หัวใจเดิมพันรัก
หนี้สิน ฆ่าตัวตาย ชีวิตใหม่ ความรัก และอุปสรรค โชคชะตาจะนำพาไปในทิศทางใด....
Tags: หนี้สิน

ตอน: บทที่ 3

บทที่ 3

ท่ามกลางสวนส้มที่กว้างสุดลูกหูลูกตา หญิงสาวคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มสดใสแข่งกับแสงตะวัน เดินเข้าไปคุยกับคนนั้นทีคนนี้ที ถามโน่นถามนี่ พร้อมกับลองเก็บส้มเองบ้าง บางจังหวะก็ซี้ดปากเพราะความเปรี้ยวของส้มที่ยังสุกไม่เต็มที่ กิริยาที่แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนงานที่อยู่ในบริเวณเดียวกันได้เป็นอย่างดี ภาพเหล่านั้นก็เข้าไปประทับอยู่ในใจของเจ้าของสวนส้มอย่างไม่ทันตั้งตัว

“เปรี้ยวสุดๆ เลยค่ะพี่นาง” พิจิกาบอกคนงานรุ่นพี่ หลังจากชิมส้มเข้าไปกลีบหนึ่ง

“มันยังบ่สุกดีนี่เจ้า”

“แต่ก็อร่อยดีเหมือนกันนะคะ บ่ายๆ แบบนี้กินแล้วหายง่วงเลยค่ะ พี่นางทำงานที่นี่นานหรือยังคะ” เด็กฝึกงานคนใหม่ปิดท้ายด้วยประโยคคำถาม

“นานแล้วเจ้า ตั้งแต่สมัยพ่อนายยังอยู่เจ้า”

“พรุ่งนี้พี่นางสอนพายเก็บผลส้มหน่อยได้ไหมคะ พายจะมาเป็นคนงานที่นี่แล้วนะ ถ้าเก็บส้มไม่เป็นมีหวังโดนนายไล่ออกตั้งแต่วันแรกแน่ๆ เลย” พิจิกาอ้อนน้อยๆ พอน่าเอ็นดู

“คุณพายจะมาเป็นคนงานจริงหรือเจ้า ไม่ทำงานที่สำนักงานหรือเจ้า” นางถามอย่างไม่อยากเชื่อ

“นายจะหางานให้พายทำ แต่พายมาแบบไม่ได้บอกกล่าว คงไม่มีตำแหน่งไหนว่าง นอกจากคนงานเก็บส้ม ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” พิจิกาก้มหัวให้กับคนงานรุ่นพี่ ท่ามกลางรอยยิ้มพึงพอใจของหลายๆ คน

“คุณพายเป็นแฟนนายหรือเปล่า” ไอ้จืดถามด้วยความอยากรู้

“เฮ้ย! ไม่ใช่ ใครบอกเอ็ง นี่เอ็งอย่าบอกนะว่าเอ็งไปบอกแม่นายว่าพายเป็นแฟนข้า” ภูมิรพีอุทานด้วยความตกใจ นึกว่าคนสนิทสร้างเรื่องให้กับตนอีกแล้ว

“เปล่าครับนาย แค่สงสัยเฉยๆ ไม่เคยเห็นนายพาใครมาพักที่เรือนเล็กสักที”

“ข้าแค่ให้ความช่วยเหลือเธอเฉยๆ ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย เอ็งก็อย่าพูดมาก พายจะเสียหาย เข้าใจหรือเปล่า” คนเป็นนายถึงโอกาสกำราบคนปากเปราะ

“ผมก็ว่าคุณพายสวยสู้คนที่แม่นายหามาไม่ได้สักคน หน้าตาเธอก็ออกจะธรรมด้าธรรมดา คนสวยๆ นายยังไม่สนใจเลย นับภาษาอะไรกับคุณพาย” จืดคล้อยตามคำบอกเล่าของนาย เพราะเหตุผลมันเข้าเค้าอยู่

“นี่เอ็งยังเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า นินทาผู้หญิงระยะเผาขนแบบนี้ หาไอ้จืด!”

