย่างน้อยผู้ชายคนนั้นก็หาความภาคภูมิใจในตัวเองไม่ได้เลย ส่วนผู้หญิงคนนั้นจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้างหรือครับ ที่ทำกับลูกผู้หญิงด้วยกันแบบนี้” ภูมิรพีคิดว่าเวลานี้หญิงสาวคงไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าต้องการเพื่อนคุย

“แต่กว่าที่เขาจะรู้สึก ฉันก็คงแทบจะไม่เหลืออะไรอีกแล้วล่ะ ตอนนี้ครอบครัวของฉันก็ไม่ได้มีรายได้อะไรมากมาย พ่อกับแม่มีเพิงขายน้ำชากาแฟเล็กๆ เท่านั้น ส่วนตัวฉันก็ตกงาน ไหนภาระหนี้สินที่ต้องหามาจ่ายทุกเดือน ฉันก็ยังไม่รู้จะบอกท่านยังไง” พิจิกาถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า อย่างคนคิดไม่ตก

“เพราะแบบนี้ใช่ไหมคุณถึงได้ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นฉันคิดไม่ตกจริงๆ บางทีมันก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยู่ไปก็ไร้ค่า มีแต่สร้างความเดือดร้อนให้พ่อกับแม่ บางครั้งฉันก็อยากจะลุกขึ้นสู้ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนที่ไม่ยอมแพ้ มันจะล้มไม่เป็นท่าอีกหรือเปล่า”

“แต่ผมอยากให้คุณลุกขึ้นสู้นะ ชีวิตของเรามันมีค่ามากกว่าอะไรทั้งหมด ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เราก็สามารถทำทุกอย่างได้ แต่ถ้าไม่มีลมหายใจแล้ว คุณก็จะไม่สามารถทำอะไรได้อีก และไม่มีสิทธิ์แก้ไขในสิ่งที่ผิดได้อีกด้วย”

“ขอบคุณค่ะ ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันก็คิดอะไรได้หลายอย่าง ฉันคงไม่ไปรบราฆ่าฟันกับพวกเขาให้มารับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำกับฉันแล้วล่ะ ฉันขออโหสิกรรมในทุกๆ เรื่อง ฉันจะถือว่าเมื่อชาติก่อนฉันคงทำกับพวกเขาเอาไว้เยอะ ชาตินี้ถึงต้องตามมาชดใช้ให้ และหวังว่าฉันจะชดใช้ให้กับพวกเขาหมดแล้ว เราจะได้ไม่ต้องมาพบเจอกันอีก” เมื่อได้ปลดปล่อยความทุกข์ออกไป สมองที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลาย การได้อยู่เงียบๆ ในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้กระบวนการคิดเป็นระบบระเบียบขึ้น

“ท่าทางคุณคงแค้นพวกเขาน่าดู” ภูมิรพียิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของคนตรงหน้า

“หน้าของฉันแสดงออกขนาดนั้นเลยหรือคะ”

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แต่เกิดเรื่องขนาดนี้ไม่รู้สึกแค้นบ้างก็คงแปลก”

“ที่นี่บรรยากาศดีนะคะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องพูด เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะไปคิดถึงเรื่องนั้นอีก

“คุณอยากทำงานที่นี่หรือเปล่าล่ะ”

“คุณจะช่วยฉันหรือยังไง อายุฉันไม่ใช่น้อยแล้วนะ แต่ละที่รับสมัครพนักงานก็จำกัดอายุไม่เกิน 25-28 ปีทั้งนั้น” นี่เป็นอีกอุปสรรคที่ทำให้เธอตกงานอย่างทุกวันนี้

“พูดยังกับว่าคุณแก่มากแล้ว อายุจะสักเท่าไหร่เชียว” ภูมิรพีถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“32 แล้วนะคุณ”

“ผมยังแก่กว่าคุณอีกทำไมยังทำงานได้เลย”

“ไม่ได้หมายความว่าทำงานไม่ได้ แต่หมายถึงว่าคนรุ่นใหม่ได้รับโอกาสมากกว่าก็เท่านั้นเองค่ะ” เธอส่งยิ้มให้เขา

“ผมว่าหน้าคุณเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่านั่งเศร้าหรือร้องไห้อีกนะ”

