Adriana
สมบัติล้ำค่าที่สองแคว้นต่างแย่งชิงได้สูญหายไป แต่ทว่าเสี้ยวหนึ่งแห่งพลังอำนาจนั้น กลับแฝงเร้นอยู่ในตัวหญิงสาว ผู้ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นสายลับของศัตรู // โรแมนติกแฟนตาซี
Tags: โรแมนติกแฟนตาซี,แฟนตาซี,กรีกโบราณ,รัก,การเมือง
ตอน: บทที่ 1
ภายในห้องกว้างที่เนืองแน่นไปด้วยชั้นวางหนังสือและม้วนกระดาษที่สูงท่วมศีรษะ มีชายสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สักทอง ใบหน้าเหยี่ยวย่นอย่างบ่งชัดว่าได้ผ่านโลกมามากของชายคนแรกนั้นเต็มไปด้วยความเร่งเครียด เขานั่งนิ่งราวกับรูปปั้นหิน ดวงตาคู่สีเทาอ่อนจางจับจ้องอยู่เพียงแต่โต๊ะไม้ตรงหน้า ไม่มีทีท่าสนใจใยดีต่อสายตาของชายอีกคน ซึ่งอายุอานามอ่อนกว่าร่วมสิบปี และพยายามอย่างยิ่งยวดที่เปล่งเสียงเอ่ยคำถาม แต่จนแล้วจนรอดก็มีแต่ความเงียบงัน จนเขาต้องยกมือหยาบขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผาก เลยขึ้นไปจนถึงศีรษะซึ่งพื้นที่ส่วนกลางโล่งเลี่ยนเป็นมันเงาปราศจากเส้นผม เขาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ราวกับเพิ่มพลังให้ตน ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยเสียงแผ่ว
“ราชครู...ราชครู”
ความเงียบคือคำตอบ ผู้ถูกเรียกยังคงนิ่งเฉย ไม่มีแม้วี่แววสักเล็กน้อยที่จะตอบสนอง ความพยายามครั้งต่อมาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“ท่านราชครู”
แต่จนแล้วจนรอด ท่านราชครูก็ยังเอาแต่นั่งหน้าเคร่ง เคาะนิ้วเป็นจังหวะถี่รั่วลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้ จนผู้ถูกทอดทิ้งให้อยู่แต่ในความเงียบเพียงลำพัง ตัดสินใจเอ่ยเรียกอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“ไบอัส!”
ได้ผลทันตาเห็น ท่านราชครูผู้มีนามว่าไบอัสสะดุ้งหลุดจากห้วงความคิด สะบัดใบหน้ากลับมาหา พร้อมทั้งนัยน์ตาสีเทาที่บ่งบอกอารมณ์ขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
“มีอะไร! ท่านมหาเสนาบดี”เขาเอ่ยถามเสียงแข็ง
มหาเสนาบดียิ้มน้อยๆ เป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะถามกลับ “เห็นนั่งเงียบไปเสียนาน ได้ความว่าอย่างไรบ้าง บอกข้าด้วยเถอะ”
ราชครูถอนหายใจ พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ไม่มากเท่าที่ท่านหวังไหวหรอก ลาร์โก้ -- หากวิเคราะห์จากข้อมูลตามที่ท่านบอกมา ข้ามั่นใจว่าราชครูแห่งกอรินธ์ไม่ได้หนีหายไปพร้อมกับผลึกเทพธิดา ซึ่งคนที่น่าจะรู้ข้อมูลอันแหว่งวิ้นนี้ ก็คงหนีไม่พ้นนักโทษสาวที่จับมาได้”
ลาร์โก้พยักหน้ารับช้าๆ อย่างเห็นด้วย “จริงของท่าน ไม่เช่นนั้น ราชครูแห่งกอรินธ์จะพยายามพาแม่สาวคนนั้น ที่สลบไม่ได้สติหลบหนีไปด้วยกันทำไม”
“แล้ว...”ราชครูเปล่งเสียงเกริ่นนำประโยค “ได้ความคืบหน้าไปถึงไหน”
หน้าผากของมหาเสนาบดียับย่นทันที “เท่าที่ได้ยินมา ล่าสุดยังคงเป็นเช่นเดิม นางยืนยันอย่างเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ดูเหมือนจะอ้างว่ามาตามหาเพื่อนที่อยู่ในวัง มิหนำซ้ำยังอ้างว่าตัวเองเป็นหมออีกด้วย”
“ข้าล่ะเกลียดพวกสายลับจริงๆ”ราชครูบ่นพึมพำ ส่ายหน้าไปมา
“คงไม่มากเท่าเสนาบดีกลาโหมกระมัง”ลาร์โก้พูดยิ้มๆ
ราชครูเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อยด้วยความขบขัน “แน่นอน -- สายลับพวกนี้ทำเอาบรรดาทหารปั่นป่วน ครั้งล่าสุดแฝงตัวเข้ามาเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของพระราชีนี จนเกือบทำให้พระองค์ตกอยู่ในอันตราย คราวนี้ก็เข้ามาก่อความวุ่นวายไปทั่ววัง แล้วยังฉกผลึกเทพธิดา สมบัติของแผ่นดินติดมือไปเสียอีก เป็นข้าๆ ก็เกลียดเข้าไส้เหมือนกัน”
“แต่แม่สายลับคนนี้หน้าตาสละสวยใช่เล่นอยู่นา...”