“ผมไม่ได้นินทา แค่พูดให้ฟังเฉยๆ แต่เธอน่ารักดีนะครับ ไม่เห็นถือตัวเหมือนคนที่แม่นายพามาเลย”

“โดนพายหว่านเสน่ห์เข้าให้แล้วหรือยังไง”

“ผมพูดตามที่ผมเห็น ที่ผมสัมผัสต่างหาก นายก็เถอะ อยู่ใกล้เธอมากๆ ระวังหัวใจตัวเองให้ดีนะครับ ไอ้ที่เคยแข็งแกร่งมันจะอ่อนปวกเปียก เป็นขี้ผึ้งลนไฟ” จืดได้ที่สรรพยอกผู้เป็นยิ่งใหญ่แห่งพนารักษ์

“ช่างพูดนะเอ็ง ที่โรงเรือนมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ไม่ได้เข้าไปดูหลายวันแล้ว” เมื่อเรื่องเริ่มเข้าตัว ‘นาย’ ก็เปลี่ยนเรื่องให้ไกลตัวออกไป เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับคนสนิทอีก

“ไม่มีครับ สตอว์เบอร์รี่ชุดนี้ดูจะลูกโตกว่าปีก่อนครับ นายไม่คิดจะขยายโรงเรือนแล้วหรือครับ ตลาดหาของจากสวนเราเยอะ” จืดถามด้วยความสงสัย เพราะถ้าเป็นสวนอื่นคงเพิ่มกำลังผลิตไปแล้ว

“ไม่ล่ะ แค่นี้ข้าก็ดูไม่ไหวแล้ว อีกอย่างข้าก็ปลูกเสริมเอาไว้อย่างนั้นเอง หลักๆ ของเราก็ยังอยู่ที่ส้มนี่”

“วันนี้ผมแวะไปที่สำนักงานในเมือง คุณถวิลฝากเอกสารมาให้นายด้วยครับ ผมก็ลืมบอกไป” จืดยิ้มแหยๆ เมื่อถึงนึกเรื่องงานขึ้นมาได้

“อยู่บนรถใช่ไหม เดี๋ยวเย็นนี้ข้าจะเอาไปดูเอง พายๆ ไปที่โรงคัดกันดีกว่า” เมื่อได้รับคำตอบจากรู้น้องก็หันไปเรียกหญิงสาวที่กำลังสนุกกับการเก็บส้ม พิจิกาจึงรีบเดินกลับมาหาเจ้านาย

“เอ็งดูงานทางนี้แล้วกันนะ เดี๋ยวข้าแวะกลับมารับ”

“ครับนาย” แล้วสองหนุ่มสาวก็เดินออกจากแปลงไป

“เป็นไงบ้าง ชอบไหม”

“สนุกดีค่ะ แต่ถ้าทำทุกวันก็ไม่รู้ว่าจะสนุกหรือเปล่า แล้วไม่รู้จะทำไหวไหม โรงคัดอยู่ไกลไหมคะพี่ภูมิ” แม้จะมีความกังวลอยู่ในใจ แต่ตอนนี้ความสนุกและอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่า

“ไม่ไกลครับ งานของที่นี่จะพยายามทำให้เสร็จวันต่อวัน เพราะสินค้าของเราจะส่งทุกเช้า” ภูมิรพีถือโอกาสเล่าเกี่ยวกับงานให้ว่าที่ลูกจ้างคนใหม่เก็บเป็นข้อมูลต่อ

“พี่ภูมิจ่ายค่าแรงยังไงคะ” พิจิกาถาม เพราะต้องการคำนวณว่ามันพอที่จะนำไปจ่ายหนี้หรือเปล่า

“ส่วนใหญ่ก็เป็นรายวันครับ นอกจากคนที่ทำงานในสำนักงาน แล้วก็คนมีหน้าที่ประจำ” นายให้คำตอบอย่างคร่าวๆ

“อย่างพี่นางละคะได้วันละเท่าไหร่” คนขี้สงสัยถามต่อไปอีก

“พี่นางเป็นหัวหน้าคนงานได้รับเป็นเงินเดือนครับ”

“แล้วคนงานทั่วไปล่ะคะ” เมื่อยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการหญิงสาวก็เจาะข้อมูลเชิงลึกต่อไปอีก

“ต่ำสุดตอนนี้ก็สามร้อยบาทครับ” ตัวเลขโผล่ขึ้นมาในสมองของพิจิกาทันควัน เดือนหนึ่งได้เก้าพัน จ่ายค่าหนี้เดือนละหกพัน เหลือสามพัน

“พายๆ เป็นอะไร” เมื่อเสียงที่ถามแจ้วๆ หายไป จึงหันไปมองก็เห็นเธอขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรอยู่

“เปล่าค่ะ กำลังคำนวณอะไรนิดหน่อยค่ะ แล้วปกติคนงานทานข้าวที่ไหนคะ”

