Adriana
สมบัติล้ำค่าที่สองแคว้นต่างแย่งชิงได้สูญหายไป แต่ทว่าเสี้ยวหนึ่งแห่งพลังอำนาจนั้น กลับแฝงเร้นอยู่ในตัวหญิงสาว ผู้ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นสายลับของศัตรู // โรแมนติกแฟนตาซี
Tags: โรแมนติกแฟนตาซี,แฟนตาซี,กรีกโบราณ,รัก,การเมือง

ตอน: บทที่ 2

ในค่ำคืนของฤดูหนาวที่ดวงจันอับแสง หญิงสาวร่างสูงระหงวัยสิบเจ็ดปีเดินลัดเลาะผ่านทางเดินที่คดเคี้ยวราวกับงู ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำพุ พุ่มไม้เตี้ยๆ ของอุทยานหลวงที่อยู่รอบนอกของเขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งองค์กษัตริย์ พระราชินีและบรรดาข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่อาศัยอยู่ หญิงสาวมองหาแสงสว่างจากคบไฟเพื่อเพ่งมองแผ่นกระดาษในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างพิจารณา นางตัดสินใจเดินตรงไปด้านหน้าและเลี้ยวซ้ายผ่านบริเวณโถงกลาง ซึ่งเป็นระเบียงยาวทะลุไปสู่ลานกว้าง และในขณะนั้นเอง เสียงบางอย่างได้แว่วเข้ามา แต่เพราะอยู่ไกลจึงฟังไม่ถนัดนัก นางจึงเร่งฝีเท้าจนกระทั่งเสียงนั้นเริ่มชัดเจน เมื่อเงี่ยหูฟังจึงได้รู้ว่านั่นคือเสียงโลหะกระทบกันอย่างถี่รัวรุนแรง อีกทั้งยังมีเสียงตะโกนโหวกเหวกและเสียงหวีดร้องของผู้คน
เกิดอะไรขึ้น

นางคิด พร้อมกับสองเท้าที่ยังคงก้าวเดินต่อไป โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้เดินเข้าไปสู่เขตพระราชฐานของฝ่ายในแล้ว และทันทีที่ผ่านปีกตึกใหญ่ เข้าสู่ทางเดินไปยังลานรูปวงกลมโล่งกว้าง ภาพที่ได้เห็นคือความสับสนวุ่นวายของผู้คนนับร้อย ที่กำลังจับดาบเข้าฟาดฟันใส่กัน แสงเปลวไฟวูบวาบกองใหญ่หลายกองดูน่ากลัว ส่งไอร้อนมากระทบผิวของหญิงสาวที่ยืนมองด้วยความตื่นตะลึง ยิ่งเมื่อเห็นร่างหลายร่างถูกฟันจนเลือดกระเซ็น ความหวาดกลัวจึงบังเกิดขึ้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที

จู่ๆ ชายกลุ่มหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจ้องนางด้วยนัยน์ตากระหายในการเข่นฆ่า หญิงสาวส่งเสียงหวีดร้องเมื่อคนเหล่านั้นยกดาบขึ้นและออกวิ่งไล่ล่า นางวิ่งสะเปะสะปะไม่รู้ทิศทาง แล้วความมืดในยามค่ำคืนก็ยื่นมือเข้ามาช่วยไว้ นางหนีรอดมาได้และกำลังยืนหอบตัวโยนอยู่กลางลานหินแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ๆ จะทำให้ชีวิตของนางต้องพบเจอกับการพลิกพัน

ร่างอาบเลือดของชายวัยฉกรรจ์เดินโซเซมาจากอีกฝากหนึ่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลใหญ่จากคมดาบ แต่ดูเขาไม่ใส่ใจกับความเจ็บปวดเหล่านั้นเลย เขาเอาแต่เฝ้าประคับประคองของบางอย่างที่ห่อหุ้มอยู่ในผ้าสีเทาเนื้อหนา และพยายามก้าวเดินอย่างรวดเร็วที่สุด แต่ด้วยบาดแผลอันสาหัสจนแม้แต่เหล่าเทพเจ้าก็ไม่อาจเยียวยาได้ ร่างของเขาจึงล้มลงนอนหงายแน่นิ่งอยู่บนพื้นหินอันเย็นเฉียบ อาการกระตุกชักเกร็งเกิดขึ้นสองถึงสามครั้ง ตามด้วยเลือดที่ไหลทะลักออกจากปากที่สั่นระริกก่อนจะแน่นิ่ง ในขณะที่ดวงตานั้นยังคงลืมโพลง

สัญชาตญาณที่มีอยู่ฉุดให้หญิงสาวรีบวิ่งปรี่เข้าไปยังร่างของชายผู้นั้น และได้พบว่าเขาสิ้นใจแล้ว นางเอื้อมมือไปช่วยปิดตาให้สนิท จึงได้เห็นของที่ชายผู้นี้หวงแหน ซึ่งโผล่ออกพ้นจากห่อผ้า หินเนื้อเนียนใสวาววับจับตา งดงามจนมิอาจหักห้ามความอยากรู้อยากเห็น หญิงสาวปัดผ้าทั้งหมดออก แล้วหยิบตุ๊กตาหินรูปเด็กผู้หญิงขึ้นมาสำรวจ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงตะคอกทุ้มต่ำ อย่างบ่งถึงอันตรายดังขึ้น

“อย่าแตะต้องมัน!”

