มณีจันทรา
w6OUUR.jpg [677x756px] ฝากรูป


นิยาย มณีจันทรา

รักในชาติภพหนึ่ง คือพันธะสัญญาและหน้าที่

รักในชาติภพนี้คือความผูกจิตสนิทแน่นทั้งหัวใจ

เพราะเชื่อในคำสัญญา... ศศิพิลาสจึงรัก รอ และหวัง

เพราะถือในสัจวาจา... องค์เจษฎาจึงต้องกระทำดังนั้น

เพราะมั่นในความดี... นรวีจึงเสียสละและรอคอย

เพราะศรัทธาในหัวใจ... นลินดาจึงมั่นใจ รักจะไม่เป็นอื่น

ทุกชีวิตยึดโยงกันด้วยเส้นใยที่ว่า่กันว่า่เหนียวที่สุดในโลก

ที่ชื่อ 'ความรัก'

และดำรงอยู่เพื่อรอเวลาผันแปร เข้าใจ ละวางหรือทุกข์ทน

ก็ด้วยเส้นใยเส้นสุดท้าย... 'ความหวัง'

'กาลเคลื่อนผ่าน.. เวลาหมุนวนไปตามวิถีโลก

สรรพสิ่ง...ไม่มีสิ่งใดเที่ยงทน นั้นคือความจริงแท้'


หากทุกหัวใจก็พร้อมจะเดินทางต่อไปร่วมกัน

บนเส้นทางวัฏสงสารที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

***
แนะนำตัวละคร




UvIA8j.jpg [400x500px] ฝากรูป


รวินท์


รวินท์ ชายหนุ่มนักเรียนนอก ทายาทเจ้าของโรงแรมภูวันดา หนุ่มเท่ห์ หล่อจัด ชนิดสาวกรี๊ด จริงจังกับงาน เคร่งครึม ยิ้มยาก มีความรับผิดชอบสูง มีความโรแมนติกให้กับแฟนสาวเพียงคนเดียว คือ นลินดา...


h9hmWy.jpg [500x571px] ฝากรูป


นลินดา

นลินดา สาวมั่น ผู้จัดการภูวันดาสปา (อยู่ในเครือเดียวกับโรงแรม ใช้พื้นที่ร่วมกัน) แฟนสาวของรวินท์ มีสัมผัสที่หก รู้ถึงอันตราย ที่จะมาใกล้ และสามารถติดต่อกับดวงวิญญาณคุณวรรณดาแม่ของรวินท์ได้



IY8ZtK.jpg [406x375px] ฝากรูป


ศศิพิลาส

ศศิพิลาส หญิงสาวผู้งดงามเหมือนนางอัปสร


nJG4Gg.jpg [340x492px] ฝากรูป

นรวีร์

นรวีร์ ชายหนุ่มผู้มีความมั่นคงในความรัก


ขอนำเสนอนิยายแนวรักข้ามภพชาติ ให้ลองอ่านกันค่ะ

เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว สำนวนการใช้ภาษาอาจแตกต่างจากปัจจุบันบ้างนะคะตามแนวของเรื่อง อยากนำงานเก่าๆ มาให้นักอ่านได้ลองอ่านกันบ้างค่ะ

ชอบไม่ชอบยังไง เม้นบอกกันได้นะคะ

รักนักอ่านค่ะ

รวิญาดา /ผการุ้ง

Tags: มณีจันทรา

ตอน: ตอนที่ 1.

1.



ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันหนาทึบ...

ร่างสูงเพรียวของชายหนุ่มคนหนึ่ง เดินฝ่าม่านหนาสีขาวนั้นช้าๆ อย่างเลื่อนลอย... เขามองเห็นลำแสงสีทองแกมส้ม สว่างเรืองรองอยู่เบื้องหน้า ลำแสงฉายฉานเจิดจ้าขึ้นทุกขณะ

เขาเดินตรงเข้าไปหาลำแสงสีอำพันนั้น ราวกับ...ถูกมนต์สะกด

“เจษฎา... เจษฎา...”

เสียงหนึ่งดังแว่วมาไกลๆ เสียงนั้นค่อยๆชัดเจนขึ้นทีละน้อยๆ

ลำแสงระเรื่อเรือง ส่องประกายเจิดจ้า มาจากอัญมณีสีอำพันในตู้กระจก ซึ่งวางอยู่กลางห้องอับทึบ

ละอองขาวลอยคลุมทั่วบริเวณ มองเห็นเพียงตู้และประกายสว่างจ้าแจ่มกระจ่าง เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ กระจกครอบก็เลื่อนเปิด เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่แจ่มชัดขึ้น มันดังก้องกังวานออกมาจากผลึกใสสีอำพันนั่นเอง!

“เจษฎา... กลับมาหาข้า...”

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้กลับมีบางสิ่งปรากฏขึ้น!

บนผิวเรียบลื่นของอัญมณี เกิดลำแสงสว่างเรือง สะท้อนภาพบางอย่างออกมา ราวกับเครื่องฉายวีดีทัศน์...

ภาพพร่าพราย... คล้ายมองผ่านม่านกระจก ค่อยๆกระจ่างชัด...

ประกายระยิบระยับเรืองรอง ของต้นไม้และใบไม้สีทอง ปรากฏต่อสายตา สายลมเย็นพัดพลิ้ว ใบไม้ไหวแกว่งกระทบกัน

...วิ้ง...กริ๊ง....วิ้ง...