“ความงามไม่ใช่สิ่งอันตรายสำหรับเสนาบดีกลาโหม ซึ่งยึดมั่นต่อหน้าที่หนือทุกสิ่ง ยอมหักไม่ยอมงอ จนหลายครั้งข้าล่ะอยากจะหักเขาให้แหลกคามือ เถรตรงจนน่าโมโห -- มีอะไร!”ราชครูหยุดวิพากวิจารณ์ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจากหน้าห้อง
“ทหารในสังกัดของท่านหัวหน้าราชองครักษ์มาขอเข้าพบท่านขอรับ”
เสียงเด็กรับใช้หน้าห้องรายงานกลับมาอย่างเคารพนอบน้อม
“ให้เข้ามาได้”
นายทหารอ่อนวัยที่ดูปุบก็รู้ได้ทันที่ว่าเพิ่งเข้ามาบรรจุในสังกัดใหม่ ก้มตัวลงคำนับหนึ่งครั้งอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและยื่นมือทั้งสองข้างออกมาด้านหน้า พร้อมกับเอ่ยในสิ่งที่ตนได้รับคำสั่งมา
“ท่านหัวหน้าราชองครักษ์ให้นำของสิ่งนี้มาให้ท่านขอรับ ท่านหัวหน้าฯ บอกว่าได้มาจากบริเวณใกล้ๆ กับที่จับสายลับของกอรินธ์ได้เมื่อสี่วันก่อน”
ราชครูรับกล่องไม้ใบเล็กจิ๋วราวกับตลับแป้งมาจากมือของนายทหารหนุ่ม “ขอบใจมาก” เขากล่าว ก่อนจะเปิดออกและจ้องมองสิ่งของภายในหีบนั้นอย่างพินิจพิจารณา
“อะไรน่ะ”ลาร์โก้ซึ่งเดินเข้ามาดูใกล้ๆ เอ่ยถาม คิ้วขมวดมุ่น “คุ้นตาอย่างไรชอบกล ข้าต้องเคยเห็นที่ไหนแน่ๆ เสียแต่ว่านึกไม่ออก”
นิ้วแห้งเรียวยาวของราชครูหยิบเศษแก้วเนื้อเนียนเรียบสีชมพู ขนาดเท่ากรวดก้อนเล็กๆ ขึ้นจากฝ่ามือ แล้วยกส่องกับแสงสว่างที่ผ่านเข้ามาจากหน้าต่าง เขาหรี่นัยน์ตาลงจนแทบจะปิด ก่อนจะเบิกโพลงด้วยอาการตื่นตะลึง ทำให้ลาร์โก้ที่เฝ้ามองตามเกิดความสงสัยจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“มีอะไรเหรอท่าน”
ราชครูยังไม่ยอมตอบในทันที เขากำของสิ่งนั้นไว้ในมือ หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ เป็นเวลานานนับนาที ก่อนจะเอ่ยถามกลับช้าๆ
“พวกเขาขังนักโทษหญิงคนนั้นไว้ที่ไหน”
ลาร์โก้ที่ดูเหมือนจะมึนงงกับการถูกตั้งคำถามกลับตอบว่า “ในคุกหลวง แต่ถ้าหากนางยังดึงดันปากแข็งต่อไปอีก คงถูกสั่งย้ายไปขังยังคุกใต้ปราสาทเก่า แทนวิธีทรมานด้วยการงดข้าวงดน้ำอย่างที่โดนอยู่ตอนนี้”
“สั่งงดข้าวงดน้ำ!”ราชครูอุทาน ดวงตาเบิกกว้างมากกว่าเดิมเป็นเท่าตั้ว “ข้าจะไปพาตัวนางออกมา”
“ช้าก่อน! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้”ลาร์โก้รีบห้าม วิ่งไปขวางหน้าประตูทางออก “ไม่ได้เด็ดขาด อำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมนักโทษขึ้นอยู่กับผู้ที่จับนักโทษรายนั้นมาได้”
ราชครูยืดกายขึ้น ท่าทางราวกับกำลังขยายร่างกายให้ใหญ่โตน่าเกรงขาม
“หากข้าต้องการให้เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าทหารผู้ใดก็ไม่อาจคัดค้านข้าได้!”
ลาร์โก้ส่งเสียงละเหี่ยใจ ก่อนตอบกลับเนือยๆ “ประโยคเมื่อครู่ ไม่น่าจะใช้ได้กับเสนาบดีกลาโหมหรอกนะท่าน”
ใบหน้าของราชครูซีดเผือดลงในทันที “นี่หมายความว่า...”เขาพูดเสียงอ่อน ราวกับหมดแรงเรี่ยว “ข้าต้องออกแรงปะทะคารมกับเขาอีกแล้วหรือนี่!”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
คุกหลวงที่เคยมีแต่ความวังเวงและมืดมิด เริ่มมีเสียงเอะอะเกิดขึ้น จนนักโทษสาวที่หมดสติไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวังและความอ่อนล้าของร่างกายเริ่มรู้สึกตัว เปลือกตาทั้งสองข้างขยับขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหาต้นเสียงที่ตนได้ยิน แต่แสงสว่างจ้าที่มาจากคบไฟจำนวนมากจากประตูทางเข้า ทำให้นางต้องรีบเบือนหน้าหนีด้วยความเจ็บปวด เนื่องด้วยตนถูกขังอยู่แต่ในความมืดมาหลายวัน พอถูกแสง นัยน์ตาจึงยังไม่อาจปรับสภาพได้ในเวลาอันรวดเร็ว
คงจะครบสี่วันแล้ว
หญิงสาวคิด -- ไอ้ผู้ชายใจโหดนั่นคงจะกลับมาคาดคั้นเอาคำตอบจากนางอีกเป็นแน่ แล้วหากตอบไม่ได้ มันจะลงโทษอะไรอีกกันนะ
“ทำไมถึงทำอะไรอย่างนี้! -- ปล่อยนาง!”