ด้วยความตกใจ หญิงสาวปล่อยตุ๊กตาหินในมือล่วงหล่นลงกระทบพื้นลานหินอย่างแรงจนแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วทันใดนั้นทั่วทั้งบริเวณก็เจิดจ้าไปด้วยแสงสว่าง ซึ่งพวยพุ่งออกเป็นลำแสงขนาดใหญ่ เข้าสู่ร่างของชายคนที่สองอย่างรวดเร็ว ส่วนนางเองก็ต้องพบเจอกับสิ่งที่แปลกประหลาดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เมื่อแสงสว่างสีชมพูที่ก่อตัวเป็นร่างมนุษย์เพศหญิง ลอยเข้ามาประชิด จนหญิงสาวตื่นตกใจและล้มหงายไปกับพื้น แสงนั้นทาบทับลงบนตัวนาง เสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ในชีวิตไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน จึงดังกึกก้องไปทั่วลานโล่งกว้าง แม้พยายามต่อสู้ขัดขืน แต่ร่างทั้งร่างกลับถูกแรงมหาศาลกดทับไว้ ดิ้นรนเท่าไรก็ไม่เป็นผล ทั้งแขน ขา ถูกตรึงกับที่จนแทบไม่ขยับ ราวกับนางกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความตาย

“ไม่ ฉันจะกลับบ้าน! ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่!”

หญิงสาวร้องบอกกับตัวเองด้วยเสียงสะอื้น ความกลัวพุดพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง จึงกระเสือกกระสนหาทางรอด นางสะบัดตัวอย่างแรง จนพลังที่เคยหน่วงเหนี่ยวร่างไว้สูญหายไป ก่อนจะรีบลุกขึ้นนั่ง ดวงตาคู่สีเทาเบิกกว้าง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่วัตถุบางอย่างหล่นดังพลั่กหนักๆ อย่างน่าตกใจ

“โอ๊ย...อายุก็ปูนนี้แล้ว กระดูกกระเดี้ยวคงร้าวไปหลายท่อน อู้ย...”

เสียงโอดครวญแหบต่ำของชายคนหนึ่งดังขึ้นเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มชายหญิงอีกสามคน ที่รุมเข้าช่วยพยุงให้ลุกขึ้นยืน แล้วก็จริงอย่างที่เขาบ่น หญิงสาวคิดเมื่อเห็นผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นถนัดตา ร่างกายซึ่งตรากตรำโลกมานานนั้นไม่เอื้ออำนวยให้การล้มหงายหลังเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ใบหน้าเหยี่ยวย่นบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด ท่อนแขนอ้วนๆ กำลังเกาะกุมอยู่กับก้นกบ ที่ดูเหมือนจะได้รับความเสียหายจากการหล่นกระแทกพื้นห้อง แต่ถึงกระนั้นนัยน์ตาสีน้ำตาลขมุกขมัวก็ยังไม่วายมองมายังหญิงสาวที่เป็นผู้ส่งให้ร่างของเขามากองอยู่กับพื้น

“แหมๆ นี่ขนาดอดข้าวอดน้ำมาตั้งเกือบหนึ่งอาทิตย์ แรงยังดีเหลือเฟือเชียวนะ อู้ย...”

เขาบ่นอย่างทีเล่นทีจริง พลางขโยกตัวเข้ามาใกล้ แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อหญิงสาวส่งเสียงเอะอะจนลั่น สาระพัดสิ่งของซึ่งอยู่ในวงรัศมีที่มือเรียวงามจะไขว่คว้าได้ จึงลอยละลิ่วข้ามห้องราวกับลูกธนูชุดใหญ่

ชายแก่ร่างเตี้ยอ้าปากค้าง คิ้วสีน้ำตาลแซมขาวเช่นเดียวกับสีผมขมวดกันยุ่งเหยิง ทั้งเขาและผู้คนอีกจำนวนหนึ่งต้องก้มหลบวัตถุต่างๆ ที่ลอยเฉียดศีรษะไปอย่างประสงค์ร้าย ปากร้องตะโกนแข่งกับเสียงแตกหักโครมครามที่ดังลั่นห้อง

“ใจเย็นก่อน นังหนู! ข้าไม่ทำอะไรหรอก!”เขาพูด พยายามให้คนตกใจหันกลับมาเชื่อถือ “แค่มาตรวจดูอาการ ข้าเป็นหมอ เป็นหมอ!”

นัยน์ตาคู่สวยที่เคยรนรานด้วยความตื่นกลัวเริ่มสงบ เช่นเดียวกับมือเรียวบางทั้งสองข้างที่หยุดขว้างปาข้าวของ นางจ้องมองชายสูงวัยเบื้องหน้า สูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ แล้วเอ่ยถามเสียงห้วน

“เจ้าเป็นหมอรึ!”

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ค่อยๆ ยืดตัวขึ้นจากปลายเตียง “ใช่ ข้าเป็นหมอ คอยดูแลเจ้านับตั้งแต่พวกเขาพาตัวเจ้าออกมาจากคุกหลวงเมื่อสองวันก่อน”

ดวงหน้าที่ยังคงซีดเซียวหันมองไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว จึงตระหนักได้ว่าตอนนี้ตนไม่ได้ถูกล่ามโซ่อยู่ในคุกมืดที่ส่งกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจนั่นแล้ว หากแต่กำลังนั่งอยู่บนเตียงสีขาวนุ่ม ที่สะอาดสะอ้าน ซึ่งอยู่ภายในห้องนอนขนาดกว้างขวางที่มีอากาศบริสุทธิ์ถ่ายเท สายลมอ่อนๆ พัดจากหน้าต่างบานใหญ่มาถูกต้องกาย แจกันทรงสูงปักดอกไม้สด ส่งกลิ่นหอมละมุม อีกทั้งผู้คนรอบข้างก็ยังแต่งกาบด้วยชุดสีฟ้าจางๆ ดูเป็นมิตร ไม่ใช่สีดำขมุกขมัวอย่างทหารพวกนั้น

ทหาร!!

ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง รีบขยับตัวถอยหลังไปจนติดขอบหัวเตียง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่ผ่านมา ตนได้พบเจอกับเรื่องเลวร้ายใดมาบ้าง

“ไม่เอานะ ข้าไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว! อย่าให้พวกทหารมาจับข้า ข้าไม่รู้เรื่อง แค่หลงทางผ่านมาเท่านั้น ข้าไม่ใช่สายลับ! ไม่ใช่โจร - - อย่าทำอะไรข้าเลย ไม่เอา! ไม่เอา ไม่เอาแล้ว!”