เสียงใสเสนาะ ไพเราะดุจเดียวกับเสียงกังสดาลดังขึ้นเบาๆ ท้องฟ้ามิได้เป็นสีครามเช่นที่เคยเห็น หากเป็นสีเหลือบรุ้งพราวพราย บนพื้นเกลื่อนเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีชมพู ราวกับพรมชั้นดี

ร่างของสตรีนางหนึ่ง เดินผ่านพฤกษาสีทอง...

ภาพนั้นขยายชัด แลเห็นใบหน้ารูปไข่ เส้นผมดำขลับเกล้าเป็นมวยสูงทิ้งลูกไรเล็กๆเคลียร์ต้นคอเนียนผ่อง ผิวกายขาวนวลละเอียด... ผุดผ่อง... ราวกับแสงนวลสว่างของดวงจันทร์ นัยน์ตารูปยาวกว้าง มีแผงขนตางอนหนาช่วยทำให้ดวงตาคู่นั้นคมซึ้ง

“เจษฎา... เจษฎา...”

เสียงหวานใส ดังสะท้อนมาจากที่ใดที่หนึ่ง...

ผีเสื้อตัวน้อยกรายปีกบินมาเกาะบนมวยผมของหญิงสาว ลำตัวของมันใสประดุจแก้วเจียระไน ปีกบางสีทองเหลือบเขียวดูแปลกตา เพียงครู่แมลงปีกสวยก็บินไปเกาะบนดอกกล้วยไม้ ที่ออกดอกเป็นพวงระย้า ปลายกลีบแตะแต้มด้วยละอองสีทองงดงาม

สตรีโฉมโสภาเดินผ่านไปยังลำธารใส นางนั่งลงบนโขดหินทอดสายตามองดูฝูงปลาใต้สายน้ำ เกล็ดสีเงินสีทองสะท้อนแสงวาววับ เบื้องใต้ก้อนกรวดและเม็ดทรายล้วนเป็นอัญมณีมีค่าหลากสีสัน งดงาม ราวกับเนรมิต...

“เจษฎา... มาหาข้า... ได้โปรด...”

เสียงเรียกขาน ดังแว่วผ่านสายลมมาไกลๆ เสียงเรียกยังดังอยู่ซ้ำๆ ก้องไปมาราวกับเสียงสะท้อนของหน้าผา

ภาพค่อยๆเลือนราง... ก่อนจะกระจ่างใสขึ้นอีกครั้ง

มองเห็น ท้องทุ่งโล่งกว้าง ต้นหญ้าสีทองพลิ้วไหวเล่นลม ละม้ายริ้วคลื่นในมหาสมุทร

ร่างของสตรีนางนั้นยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งสีทอง นางหมุนกายเดินผ่านท้องทุ่งกว้าง ร่างงามระหงสวมผ้าสีชมพูกลีบบัวพันรอบอกสล้าง ยามเยื้องกาย... ผ้าโปร่งบางซ้อนซับสลับชั้นเป็นสีรุ้งบนสะโพกกลมกลึง ทิ้งชายยาวกรุยกราย... สะบัดพลิ้ว...ตามสายลม สายรัดเอวประดับอัญมณีหลากสี ห้อยสายเพชรระย้า ส่องประกายระยิบระยับ วิบวาว งดงามประหนึ่งนางอัปสรบนสรวงสวรรค์

ภาพถูกดึงเข้าไปใกล้จนมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจน ริมฝีปากอิ่มใต้สันโค้งของจมูกเล็ก เจือสีระเรื่อคล้ายกลีบกุหลาบแย้มละไม เสียงนุ่มนวล แกมเศร้าดังก้องออกมา

“เจษฎา...กลับมาหาข้าเถิด... ข้ารอท่านอยู่...”

“ผมไม่ใช่เจษฎา... ผมชื่อรวินท์...”

ชายหนุ่ม เผลอไผลตอบโต้สตรีในภาพนิมิต ด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“ท่านคือเจษฎาของข้า... องค์เจษฎานราเทพ...”

ศีรษะได้รูปตั้งตรงคล้ายยืนยัน ลำคอระหงสวมสร้อยอุบะเส้นใหญ่ ประดับเพชรเม็ดเล็กตามลวดลายดอกไม้ ตรงกลางแผงสร้อยห้อยจี้อัญมณีสีอำพันเม็ดใหญ่ ประกายวาววามสะท้อนนัยน์ตา ปลายนิ้วเรียวเสลาแตะบนอัญมณี แล้วปลดมันออกมาจากสร้อยคอ ส่งให้ชายหนุ่ม

“ผลึกจันทร์ จักนำท่านกลับมาหาข้า...”

รวินท์ยื่นมือออกไปรับอย่างลืมตัว หากภาพของหญิงสาวกลับเลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงม่านหมอกสีขาวลอยกรุ่น...

เขามองจี้ห้อยคอจุดกำเนิดภาพอย่างฉงน ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ

ทันทีที่อัญมณีสัมผัสฝ่ามือ!

ม่านหมอกสีขาว ก็ลอยเข้าห่มคลุมรอบกายจนขาวโพลน กลางม่านหนาสีขาวแสงสีอำพันสว่างจัดจ้า ออกมาจากอัญมณีในอุ้งมือ สาดกระจายเป็นจุดเล็กๆก่อนจะขยายวงกว้าง ลำแสงนั้นคล้ายมีพลังดูดกลืนสรรพสิ่งให้เข้าไปสู่ใจกลาง หมุนคว้าง...ลอยละลิ่ว...

เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น!

...กริ๊ง...กริ๊ง... กริ๊งงงงงงงงง

รวินท์สะดุ้งสุดตัว ผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อไหลท่วมร่าง เขามองไปรอบกายอย่างมึนงง นาฬิกาปลุกบนหัวเตียงแผดเสียงลั่น ชายหนุ่มยื่นมือไปกดปิด เสียงถอนหายใจแรงๆดังขึ้น

“ฝันไปหรือเนี่ย...”

เขาครางในคอเบาๆ ยกมือขึ้นลูบหน้าตามความเคยชิน หากความแสบร้อนราวกับถูกนาบด้วยเหล็กเผาไฟ วาบเข้ามาในความรู้สึก จนสะดุ้งสุดตัว

“โอ๊ย!”

ชายหนุ่มหงายมือออก เขามองดูฝ่ามือขวาของตนเอง อาการแสบร้อนเกิดขึ้นที่มือข้างนั้น คิ้วดกหนาขมวดชนกัน ดวงตาดำขลับไหววูบ เมื่อมองเห็นรอยแดงๆปูดนูนขึ้นกลางฝ่ามือ

ลักษณะของรอยแดงเป็นวงรีรูปไข่ ขนาดเท่าอัญมณีสีอำพันที่ ประดับบนจี้ห้อยคอ นาม ผลึกจันทร์!



อาคารพิพิธภัณฑ์

ร่างสูงเพรียวสวมเสื้อนอกสีเข้มสาวเท้ายาว เดินเข้าไปในอาคาร พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ยืนอยู่ด้านหน้าอาคาร รีบยกมือทำความเคารพ รวินท์พยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน นาฬิกาโบราณด้านหน้าห้องโถงส่งเสียงดังกังวาน บอกเวลาแปดนาฬิกา...

ภายในห้องโถงใหญ่ ส่วนจัดแสดงรูปปั้น และเทวรูป แม่บ้านสามคนกำลังช่วยกันทำความสะอาด เมื่อนายจ้างเดินผ่าน พวกเธอเหล่านั้นต่างวางมือจากงาน ยกมือไหว้พร้อมทักทาย

“สวัสดีค่ะบอส”

รวินท์ค้อมศีรษะรับนิดหนึ่ง แล้วเดินตัวตรงผ่านไป

“บอสของเรายังกับรูปปั้น”

แม่บ้านสาวหนึ่งในสามนั้น แอบนินทาเจ้าของร่างสูง ที่เดินลับไป

“ถ้าไม่หล่อมาดแมนแบบนี้ มีหวังถูกแฟนขอเลิกแหงๆ ฉันต่อให้ร้อยเอาดินก้อนเดียว”

แม่สาวอีกคน ขยับเข้าไปใกล้คนแรก กระซิบกระซาบออกความเห็น

“น่าเสียดายเนอะ หน้าตาหล่อไม่แพ้แบรดพิท แต่นิสัยโหดยิ่งกว่าท่านเคาท์แด็กคิวล่า”

แทบไม่มีใครเคยเห็นนายจ้างยิ้มโชว์ฟันขาวให้เห็น นอกจากทำหน้าเคร่ง จนดูเหมือนยิ้มไม่เป็น แถมยังเจ้าระเบียบ เข้มงวดจนพนักงานกลัวหัวหด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคิดจะลาออกสักคน เพราะการทำงานที่โรงแรมแห่งนี้มีรายได้ดี สวัสดิการยอดเยี่ยม หากทำงานในหน้าที่ไม่บกพร่อง ปลายปีมีโบนัสก้อนใหญ่เป็นกำลังใจให้พนักงานอีกด้วย

“พวกหล่อนสองคนหยุดนินทา แล้วรีบทำงานให้เสร็จซะทีสิยะ เดี๋ยวบอสกลับออกมาตรวจงาน จะโดนกันทั่วหน้า”

เสียงแหลมของคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม แหวใส่สองสาวนักนินทา เบรกทัพน้ำลายที่ทำท่าจะลามปรามให้หยุดไหล

“ไปแล้วค่า... คุณหัวหน้า”

คนโดนบ่นมองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มขำ รีบสลายตัวแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองคนละมุม

นายใหญ่แห่งภูวันดากรุ๊ป เดินไปยังปีกซ้ายของห้องโถง สุดทางเดินเป็นห้องสมุด เขาหยุดอยู่หน้าห้องเอื้อมมือซ้ายไปหมุนลูกบิดประตู ทันใดนั้นเอง มือขวาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ทำให้เจ้าของชะงักงัน ยกมือขึ้นมาดูใกล้ ๆ

ภาพความฝันเมื่อคืนวาบผ่านเข้ามาในมโนนึก แม้ความแสบร้อนจะจางหายไปบ้างแล้ว แต่รอยแดงยังคงนูนเด่นกลางฝ่ามือ มันประหลาดเกินกว่าจะทนนิ่งเฉยอยู่ไหว ความพิศวงบวกกับต้องการพิสูจน์ความจริง ทำให้เขาอยากมาดูจี้ห้อยคอโบราณอันนั้น