เสียงโมโหโทโสของใครคนหนึ่งดังขึ้นในความเงียบ เสียงต่ำๆ แหบแห้งแบบชายสูงวัย อย่างที่หญิงสาวมั่นใจว่าไม่เคยพบเจอกันอย่างแน่นอน แต่สติที่เริ่มหลุดลอยอีกครั้งก็ไม่เอื้อให้นางเข้าใจอะไรไปได้มากกว่านี้
นายทหารร่างท้วมซึ่งเดินตามเข้ามาอย่างมึนงงในตอนแรก เริ่มรับรู้ในการมาถึงของราชครู เขายืนกระสับกระส่ายอย่างไม่สบายใจ พูดอั้มอึ้ง
“คือ...คือว่า ขอท่านให้อภัยด้วย ข้าน้อย --”
“อัลเดียส!”ราชครูส่งน้ำเสียงอย่างน่าหวาดหวั่น “ข้าเห็นเจ้าเข้ามาทำงานเป็นทหารตั้งแต่หนุ่ม จนกระทั่งแก่หงำเหงือก แล้วเจ้าก็เห็นข้า รู้จักข้า...ค่อนข้างดีเสียด้วย เพราะฉะนั้นก็น่าจะรู้ว่าควรทำตามที่ข้าสัง!”
“ข้าจะปฎิบัติตามที่ท่านสั่ง ตราบเท่าที่คำสั่งนั้นไม่ขัดต่อหน้าที่ที่ข้าได้รับมอบหมายโดยตรง”เขาพูดอย่างลำบากใจเป็นอย่างมาก “แล้วก็เป็นเช่นที่ท่านพูด ข้าเป็นทหาร การปฏิบัติตามคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาในสายงาน ถือเป็นกฎระเบียบวินัยที่เคร่งครัดที่สุด และผู้ที่ออกคำสั่งกับข้าก็คือ...”เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เหลือบมองใบหน้าเขียวๆ ด้วยความโมโหของราชครูชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อจนจบประโยค “ท่านเสนาบดีกลาโหม ข้าจึงมิอาจขัดหรือละทิ้งคำสั่งนั้นได้...ขอรับ”
ราชครูหายใจเข้าออกช้าๆ ยาวๆ เสียงลมหายใจฝืดฝาดและร้อนผ่าวราวกับไฟด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว ซึ่งเขาพยายามข่มให้สงบลง แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน
“ข้าว่า...ไม่ใช่เพียงแค่ราชครูแห่งกอรินธ์หรอกที่ฝึกฝนคนของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม”เขาพูด นัยน์ตาวาววับสะท้อนกับคบไฟซึ่งบรรดาทหารต่างถืออยู่ในมือ “เสนาบดีกลาโหมแห่งแผ่นดินเซเพรัส ก็มีความสามารถในเรื่องนี้ไม่ยิ่งหย่อนเช่นกัน”
“ขอบคุณสำหรับคำชม ผู้น้อยอย่างข้ารู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง”
เสนาบดีกลาโหมเดินเข้ามาภายในคุก ก่อนจะหยุดยืนและก้มศีรษะลงทำความเคารพราชครู ที่เหลือบมองด้วยหางตา อย่างไม่สบอารมณ์
“ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน จึงไม่ทราบว่าท่านมา ไม่เช่นนั้นจะรีบลงมาต้อนรับด้วยตัวเอง อภัยให้ข้าด้วย”
ราชครูพยักหน้าแข็งๆ หนึ่งครั้ง แล้วเอ่ยทันที “ไม่อ้อมค้อมล่ะ -- จุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาขอให้เจ้าปล่อยนาง”
เสนาบดีกลาโหมถอนหายใจ “ท่านรู้จักนิสัยข้าดี”
“อ๋อช่าย”ราชครูลากเสียงยาว นัยน์ตาหรี่เล็กลง “เจ้าระเบียบ บ้างาน ดื้อ ขวางโลก”
เขาลงท้ายเสียงหนัก ราวกับหวังให้คำพูดเหล่านั้นกลายเป็นเชื้อโรคที่สามารถทำร้ายอีกฝ่ายได้ หากแต่อากัปกิริยาของชายหนุ่มนั้นยังคงยืนนิ่งรอฟังด้วยใบหน้าอันสงบ ราชครูผู้แพ้ทางให้เสนาบดีกลาโหมตลอดมาจึงเอ่ยต่ออีกครั้งด้วยอาการขัดเคืองใจมากกว่าเดิม
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการฟังเหตุผล -- ได้ เหตุผลของข้าก็คือ นางไม่สมควรอยู่ในที่ที่บั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการกระทำอย่างทารุณ”เขาหยุดเว้นวรรค หันกลับไปยังร่างทรุดโทรมของนักโทษสาวที่มือและเท้าทั้งสองข้างถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ตามเนื้อตัวเปรอะเปื้อนคราบดินโคลน และเต็มไปด้วยบาดแผลซึ่งเริ่มออกสีคล้ำอักเสบ “เจ้าทำเกินไปแล้ว”เขากลับมาพูดต่อจนจบ
เสนาบดีกลาโหมเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ กล่าวเสียงเย็น“ไม่ทราบมาก่อนว่าท่านเปลี่ยนมาเป็นผู้มีเมตตาจิต กับสายลับของราชครูแห่งกอรินธ์ คู่ปรับตลอดกาลของท่าน”
“เปล่าเลย ไม่ใช่!”ราชครูปฏิเสธทันควัน “ตกลงว่าเจ้าจะยอมปล่อยนางหรือไม่”