“ฉันจะพยายามค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง แล้วก็ที่พักด้วย พรุ่งนี้ฉันคงต้องกลับบ้านเสียที” พิจิกาถือโอกาสขอบคุณและบอกลาผู้ให้ความช่วยเหลือในคราเดียว

“ตกลงจะไม่ทำงานด้วยกันหรือครับ”

“คุณเส้นใหญ่ขนาดฝากคนเข้าทำงานได้ด้วยหรือคะ แต่ฉันไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ถ้าทำงานได้ไม่ดี คนฝากจะเสียชื่อเปล่าๆ แล้วเราก็เพิ่งรู้จักกัน เจ้านายคุณจะไว้ใจฉันได้ยังไงคะ” หญิงสาวปฏิเสธอย่างมีเหตุผล

“ผมพาคุณทัวร์ดีกว่า เผื่อคุณจะเปลี่ยนใจ”

“จะดีหรือคะ คุณจะไม่โดนว่าหรือคะที่พาคนนอกเข้าไปโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของก่อน”

“รับรองครับว่าผมไม่โดนคาดโทษแน่ๆ ไปกันดีกว่าครับ” ภูมิรพีลุกขึ้นเดินนำเธอไปที่รถจิ๊ปที่จอดอยู่หน้าบ้าน ทั้งสองคนขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางเข้าไปในสวนส้ม

“ที่นี่คือสวนส้มพนารักษ์ครับ เราจะปลูกส้มสายน้ำผึ้งเป็นหลัก แล้วก็มีโซนสำหรับปลูกสตอว์เบอร์รี่อยู่อีกฝั่ง ซึ่งจะปลูกในโรงเรือนเพื่อควบคุมแมลงได้ง่ายขึ้น” เจ้าถิ่นเริ่มต้นเล่ารายละเอียดคร่าวๆ ของสถานที่ก่อน

“ปลูกส้มเยอะไหมคะ”

“เนื้อที่ทั้งหมดของพนารักษ์เกือบสองพันไร่ครับ”

“เยอะไม่ใช่เล่นเลยนะคะ อย่างนี้ต้องใช้คนงานเยอะไหมคะ” พิจิกาตาโตกับความกว้างใหญ่ของสวนส้มแห่งนี้

“ก็เยอะครับ เจ้าของอยากให้คนในพื้นที่ทำงานในบ้านเกิดครับ เริ่มจากปลูกไม่กี่ร้อยไร่ แล้วขยายจนกระทั่งเต็มพื้นที่อย่างในปัจจุบันนี้นี่แหละครับ” นี่คือปณิธานของผู้บุกเบิกอาณาจักรแห่งนี้

“เป็นความคิดที่ดีมากเลยค่ะ เป็นการสร้างงานให้กับคนในพื้นที่ด้วย”

“ถึงแล้วลงไปดูต้นส้มกันใกล้ๆ ดีกว่าครับ” สองหนุ่มสาวเดินลงจากรถ ยังเดินไปไม่ถึงแปลงส้ม ก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังมาแต่ไกล

“นาย” ‘นาย’ หันไปตามเสียงเรียก

“มีอะไรไอ้จืด”

“อ้าว! ก็นายไม่กลับไปเรือนใหญ่หลายวันแล้ว แม่นายถามถึง ผมก็บอกว่านายพักอยู่เรือนเล็ก แล้วนั่นใครครับ” ไอ้จืดรายงานจบเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างนายก็อดถามไม่ได้

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเอ็งด้วย”

“ไม่เกี่ยวกับหรอกครับ แต่ไอ้จืดอยากรู้ คุณเป็นใครหรือครับ” เมื่อคนเป็นนายไม่ตอบก็หันไปถามหญิงสาวแทน

“ไอ้จืด เอ็งชักจะลามปามใหญ่แล้วนะ” คนเป็นนายเอ่ยปรามเสียงเข้ม

“ขอโทษครับนาย” ลูกน้องยิ้มแหยๆ ส่งไปให้

“ฉันชื่อพายค่ะ” พิจิกาแนะนำตัวเองง่ายๆ

“ผมชื่อจืด เป็นคนสนิทของเจ้าของที่นี่ครับ” ไอ้จืดยืดให้กับตำแหน่งของตัวเองเต็มที่

“แล้วเจ้านายของนายจืดอยู่ไหนจ๊ะ ฉันจะได้เข้าไปทักทายและขออนุญาตเยี่ยมชมสวนด้วย” แขกของ ‘นาย’ ถามเพราะคิดว่าเมื่อคนสนิทอยู่แถวนี้ เจ้านายก็คงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก

“อ้าว! ก็นี่ไงครับ” จืดชี้ไปที่คนที่ยืนข้างๆ หญิงสาวด้วยสีหน้างงๆ

“นี่หรือคะ” หญิงสาวย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ชัวร์ที่สุดเลยครับ คนนี้แหละเจ้านายของผม นายภูมิรพี พนารักษ์ เจ้าของสวนส้มพนารักษ์แห่งนี้ครับ” พิจิการู้สึกว่าตัวเองหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำไมเขาไม่บอกเธอว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่

“ฉันขอโทษด้วยนะคะคุณภูมิรพี ที่ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร นายจืดพาฉันชมสวนส้มหน่อยได้ไหมจ๊ะ” หญิงสาวหันไปมองหน้าเจ้าของสถานที่แววตาขุ่น จากนั้นก็ตวัดสายตามามองจืดด้วยสายตาปกติ

“เชิญครับ” พิจิกาเดินนำหน้าไปไม่สนใจคนเป็นนายอีก

“เดี๋ยวครับคุณพาย” ชายหนุ่มตะโกนเรียกหญิงสาวก่อนหันมาจัดการไอ้จืด “เอ็งทำเรื่องให้ข้าอีกแล้วนะ จะไปไหนก็ไปเลยไป”

“อ้าว! จะให้ผมไปไหนครับนาย ก็คุณพายให้ผมพาชมสวน”

“ไม่ต้อง ข้าพาเขาไปดูเองได้ เอ็งจะไปไหนก็ไป” ภูมิรพีเดินตามหญิงสาวไป

“นาย นาย แล้ววันนี้จะกลับเรือนใหญ่หรือเปล่า” เมื่อไม่ได้รับคำตอบไอ้จืดก็ได้แต่เกาหัวแกรกๆ

“คุณพายโกรธผมหรือครับ” ภูมิรพีถาม เมื่อเดินตามเธอทัน

“เปล่าหรอกค่ะ เพียงแต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองโง่ยังไงก็ไม่รู้” ปากปฏิเสธแต่สีหน้านะโกรธชัดๆ คนมองคิด

“ทำไมถึงว่าตัวเองอย่างนั้นล่ะครับ ถ้าคุณมองตัวเองไม่ดีแบบนั้น คุณจะให้คนอื่นมองคุณดีได้ยังไงกัน”

“ฉันก็ไม่เคยต้องการให้ใครมองว่าฉันดีอยู่แล้วนี่คะ คนไร้ค่าอย่างฉัน มันไม่เคยมีอะไรดีอยู่แล้ว” พิจิกาเดินเข้าไปหาคนงานที่กำลังเก็บส้มอยู่อย่างระงับอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง

“น่าทานจังเลยค่ะ” เธอชวนคนงานหญิงคนนั้นคุย

“หวานมากด้วยนะเจ้า ลองชิมไหมเจ้า” คนงานหญิงเห็นว่าคนชวนคุยมากับเจ้านาย จึงส่งส้มที่เพิ่งเก็บมาส่งให้ทดลองชิม

“ขอบใจจ้ะ” พิจิการับส้มมาพร้อมส่งยิ้มให้คนงานใจดี

“ตราบใดที่คุณยังมองว่าตัวเองไร้ค่า คุณก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่แล้วล่ะคุณพาย ผมไม่น่าต่อด้ายเส้นนั้นให้กับคุณเลย คนที่ไม่เคยคิดจะลุกขึ้นยืน ต่อสู้ให้กับตัวเอง จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกัน” ภูมิรพีรู้สึกหงุดหงิดกับอาการยอมจำนนต่อโชคชะตาของอีกฝ่าย

“นั่นสิคะ ฉันสมควรตายไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว แต่ถ้าคิดจะตายตอนนี้ก็คงยังไม่สายใช่ไหม” พิจิกาหันไปบอกชายหนุ่ม ก่อนที่จะเดินออกจากแปลงกลับไปตามทางที่นั่งโดยสารรถของภูมิรพีมา