“ใจเย็นๆ นังหนู ใจเย็นๆ ไม่มีใครทำอันตรายเจ้าอีกแล้ว”หมอร่างอ้วนเตี้ยตะโกนแข่งกับเสียงพร่ำรำพันของหญิงสาว “ไม่มีใครมาจับเจ้ากลับไปที่คุกหลวงอีกแล้ว และจะไม่มีการลงโทษ สั่งงดข้าวงดน้ำ หรือการทรมานอีกอย่างเด็ดขาด ต่อไปนี้เจ้าจะใช้ชีวิตอย่างสุขกายสบายใจที่นี่ กินอิ่มนอนหลับฝันหวาน”เขาส่งรอยยิ้มให้อย่างผู้ใหญ่ใจดี พร้อมกับหลิ่วตาหยอกล้อ และเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ เขาจึงเอ่ยต่อไปว่า “เอาล่ะ คราวนี้บอกข้าได้ไหม ว่าเจ้าชื่ออะไร อ้อ...แต่ตามมารยาทแล้วต้องแนะนำตัวเองก่อน -- ข้าทำงานเป็นหัวหน้าคณะแพทย์หลวง เป็นคนในตระกูลไอโอนิออส ชื่อโอโดวาคาร์ แต่ไม่รู้ไอ้ตัวแสบตัวไหน มาบังอาจตัดชื่อข้าให้เหลือแค่โดคาร์ ใครต่อใครเลยพากันเรียกแบบนี้มาหลายสิบปี ข้าพูดปากจะฉีกว่าไม่ใช่ๆ แต่ก็ไม่มีใครสน สุดท้ายเลยต้องปล่อยเลยตามเลย”

หญิงสาวเม้นปากเน้น จ้องมองท่านหัวหน้าคณะแพทย์หลวง ซึ่งถูกลดทอนชื่อลงจนน่าขัน เขาหลิ่วตามองมาที่นางอีกครั้ง แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง

“ว่าอย่างไร แม่สาวน้อย เจ้าชื่ออะไร”

“อาเดรียน่า”นางตอบด้วยทีท่าผ่อนคลายความกังวล

โอโดวาคาร์พยักหน้ารับเนิบๆ “หน้าตาสะสวย ชื่อก็เพราะสมตัว”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เอ่อ...แล้วที่ว่าจะไม่มีทหารมายุ่งกับข้าอีก รวมทั้งไอ้คนป่าเถื่อน โรคจิต จอมทารุณ นิสัยขวางโลกคนนั้นด้วยใช่ไหมค่ะ”นางถามต่อด้วยความอยากรู้เต็มที่

โอโดวาคาร์ขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางลังเลสงสัย “ที่เจ้าบรรยายมาทั้งหมด คงไม่ได้หมายถึง…”

“พวกทหารที่คุมตัวข้าบอกว่า...อะไรน้า...”อาเดรียน่าพยายามคิดทบทวน ก่อนจะร้องอ๋อเสียงใส “รู้สึกว่าเขาจะเป็นเสนาบดีกลาโหมอะไรนั่นล่ะ”

ดวงตาของโอโดวาคาร์เบิกกว้างอยู่เพียงชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะพลุบลงต่ำอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางพะอืดพะอมราวกับกลืนของเหม็นร้ายกาจลงคอ ส่วนคนอื่นที่อยู่ในห้องต่างเหล่มองเขา และขยับตัวไปมาอย่างไม่สบายใจ

อาเดรียน่าสังเกตท่าทีคนเหล่านั้นด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”นางถามหยั่งเชิง

“อ้อ เปล่า! เปล่าเลย ไม่มีอะไร”โอโดวาคาร์ตอบด้วยน้ำเสียงแหลมสูงผิดปกติ โบกไม้โบกมือเป็นพัลวัล “เออ จริงสิ เจ้าไม่ได้กินอะไรมาตั้งหกวัน! ข้าเลยเตรียมอาหารอร่อยๆ มาให้ จะกินเลยไหม -- เอ้า! อาหารๆ เข้ามาได้แล้ว”เขาเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างสายฟ้าแลบ

ส่วนหญิงสาวที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมามากว่าหกวัน พอได้ยินเรื่องกิน นัยน์ตาจึงส่องประกาบวิบวับ รีบพยักหน้ารับตามแรงปรารถนาของกระเพาะ ซึ่งตอนนี้แทบจะย่อยลำไส้มาหล่อเลี้ยงร่างกายอยู่ลอมล่อ นางจัดการกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกนำมาวางอยู่ตรงหน้าโดยไม่สนใจว่ารสชาติจะถูกปาก หรือต้องรักษากิริยามารยาทอย่างที่ถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก ขอแค่ให้ท้องอิ่ม รอดพ้นจากความหิว ซึ่งเกือบคร่าชีวิตนางไปจากโลกใบนี้ ทำเอาโอโดวาคาร์ที่ยืนมองอยู่ต้องรีบร้องปรามเบาๆ เพราะกลัวหญิงสาวสำลัก หรือไม่ก็จุดเสียดท้อง ซึ่งเป็นอาการของคนที่อดอาหารมาหลายวัน

“นังหนู ค่อยๆ กิน! เดี๋ยวจะจุกท้องก่อนอิ่มไปเสียก่อน”

อาเดรียน่าพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร เพราะในปากตอนนี้เต็มไปด้วยขนมปัง มือขวาที่ใช้ตัดน้ำซุปใสๆ เริ่มทำงานช้าลง ตามคำแนะนำของหัวหน้าคณะแพทย์หลวง

“บอกได้ไหมว่ามาทำอะไรที่นี่”โอโดวาคาร์เอ่ยถาม หลังจากอาเดรียน่ากินจนอิ่ม และบรรดาผู้ช่วยรอบตัวเขายกถาดอาหารอันว่างเปล่าออกไปจากห้องกันหมด “จากที่ข้าฟัง -- เอ่อ...เขาเล่ามา มันออกจะดูขัดๆ กับท่าทางของเจ้า -- เจ้าดูไม่เหมือนสายลับหรือพวกมือสังหารของกอรินธ์เลย”