“ข้าขอเหตุผลเพิ่มเติม”
ราชครูยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่สื่ออารมณ์รื่นเริงเลยสักนิด “ข้ารู้ว่าผลึกเทพธิดาอยู่ที่ไหน”
ทุกสายตาเคลื่อนมาหยุดยังร่างของราชครูแห่งเซเพรัส โดยเฉพาะลาร์โก้ที่ยืนอ้าปากน้อยๆ กับเสนาบดีกลาโหมที่เอ่ยตอบทันทีว่า
“ตกลง”
สีหน้าเคร่งเครียดที่มีมาหลายวันของราชครูหายวับไปในทันที ก่อนจะกลับมาใหม่อีกครั้ง เมื่อเสนาบดีจอมขวางโลกเอ่ยประโยคต่อมา
“แค่ครึ่งเดียว”
“เทเลอัส!”ราชครูขู่ฟ่อ ขบฟันแน่น
“ถึงคราวชี้แจงเหตุผลของข้าบ้างล่ะ”ชายหนุ่มพูดต่ออย่างใจเย็น ไม่สนท่าทีโมโหจนแทบคลั่งของผู้อาวุโสตรงหน้า “ข้าจะยอมปล่อยนางออกไปจากที่นี่ พร้อมทั้งจัดเตรียมที่ที่จะทำให้สุขภาพกายและใจของนางดีขึ้นด้วยตนเองตามที่ท่านต้องการ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหลุดพ้นไปจากการควบคุมตัว เพราะนางถือเป็นบุคคลอันตรายที่พวกกอรินธ์ส่งมา และไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์กระทำการหรือคัดค้านในเรื่องใดๆ ที่ข้าสั่งเกี่ยวกับนาง - - ข้าจับตัวนางมาได้ นางคือนักโทษของข้า”
ลาร์โก้สูดลมเข้าทางปาก พลางเหลือบนัยน์ตามองเทเลอัสที่นิ่งเย็นดุจน้ำแข็ง ต่างกับราชครูที่พยายามรักษาอาการสั่นเกร็งด้วยความโมโห แต่ดูเหมือนจะล้มเหลวไม่เป็นท่าเลยสักนิด
“สถานที่ที่จะทำให้สุขภาพกายและจิตใจของนางดีขึ้น...แน่นะ!”ราชครูร้องขอความมั่นใจ
เทเลอัสพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ข้าสัญญา”
“และข้าเชื่อเจ้า”ราชครูเดินตรงไปยังประตู แต่หยุดลงเมื่อเข้าใกล้เทเลอัส ก่อนจะพูดเบาๆ กับเขา “เจ้ามันตัวแสบ ชอบหาเรื่องงัดข้อให้ข้าหน้าแตกอยู่เรื่อย”
เทเลอัสเหลือบตามองและค้อมศีรษะอย่างสุภาพ “ข้าน้อยมิบังอาจ”
“ข้าก็เห็นเจ้าทำอยู่เรื่อยล่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ กับคำพูดประชดประชันของผู้ที่อาวุโสกว่า ซึ่งเดินกลับออกไปพร้อมด้วยมหาเสนาบดีที่หันมา ส่งยิ้มให้
เขาหันกลับมามองร่างของนักโทษสาว ที่ตอนนี้สภาพกายภายนอกดูอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ นางผอมไปมาก ผมสีดำยาวยุ่งเหยิงปรกใบหน้าซีดเซียว ลมหายใจเริ่มไม่สม่ำเสมอ ศีรษะที่เคยเชิดขึ้นอย่างท้าทายเขาเมื่อสี่วันก่อนตกลู่ แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะขยับเปลือกตาขึ้นมองใครทั้งสิ้น
คุณสมบัติในการรักษาความลับยังคงยอดเยี่ยม แต่ร่างกายอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นสายลับ
เทเลอัสถอนหายใจ แล้วหันไปสั่งกับอัลเดรียสที่ยืนถือคบไฟอยู่ใกล้ๆ
“ปล่อยนาง”
******************************
สวัสดีค่ะขอทักทายอย่างเป็นทางการนะคะ
ชื่อโมจิค่ะ เขียนนิยายมาหลายปีแต่เพิ่่งเคยลงที่เว็บนี้เป็นครั้งแรก มาแบบมึนๆ งงๆ ผู้อ่านท่านใดอ่านแล้วมีข้อติตงแนะนำก็บอกกันได้นะคะ โมยินดีรับฟังเพื่อนำไปปรับปรุงงานเขียนให้ดียิ่งขึ้น
ส่วนงานเขียนเรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติกแฟนตาซีค่ะ ธีมเรื่องอิงยุคกรีกโบราณเป็นส่วนใหญ่ มีบทต่อสู้บ้าง รักบ้าง พยายามจะให้เป็นโรแมนติกที่สุด (เท่าที่จะเขียนได้ เพราะด๋อยเรื่องบทรักเหลือเกิน)
“ราชครู...ราชครู”
ความเงียบคือคำตอบ ผู้ถูกเรียกยังคงนิ่งเฉย ไม่มีแม้วี่แววสักเล็กน้อยที่จะตอบสนอง ความพยายามครั้งต่อมาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“ท่านราชครู”
แต่จนแล้วจนรอด ท่านราชครูก็ยังเอาแต่นั่งหน้าเคร่ง เคาะนิ้วเป็นจังหวะถี่รั่วลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้ จนผู้ถูกทอดทิ้งให้อยู่แต่ในความเงียบเพียงลำพัง ตัดสินใจเอ่ยเรียกอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“ไบอัส!”
