มณีจันทรา
w6OUUR.jpg [677x756px] ฝากรูป


นิยาย มณีจันทรา

รักในชาติภพหนึ่ง คือพันธะสัญญาและหน้าที่

รักในชาติภพนี้คือความผูกจิตสนิทแน่นทั้งหัวใจ

เพราะเชื่อในคำสัญญา... ศศิพิลาสจึงรัก รอ และหวัง

เพราะถือในสัจวาจา... องค์เจษฎาจึงต้องกระทำดังนั้น

เพราะมั่นในความดี... นรวีจึงเสียสละและรอคอย

เพราะศรัทธาในหัวใจ... นลินดาจึงมั่นใจ รักจะไม่เป็นอื่น

ทุกชีวิตยึดโยงกันด้วยเส้นใยที่ว่า่กันว่า่เหนียวที่สุดในโลก

ที่ชื่อ 'ความรัก'

และดำรงอยู่เพื่อรอเวลาผันแปร เข้าใจ ละวางหรือทุกข์ทน

ก็ด้วยเส้นใยเส้นสุดท้าย... 'ความหวัง'

'กาลเคลื่อนผ่าน.. เวลาหมุนวนไปตามวิถีโลก

สรรพสิ่ง...ไม่มีสิ่งใดเที่ยงทน นั้นคือความจริงแท้'


หากทุกหัวใจก็พร้อมจะเดินทางต่อไปร่วมกัน

บนเส้นทางวัฏสงสารที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

***
แนะนำตัวละคร




UvIA8j.jpg [400x500px] ฝากรูป


รวินท์


รวินท์ ชายหนุ่มนักเรียนนอก ทายาทเจ้าของโรงแรมภูวันดา หนุ่มเท่ห์ หล่อจัด ชนิดสาวกรี๊ด จริงจังกับงาน เคร่งครึม ยิ้มยาก มีความรับผิดชอบสูง มีความโรแมนติกให้กับแฟนสาวเพียงคนเดียว คือ นลินดา...


h9hmWy.jpg [500x571px] ฝากรูป


นลินดา

นลินดา สาวมั่น ผู้จัดการภูวันดาสปา (อยู่ในเครือเดียวกับโรงแรม ใช้พื้นที่ร่วมกัน) แฟนสาวของรวินท์ มีสัมผัสที่หก รู้ถึงอันตราย ที่จะมาใกล้ และสามารถติดต่อกับดวงวิญญาณคุณวรรณดาแม่ของรวินท์ได้



IY8ZtK.jpg [406x375px] ฝากรูป


ศศิพิลาส

ศศิพิลาส หญิงสาวผู้งดงามเหมือนนางอัปสร


nJG4Gg.jpg [340x492px] ฝากรูป

นรวีร์

นรวีร์ ชายหนุ่มผู้มีความมั่นคงในความรัก


ขอนำเสนอนิยายแนวรักข้ามภพชาติ ให้ลองอ่านกันค่ะ

เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว สำนวนการใช้ภาษาอาจแตกต่างจากปัจจุบันบ้างนะคะตามแนวของเรื่อง อยากนำงานเก่าๆ มาให้นักอ่านได้ลองอ่านกันบ้างค่ะ

ชอบไม่ชอบยังไง เม้นบอกกันได้นะคะ

รักนักอ่านค่ะ

รวิญาดา /ผการุ้ง

Tags: มณีจันทรา

ตอน: บทนำ

บทนำ



ท้องฟ้าในคืนเพ็ญสว่างนวลตา รัศมีจันทร์ฉาดฉายลงมายังผืนเบื้องล่าง มองเห็นเงาของกิ่งไม้และหลังคาสูงของอาคารหลังใหญ่สลัวราง ดวงจันทร์ทำหน้าที่ของตนเองได้เพียงไม่นาน เมื่อก้อนเมฆดำทะมึนเคลื่อนเข้ามาปกคลุมท้องฟ้า บดบังแสงนวลกระจ่างจนหม่นมัว ประกายฟ้าวะแวบ แปลบปลาบ พร้อมเสียงลั่นครืนๆดังมาเป็นระยะ ลมเริ่มพัดแรงขึ้นทุกขณะ

แสงแวบวาบของประกายฟ้า สะท้อนแผ่นป้ายโลหะด้านหน้าอาคาร มองเห็นตัวอักษรบนป้ายเขียนว่า “พิพิธภัณฑ์ และห้องสมุด มูลนิธิภูวันดา”

เปรี้ยง! เปรี้ยง!...