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ!”อาเดรียน่าบอกเสียงบูด “ข้าแค่เดินหลงทางอยู่ในวัง ตั้งใจจะมาตามหาญาติที่เข้ามาทำงานอยู่ในนี้ แล้วข้าก็ไม่ใช่คนของกอรินธ์ด้วย! บ้านเกิดข้าอยู่ที่ทีจียา”

“ทีจียา!”โอโดวาคาร์ร้องเสียงดัง ดวงตาเบิกกว้าง “ที่นั่นไกลมาก เจ้าต้องเดินทางข้ามภูเขามากี่ลูกกว่าจะมาถึงที่นี่!”

หญิงสาวส่ายหน้า “เปล่า ข้าขอเดินทางมากับเรือขนส่งสินค้ามุ่งหน้าไปแคว้นเอโอลิส ระหว่างทางเรือจอดที่เมืองท่าเมโลฟ แล้วเดินทางมาต่อกับกองคาวานสินค้า - - ลูกสาวของหัวหน้าพ่อค้าในกองคาราวานเป็นเพื่อนกับข้าน่ะ”นางตอบ เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของผู้ฟัง “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลึกเทพธิดาคืออะไร แล้วข้าก็ไม่ใช่สายลับ ไม่ใช่โจร ไม่ใช่มือสังหาร ไม่ใช่คนของแคว้น กอรินธ์ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด! ข้า --”

โอโดวาคาร์ยกสองมือขึ้นปรามอาเดรียน่าที่เริ่มเกิดอาการตื่นกลัวขึ้นอีกครั้ง

“ข้าเชื่อเจ้า นังหนู”

เขาพูดอย่างหนักแน่นจริงจัง จนทำให้อีกฝ่ายถึงกับหยุดชะงัก นั่งนิ่งตาค้าง

“ท่านเชื่อ...”อาเดรียน่าพูดเสียงเครือ ตอบตัวเองไม่ถูกว่าตอนนี้ตนอยู่ในอารมณ์ตกใจ งุนงง หรือดีใจกันแน่ “ทั้งที่เล่าให้ฟังเพียงไม่กี่คำ ผิดกับคนพวกนั้น ข้าบอกจนแทบจะคุกเข่าอ้อนวอน แทบจะกรีดเลือดสาบาน แต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง แล้ว...แล้วทำไมท่านถึง --”

“ทำไมข้าถึงเชื่อคำพูดเจ้าน่ะเหรอ”โอโดวาคาร์กล่าวจบประโยคแทนนาง “อาจเพราะเจ้าดูไม่เหมือนสายลับหรือมือสังหารพวกนั้นที่ข้าเคยเจอมา เจ้าไม่ทีท่าเสแสล้ง และจิตใต้สำนึกข้าก็มักบอกอยู่เสมอ ว่าคนที่ข้ารู้สึกถูกชะตาด้วยเป็นคนดี”เขายิ้ม เมื่อเห็นสีหน้าคาดคั้นขอคำอธิบายของหญิงสาว “พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู โดยที่ไม่รู้เลยว่าทำไมจึงได้ถูกชะตากับเจ้านัก”

อาเดรียน่าเหลือบตาขึ้นมองผู้สูงวัย ที่ไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้ แต่นางคิดว่านางรู้คำตอบนั้น

“คงเป็นเพราะว่าเราทั้งสอง ทำงานอาชีพเดียวกัน”

โอโดวาคาร์จ้องกลับตาเป๋ง “อาชีพเดียวกัน? -- นี่เจ้าเป็นหมอหรอกรึ!”

อาเดรียน่าพยักหน้ารับ เท่านั้นเอง แพทย์หลวงก็ตีมือเสียงดัง ฉีกยิ้มกว้าง

“วิเศษ! วิเศษมากๆ ข้าว่าแล้วเชียวว่าทำไมถึงได้ถูกชะตากับเจ้าเป็นพิเศษ นังหนูๆๆ”เขาบอกตัวเอง และหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี “ผู้ช่วยข้ากำลังขาดแคลนอย่างหนัก เพราะคนเก่าๆ แก่เกินจนหอบสังขารไปรักษาคนไข้ไม่ได้แล้ว เด็กใหม่ๆ ก็ยังฝึกไม่คล่อง ยังทำงานเงอะๆ งะๆ เห็นแล้วอารมณ์เสีย -- คืออย่างนี้ พูดกันตามตรงเลยนะ เจ้าน่ะ มาเป็นผู้ช่วยข้าได้หรือเปล่า แต่ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ชอบบังคับจิตใจใคร โดยเฉพาะเรื่องการรักษาคน ซึ่งไม่ได้อาศัยแค่ตัวยา แต่ต้องมีจิตใจที่ดีงามด้วย -- เอ้า! ว่าไง เจ้าจะตกลงหรือปฏิเสธ”

“ข้าฝึกวิชาการแพทย์มาเพื่อรักษาคน ไม่ใช่เพื่อประดับบารมีหรือยกฐานะตัวเอง”อาเดรียน่าพูดอย่างจริงจัง “ข้ายินดีใช้ความรู้ช่วยงานท่านและทุกคน เพียงแต่”

หัวหน้าคณะแพทย์หลวงทำสีหน้าสงสัยใครรรู้เต็มที่ “แต่อะไร”