“ถ้ารอยแดงไม่ยุบ คงต้องไปให้หมอดูสักหน่อย” เสียงพึมพำดังขึ้นเบาๆ

ลูกบิดประตูถูกหมุนอีกครั้ง บานประตูเปิดกว้างออก คนเปิดแทรกตัวเข้าไปด้านใน หากต้องตกใจกับสภาพที่เห็น ไฟในห้องเปิดสว่างจ้า ทั้งที่ควรปิด สภาพของห้องเละเทะ เกลื่อนกระจายด้วยกองหนังสือ ราวกับถูกใครเข้ามารื้อค้น ตู้หนังสือหลายใบล้มลงมา ระเนระนาดไปหมด รวินท์รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“คุณยุทธ์มาที่ห้องสมุดหน่อย เอาพนักงานมาด้วยสักสองสามคน”

เขาไม่บอกรายละเอียดอะไรกับคนปลายสาย รอให้อีกฝ่ายมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา ก่อนจะเล่นงานในข้อหาบกพร่องต่อหน้าที่ เป็นผู้ดูแลฝ่ายรักษาความปลอดภัยแต่ปล่อยให้มีคนเข้ามาในพิพิธภัณฑ์แบบนี้ สมควรจะรับผิดชอบความผิดครั้งนี้ยังไง!

เมื่อวางสายแล้ว รวินท์จึงสำรวจความเสียหายภายในห้องต่อ เขาเก็บหนังสือบนพื้นกองไว้เพื่อเปิดทางให้เดินเข้าไปด้านใน

พลัน! สายตามองเห็นสิ่งหนึ่งอยู่กลางห้องนั้น คนเห็นตกตะลึงตัวชา หัวใจแทบหยุดเต้น...

ร่างๆหนึ่งพอมองออกว่าเป็นเพศชาย นอนคู้ตัวอยู่บนพื้นห้อง ร่างนั้นสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุด เหมือนนักย่องเบา ใบหน้าสวมทับด้วยหมวกไหมพรมสีดำโผล่เพียงลูกตา มองเห็นลูกนัยน์ตาเหลือกโปนถลนออกนอกเบ้า มือข้างหนึ่งสวมถุงมือสีดำเอาไว้ มืออีกข้างที่ปราศจากถุงมือ นิ้วทั้งห้าหงิกงอแห้งกรอบ สภาพร่างกายที่โผล่พ้นเสื้อผ้าออกมา ดำเกรียมเหมือนก้อนถ่าน หากยังคงรูปร่างเดิมไว้ ลักษณะของผู้ตายคล้ายได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างสาหัสก่อนตาย...

รวินท์กลั้นใจมองสำรวจร่างไร้วิญญาณนั้นต่อ เขาต้องสะดุ้งเฮือก! เมื่อเห็นนาฬิกาบนข้อมือของผู้ตาย หัวใจดิ่งวูบความเสียดร้าวแล่นมาจุกหน้าอกจนเจ็บแปลบ

“พี่วัต..” ชายหนุ่มครางเสียงแผ่ว

ผู้ตายไม่ใช่ใครอื่น หากเป็น... ไรวัต พี่ชายบุญธรรมของเขานั่นเอง!

เสียงฝีเท้าของคนหลายคนเข้ามาภายในห้องนั้น คนที่ยืนอยู่ไม่มีท่าทีรับรู้ จนกระทั่ง

“เกิดอะไรขึ้นครับ คุณรวินท์”

ยุทธ์หัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยถามขึ้น

ไม่มีคำตอบจากนายจ้างนอกจากปลายนิ้วที่ยกขึ้น ชี้ให้ดูอะไรบางอย่างตรงหน้า ดวงตาหกคู่ด้านหลังพร้อมใจกันเบิกกว้าง

“คนตาย!”

ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ปิดป้ายห้ามคนเข้า

ภายในห้องสมุดเต็มไปด้วยกองหนังสือที่หล่น กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ส่วนหนึ่งถูกเก็บมากองไว้ข้างผนัง เปิดทางให้เจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน เข้ามาตรวจสอบหาร่องรอยต่างๆในห้องนี้ ผู้คนต่างทำงานในหน้าที่ตน ทั้งถ่ายรูป เก็บหลักฐานกันขวักไขว่

ซากที่อยู่กลางห้องถูกเก็บใส่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ วางบนเปลสนามเตรียมขนย้าย นายตำรวจหนุ่มเจ้าของคดี รูดซิปเปิดถุงตรวจดูสภาพศพ ก่อนจะรูดปิด แล้วโบกมือให้เคลื่อนย้ายศพออกไปจากห้องนั้น หลังจากเก็บหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เบื้องต้นแล้ว

“สภาพศพแห้งเกรียมเหมือนถูกไฟไหม้ แต่เสื้อผ้าและเครื่องประดับไม่มีร่องรอยของไฟไหม้ ไม่พบคราบน้ำมันหรือเชื้อไฟบนตัวผู้ตาย จะว่าถูกไฟช็อตก็อาจเป็นไปได้ แต่บริเวณที่พบศพไม่พบการรั่วของกระแสไฟฟ้าเลย ลักษณะการตายแบบนี้ผมไม่เคยพบมาก่อน”

ร้อยตำรวจเอกนัทธี รายงานผลการตรวจสอบคร่าวๆ ให้เจ้าของสถานที่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆฟัง ผู้กองหนุ่มเป็นพี่ชายของนลินดาคนรักของรวินท์ เขาถูกเรียกตัวให้มาดูแลคดีนี้