เสียงอัสนี คำรามก้อง เมฆบนท้องฟ้าลอยต่ำ เริ่มกลั่นตัวเป็นละอองบางเบาโปรยปรายลงมา อากาศเย็นชื้นขึ้น จนชายร่างผอมเกร็ง ที่ยืนอยู่ด้านหน้าอาคาร ลูบแขนตัวแขนไปมา สลับกับแหงนมองท้องฟ้า

ชุดสีกรมท่าที่เขาสวมกลืนไปกับความมืดสลัวรอบกาย กระบองอันเขื่องเหน็บอยู่ข้างกาย มือข้างหนึ่งถือกระบอกไฟฉายกระบอกโต คนถือเปิดสวิตช์มัน แล้วออกเดินสำรวจรอบอาคาร เช่นที่เคยทำทุกค่ำคืน อันเป็นภาระหน้าที่รับผิดชอบ ในฐานะยามรักษาความปลอดภัย ของสถานที่จัดแสดงวัตถุโบราณแห่งนี้

แนวกำแพงสูง สร้างจากหินศิลาแลงสีน้ำตาลแดง เป็นรั้วกั้นอาณาเขตระหว่างบ้านหลังใหญ่ กับพิพิธภัณฑ์ กำแพงทอดยาวล้อมรอบพิพิธภัณฑ์เอาไว้ ด้านขวาเป็นที่ตั้งของโรงแรมภูวันดา ด้านซ้ายเป็นสปาในเครือเดียวกันคือภูวันดาสปา อาคารพิพิธภัณฑ์อยู่กึ่งกลางระหว่างสถานที่ทั้งสอง บริเวณโดยรอบปลูกต้นไม้นานาพันธุ์ไว้ ลักษณะกึ่งสวนป่า ยามดึกเช่นนี้จึงแลดูวังเวง ราวกับอยู่กลางป่า

เมื่อร่างของยามรักษาความปลอดภัยเดินผ่านไปไกลแล้ว ร่างของชายคนหนึ่งที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ก็ก้าวออกมา เขามองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าปลอดคน จึงร้องเรียกคนที่เหลือให้ออกมา

“ออกมาได้แล้วคุณกอบลาภ! ”

ชายวัยกลางคน รูปร่างค่อนข้างท้วม ผิวขาวจัด ตาเรียวเล็ก สวมชุดสีดำทั้งชุด ก้าวมายืนข้างๆคนเรียก ซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดสีดำทั้งชุดเช่นกัน

“ไปกันได้หรือยัง ฝนทำท่าจะตกแล้วนะ”

ชายร่างท้วมเร่งเร้า มีภารกิจสำคัญที่คนทั้งคู่จะต้องทำในคืนนี้

“สวมหมวกไอ้โม่งก่อน ด้านในมีกล้องวงจรปิด”

ชายหนุ่มร่างสูงบอก แล้วหยิบหมวกไหมพรมสีดำสวมทับใบหน้า

คนทั้งสองเข้ามาด้านในอาคารพิพิธภัณฑ์ ได้ไม่ถึงนาที ฝนที่ตั้งเค้าด้านนอกก็ตกลงมา เสียงเม็ดฝนดังสนั่นบ่งบอกถึงความแรงของพายุฝนครั้งนี้ เป็นสัญญาณอันดีว่า เวลาฝนตกย่อมไม่มีใครได้ยินเสียงอะไร หรือสนใจจะออกมาด้านนอกกัน โดยเฉพาะยาม!...

จากทางเข้าด้านหน้า เป็นห้องโถงใหญ่ โล่งกว้าง เพดานสูง พื้นปูด้วยหินอ่อนมันวาว จัดแสดงวัตถุโบราณประเภทรูปปั้น และเทวรูปโบราณ วางบนแท่นสูง เรียงรายกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ด้านใต้แท่นติดแผ่นป้ายแสดงข้อมูลของวัตถุโบราณแต่ละชิ้นไว้อย่างละเอียด

ยามค่ำคืนหลังพิพิธภัณฑ์ปิดทำการเช่นนี้ โคมไฟบนผนังห้องถูกเปิดไว้เพียงสองดวง ให้ความสว่างบางตา บางมุมห่างไกลแสงไฟ มองเห็นเพียงเงาสลัวๆของรูปปั้น และเงาดำทะมึนของเทวรูปโบราณทาบทอบนพื้นและผนังห้อง คนที่เดินผ่านสาวเท้าเร็ว ตรงไปยังมุมด้านซ้ายสุดของห้อง ที่มีบานประตูบานใหญ่กั้นไว้