อาเดรียน่ามีสีหน้าไม่สบายใจ “หากข้าอยู่ที่นี่ ทางบ้านคงเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ออกเดินทางมานี่ก็ล่วงเข้าเดือนที่สองแล้ว หากขาดการติดต่อ ข้าเกรงว่า...ทางบ้านจะยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ ญาติผู้พี่ของข้า ก็หายตัวไปเป็นปี ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลยสักนิด”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าจะไว้วานให้คนสนิทช่วยส่งข่าวไปบอกกับทางบ้านของเจ้า อีกอย่างที่ว่าญาติผู้พี่หายไป ก็หายไปที่อิสทอเรีย[1]ใช่ไหม”โอโดวาคาร์ถามหญิงสาว ที่พยักหน้าตอบกลับมาแล้วพูดต่อไปว่า “เจ้าก็อยู่ช่วยงานข้า พร้อมๆ กับสืบข่าวของญาติผู้พี่ -- ได้ประโยชน์สองต่อ แล้วข้าก็มีเงินเดือนให้ มีที่พักอาศัย มีอาหารให้กินอิ่มท้องทุกมื้อ ไม่ได้ให้มาทำงานโดยไร้ค่าตอบแทนหรอกนะ”


อาเดรียน่ายิ้ม “ท่าทางท่านคงขาดผู้ช่วยจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ลดแลกแจกแถมแบบนี้หรอก”


โอโดวาคาร์ยักไหล่กลับมา

“ตกลง ข้าจะช่วยงานท่าน”

นัยน์ตาของแพทย์หลวงเป็นประกายวาววับ กล่าวเสียงสั่นด้วยความตื้นตัน “ต้องให้ได้อย่างนี้สิ! คนเป็นหมอมันต้องอย่างนี้”

“แต่อย่าใช้งานมากจนเกินไปล่ะ เดี๋ยวหมอคนเก่งจะกลายเป็นคนป่วยไปเสียอีก”

อาเดรียน่าหันมองไปยังประตูทางเข้า ที่มาของต้นเสียงทุ้มก้อง ชายสูงวัยสองคนที่นางมั่นใจว่าไม่เคยพบ เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ปลายเตียง ทั้งคู่ส่งรอยยิ้มน้อยๆ ด้วยความเป็นมิตรมาให้ แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายวัน ทำให้หญิงสาวเกิดความระแวง และไม่คิดจะไว้ใจใครง่ายๆ นางเอาแต่จ้องมองกลับ ใบหน้านิ่งแข็ง จนรอยยิ้มของผู้มาเยือนเริ่มค่อยๆ จางหาย แล้วก่อนที่สถานการณ์จะบานปลาย คำกล่าวทักทายก็เริ่มต้นขึ้น

“ลมอะไรพัดพาให้มาถึงนี่ที่ได้รึ ท่านมหาเสนาบดี ท่านราชครู”แพทย์หลวงเอ่ยเสียงใส โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าเมื่อครู่ ความตึงเครียดน้อยๆ ได้เกิดขึ้น

“ลมคิดถึง และลมแห่งการสร้างมิตร”ราชครูกล่าว ท่าทางและน้ำเสียงแสดงออกอย่างเป็นกันเอง “ได้ข่าวว่าช่วงนี้ท่านต้องรับหน้าที่หนัก เพราะหมอหลวงรุ่นเก่าปลดระวางไปหลายคน เด็กรุ่นใหม่ก็ยังทำงานไม่คล่อง ข้าไม่แปลกใจกับท่าทางดีใจของท่าน เมื่อได้รับหมอคนใหม่มาช่วยงาน”เขาเหลือบมองไปยังอาเดรียน่า ที่ยังคงนั่งจ้องหน้านิ่งกลับมาเช่นเดิม

“ใช่แล้ว ข้าดีใจมาก แล้วดูท่าทางแม่หนูคนนี้ต้องเก่งแน่ ข้ามั่นใจ -- อ้อ แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่นอกจากจะบอกว่าคิดถึง ท่านยังบอกว่ามาเพื่อสร้างมิตร หมายถึงอะไร”โอโดวาคาร์ถาม ขมวดคิ้ว ดวงตาเล็กหยีกระพริบปริบๆ ด้วยความสงสัย

มหาเสนาบดียิ้มกับท่านราชครู ก่อนจะหันกลับมองไปยังหญิงสาว “พวกเราได้ปรึกษาหารือเรื่องเจ้ากันอยู่หลายครั้ง แล้วเสียงส่วนใหญ่ก็สนั[สนุนว่าเจ้าไม่มีพิษภัยกับบ้านเมืองของเรา --”

“ข้าหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาแล้วเหรอ ข้ากลับบ้านได้แล้วใช่ไหม!”หญิงสาวร้องถามอย่างลิงโลด ทั้งสีหน้าและดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

มหาเสนาบดีลาร์โก้ถอนหายใจยาว “ถูกต้อง เจ้าไร้มลทิน แต่เมื่อครู่ยังบอกอยู่เลยว่าจะอยู่ช่วยงานเป็นหมอหลวง หากกลับบ้านจะช่วยงานทางนี้ได้อย่างไร -- ข้ารู้ว่าเจ้าคิดถึงบ้าน เป็นห่วงคนในครอบครัว แต่ขอให้ฟังสิ่งที่ข้าจะบอกต่อไปนี้ให้ดีนะ อาเดรียน่า ทุกคนบนแผ่นดินเซเพรัสต้องการความช่วยเหลือและความร่วมมือจากเจ้า ผลึกเทพธิดาซึ่งเป็นสมบัติของบ้านเมืองได้แตกสลายไปแล้ว --”

“เจ้ากำลังจะบอกให้ข้ารับผิดชอบในการกระทำนั้นใช่ไหม บอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่รู้ ไม่ได้ตั้งใจ --”

“ไม่ใช่ๆ”ลาร์โก้ปฏิเสธคำพูดของหญิงสาว “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นพัวพันกับช่วงเวลาที่เจ้าโผล่มาที่นี่พอดิบพอดี -- เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ข้าขี้เกียจยืดเยื้อ อย่างที่บอกไปว่าผลึกเทพธิดาแตกไปแล้ว แต่พลังและดวงจิตของเทพธิดาไม่ได้สูญสลายหายไป หากแต่ย้ายที่สิงสถิต และหากการคาดเดาของท่านราชครูถูกต้อง ในตอนนี้พลังของเทพธิดาอยู่ในร่างของราชครูแห่งกอรินธ์ ในขณะที่ดวงจิตของเทพธิดาน่าจะอยู่ใน...ร่างของเจ้า”