“กี่วันครับถึงจะรู้ผล”รวินท์มองตาม เปลสนามที่ถูกหามผ่านหน้าไป

“อาจจะหนึ่งอาทิตย์หรือมากกว่านั้น ผมจะเร่งเขาให้”นายตำรวจหนุ่มขยับมาที่โต๊ะกลางห้อง เขาผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลง

“เราพบของสิ่งนี้วางอยู่”

นัทธีเลื่อนกล่องไม้และจี้ห้อยคอโบราณ ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้องหนังสือ ส่งให้รวินท์

ชายหนุ่มมองจี้ห้อยคอโบราณ สมบัติประจำตระกูลนิ่ง ก่อนจะระบายลมหายใจเบาๆ แล้วเล่าเรื่องราวให้นายตำรวจฟัง

“มีคนเคยมาติดต่อ ขอซื้อจี้อันนี้จากผม แต่ผมไม่ขายให้”

เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา... ไรวัตพานักธุรกิจวัยกลางคนชื่อกอบลาภ มาพบน้องชายที่ห้องทำงาน รวินท์เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนพี่ชายจึงยอมพูดคุยด้วย

“ผมไม่อยากอ้อมโลกให้เสียเวลา ที่มาพบคุณวันนี้ก็ด้วยเรื่องผลึกจันทร์”

กอบลาภแสดงจุดประสงค์โดยไม่อ้อมค้อม

“ผลึกจันทร์ คุณหมายถึงอะไรครับ”

รวินท์แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจอีกฝ่าย

“คุณกอบเขาสนใจอยากซื้อจี้ห้อยคอโบราณนั่น”ไรวัตเป็นฝ่ายเจรจาเสียเอง

คำพูดของพี่ชายทำให้รวินท์รู้ ว่าความลับเกี่ยวอัญมณีล้ำค่า ได้ล่วงรู้ถึงหูคนนอกแล้ว!

เขานึกโมโหพี่ชายตัวดี ที่เอาความลับของครอบครัวไปเล่าให้คนอื่นฟัง คุณวรรณดามารดาของเขาเก็บสิ่งนั้นไว้ในห้องนิรภัย มีเขากับไรวัตเท่านั้นที่รู้รหัสปิดเปิด นอกจากคนในครอบครัวแล้ว ไม่เคยมีใครได้เห็นจี้ห้อยคอประดับอัญมณีสีอำพันชิ้นนี้เลย

“ขายให้ผมเถอะครับ เรียกราคาเท่าไหร่ผมสู้ไม่อั้น”คนซื้อพยายามหว่านล้อม ให้เจ้าของใจอ่อนยอมขายของให้

“ขอโทษครับ ผมคงรับข้อเสนอของคุณไม่ได้ เชิญครับ”

รวินท์ผายมือไปที่ประตู ยุติการเจรจา ไม่ให้ยืดเยื้อเสียเวลาต่อไป กิริยาแบบนั้นทำให้อีกฝ่ายลมออกหู ผุดลุกขึ้นยืน

“แล้วคุณจะเสียใจ!”

กอบลาภเสียงขุ่น หน้าแดงจัดอย่างโมโห เขาสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องทันที โดยมีไรวัตเดินตามออกไป

“ฉันว่าแกน่าจะขายจี้อันนั้น ให้คุณกอบลาภเขาไป เก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ขายเอาเงินมาลงทุนดีกว่า”

ไรวัตพยายามเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง หลังจากเขาปฏิเสธกอบลาภไป การซื้อขายครั้งนี้ เปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าคงไม่ใช่น้อย พี่ชายของเขาถึงหาทางให้เขายอมขายของให้อีกฝ่าย

“ผลึกจันทร์ เป็นสมบัติประจำตระกูลของเรา”

เขายกเหตุผลสำคัญมาอ้าง หากคนฟังกลับคิดว่าถูกค่อนขอด จึงชักสีหน้าโต้กลับเสียงขุ่น

“สมบัติประจำตระกูล เหอะ... ฉันมันคนนอกตระกูลนี่ เลยไม่มีสิทธิ์สินะ”

คุณวรรณดามารดาของเขารับไรวัตมาอุปการะเอาไว้ ท่านรักไรวัตเหมือนลูกแท้ๆ พอท่านเสียชีวิต ท่านได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้ไรวัตครอบครอง แม้ไม่ได้เท่าที่เขาได้รับ แต่ก็มากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบาก หากเจ้าตัวไม่นำไปถลุงในบ่อนการพนันแทบหมด

ไรวัตรู้สึกเสมอว่าตัวเองเป็นคนนอก ทั้งที่เขาและมารดา ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย อาจจะเป็นเพราะไรวัตคิดว่าเขาเป็นตัวมาร เกิดมาเพื่อเป็นลูกอิจฉา แย่งความรักและทรัพย์สมบัติก็เป็นได้ เห็นได้จากกิริยาที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อบิดาของเขาทำพินัยกรรมยกมรดกให้เขาทั้งหมด โดยไม่มีชื่อของลูกบุญธรรมร่วมด้วย นั่นเป็นจุดหักเห ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง จืดจางลงไป...