“เรามีโรงอาหารสำหรับคนงานครับ” แล้วในหัวของพิจิกาก็โผล่แผนการออกมาอีกระลอก ถ้าอย่างนั้นเงินที่เหลือก็ส่งให้พ่อกับแม่ได้ แต่สองเดือนแรกคงต้องหักคืนที่เบิกล่วงหน้ามาก่อน

“พายๆ ถึงแล้วครับ” ภูมิรพีมองอีกฝ่ายอย่างฉงนสงสัย เพราะนั่งเหม่ออีกแล้ว แต่เหม่อคราวนี้ผิดจากตอนที่ได้พบกันใหม่ๆ

“ถึงแล้วหรือคะ” พิจิกาหลุดจากภวังค์ของตัวเอง แล้วส่งยิ้มแหย ๆ ให้ชายหนุ่ม

“คิดอะไรอยู่ฮึ เหม่อมาตลอดทางเลย”

“ปะ...เปล่าค่ะ ไปกันดีกว่า พายอยากเห็นว่าเขาคัดส้มกันยังไง” หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่องทันใด

ภูมิรพีพาพนักงานคนใหม่ไปดูงานของโรงคัด โดยเริ่มต้นจากการล้างผลผลิต คัดแยกผลที่ได้มาตรฐาน คัดแยกขนาด เคลือบผิว และรายละเอียดอื่นๆ

“ที่นี่เราพยายามจะใช้แรงงานคนให้ได้มากที่สุด เพราะเราอยากให้ทุกคนมีงานทำ ถ้าใช้เครื่องจักรทั้งหมด คนงานก็จะตกงาน อาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ทางสังคมตามมาอีก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ใช้เครื่องจักรเลยนะครับ ส่วนผลผลิตเราก็จะมีทั้งที่ส่งนอกและจำหน่ายในประเทศ ส้มทุกลูกจะต้องได้คุณภาพจริงๆ ถึงจะถูกส่งออกไปจากสวนครับ” เจ้าของสวนเล่าระบบการทำงานของพนารักษ์ไปเรื่อยๆ ฝ่ายคนฟังก็เห็นด้วยกับความคิดของผู้เป็นนาย

“ไปทางโน้นดีกว่าครับ” ภูมิรพีพาพิจิกาไปในส่วนที่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่ทำงานอยู่ “ทุกอย่างต้องผ่านมาตรฐานของกรมการเกษตรครับ ไม่อย่างนั้นเราจะดำเนินกิจการต่อไปไม่ได้”

“รายละเอียดเยอะเหมือนกันนะคะ แล้วพี่ภูมิดูแลคนเดียวไหวหรือคะ”

“พี่จะดูแลในภาพรวมมากกว่าครับ เพราะทุกส่วนของพนารักษ์จะมีผู้ที่รับผิดชอบในแต่ละหน้าที่เป็นคนดูแลครับ อย่างโรงคัดนี่ก็จะมีคิวซีเป็นหัวหน้ารับผิดชอบตรวจสอบคุณภาพ ในส่วนของพวกเครื่องจักร เราก็ต้องมีวิศวกรประจำเหมือนกันครับ เมื่อเกิดปัญหาจะได้แก้ไขได้ทันที”

“สวัสดีครับคุณวิชญะ” ภูมิรพีทักทายหัวหน้าวิศวกรคุมเครื่องจักรที่กำลังสั่งงานลูกน้องอยู่

“สวัสดีครับนาย วันนี้ลมอะไรหอบนายมาที่นี่ได้ครับ”

“พาเพื่อนมาชมสวนหน่อยครับ นี่คุณวิชญะวิศวกรมือหนึ่งของเราครับพาย ส่วนนี่คุณพายครับ” ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทักทายกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ผมกำลังจะเข้าไปปรึกษานายเรื่องเครื่องจักรอยู่พอดีเลยครับ”

“มีปัญหาอะไรเหรอครับ”

“อะไหล่บางตัวเริ่มมีปัญหา อาจจะต้องสั่งอะไหล่สำรองเพิ่ม และอยากให้นายเพิ่มเครื่องจักรอีกสักตัวสองตัว ไม่ทราบจะมีปัญหาหรือเปล่าครับ เพราะตอนนี้เครื่องจักรที่ใช้งานอยู่เรียกว่าเกินกำลังไปพอสมควรแล้วครับ” วิชญะรายงานนาย พร้อมกับเอ่ยปากขออย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะเครื่องจักรตัวหนึ่งราคาไม่ใช่ถูกเลย