นัยน์ตาของอาเดรียน่าเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง นางมองมหาเสนาบดีและราชครูซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะมองร่างของตัวเองด้วยความรู้สึกทั้งมึนทั้งงงและสับสนผสมปนเปกันไป แต่แล้วภาพในคืนที่ทำให้ชีวิตนางต้องพบเจอกับเรื่องร้ายๆ ก็ปรากฏในความทรงจำ แสงสว่างสีชมพูซึ่งเป็นร่างเงาของมนุษย์เพศหญิง ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาทาบทับบนตัวนางและหายไปก่อนที่สติจะหลุดลอย

“และจะทำยังไงกันต่อ”หญิงสาวพูดเงยหน้าขึ้นมองราชครู

“ต้องหาทางนำดวงจิตและพลังกลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง”ราชครูตอบ “การดึงพลังกลับเป็นงานที่ง่ายดาย ทว่าการดึงดวงจิตยากกว่ามาก”

“ต้องใช้เวลานานไหม แล้ว...ปลอดภัยหรือเปล่า”แพทย์หลวงถาม มองราชครูที เสนาบดีที

ราชครูส่ายหน้าช้าๆ “ยังตอบไม่ได้ แต่ที่รับรองได้แน่ๆ ก็คือ ในระหว่างที่เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่นะ อาเดรียน่า เจ้าจะไม่มีทางกลับไปอยู่ในคุกบ้าๆ นั่นอีก”

“แต่เมื่อใดที่นางส่อแววว่าเป็นอันตรายต่อเซเพรัสละก็ ข้าจะโยนนางกลับเข้าไปอยู่ในคุกบ้าๆ นั่นทันที”

อาเดรียน่าขยับถอยหลังชิดขอบหัวเตียงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พลางคว้าหมอนขึ้นกอดแนบอก ราวกับจะใช้เป็นโล่กันบังจากบุรุษที่เพิ่งก้าวเข้ามาภายในห้องแห่งนี้ โดยไม่มีผู้ใดเชื้อเชิญ บุรุษคนที่จับนางล่ามโซ่ไว้ในคุกมืดมิด อันน่าหวาดหวั่น ทารุณด้วยการสั่งอดน้ำและอาหาร หากเมื่อใดที่เห็นว่านางต้องการดื่มน้ำมากจริงๆ บุรุษผู้นี้ก็จะสั่งให้ทหารนำถังไม้ขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำจนเต็มมา ก่อนจะจับตัวนางกดลงไปครั้งละนานๆ จนแทบสำลักขาดใจตาย และเคยขู่แม้กระทั่งจะควักหัวใจของนางออกมาทั้งเป็น ความโกรธเกรี้ยวคับแค้นบวกกับหวาดกลัวพุดพุ่งขึ้นพร้อมๆ กัน จนร่างบางสั่นสะท้าน ริมฝีปากซีดเซียวสั่นระริกขณะเอ่ยคำพูด

“แก...”

ทั้งราชครู ลาร์โก้และโอโดวาคาร์หน้าเสีย หันมองกันเลิกลักด้วยความร้อนรน โดยเฉพาะท่านราชครูที่โกรธจนเต้น แทบจะเข้าไปหักคอผู้มาเยือนรายใหม่ ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดความอลหม่าน และก่อนที่เขาจะนึกกลวิธีหยุดยั้งสถานการณ์อันน่าหวาดหวั่น เสียงร้องด่าลั่นของหญิงสาวที่ขดตัวกลมอยู่บนเตียงก็ดังขึ้น

“ไอ้คนชั่ว! ไอ้สารเลว! แกมันไม่ใช่คน ไอ้ผู้ชายหน้าไม่อายรังแกผู้หญิง!”

หัวหน้าเสนาบดียืนอ้าปากค้าง ค่อยๆ เหลือบมองบุรุษผู้ถูกด่าด้วยคำพูดเจ็บแสบ ซึ่งยังคงใบหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ได้อย่างเหลือเชื่อ

“ไอ้ --”

คำด่าหยุดกึกลง เมื่อดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่ายจ้องเขม็งพร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าได้รับการตัดสินว่าไร้มลทินจากคณะเสนาบดี แต่นั่นไม่ใช่สำหรับข้า -- สายลับคนก่อนก็แสดงท่าทางใสซื่อได้ไม่แพ้เจ้าหรอก หนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงเหมือนกันเสียด้วย”

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มต่ำอย่างช้าๆ หากแต่ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวจนแทบอยากจะวิ่งหนี แต่ร่างกายกลับแน่นิ่งตื้อชา ไม่ขยับเยื้อนตามความคิดเลยสักนิด

“แล้วเจ้าอยากรู้ไหม”เขาพูดต่อ ดวงตาสีฟ้าอันคมกริบจับจ้องอยู่ที่หญิงสาว “ว่าข้าทำอย่างไรกับผู้หญิงคนนั้น --”

“เทเลอัส!”น้ำเสียงแสดงชัดว่าหมดความอดทนของราชครูดังขึ้น ใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความโมโหโทโส จนเส้นเลือดที่ขมับอูมเป่งอย่างน่ากลัว “เจ้าจะเข้ามาทำไม!”

“เพราะข้าต้องการเข้ามา”เทเลอัสตอบเรียบๆ หากแต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจสำหรับผู้ถามเลยสักนิด ซึ่งเขาก็รู้ดี แต่ก็ไม่คิดที่จะอธิบายเพิ่มเติม

“ข้าล่ะเบื่อหน่ายกับเจ้าที่สุด!”