“แกยังไม่รู้จักฝ่ายนั้นเขาดี ถ้าเขาอยากได้ เขามีวิธีการทำให้ของสิ่งนั้น เป็นของเขาจนได้ ฉันเตือนแกเพราะหวังดีหรอกนะ”

คำเตือนของไรวัต ฟังดูคล้ายข่มขู่ในที แต่ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกกลัวแม้แต่น้อย

“ฝากบอกเขาด้วยว่า ถึงจะทำยังไง ผมก็ไม่ขาย!”

รวินท์ฝากคำพูดไปถึงคนซื้อเป็นครั้งสุดท้าย โดยไม่สนใจข้อเสนอใดใดจากฝ่ายนั้นอีก!

นัทธีมองดูอัญมณีสีอำพันนั้นอย่างติดใจ ประกายวาวใสงดงาม สะท้อนแสงระเรื่อออกมาจากอัญมณี จากที่ดูคร่าวๆน่าจะเป็นของโบราณหายาก แบบนี้พวกนักสะสมของเก่าชอบนัก มูลเหตุคดีการตายเริ่มมีเค้าให้เห็นรางๆ

“เป็นไปได้ไหม ที่พี่ชายของคุณ จะเข้ามาขโมยของสิ่งนี้”นายตำรวจตั้งข้อสงสัย

คนฟังหลบตา หากไม่ตอบอะไร เพียงเท่านั้นคนถามก็พอเดาคำตอบได้ เรื่องสมบัติทำให้พี่น้องฆ่ากันตายมานักต่อนักแล้ว ประสาอะไรกับพี่น้องคนละสายเลือดอย่างรวินท์กับไรวัต

“ผมแค่อยากรู้ ว่าพี่ชายผมตายยังไง ส่วนเรื่องอื่นช่างมันเถอะครับ”รวินท์เอ่ยขึ้น

นัทธีพยักหน้ารับ เข้าใจความรู้สึกของคนพูด จึงไม่ซักไซ้อีกฝ่ายมาก

“เบื้องต้นคงต้องเป็นแบบนั้น ถึงยังไงคุณก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง มีของล่อตาโจรแบบนี้ มันอันตราย” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยเตือน

“ครับ ผมคงต้องเอามันไปเก็บไว้เอง ห้องลับไม่เป็นความลับอีกแล้ว”

ไม่มีความลับอยู่ในโลก เฉกเดียวกับ ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นจากความอยากรู้ของมนุษย์ ยิ่งปิดบังซ่อนเร้น ยิ่งมีคนอยากรู้อยากค้นหา... ชายหนุ่มมองดูประกายวาวระยับของอัญมณี นี่เขาจะรักษามันไว้ได้นานแค่ไหนกันหนอ...

“ทางตำรวจคงต้องขอตรวจสอบ ภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อหาเบาะแสของคนร้าย”

นัทธีลุกขึ้นยืน เตรียมสอบสวนหาเบาะแสเพิ่มเติม

“เชิญทางนี้ครับ ผมให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัย เขาเตรียมไว้ให้แล้ว”

รวินท์ลุกขึ้น เดินนำนายตำรวจเจ้าของคดี ไปยังอีกห้องหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล...

ภาพจากกล้องวงจรปิดฉายให้เห็น เหตุการณ์ตั้งแต่ชายสองคนลอบเข้ามาภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ แสงสว่างจากดวงไฟที่เปิดเพียงสองดวง บวกกับหมวกไหมพรมที่คนร้ายสวมไว้ ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของนักย่องเบา บางมุมเลนส์กล้องจับภาพไม่ถึง

ภายในห้องสมุดซึ่งเป็นที่พบศพ เป็นอีกจุดหนึ่งที่แทบหาเบาะแสการตายไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้ติดกล้องวงจรปิดไว้ อาจจะเป็นเพราะเจ้าของสถานที่มั่นใจว่าไม่มีใครล่วงรู้ว่า มีห้องลับซ่อนอยู่ จึงไม่ได้ติดตั้งกล้องไว้ ภาพในช่วงสุดท้ายจึงเป็นภาพจากกล้องที่อยู่ด้านนอกห้อง

จากภาพ ร่างของชายรูปร่างค่อนข้างท้วม สวมชุดสีดำสนิทใบหน้ามีหมวกไหมพรมปกปิดเอาไว้ วิ่งออกมาจากห้องสมุดด้วยท่าทางร้อนรน คล้ายตกใจอะไรบางอย่าง อากัปกิริยาที่เห็นดูลนลานแตกตื่น เหมือนระงับสติไม่อยู่

มุมหนึ่งของภาพมองเห็นแสงวะแวบเหมือนประกายอะไรบางอย่าง สะท้อนออกมาจากหลังประตู หากไม่ชัดเจนพอที่จะเดาได้ว่าเป็นแสงของอะไร หรือเกิดจากสิ่งใด ด้วยมุมกล้องที่เป็นจุดอับ จึงยากที่จะดึงภาพให้ชัดเจน...