ได้ผลทันตาเห็น ท่านราชครูผู้มีนามว่าไบอัสสะดุ้งหลุดจากห้วงความคิด สะบัดใบหน้ากลับมาหา พร้อมทั้งนัยน์ตาสีเทาที่บ่งบอกอารมณ์ขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
“มีอะไร! ท่านมหาเสนาบดี”เขาเอ่ยถามเสียงแข็ง
มหาเสนาบดียิ้มน้อยๆ เป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะถามกลับ “เห็นนั่งเงียบไปเสียนาน ได้ความว่าอย่างไรบ้าง บอกข้าด้วยเถอะ”
ราชครูถอนหายใจ พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ไม่มากเท่าที่ท่านหวังไหวหรอก ลาร์โก้ -- หากวิเคราะห์จากข้อมูลตามที่ท่านบอกมา ข้ามั่นใจว่าราชครูแห่งกอรินธ์ไม่ได้หนีหายไปพร้อมกับผลึกเทพธิดา ซึ่งคนที่น่าจะรู้ข้อมูลอันแหว่งวิ้นนี้ ก็คงหนีไม่พ้นนักโทษสาวที่จับมาได้”
ลาร์โก้พยักหน้ารับช้าๆ อย่างเห็นด้วย “จริงของท่าน ไม่เช่นนั้น ราชครูแห่งกอรินธ์จะพยายามพาแม่สาวคนนั้น ที่สลบไม่ได้สติหลบหนีไปด้วยกันทำไม”
“แล้ว...”ราชครูเปล่งเสียงเกริ่นนำประโยค “ได้ความคืบหน้าไปถึงไหน”
หน้าผากของมหาเสนาบดียับย่นทันที “เท่าที่ได้ยินมา ล่าสุดยังคงเป็นเช่นเดิม นางยืนยันอย่างเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ดูเหมือนจะอ้างว่ามาตามหาเพื่อนที่อยู่ในวัง มิหนำซ้ำยังอ้างว่าตัวเองเป็นหมออีกด้วย”
“ข้าล่ะเกลียดพวกสายลับจริงๆ”ราชครูบ่นพึมพำ ส่ายหน้าไปมา
“คงไม่มากเท่าเสนาบดีกลาโหมกระมัง”ลาร์โก้พูดยิ้มๆ
ราชครูเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อยด้วยความขบขัน “แน่นอน -- สายลับพวกนี้ทำเอาบรรดาทหารปั่นป่วน ครั้งล่าสุดแฝงตัวเข้ามาเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของพระราชีนี จนเกือบทำให้พระองค์ตกอยู่ในอันตราย คราวนี้ก็เข้ามาก่อความวุ่นวายไปทั่ววัง แล้วยังฉกผลึกเทพธิดา สมบัติของแผ่นดินติดมือไปเสียอีก เป็นข้าๆ ก็เกลียดเข้าไส้เหมือนกัน”
“แต่แม่สายลับคนนี้หน้าตาสละสวยใช่เล่นอยู่นา...”