“ข้อนั้นข้ารู้ดี และรู้มานานแล้วด้วย”ชายหนุ่มพูดช้าๆ แล้วกล่าวต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ “ท่านทำตามหน้าที่ของท่าน ส่วนข้าทำตามหน้าที่ของข้า เราต่างไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน และข้าเคารพท่านเสมอ”

สีหน้าของราชครูราวกับมีก้อนเหนียวๆ ติดอยู่ในลำคอ ริ้วรอยของความกราดเกรี้ยวเปลี่ยนเป็นความยุ่งยากใจ ได้แต่ยืนนิ่ง คำพูดต่างๆ ที่คิดไว้เพื่อตอบโต้กลับ มีอันต้องเก็บไปอย่างรวดเร็ว

เทเลอัสค้อมศีรษะลงหนึ่งครั้ง แล้วหันกลับไปยังหญิงสาวที่ยังนั่งตัวเล็กลีบ จนแทบจะละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกับแผ่นไม้หัวเตียง

“อย่าได้คิดว่าการมีดวงจิตเทพธิดาสถิตอยู่ในร่างจะกลายเป็นข้อต่อรองที่เหนือกว่า หากเมื่อใดที่เจ้าสละคราบหญิงสาวอ่อนแอผู้น่าสงสาร และกลายเป็นมือสังหาร ข้าจะลงมือปลิดชีพเจ้าโดยไม่ลังเล จงจำใส่ใจไว้ว่าเจ้าคือนักโทษที่ข้าจับมาได้ เพราะฉะนั้น สิทธิ์ในการควบคุมตัวมากกว่าครึ่งจึงขึ้นอยู่กับข้า และเจ้ายังไม่ได้หลุดพ้นจากการเป็นนักโทษ หากแต่เปลี่ยนสถานที่คุมขัง จากคุกหลวง มาเป็นข้า!”

“อะไรนะ!”อาเดรียน่าร้องถามด้วยความตกใจและงุนงง

รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่ม ซึ่งสามารถกลบลบความหล่อเหลาให้กลายเป็นความสะพรึงกลัวดุจดังปีศาจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ข้าจะตามติดเจ้าทุกฝีก้าว ยิ่งกว่าโซ่ตรวจที่เคยล่ามแขนขาเจ้าไว้เสียอีก”

“พอเถอะ! ท่านเสนาฯกลาโหม หากนางตกใจกลัวจนหัวใจวายตายขึ้นมา เรื่องมันจะยุ่งไปกันใหญ่”มหาเสนาบดีกล่าวเสียงเครียดเคร่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมสงบปากสงบคำทำตามแต่โดยดี

“พูดเรื่องของเจ้าจบแล้วใช่ไหม”โอโดวาคาร์หันไปขึงตาใส่เทเลอัสที่ถอนหายใจกลับมา ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเนือยๆ “ดี! ถ้าอย่างนั้นจงออกไปจากห้อง ยืนอยู่ด้านหน้าเหมือนเดิม และห้ามเข้ามาอีก หากยังไม่ได้รับอนุญาตจากข้า!”

เสนาบดีกลาโหมผู้ถูกออกคำสั่งปรายตามอง ราวกับจะประกาศว่าคำสั่งนั้นได้ก้าวล้ำเกินขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของเขา และเขาจะไม่มีวันยอมเป็นอันขาด

โอโดวาคาร์ส่งเสียงคำรามในลำคอด้วยความหงุดหงิด “ก็ได้ๆ แต่ตอนนี้ออกไปก่อน!” เขาส่ายหน้าไปมาอย่างเบื่อหน่าย ขณะจ้องมองชายหนุ่มซึ่งในที่สุดก็ยอมจากไป แล้วกลับมาพูดกับอาเดรียน่าที่ยังนั่งสั่นอยู่น้อยๆ “ไม่เป็นอะไรหรอก หากไม่ใช่ศัตรูหรือผู้ที่คิดร้ายต่อแผ่นดิน เขาไม่ลงมือทำร้ายใครอย่างแน่นอน ทำใจให้สบาย”

“แต่เขาคิดว่าข้าเป็นศัตรูที่คิดร้ายต่อแผ่นดิน เขาต้องหาเหตุผลมาทำร้ายข้าแน่ แล้วเขาก็แค่ไปให้พ้นหูพ้นตา แต่ความจริงยังยืนอยู่หน้าห้อง -- ตกลงว่าข้ายังเป็นนักโทษอยู่ใช่ไหม!”หญิงสาวเริ่มกลับมาโวยวายเสียงดังอีกครั้ง

“คือว่า...”

“ข้าต้องการรู้ความจริง!”อาเดรียน่าตะโกนขัดกลางประโยคของลาร์โก้ “อย่าได้ปิดบังอีก”

ลาร์โก้มีท่าทีอึกอักยุ่งยากใจ “ข้อสำคัญมันอยู่ที่ว่า เทเลอัสเป็นผู้จับตัวเจ้ามาได้ ดังนั้นสิทธิ์กว่าครึ่งในการตัดสินลงโทษ ควบคุมตัว และในอีกหลายต่อหลายอย่างในตัวเจ้า จึงถือว่าเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของเขา แม้คณะเสนาบดีทั้งหมดลงมติให้เจ้าหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา แต่เทเลอัสนั้นยื่นคัดค้าน ถึงแม้จะเป็นเพียงเสียงเดียว แต่อย่างที่ข้าบอกว่าสิทธิ์กว่าครึ่งหนึ่งในตัวเจ้าขึ้นอยู่กับเขา ข้อกล่าวหาเหล่านั้นจึงเพียงแค่ถูกผ่อนปรนให้เบาบางลง โดยห้ามไม่ให้ทารุณร่างกาย จิตใจ หรือกักขังในคุก แต่ก็ไม่ได้ถูกลบล้างความผิด”

“สรุปก็คือ”อาเดรียน่าพยายามสงบสติอารมณ์อันครุกรุ่นของตัวเองไว้อย่างยากลำบาก “ข้ายังคงเป็นนักโทษที่อยู่ในการควบคุมของเสนาบดีกลาโหม!”