หลักฐานที่พบจากที่เกิดเหตุ รวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิดบ่งชี้ว่า ไม่ได้มีไรวัตเพียงคนเดียวที่เข้ามาในห้องนี้ หากอาการของชายอีกคนที่เห็น ทำเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้เสียหายต้องมองหน้ากัน

“คุณคิดว่ายังไง”

นัทธีหันมาถามผู้เสียหาย ก่อนจะเลื่อนปุ่มย้อนดูภาพตั้งแต่ต้นอีกรอบ

“พี่นัทล่ะครับ”

รวินท์ย้อนถาม ดวงตาดำขลับมีความประหลาดใจพอๆกับคนถาม สายตาจดจ้องภาพเหตุการณ์ อย่างขบคิด

“ท่าทางของคนร้าย ดูเหมือนกำลังตกใจกลัวสุดขีด เกิดอะไรขึ้นในห้องนั้นกันแน่”

คำพูดของนายตำรวจหนุ่ม ทำให้คนฟังนึกถึงความฝันประหลาด ในค่ำคืนที่ผ่านมา เผลอมองรอยแดงบนอุ้งมือตนเอง ก่อนกำมือไว้แน่นเมื่อความรู้สึกบางอย่างวูบเข้ามา

“ผู้ชายในภาพลักษณะคุ้นบ้างไหม”นัทธีกดปุ่มให้ภาพค้างไว้

รวินท์มองดูภาพนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ

“ลักษณะของเขาคล้ายกับนายกอบลาภ คนที่เคยมาติดต่อ ขอซื้อผลึกจันทร์จากผม” คนร้ายที่เห็นในกล้องวงจรปิด มีรูปร่างค่อนข้างท้วม ลักษณะคล้ายนักธุรกิจวัยกลางคน ที่เคยมาขอซื้อผลึกจันทร์จากชายหนุ่ม

“ชักเข้าเค้า ผมว่านายกอบลาภกับพี่ชายคุณ คงร่วมมือกันเข้ามาขโมยผลึกจันทร์ แต่ทำไมถึงไม่เอามันไปด้วย กลับวางทิ้งไว้แบบนั้น น่าแปลก...”

นัทธีลูบคางตัวเอง ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น คนร้ายต้องการจี้ห้อยคอ ทั้งที่นำมันออกมาจากห้องนิรภัยได้แล้วแท้ๆ แต่กลับทิ้งไว้อย่างนั้น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับไรวัต จนทำให้เขาถึงแก่ความตาย เป็นปริศนาที่ท้าทาย ให้เขาค้นหาคำตอบ นายตำรวจหนุ่มรู้สึกว่าคดีนี้ น่าสนใจไม่น้อย

“นายกอบลาภ น่าจะให้คำตอบกับเราได้”

รวินท์หันมาสบตากับนายตำรวจหนุ่ม นัทธีพยักหน้ารับ ทั้งสองมองดูภาพของคนร้ายใน

ชุดดำ คำตอบของปริศนาครั้งนี้ อยู่ที่ชายคนนั้น!



ร่างเพรียวระหงสวมชุดเดรสสั้นสีขาวเดินผ่านซุ้มไม้ดัด ไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินแกรนิตสีดำ ด้านข้างวางอ่างกระเบื้องเคลือบใบย่อม ลอยดอกบัวพับกลีบสวยไว้จนเต็ม ทางเดินมุ่งตรงไปยัง ตึกสองชั้นหลังใหญ่ทาสีเหลืองนวล หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาทั้งหลัง บริเวณโดยรอบปลูกไม้ประดับและไม้ยืนต้นไว้อย่างเป็นระเบียบ แลดูร่มรื่นเย็นสบายน่าพักผ่อน บนผนังกำแพงด้านหน้ามีตัวอักษรไม้แกะสลักทาสีทองติดไว้ว่า “ภูวันดาสปา”

กลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำมันหอมระเหยกลิ่นสมุนไพร โชยกรุ่นกำจายมาตามสายลม ให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย แก่ผู้เข้ามายังบริเวณนี้...

“สวัสดีค่ะคุณลิลลี่”

พนักงานที่อยู่บริเวณนั้น ส่งเสียงทักทายพร้อมกับพนมมือไหว้

“สวัสดีค่ะ”

นลินดาหยุดทักทายพนักงาน พร้อมกับกวาดสายตาสำรวจความเรียบร้อยของสถานที่ ยามเช้าเช่นนี้ บรรยากาศในสปาเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ด้านหน้าอาคาร แม่บ้านคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดกระจกใสบานใหญ่ หน้าประตูทางเข้าล็อบบี้ พนักงานสปาในชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าสด กำลังกุลีกุจอช่วยกันลอยดอกไม้ในอ่างกระเบื้องเคลือบตามจุดต่างๆให้เสร็จก่อนเวลาเปิดทำการ ในตอนสิบโมงเช้า...

“เร่งมือหน่อยนะจ้ะ สิบเอ็ดโมงจะมีกรุ๊ปทัวร์มาลง”

นลินดากำชับพนักงาน ขาเรียวสวยสวมรองเท้าส้นสูงสีครีมเข้าชุดกับกระโปรง สาวเท้ายาวอย่างคล่องแคล่ว เข้าไปยังอาคารหลังเล็กเชื่อมต่อจากอาคารหลังใหญ่ ซึ่งเป็นออฟฟิศของสปา

“สวัสดีค่ะคุณลิลลี่ เมื่อกี้น้ำเห็นตำรวจมาที่พิพิธภัณฑ์เต็มไปหมด ไม่รู้ว่ามีอะไรค่ะ”