ด้านหลังประตู เป็นทางเดินยาว ขนาดกว้างเท่าคนสองคนเดินสวนกันได้ บนผนังประดับรูปเขียนไว้ตลอดทางเดิน แสงสว่างจากโคมไฟ อ่อนจางจนแทบมองไม่เห็น อีกทั้งยังเว้นระยะการเปิดดวงไฟไว้ห่างกัน ทำให้แสงส่องไม่ทั่ว บรรยากาศแลดูขมุกขมัว เงียบสงัด จากทางเดินมีห้องแสดงวัตถุโบราณอยู่ทั้งสองฟาก เป็นห้องแสดงเครื่องกระเบื้อง และห้องแสดงผ้าโบราณ เมื่อเดินผ่านเข้าไปเรื่อยๆ จนสุดทางเดินพบห้องๆหนึ่ง ด้านบนขอบประตู เขียนไว้ว่า ‘ห้องสมุดคุณแม่’

“ห้องนี้เหรอ...”

ชายร่างท้วม ที่ถูกเรียกขานว่าคุณกอบลาภ ถามขึ้น

ศีรษะได้รูปของชายร่างสูงพยักรับ มือล้วงหยิบกุญแจในกระเป๋าไขปลดล็อค ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปด้านใน ควานหาสวิตช์ไฟบนผนัง ครู่ต่อมาปลายนิ้วสัมผัสกับสวิตช์ดัง แชะ...

ไฟสว่างพรึบขึ้นมาทันที ดวงตาที่ชินกับความมืด พร่าพราย ก่อนจะปรับสภาพเมื่อเจ้าของหลับตาลง แล้วลืมขึ้นใหม่พร้อมกะพริบแรงๆ

ภายในห้อง วางโต๊ะไม้สักตัวยาวและเก้าอี้เข้าชุดกัน ผนังทั้งสี่ด้านเป็นตู้สูงจนจรดเพดานห้อง เรียงหนังสือแน่นขนัดจนเต็มทุกตู้ ห้องกว้างลึกเข้าไปด้านใน มีตู้หนังสือวางเรียงเป็นแถว ซ้อนเหลื่อมกัน เช่นห้องสมุดทั่วไป

“มีแต่หนังสือ ไม่เห็นมีสิ่งที่ผมอยากได้เลย คุณไรวัต”เสียงแหบห้าว ถามขึ้นเบาๆ

“ตามผมมา”

ร่างสูงของชายหนุ่มชื่อไรวัต เดินตรงไปยังด้านซ้ายของห้องสมุด เขาหยุดอยู่หน้าตู้หนังสือที่อยู่ติดผนังห้อง มือหยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนา ที่วางชิดกับชั้นวางในชั้นที่สามออก แล้วสอดมือเข้าไปในช่องเล็กๆด้านหลังตู้หนังสือ ปลายนิ้วสัมผัสกับลูกบิดอันหนึ่งที่อยู่ด้านใน เขาหมุนลูกบิดทวนเข็มนาฬิกา

เสียงดัง ...คลิก... ก้องขึ้นในความเงียบ

คนที่ยืนกอดอกมองดู ถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อตู้หนังสือค่อยๆแยกออกจากกัน แล้วเลื่อนออกจากผนัง ไปจนสุดมุมผนัง เผยให้เห็นช่องทางเล็กๆซ่อนอยู่

“ห้องลับน่ะ มีผมกับน้องชายที่รู้”

ไรวัตบอกอีกฝ่ายให้รู้ เขาดึงมือออกจากช่องหนังสือ แล้วเดินนำกอบลาภเข้ามาด้านในอย่างใจเย็น มือกดสวิตช์ไฟที่ติดอยู่บนผนังด้านใน แสงไฟสาดส่องให้เห็นทางเดินชัดขึ้น สุดทางมีบานประตูเหล็กกั้นไว้อีกชั้น

คนนำทางหยุดอยู่หน้าประตู กดตัวเลขรหัสเปิดประตูสี่หลักลงไปบนแป้นของระบบล็อคอัตโนมัติ ซึ่งเป็นระบบนิรภัยขั้นสูง หากไม่รู้รหัสยากนักจะสามารถผ่านเข้าไปได้ บานประตูเหล็กเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นภายใน ซึ่งเป็นห้องกว้างประมาณสี่คูณสี่เมตร