“คุณวิชทำเรื่องเสนอไปก่อนแล้วกันนะครับ วันไหนว่างก็แวะเข้าไปให้คำปรึกษากับผมหน่อย”

“ถ้างั้นอีกสองวันผมเข้าไปหานายดีกว่าครับ” เมื่อตกลงเรื่องงานกันเรียบร้อยแล้ว ภูมิรพีก็พาพิจิกาเดินสำรวจการทำงานของเครื่องจักรอีกสักพักก็พากันเดินออกจากโรงคัด

“พี่ภูมิคะ พรุ่งนี้พายเปลี่ยนจากคนเก็บส้ม มาล้างส้มแทนได้ไหมคะ ท่าทางจะเวิร์กกว่า แล้วคงไม่ทำให้ผลผลิตของพี่ภูมิเสียหายด้วย” ภูมิรพีได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู

“นี่พายคิดว่าพี่จะให้พายมาเป็นคนงานในแปลงหรือ พี่ไม่เสี่ยงหรอก สงสัยจะเสียหายวันหนึ่งเป็นสิบกิโล และอาจจะขาดรายได้วันหนึ่งหลายกิโล เพราะดูท่าทางคนเก็บส้มคนใหม่ จะเก็บไปกินไป”

“พี่ภูมิ” พิจิกาเรียกชายหนุ่มเสียงเข้ม พร้อมสะบัดหน้าใส่ เดินออกจากตรงนั้นไปทันที ภูมิรพีส่ายหน้าขำๆ ก่อนที่จะเดินตามคนขี้งอนออกไป


พิจิกานั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งไม้หน้าเรือนหลังเล็ก หลังจากลงมือทำอาหารเลี้ยงพี่จืดก่อนที่จะแยกย้ายกันไป เมื่อต้องอยู่คนเดียวมันก็ทำให้เกิดอาการจิตตกอีกครั้ง ตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้วแต่กลับนอนไม่หลับ ในหัวมีแต่คำถามที่ว่า ทำไมปาณชัยถึงได้ทำร้ายจิตใจของเธอได้ขนาดนี้ วันเวลาที่ฝ่าฟันมาด้วยกัน มันไม่มีความหมายเลยใช่ไหม ความรักที่เคยมีให้กันมาหลายปีเทียบอะไรกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เลยหรือ

หญิงสาวนั่งชันเข่าร้องไห้เงียบๆ ทั้งที่พยายามจะเข้มแข็ง แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ถ้ายุ่งๆ สมองไม่ว่างมาคิดเรื่องพวกนี้ก็คงดีนะ อย่างน้อยมันก็ทำให้ลืมเรื่องเหล่านี้ไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ถ้าขืนเป็นแบบนี้นานๆ ร่างกายของเธอคงรับไม่ไหวแน่ๆ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองผอมลงมาก โรคที่ไม่เคยเป็นก็กำลังจะถามหา เมื่อเย็นก็ต้องทนฝืนกินข้าวแม้จะไม่ได้มาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้รับอะไรเลย สุดท้ายก็ไม่ได้ผล เพราะมันไหลย้อนออกมาหมด เริ่มมีอาการปวดกระเพาะมากขึ้น คงเกิดจากความเครียดสะสมที่มีติดต่อกันมาเป็นแรมเดือน ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นคงต้องให้หมอช่วยแล้วสินะ

ทางด้านของภูมิรพีหลังจากอ่านเอกสารของคุณถวิลเรียบร้อยแล้ว ก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเตรียมตัวเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า ระหว่างที่บิดตัวไปมาอยู่นั่น ตาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟจากเรือนเล็กที่อยู่ห่างจากเรือนใหญ่ไปพอสมควรผ่านทางหน้าต่าง เจ้าของเรือนขมวดคิ้วคิ้วสงสัย ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่นอน จะเป็นอะไรหรือเปล่า คิดได้แค่นั้นชายหนุ่มก็คว้ากุญแจรถแล้วเดินลงจากเรือน เห็นจักรยานจอดอยู่จึงเปลี่ยนใจปั่นจักรยานไปหาเธอแทน แล้วก็ต้องถอนใจแรงๆ เมื่อเห็นร่างที่แทบจะปลิวลมอยู่แล้ว นั่งชันเข่าอยู่หน้าเรือน เดาได้ไม่ยากว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่