“ความงามไม่ใช่สิ่งอันตรายสำหรับเสนาบดีกลาโหม ซึ่งยึดมั่นต่อหน้าที่หนือทุกสิ่ง ยอมหักไม่ยอมงอ จนหลายครั้งข้าล่ะอยากจะหักเขาให้แหลกคามือ เถรตรงจนน่าโมโห -- มีอะไร!”ราชครูหยุดวิพากวิจารณ์ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจากหน้าห้อง
“ทหารในสังกัดของท่านหัวหน้าราชองครักษ์มาขอเข้าพบท่านขอรับ”
เสียงเด็กรับใช้หน้าห้องรายงานกลับมาอย่างเคารพนอบน้อม
“ให้เข้ามาได้”
นายทหารอ่อนวัยที่ดูปุบก็รู้ได้ทันที่ว่าเพิ่งเข้ามาบรรจุในสังกัดใหม่ ก้มตัวลงคำนับหนึ่งครั้งอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและยื่นมือทั้งสองข้างออกมาด้านหน้า พร้อมกับเอ่ยในสิ่งที่ตนได้รับคำสั่งมา
“ท่านหัวหน้าราชองครักษ์ให้นำของสิ่งนี้มาให้ท่านขอรับ ท่านหัวหน้าฯ บอกว่าได้มาจากบริเวณใกล้ๆ กับที่จับสายลับของกอรินธ์ได้เมื่อสี่วันก่อน”
ราชครูรับกล่องไม้ใบเล็กจิ๋วราวกับตลับแป้งมาจากมือของนายทหารหนุ่ม “ขอบใจมาก” เขากล่าว ก่อนจะเปิดออกและจ้องมองสิ่งของภายในหีบนั้นอย่างพินิจพิจารณา
“อะไรน่ะ”ลาร์โก้ซึ่งเดินเข้ามาดูใกล้ๆ เอ่ยถาม คิ้วขมวดมุ่น “คุ้นตาอย่างไรชอบกล ข้าต้องเคยเห็นที่ไหนแน่ๆ เสียแต่ว่านึกไม่ออก”
นิ้วแห้งเรียวยาวของราชครูหยิบเศษแก้วเนื้อเนียนเรียบสีชมพู ขนาดเท่ากรวดก้อนเล็กๆ ขึ้นจากฝ่ามือ แล้วยกส่องกับแสงสว่างที่ผ่านเข้ามาจากหน้าต่าง เขาหรี่นัยน์ตาลงจนแทบจะปิด ก่อนจะเบิกโพลงด้วยอาการตื่นตะลึง ทำให้ลาร์โก้ที่เฝ้ามองตามเกิดความสงสัยจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“มีอะไรเหรอท่าน”
ราชครูยังไม่ยอมตอบในทันที เขากำของสิ่งนั้นไว้ในมือ หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ เป็นเวลานานนับนาที ก่อนจะเอ่ยถามกลับช้าๆ
“พวกเขาขังนักโทษหญิงคนนั้นไว้ที่ไหน”
ลาร์โก้ที่ดูเหมือนจะมึนงงกับการถูกตั้งคำถามกลับตอบว่า “ในคุกหลวง แต่ถ้าหากนางยังดึงดันปากแข็งต่อไปอีก คงถูกสั่งย้ายไปขังยังคุกใต้ปราสาทเก่า แทนวิธีทรมานด้วยการงดข้าวงดน้ำอย่างที่โดนอยู่ตอนนี้”
“สั่งงดข้าวงดน้ำ!”ราชครูอุทาน ดวงตาเบิกกว้างมากกว่าเดิมเป็นเท่าตั้ว “ข้าจะไปพาตัวนางออกมา”
“ช้าก่อน! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้”ลาร์โก้รีบห้าม วิ่งไปขวางหน้าประตูทางออก “ไม่ได้เด็ดขาด อำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมนักโทษขึ้นอยู่กับผู้ที่จับนักโทษรายนั้นมาได้”
ราชครูยืดกายขึ้น ท่าทางราวกับกำลังขยายร่างกายให้ใหญ่โตน่าเกรงขาม
“หากข้าต้องการให้เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าทหารผู้ใดก็ไม่อาจคัดค้านข้าได้!”
ลาร์โก้ส่งเสียงละเหี่ยใจ ก่อนตอบกลับเนือยๆ “ประโยคเมื่อครู่ ไม่น่าจะใช้ได้กับเสนาบดีกลาโหมหรอกนะท่าน”
ใบหน้าของราชครูซีดเผือดลงในทันที “นี่หมายความว่า...”เขาพูดเสียงอ่อน ราวกับหมดแรงเรี่ยว “ข้าต้องออกแรงปะทะคารมกับเขาอีกแล้วหรือนี่!”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
คุกหลวงที่เคยมีแต่ความวังเวงและมืดมิด เริ่มมีเสียงเอะอะเกิดขึ้น จนนักโทษสาวที่หมดสติไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวังและความอ่อนล้าของร่างกายเริ่มรู้สึกตัว เปลือกตาทั้งสองข้างขยับขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหาต้นเสียงที่ตนได้ยิน แต่แสงสว่างจ้าที่มาจากคบไฟจำนวนมากจากประตูทางเข้า ทำให้นางต้องรีบเบือนหน้าหนีด้วยความเจ็บปวด เนื่องด้วยตนถูกขังอยู่แต่ในความมืดมาหลายวัน พอถูกแสง นัยน์ตาจึงยังไม่อาจปรับสภาพได้ในเวลาอันรวดเร็ว
คงจะครบสี่วันแล้ว
หญิงสาวคิด -- ไอ้ผู้ชายใจโหดนั่นคงจะกลับมาคาดคั้นเอาคำตอบจากนางอีกเป็นแน่ แล้วหากตอบไม่ได้ มันจะลงโทษอะไรอีกกันนะ
“ทำไมถึงทำอะไรอย่างนี้! -- ปล่อยนาง!”