ลาร์โก้พยักหน้ารับคำกล่าวนั้น ก่อนจะเบือนหน้าหนีดวงตาของหญิงสาว ที่บัดนี้ลุกโชนไปด้วยความโกรธเคือง

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบใจกับการถูกจำกัดอิสรภาพและการมีข้อกล่าวหาร้ายแรงติดตัว แต่ยังดีกว่าการถูกจองจำอยู่ในคุกหลวง ซึ่งเจ้าไม่สามารถเห็นเดือนเห็นตะวัน สัมผัสสายลม หรือได้พูดคุยกับผู้คน”ราชครูกล่าว พยายามเกลี่ยกล่อมให้อารมณ์แค้นเคืองของหญิงสาวสงบลง “เรื่องราวเลวร้ายที่เจ้าต้องเผชิญตลอดหลายวันที่ผ่านมา จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกอย่างเด็ดขาด”

“ข้าเชื่อท่าน แต่ข้าไม่เชื่อผู้ชายคนั้น!”อาเดรียน่าสะบัดหน้าไปยังประตูห้อง เมื่อเอ่ยถึงบุรุษที่นางชิงชังจับใจ “เขาร้ายกาจดุจปีศาจ ไม่มีความปราณี ที่สำคัญเขาเกลียดและคอยจ้องจับผิดข้าอยู่ตลอดเวลา เช่นนี้แล้วพวกท่านจะให้ข้าวางใจได้อย่างไร”

“แม้ภายนอกเทเลอัสอาจดูเป็นคนแข็งกระด้าง เย็นช้าและก้าวร้าว แต่เขาเป็นทหาร ยึดถือคำพูดและความถูกต้องอย่างที่สุด และที่สำคัญ เขาเป็นสุภาพบุรุษ”

อาเดรียน่าเบ้ปากให้กับเหตุผลในข้อหลัง ซึ่งทำให้ราชครูยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“เอาล่ะ ข้ายอมรับว่าเขาดื้อมากๆ แต่เขาไม่ใช่คนเลวร้าย และหากเหตุผลเหล่านี้ยังไม่สามารถทำให้เจ้าสบายใจได้ ข้าจะขอรับรองด้วยเกียรติและหน้าที่การงานของตัวเอง”ราชครูกล่าวอย่างหนักแน่น ใบหน้านิ่งสงบจริงจัง “หากเทเลอัสกระทำการทารุณราวกับเจ้าเป็นนักโทษประหาร ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบการกระทำทั้งหมดนั้นแต่เพียงผู้เดียว”

“ท่านราชครู!”

ลาร์โก้เอ่ยเรียกอย่างตื่นตกใจ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ได้รับการปกป้อง ซึ่งได้แต่จ้องมองกลับ แม้ส่วนลึกในจิตใจจะรู้สึกตื้นตัน แต่นางก็รู้ดีว่า การกระทำเหล่านี้ ก็เพื่อต้องการรักษาชีวิตของนางเอาไว้ เพื่อผลประโยชน์ต่อแคว้นเซเพรัสที่พวกเขาเป็นข้ารับใช้นั่นเอง

“โดคาร์”ราชครูหันไปเรียกหัวหน้าคณะแพทย์หลวง “เรื่องของอาเดรียน่าคงต้องฝากให้เป็นธุระของท่านด้วย”

โอโดวาคาร์ยิ้มรับอย่างชื่นมื่น”วางใจได้ รับรองข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี อย่างที่กล้ายืนยันว่าท่านเสนาฯกลาโหมผู้เถรตรง ไม่มีทางกระทำการตามอำเภอใจตัวเองได้อย่างแน่นอน”

“ทั้งที่เขาเป็นคนพานางมาให้ท่านช่วยดูแลน่ะเหรอ”ลาร์โก้กล่าวแซวด้วยเสียงกระซิบ เพื่อไม่ให้หญิงสาวได้รับรู้ข้อมูลที่แท้จริง

โอโดวาคาร์ส่งเสียงหงุดหงิดในลำคอเบาๆ ขึงตาใส่เพื่อให้อีกฝ่ายเลิกพูดเสียที ก่อนจะกลับมาเอ่ยยืนยันหนักแน่นกับราชครูอีกครั้ง

“ข้าขอรับประกันด้วยหน้าที่การงานของตนเองเช่นกัน”

“ข้าเชื่อท่าน – เห็นทีข้าต้องขอตัวก่อน”ราชครูเอ่ยลา “เจ้าพักผ่อนให้มากๆ อย่ามัวแต่ใส่ใจกับความคิดของคนเพียงแค่คนเดียว เพราะจะทำให้ร่างกายของเจ้าอ่อนแอลง คราวนี้โดคาร์คงได้งานยุ่งเพิ่มขึ้นแทนที่จะได้หมอฝีมือดีมาช่วยงาน”

ชั่วขณะที่ประตูห้องถูกเปิดออกให้ราชครูและลาร์โก้เดินผ่านไป สายตาของอาเดรียน่าก็สะดุดกับร่างสูงโปร่งของเสนาบดีกลาโหม ซึ่งนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่วางอยู่หน้าห้อง มือทั้งสองข้างยกขึ้นกอดอก นัยน์ตาสีฟ้าจ้องตอบกลับมาราวกับนกเหยี่ยวจ้องจับเหยื่อ

อย่ามัวแต่ใส่ใจกับความคิดของคนเพียงแค่คนเดียว

อาเดรียน่านึกถึงคำแนะนำของราชครู และยอมปฏิบัติตามอย่างเห็นดีเห็นงาม นางสะบัดหน้าหนีเขา ล้มตัวลงนอน พลางดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้า พร้อมกับเสียงประตูที่ถูกปิดสนิทลงอีกครั้ง



**************************************


[1]

อีสทอเรีย เป็นเมืองหลวงแคว้นเซเพรัส



กาแฟเย็นIcedcoffee
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2557, 13:21:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 เม.ย. 2557, 13:21:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 887





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account