“พายมานั่งทำอะไรค่ำๆ มืดๆ อากาศก็เย็น เดี๋ยวก็ไม่สบาย ทำงานให้พี่ไม่ได้หรอก” พิจิการีบหันหน้าหนีพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง การกระทำนั้นมันไม่ได้รอดพ้นสายตาของชายหนุ่มไปได้หรอก

“พี่ภูมิมายังไงคะ มีอะไรหรือเปล่า” พิจิกาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ

“พี่เห็นไฟที่เรือนเปิดอยู่ คิดว่าพายเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พายนอนไม่หลับ เห็นดาวสวยดีก็เลยออกมานั่งดูดาว” ภูมิรพีเดินมานั่งลงข้าง พร้อมกับรั้งร่างผอมบางเข้าไปกอดปลอบขวัญ

“เมื่อไหร่จะหยุดร้องสักที ถ้าไม่ยอมลืมมัน พายก็ไม่มีทางพ้นจากความทุกข์หรอกนะ พายจะเก็บความทุกข์ไว้กับตัวเองทำไม ทำไมไม่มองถึงอนาคตข้างหน้าล่ะ”

“พายไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ พายทำอะไรผิดหรือคะ เขาถึงได้ทำร้ายพายได้ขนาดนี้ ความรักของพายไม่มีความหมายกับเขาเท่ากับผู้หญิงคนนั้นเลยหรือคะ” ในที่สุดพิจิการะบายความอัดอั้นออกมา

“มันไม่ใช่ความผิดของใครหรอก เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งทุกคนก็มาถึงทางแยก มันก็อยู่ที่เราว่าจะเลือกเดินไปในเส้นทางเดียวกันอีกหรือเปล่า ทำไมไม่คิดว่าการที่เขาบอกพายในตอนนี้เป็นโชคดีของพายล่ะ พายจะได้ไม่ต้องโดนหลอกต่อไปเรื่อยๆ” ชายหนุ่มพยายามเสนอแนวคิดบวกให้กับคนจิตตก

“พายพยายามแล้วนะคะพี่ภูมิ” เธอยังสะอื้นอยู่กับอกของเขา

“พายรู้ไหมว่าตอนนี้พายกำลังทำร้ายตัวเองมากกว่าที่ผู้ชายคนนั้นทำอีก ไหนบอกพี่ว่าตัวเองแก่แล้วไง คนที่เป็นผู้ใหญ่ทำอะไรก็ต้องมีเหตุผลและควบคุมอารมณ์ตัวให้ดีกว่านี้สิ” ภูมิรพีถือโอกาสสั่งสอน

“พายก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกันค่ะ ถ้าพายตัดทุกอย่างแบบเปิดปิดสวิทซ์ได้ก็ดีสิคะ” พิจิกาแก้ตัวเสียงอ่อน

“พี่ห้ามไม่ให้พายทุกข์ไม่ได้หรอกนะ แต่อยากให้พายรักตัวเองมากกว่านี้ ร่างกายเป็นของพาย จิตใจก็เป็นของพาย ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวพาย มันเป็นของพายทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถแย่งไปได้ แล้วทำไมไม่ดูแลรักษามันให้ดีล่ะ”

“พี่ภูมิว่าพายโง่ไหมคะ ที่จมอยู่กับสิ่งที่ไม่มีทางหวนคืนมาได้อีกแล้ว”

“ไม่มีใครโง่เพราะความรักหรอกนะ เมื่อลืมไม่ได้ ทำไมไม่เลือกจำแต่สิ่งดีๆ ที่เคยทำร่วมกันมาล่ะ มองถึงความสุขที่เราเคยมีสิ แล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตที่ดีกว่ายังไงล่ะ ดึกแล้วอากาศก็เย็นมาก ขึ้นเรือนเถอะ พี่ไปส่ง” ภูมิรพีฉุดหญิงสาวให้ลุกขึ้นพาไปส่งถึงเตียงนอน จัดการห่มผ้าให้เรียบร้อย

“ขอบคุณค่ะพี่ภูมิ กลับเรือนใหญ่ดีๆ นะคะ” พิจิกาหลับตาลง ปล่อยให้เจ้าของปิดบ้านเอง