เสียงโมโหโทโสของใครคนหนึ่งดังขึ้นในความเงียบ เสียงต่ำๆ แหบแห้งแบบชายสูงวัย อย่างที่หญิงสาวมั่นใจว่าไม่เคยพบเจอกันอย่างแน่นอน แต่สติที่เริ่มหลุดลอยอีกครั้งก็ไม่เอื้อให้นางเข้าใจอะไรไปได้มากกว่านี้
นายทหารร่างท้วมซึ่งเดินตามเข้ามาอย่างมึนงงในตอนแรก เริ่มรับรู้ในการมาถึงของราชครู เขายืนกระสับกระส่ายอย่างไม่สบายใจ พูดอั้มอึ้ง
“คือ...คือว่า ขอท่านให้อภัยด้วย ข้าน้อย --”
“อัลเดียส!”ราชครูส่งน้ำเสียงอย่างน่าหวาดหวั่น “ข้าเห็นเจ้าเข้ามาทำงานเป็นทหารตั้งแต่หนุ่ม จนกระทั่งแก่หงำเหงือก แล้วเจ้าก็เห็นข้า รู้จักข้า...ค่อนข้างดีเสียด้วย เพราะฉะนั้นก็น่าจะรู้ว่าควรทำตามที่ข้าสัง!”
“ข้าจะปฎิบัติตามที่ท่านสั่ง ตราบเท่าที่คำสั่งนั้นไม่ขัดต่อหน้าที่ที่ข้าได้รับมอบหมายโดยตรง”เขาพูดอย่างลำบากใจเป็นอย่างมาก “แล้วก็เป็นเช่นที่ท่านพูด ข้าเป็นทหาร การปฏิบัติตามคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาในสายงาน ถือเป็นกฎระเบียบวินัยที่เคร่งครัดที่สุด และผู้ที่ออกคำสั่งกับข้าก็คือ...”เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เหลือบมองใบหน้าเขียวๆ ด้วยความโมโหของราชครูชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อจนจบประโยค “ท่านเสนาบดีกลาโหม ข้าจึงมิอาจขัดหรือละทิ้งคำสั่งนั้นได้...ขอรับ”
ราชครูหายใจเข้าออกช้าๆ ยาวๆ เสียงลมหายใจฝืดฝาดและร้อนผ่าวราวกับไฟด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว ซึ่งเขาพยายามข่มให้สงบลง แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน
“ข้าว่า...ไม่ใช่เพียงแค่ราชครูแห่งกอรินธ์หรอกที่ฝึกฝนคนของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม”เขาพูด นัยน์ตาวาววับสะท้อนกับคบไฟซึ่งบรรดาทหารต่างถืออยู่ในมือ “เสนาบดีกลาโหมแห่งแผ่นดินเซเพรัส ก็มีความสามารถในเรื่องนี้ไม่ยิ่งหย่อนเช่นกัน”
“ขอบคุณสำหรับคำชม ผู้น้อยอย่างข้ารู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง”
เสนาบดีกลาโหมเดินเข้ามาภายในคุก ก่อนจะหยุดยืนและก้มศีรษะลงทำความเคารพราชครู ที่เหลือบมองด้วยหางตา อย่างไม่สบอารมณ์
“ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน จึงไม่ทราบว่าท่านมา ไม่เช่นนั้นจะรีบลงมาต้อนรับด้วยตัวเอง อภัยให้ข้าด้วย”
ราชครูพยักหน้าแข็งๆ หนึ่งครั้ง แล้วเอ่ยทันที “ไม่อ้อมค้อมล่ะ -- จุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาขอให้เจ้าปล่อยนาง”
เสนาบดีกลาโหมถอนหายใจ “ท่านรู้จักนิสัยข้าดี”
“อ๋อช่าย”ราชครูลากเสียงยาว นัยน์ตาหรี่เล็กลง “เจ้าระเบียบ บ้างาน ดื้อ ขวางโลก”
เขาลงท้ายเสียงหนัก ราวกับหวังให้คำพูดเหล่านั้นกลายเป็นเชื้อโรคที่สามารถทำร้ายอีกฝ่ายได้ หากแต่อากัปกิริยาของชายหนุ่มนั้นยังคงยืนนิ่งรอฟังด้วยใบหน้าอันสงบ ราชครูผู้แพ้ทางให้เสนาบดีกลาโหมตลอดมาจึงเอ่ยต่ออีกครั้งด้วยอาการขัดเคืองใจมากกว่าเดิม
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการฟังเหตุผล -- ได้ เหตุผลของข้าก็คือ นางไม่สมควรอยู่ในที่ที่บั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการกระทำอย่างทารุณ”เขาหยุดเว้นวรรค หันกลับไปยังร่างทรุดโทรมของนักโทษสาวที่มือและเท้าทั้งสองข้างถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ตามเนื้อตัวเปรอะเปื้อนคราบดินโคลน และเต็มไปด้วยบาดแผลซึ่งเริ่มออกสีคล้ำอักเสบ “เจ้าทำเกินไปแล้ว”เขากลับมาพูดต่อจนจบ
เสนาบดีกลาโหมเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ กล่าวเสียงเย็น“ไม่ทราบมาก่อนว่าท่านเปลี่ยนมาเป็นผู้มีเมตตาจิต กับสายลับของราชครูแห่งกอรินธ์ คู่ปรับตลอดกาลของท่าน”
“เปล่าเลย ไม่ใช่!”ราชครูปฏิเสธทันควัน “ตกลงว่าเจ้าจะยอมปล่อยนางหรือไม่”