ความรู้สึกท้อแท้เกาะกินหัวใจ ดูเหมือนทุกอย่างมืดแปดด้านไปหมด ไม่มีแสงสว่างส่องทางให้เลย ไม่รู้ต้องคลำหาทางออกอีกนานแค่ไหน ใจที่เป็นทุกข์ ใจที่มันเจ็บ เมื่อไหร่มันถึงจะหาย น้ำตาที่ไม่คิดว่ามันจะไหล มันก็ถูกกลั่นออกมาอีกครั้ง กำลังใจที่จะใช้ต่อสู้กับชีวิตมันหายไปไหนหมด ทั้งๆ ที่พยายามจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ แต่ก็ได้เพียงไม่นาน หรือเธอสมควรตายจริงๆ

พิจิกาทรุดลงนั่งข้างทางหมดแรงเดินเสียดื้อๆ ชันเข่าขึ้นมาก้มหน้าก้มตาร้องไห้ ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากร้อง เมื่อไหร่น้ำตามันจะหมดไปจากใจเสียที แล้วคนที่ขับรถตามมาก็ลงจากรถตรงเข้าไปหาร่างที่นั่งหมดแรงอยู่

“พาย พี่ขอโทษ พี่แค่อยากให้พายฮึดสู้เท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความแบบนั้นเลยนะ” ภูมิรพีรั้งตัวเธอเข้ามากอด ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่พยายามแสดงออกเลย ทั้งยังพร้อมจะแตกสลายเอาง่ายๆ เหมือนแก้วที่เปราะบาง

“ร้องซะให้พอ แล้วพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องร้องอีก เอาความทุกข์มันออกมาให้หมด ต่อไปพายต้องเป็นคนใหม่ ไม่ใช่คนอมทุกข์แบบนี้ เข้าใจที่พี่บอกหรือเปล่า” ภูมิรพีพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างขวัญและกำลังใจให้อีกฝ่าย และสร้างความสนิมสนมมากขึ้น เพราะอยากให้หญิงสาวรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้

“พี่หรือคะ คุณภูมิรพีให้เกียรติผู้หญิงอย่างฉันมากเกินไปหรือเปล่า” พิจิกาเงยหน้าถาม

“พี่อายุมากกว่าพายตั้งหลายปี แล้วทำไมถึงเป็นพี่ของพายไม่ได้ล่ะ อย่าคิดทำร้ายตัวเองอีกเลยนะ ที่ผ่านมาถือว่ามันเป็นประสบการณ์ชีวิต เป็นบททดสอบของชีวิต ถ้าพายผ่านช่วงนี้ไปได้ พี่เชื่อว่าพายจะแกร่งกว่านี้ เข้มแข็งกว่านี้ และเมื่อถึงวันนั้น พายจะรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสจนเราทนไม่ได้”

“ขอบคุณค่ะ” พิจิกาพูดแค่นั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาร้องไห้ โดยมีพี่ชายคนใหม่คอยลูบหลังปลอบโยน ท่ามกลางสายตาคนงานที่ผ่านไปผ่านมา หลังจากที่ฟูมฟายจนหมดก๊อกไปแล้ว ภูมิรพีก็พาคนขี้แยกลับมาพักที่เรือนหลังเล็ก

“อาบน้ำแล้วก็พักผ่อนนะ พี่จะออกไปตรวจงานก่อน เที่ยงนี้อยากกินอะไรพี่จะให้คนเอามาให้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจัดการเองได้ ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณภูมิรพี”

“พี่ภูมิครับ แล้วต่อไปก็แทนตัวเองว่าพาย ตกลงนะครับ” พิจิกาใช้ความคิดอยู่สักครู่ก็พยักหน้ารับ เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจ ชายหนุ่มก็ขอตัวกลับไปทำงานของตัวเองต่อ



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2557, 08:55:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 เม.ย. 2557, 09:01:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1354





<< บทนำ   บทที่ 2 >>
เดิมเดิม 16 เม.ย. 2557, 14:55:11 น.
นางเอกของเราเจออย่างหนัก


ใบบัวน่ารัก 16 เม.ย. 2557, 19:40:47 น.
แสนเศร้ากะพาย
ให้เลือกใหม่นะคะ อยากเป็นพี่ชาย หรืออยากเป็นแฟน
ให้เวลาคิดนะคะ


ปลาวาฬสีน้ำเงิน 16 เม.ย. 2557, 22:26:50 น.
ส่งสัยจัง ว่าลงน้ำทะเลจะตาย แล่้วมาอยู่เหนือที่ปลูกส้ม สตอเบอรี่ได้ยังไงเอ่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account