วันรุ่งขึ้นสาวร่างผอมบางก็ต้องตกอยู่ในสภาพอ่อนระโหยโรยแรง เพราะเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงจนไม่สามารถข่มตานอนได้ รีบลุกขึ้นมากินยาที่หาได้จากตู้ยาสามัญประจำบ้าน ก่อนที่จะนอนลงขดตัวกดท้องตัวเอง เพื่อบรรเทาอาการปวด ซึ่งมันก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เช้านี้เธอลุกขึ้นมากินยาอีกครั้ง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการกับตัวเอง เดินกุมท้องออกจากห้องนอนเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นรินนมมาดื่ม เพียงแค่นมไหลลงกระเพาะ มันก็ไหลย้อนกลับขึ้นมาทันที พิจิกาวิ่งไปที่อ่างล้างจานแถบไม่ทัน สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่จิบน้ำแล้วเดินออกมาทรุดลงนั่งหน้าห้องครัว

“โอ๊ย!” หญิงสาวล้มตัวลงนอนกดท้องตัวเองเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด ไม่เคยรู้สึกทรมานเท่านี้มาก่อนเลย แล้วก็รู้สึกอยากอาเจียนอีก จึงรีบพยุงตัวเองเข้าไปในห้องน้ำ คราวนี้สิ่งที่ออกมาก็คือน้ำย่อยสีเหลือง อาการปวดท้องบรรเทาลงแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลม ทำให้ต้องรีบเดินมาเปิดประตูหน้าบ้าน นั่งลงพิงกรอบประตูเอาไว้ คนป่วยพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยปล่อยมันออกมาช้าๆ ทำซ้ำๆ อยู่แบบนั้น อาการจะเป็นลมจึงเริ่มหายไป พิจิกาหลับตาลงอย่างรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

“โอ๊ย! ทำไมมันถึงได้ปวดแบบนี้นะ” เมื่อเวลาผ่านไปสักพักอาการก็กำเริบ คราวนี้ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าเดิม จนเจ้าของร่างต้องล้มลงไปนอนขดตัวอยู่ตรงระเบียง ใช้มือทั้งสองข้างกดลงที่ท้อง บิดตัวไปมาอย่างทรมาน ใบหน้าซีดเซียวเหงื่อซึมพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตา

“พาย” ภูมิรพีร้องเรียกอย่างตกใจ เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าเรือนหลังเล็ก แล้วเห็นหญิงสาวนอนขดตัวอยู่หน้าระเบียง “พายเป็นอะไร”

“ปวดท้องค่ะ” เขาเห็นท่าไม่ดีจึงอุ้มเธอขึ้นรถและตรงไปยังเรือนพยาบาลของพนารักษ์

“โรคกระเพาะถามหาแล้วครับนาย เดี๋ยวผมจัดยาให้ อาจจะมีอาการปวดแบบนี้อีกสักระยะ ช่วงนี้ให้ทานอาหารอ่อนๆ ก่อนนะครับ ทานทีละน้อยก่อน คงต้องให้กระเพาะปรับตัวนิดหนึ่ง อ้อ! อย่าให้เธอเครียดมากด้วยนะครับ” โตมรแพทย์ประจำสวนพนารักษ์รายงานเจ้านาย

“สงสัยหมอต้องบอกคนไข้เองแล้วล่ะ ผมบอกเธอแล้วว่าอย่าคิดมากแต่เธอก็ทำไม่ได้สักที” ภูมิรพีบอกหมออย่างจนปัญญาจะช่วยจริงๆ

“เพื่อนนายหรือครับ”

“ครับ เธอมีเรื่องไม่สบายใจก็เลยให้มาพักที่นี่ เมื่อวานก็ตกลงกันว่าจะหางานให้ทำ จะได้ไม่มีเวลาคิดอะไร ไม่ทันไรเลยป่วยเสียแล้ว” นายตอบคนเป็นหมออย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“คงจะเป็นมาสักพักแล้วล่ะครับ แต่อาการเพิ่งจะส่อ”

“ฝากให้นอนพักที่นี่ก่อนนะครับหมอ ตรวจงานเสร็จแล้วผมจะมารับ”

“ครับนาย”



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 เม.ย. 2557, 09:33:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 เม.ย. 2557, 09:33:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1435





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
เดิมเดิม 22 เม.ย. 2557, 19:02:47 น.
พายสูๆ


เดิมเดิม 22 เม.ย. 2557, 19:03:43 น.
พิมพ์ผิดค่ะ สู้ๆค่ะ น้องพาย


ใบบัวน่ารัก 22 เม.ย. 2557, 19:44:00 น.
สู้ๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account