“ข้าขอเหตุผลเพิ่มเติม”
ราชครูยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่สื่ออารมณ์รื่นเริงเลยสักนิด “ข้ารู้ว่าผลึกเทพธิดาอยู่ที่ไหน”
ทุกสายตาเคลื่อนมาหยุดยังร่างของราชครูแห่งเซเพรัส โดยเฉพาะลาร์โก้ที่ยืนอ้าปากน้อยๆ กับเสนาบดีกลาโหมที่เอ่ยตอบทันทีว่า
“ตกลง”
สีหน้าเคร่งเครียดที่มีมาหลายวันของราชครูหายวับไปในทันที ก่อนจะกลับมาใหม่อีกครั้ง เมื่อเสนาบดีจอมขวางโลกเอ่ยประโยคต่อมา
“แค่ครึ่งเดียว”
“เทเลอัส!”ราชครูขู่ฟ่อ ขบฟันแน่น
“ถึงคราวชี้แจงเหตุผลของข้าบ้างล่ะ”ชายหนุ่มพูดต่ออย่างใจเย็น ไม่สนท่าทีโมโหจนแทบคลั่งของผู้อาวุโสตรงหน้า “ข้าจะยอมปล่อยนางออกไปจากที่นี่ พร้อมทั้งจัดเตรียมที่ที่จะทำให้สุขภาพกายและใจของนางดีขึ้นด้วยตนเองตามที่ท่านต้องการ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหลุดพ้นไปจากการควบคุมตัว เพราะนางถือเป็นบุคคลอันตรายที่พวกกอรินธ์ส่งมา และไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์กระทำการหรือคัดค้านในเรื่องใดๆ ที่ข้าสั่งเกี่ยวกับนาง - - ข้าจับตัวนางมาได้ นางคือนักโทษของข้า”
ลาร์โก้สูดลมเข้าทางปาก พลางเหลือบนัยน์ตามองเทเลอัสที่นิ่งเย็นดุจน้ำแข็ง ต่างกับราชครูที่พยายามรักษาอาการสั่นเกร็งด้วยความโมโห แต่ดูเหมือนจะล้มเหลวไม่เป็นท่าเลยสักนิด
“สถานที่ที่จะทำให้สุขภาพกายและจิตใจของนางดีขึ้น...แน่นะ!”ราชครูร้องขอความมั่นใจ
เทเลอัสพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ข้าสัญญา”
“และข้าเชื่อเจ้า”ราชครูเดินตรงไปยังประตู แต่หยุดลงเมื่อเข้าใกล้เทเลอัส ก่อนจะพูดเบาๆ กับเขา “เจ้ามันตัวแสบ ชอบหาเรื่องงัดข้อให้ข้าหน้าแตกอยู่เรื่อย”
เทเลอัสเหลือบตามองและค้อมศีรษะอย่างสุภาพ “ข้าน้อยมิบังอาจ”
“ข้าก็เห็นเจ้าทำอยู่เรื่อยล่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ กับคำพูดประชดประชันของผู้ที่อาวุโสกว่า ซึ่งเดินกลับออกไปพร้อมด้วยมหาเสนาบดีที่หันมา ส่งยิ้มให้
เขาหันกลับมามองร่างของนักโทษสาว ที่ตอนนี้สภาพกายภายนอกดูอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ นางผอมไปมาก ผมสีดำยาวยุ่งเหยิงปรกใบหน้าซีดเซียว ลมหายใจเริ่มไม่สม่ำเสมอ ศีรษะที่เคยเชิดขึ้นอย่างท้าทายเขาเมื่อสี่วันก่อนตกลู่ แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะขยับเปลือกตาขึ้นมองใครทั้งสิ้น
คุณสมบัติในการรักษาความลับยังคงยอดเยี่ยม แต่ร่างกายอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นสายลับ
เทเลอัสถอนหายใจ แล้วหันไปสั่งกับอัลเดรียสที่ยืนถือคบไฟอยู่ใกล้ๆ
“ปล่อยนาง”
******************************
สวัสดีค่ะขอทักทายอย่างเป็นทางการนะคะ
ชื่อโมจิค่ะ เขียนนิยายมาหลายปีแต่เพิ่่งเคยลงที่เว็บนี้เป็นครั้งแรก มาแบบมึนๆ งงๆ ผู้อ่านท่านใดอ่านแล้วมีข้อติตงแนะนำก็บอกกันได้นะคะ โมยินดีรับฟังเพื่อนำไปปรับปรุงงานเขียนให้ดียิ่งขึ้น
ส่วนงานเขียนเรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติกแฟนตาซีค่ะ ธีมเรื่องอิงยุคกรีกโบราณเป็นส่วนใหญ่ มีบทต่อสู้บ้าง รักบ้าง พยายามจะให้เป็นโรแมนติกที่สุด (เท่าที่จะเขียนได้ เพราะด๋อยเรื่องบทรักเหลือเกิน)

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2557, 13:18:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 เม.ย. 2557, 13:31:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 999
บทที่ 2 >> |

jink 4 พ.ค. 2557, 13:27:01 น.
มาให้กำลังใจจ้า พยายามเข้านะ สู้ๆ จ้า
มาให้กำลังใจจ้า พยายามเข้านะ สู้ๆ จ้า

กาแฟเย็นIcedcoffee 4 พ.ค. 2557, 14:55:29 น.
@คุณ jink ขอบคุณมากค่ะ ^^
@คุณ jink ขอบคุณมากค่ะ ^^