ตรงกลางห้องวางตู้กระจกนิรภัย ครอบกล่องไม้ใบน้อยแกะสลักลวดลายโดยรอบเป็นรูปดอกไม้ กลีบดอกไม้ฝังอัญมณีสีม่วงเข้มตกแต่งประดับประดาไว้ กิ่งก้านเป็นทองเส้นเล็กๆ ฝากล่องเปิดอ้าออก ด้านในมีจี้ห้อยคออันหนึ่งวางไว้ ตัวจี้ทำจากเงินขึ้นรูปเป็นกลีบดอกไม้และใบไม้ประดับเพชรเม็ดเล็ก ล้อมรอบอัญมณีสีอำพันรูปไข่เม็ดใหญ่ ประกายวาววับ สีเหลืองอำพันเรื่อเรืองออกมาจากอัญมณีเม็ดนั้น ราวกับอัญมณีเรืองแสงได้เอง

“โอ... ผลึกจันทร์ ช่างงดงามอะไรเช่นนี้”

กอบลาภตาโต ครางในคออย่างดีใจ เขาเดินตรงเข้าไปหาตู้กระจกราวกับต้องมนต์

“อยู่ตรงนี้ก่อน ตู้นิรภัยมีสัญญาณเตือนภัย เราต้องปลดล็อคมันก่อน”

ไรวัตรั้งแขนกอบลาภเอาไว้ ชายหนุ่มเดินไปยืนข้างตู้นิรภัย ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มแป้นตัวเลขด้านข้างตู้ ไฟสีแดงดับลงพร้อมกับไฟสีเขียวกะพริบขึ้นมาแทน กระจกครอบค่อยๆเลื่อนเปิดออกช้าๆ สร้างความยินดีให้แก่คนที่เฝ้ามองอยู่

“เอามันออกมาเร็วๆสิ ผมอยากเห็นมันใกล้ๆ”กอบลาภเร่งยิกๆ

แทนที่จะหยิบแค่จี้ห้อยคอโบราณอันนั้น แต่ไรวัตกลับยกกล่องไม้ออกมาทั้งกล่อง เขาประคองกล่องไม้เดินออกมานอกห้อง นำมาวางไว้บนโต๊ะยาวกลางห้องสมุด แล้วมองหน้าผู้ร่วมขบวนการ

“เอาไปที่บ้านคุณก่อนไหม”

ใบหน้าอวบอูมส่ายเร็วๆแทนคำตอบ ล้วงหยิบกระดาษจากกระเป๋าเสื้อของตนมาคลี่ พร้อมกับอ่านออกเสียงดังๆ

“ผลึกจันทร์จักเรืองอำนาจอีกครา ด้วยโลหิตของบุรุษผู้เกิดในคืนเพ็ญ แลโลหิตหยดนั้นตกต้องผลึกจันทร์ในคืนเพ็ญ”

ไรวัตมองอัญมณีสีอำพัน อย่างชั่งใจ

...บุรุษผู้เกิดในคืนเพ็ญก็เขานั่นแหละ!...

คืนนี้เป็นคืนเพ็ญ ตรงตามข้อความในจารึกโบราณ ที่กอบลาภแอบคัดลอกมาจากเจ้าของบันทึก โดยที่เจ้าของไม่รู้

“มันจะดีเหรอคุณกอบ ถ้าเสี่ยฟงรู้ว่าเราทำแบบนี้...” ความลังเลยังไม่หมดไปง่ายๆ

ชื่อของบุรุษผู้มีนามว่าเสี่ยฟง ทำให้คนฟังสะดุ้งนิดหนึ่ง หากประกายวาวระยับของอัญมณีตรงหน้า มีอานุภาพบดบังความกลัวไปจนหมดสิ้น

“ผลึกจันทร์เป็นของวิเศษ... ใครได้ครอบครอง จะได้ทุกสิ่งสมปรารถนา!”

ใครบ้างได้ยินแบบนี้แล้ว จะไม่อยากได้!

กอบลาภปัดความรู้สึกรบกวนหัวใจทิ้งไป เขาส่งมีดคัดเตอร์เล่มเล็กให้ไรวัต พร้อมกับเร่งให้อีกฝ่ายกระทำการบางอย่าง...

“เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก รีบๆเข้าสิ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว”

ไรวัตจ้องมองจี้ห้อยคอโบราณนิ่ง เริ่มสัมผัสถึงกระแสบางอย่าง ที่ส่งมาจากที่ใดที่หนึ่ง ต้นคอคล้ายมีสายลมแผ่วๆ เป่ารด...

ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก... ราวกับถูกลูบด้วยก้อนน้ำแข็ง

ขนในร่างกายลุกชันขึ้นมาทันที... บรรยากาศรอบกาย คล้ายจะอับทึบลงไป... เริ่มหายใจไม่ทั่วปอด ราวกับอากาศไม่พอ... หัวใจไหวสะท้าน...

... ความหวาดหวั่นในบางสิ่งที่หาสาเหตุไม่พบ ผุดขึ้นมา...

เมื่อเห็นไรวัตยังนิ่งอยู่ กอบลาภจึงจับมือชายหนุ่มดึงถุงมือที่สวมออก แล้วสงเคราะห์กดปลายมีดให้เอง เลือดสีแดงสดไหลย้อยออกมา หยดลงบนผิวเรียบลื่นของอัญมณีอาถรรพ์

ทันทีที่หยดเลือดสัมผัสอัญมณี... ไฟในห้องนั้นก็ดับพรึบลงไป!...

“เฮ้ย!”

สองเสียงประสานกันโดยไม่ได้นัดหมาย เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในความมืด

วี้ด...วี้ด...วี้ด!!!

ทันใดนั้น! แผ่นดินก็ไหวรัวแรง โยกคลอนจนทรงตัวไม่อยู่ หนังสือในชั้นข้างผนังร่วงกราว หล่นลงมากองเต็มพื้น คนที่อยู่ในห้องล้มกลิ้งไปคนละทาง

“มันเกิดอะไรขึ้น! คุณกอบ...”

ไรวัตตะโกนแข่งกับเสียงที่ดังกึกก้อง มือทั้งสองปิดหูเอาไว้ กลิ้งตัวไปมาตามแรงโยกอยู่บนพื้น หนังสือหลายเล่มทยอยร่วงลงมาใส่จนระบมไปทั้งตัว ความกลัวและตกใจทำให้ลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลไปชั่วครู่ ไรวัตพยายามกระเสือกกระสน พาตัวเองไปหากอบลาภที่กลิ้งไปอยู่อีกฟากห้อง

กอบลาภเองก็ตกใจจนขวัญบิน ร่างท้วมกลิ้งกุกกักเหมือนลูกขนุน พร้อมกับคอยหลบบรรดาสารพัดหนังสือ ที่ร่วงกราวลงมาราวกับห่าฝน เขาไม่สนใจเสียงเรียกของเพื่อนร่วมชะตา พยายามตะเกียกตะกายพาตัวเองไปยังประตูทางออก อย่างลนลาน

...ไป!...ต้องไปให้พ้นจากที่นี่ให้ได้...

กอบลาภบอกตัวเอง... เขาจิกมือเกาะพื้นไว้มั่น เสือกร่างหนาหนักของตนให้ไถลเลื่อนไปยังบานประตู ทว่า...แรงเหวี่ยงอันรุนแรง ไม่อำนวยให้เขาทำตามใจนึกได้...

ประตูทางเข้า... ไกลห่างจนสุดมือเอื้อม...

บนโต๊ะ แสงสีเหลืองทอประกายเจิดจ้า... พุ่งออกมาจากอัญมณีเป็นลำ พร้อมกันนั้น...ลำแสงสีเขียวมรกตก็เรืองรองขึ้น แผ่รัศมีเข้าขวางกั้นลำแสงสีอำพันนั้น!

ลำแสงสีอำพันสว่างใส รวมตัวก่อเป็นรูปร่างของสตรี ในอาภรณ์สีทองยาวกรุยกราย ร่างนั้นโปร่งแสง พลิ้วพราย... กระเพื่อมไหว... ลอยละล่องอยู่เหนือพื้น ละม้ายร่างของนางภูติสาว...

ทว่า...ลำแสงสีเขียวมรกต กลับปรากฏร่างสูงใหญ่ ในชุดนักรบดุดัน ร่างนั้น...ส่ายไหว วูบไปมา ละอองริ้วสีเขียวเข้มแกมดำ เหมือนควันพิษ กรุ่นลอย... แผ่รัศมีอำมหิต...ฉายชัด

ชายสองคน ที่อยู่บนพื้นห้อง ถึงกับตกตะลึงกับภาพที่เห็น ร่างกายแข็งทื่อ ตาเบิกกว้าง หัวใจคล้ายหยุดเต้นไปชั่วครู่ ก่อนจะ เต้นรัวแรงกว่าเดิม ทั้งสองไม่ทันสังเกต ว่าพื้นที่ไหวโยกรุนแรง นิ่งสงบลงไปแล้ว นับตั้งแต่ ลำแสงประหลาดทั้งสองสี ปรากฏขึ้น...

ลำแสงทั้งสองเคลื่อนเป็นวงกลม หมุนติ้ว... ก่อนจะพุ่งเข้าชนกันอย่างแรง ดุจนักรบกำลังประลองพลัง ความแข็งแกร่งกัน

เปรี๊ยะ... เปรี๊ยะ!...

ทุกครั้งที่ลำแสงทั้งสองปะทะกัน... เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงเหมือนกระจกแตก ดังก้องจนแสบแก้วหู...

ลำแสงทั้งสองยังปะทะกันไม่หยุด ขณะที่ด้านนอกฝนเริ่มซาเม็ด จนกระทั่งหยุดตกในที่สุด เมฆเคลื่อนออกจากดวงจันทร์ รัศมีเหลืองนวลสาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่าง นั่นเองเป็นจุดพลิกผัน!

ทันใดนั้น! ลำแสงสีอำพันก็ส่องประกายเจิดจ้ากว่าครั้งแรก

เมื่อลำแสงทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันอีกครั้ง ลำแสงสีเขียวกลับแตกกระจาย ดิ่งวูบตกลงมาใส่ร่างของไรวัตบนพื้นห้อง

“เฮ้ย!”

ชายหนุ่มร้องเสียหลง ตาเบิกค้าง ยกมือขึ้นป้องหน้า เมื่อลำแสงพุ่งเข้าใส่ร่างกาย อาการชักกระตุก คล้ายถูกไฟฟ้าช็อตก็เกิดขึ้น!...

ในอีกไม่ถึงนาที ประกายไฟสีเขียวแกมน้ำเงินก็ลุกท่วมร่างนั้น เจ้าของร่างปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว ร้องโหยหวน... กลิ้งตัวไปมาอยู่บนพื้น

“ร้อน! ร้อน! ช่วยด้วย!...”

คนเห็นเหตุการณ์ ตาเหลือกค้าง หัวใจเต้นรัว มองภาพที่เกิดต่อหน้าต่อตา อย่างตกตะลึง ร่างของไรวัต ชักดิ้นชักงออยู่ในเปลวไฟสีเขียว ด้วยความเจ็บปวดอย่างสาหัส น่าสยดสยอง...

“คุณกอบ... ช่วยผมด้วย โอ๊ย...ร้อน ร้อนเหลือเกิน”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นไม่ขาดสาย ไรวัตลุกขึ้นเต้นเร่าๆ มือทั้งสองป่ายปัดตามร่างกายไปมา ให้ไฟดับแต่ไร้ผล ไฟสีประหลาดยังคงลุกท่วม แผดเผาเจ้าของร่างไม่ยอมดับ

นาทีต่อมา... ร่างของเขาก็โงนเงนไปมา ก่อนจะล้มลงฟาดพื้น แน่นิ่งไป...

นั่น! ทำให้กอบลาภได้สติ ผวาลุกขึ้น ร้องโวยวายเสียงดัง

“ไม่เอาแล้วโว้ย!...”

กอบลาภลนลาน กระเสือกกระสนพาตัวเอง วิ่งหนีออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด โดยไม่เหลียวหลังไปมองอีกเลย!...

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

อัพให้อ่านเป็นตอนแรกนะคะ นักอ่านที่น่ารักทุกคน

เรื่องนี้ แนวรักข้ามภพชาติ มีอิทธิปาฏิหาริย์ บ้างเล็กน้อยค่ะ

หายไปนานไม่รู้มีใครจำได้ไหมเอ่ย อิอิ

ผู้เขียนจะนำมาอัพให้อ่านอย่างต่อเนื่องนะคะ

ใครชอบหรือไม่ชอบ เม้นสักนิด จะได้นำไปแก้ไข ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

รวิญาดา/ผการุ้ง



รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 เม.ย. 2557, 07:01:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 เม.ย. 2557, 07:02:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1399





   ตอนที่ 1. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account