เลขาหน้าห้อง รีบรายงานเหตุการณ์สำคัญให้เจ้านายสาวรู้

นลินดาพยักหน้ารับรู้ เมื่อเช้ารวินท์โทรมาบอกเธอแล้ว

“ลินจะแวะไปดูพิพิธภัณฑ์สักหน่อย คุณน้ำช่วยดูแลกรุ๊ปทัวร์ฮ่องกง ที่จะเข้ามาในรอบเช้านี้ให้ด้วยนะคะ อ้อ... ฝากนี่ให้ห้องควบคุมด้วยค่ะ”

มือเรียวยาวส่งถุงกระดาษที่ถือมาด้วยให้เลขา ก่อนจะกำชับอีกครั้ง

“ลินเอาซีดีเพลงชุดใหม่มาให้เปิด ให้ฝ่ายเทคนิคเขา ตรวจสอบระดับเสียงลำโพงให้ด้วย

นะคะ เมื่อวานเสียงมันดังเกินไป ลูกค้าเขาติงมา แค่นี้แหละค่ะ ไปก่อนนะคะ”

นลินดายิ้มให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกครั้ง ก่อนจะหมุนกายเดินออกมา

จากบริเวณสปา มีทางเดินเชื่อมต่อไปยัง อาคารพิพิธภัณฑ์ ทางเดินทอดยาวผ่านบริเวณสวนสวย ดอกไม้นานาพันธุ์กำลังออกดอกอวดสีสัน ส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วบริเวณ จุดขายของโรงแรมภูวันดา นอกจากบริการที่เยี่ยมยอดระดับห้าดาวและความทันสมัยแล้ว ยังมีความสวยงามของธรรมชาติรวมถึงคงเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้ อาคารพิพิธภัณฑ์เป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่ช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าที่มาใช้บริการ

นลินดาเดินมาตามทางเดินอย่างไม่รีบเร่ง ด้วยรู้ว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุอยู่ และคงห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ เธอจึงเลือกจัดการงานในหน้าที่ ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน กะเวลาว่าพอไปถึงเจ้าหน้าที่น่าจะตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว

เมื่อหญิงสาวพาตัวเองมาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ เจ้าหน้าที่แผนกนิติวิทยาศาสตร์ ทยอยกันออกมาจากที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยอุปกรณ์ และตัวอย่างที่จะนำไปทดสอบในห้องแล็ป ภายในรถตู้สีขาว มีเปลใส่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่วางไว้

นลินดาเดินเข้าไปทักทายเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ที่รู้จักเป็นการส่วนตัว

“สวัสดีค่ะหมอวิทย์ เรียบร้อยแล้วหรือคะ”

นายแพทย์หนุ่ม ยิ้มให้คนทัก ก่อนจะถอดถุงมือยางทิ้งลงในถังขยะ

“ครับคุณลิน คดีนี้ท่าจะยาวครับ”

นายแพทย์หนุ่มบุ้ยบ้ายไปยังถุงพลาสติกด้านใน

“สภาพศพน่าสยดสยองมาก ผมเองเห็นคนตายมาเยอะ แต่เคสแบบนี้ไม่เคยพบมาก่อน”

“ยังไงหรือคะ”หญิงสาวจ้องมองถุงบรรจุศพอย่างสนใจ

“ไว้รออ่านผลชันสูติดีกว่า ผมคงต้องขอตัวก่อน”

รถตู้แล่นออกไปจากหน้าอาคารแล้ว นลินดายังไม่คลายความสงสัย ในเรื่องที่อีกฝ่ายทิ้งไว้

หญิงสาวหมุนกายเตรียมเดินไปยังสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ปีกซ้ายของพิพิธภัณฑ์ หากมีบางอย่างวูบผ่านตัดหน้า หายเข้าไปยังหลังบานประตูบริเวณด้านปีกขวา อันเป็นส่วนจัดแสดงภาพเขียน

“อะไรกัน... หรือว่า!...”

นลินดาวาบในหัวใจ... รีบสาวเท้าเดินไปยังจุดที่เห็นเงาดำวูบผ่าน...

...ยิ่งใกล้บริเวณนั้น บรรยากาศรอบกาย ยิ่งทวีความอึดอัดขึ้นทุกขณะ!...

ร่างเพรียวชะลอฝีเท้า มือเรียวบางกุมหน้าอกตัวเอง พยายามสูดลมหายใจยาวๆ เพื่อไล่อาการอึดอัดนั้นออก

ชั่วครู่อาการเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย หากไม่หายเป็นปกติ เธอยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วปอด รวมถึงอาการเย็บวูบวาบราวกับถูกลมเย็นๆเป่ายังคงอยู่ มันเป็นสิ่งที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้...

เมื่อเช้าร้อยตำรวจเอกนัทธี พี่ชายของเธอโทรมาเรียกให้น้องสาวมาช่วยดูที่เกิดเหตุ เพื่อหา

เบาะแสเพิ่มเติม จากความสามารถพิเศษของเธอ ความสามารถในการสัมผัสวิญญาณ

ที่เรียกว่า ‘สัมผัสที่หก’

“ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยนะยายลิน หวานใจแกจะได้ปลื้ม ที่คนรักช่วยหาเบาะแสคลี่คลายคดีให้”

นัทธีกระเซ้า น้องสาวกับแฟนหนุ่ม ด้วยรู้ว่านลินดาไม่เคยเปิดเผยให้คนรัก รู้ว่าเธอมีสัมผัส

พิเศษ สามารถติดต่อกับวิญญาณ รวมถึงมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้เฉพาะคนในครอบครัว อีกทั้งหญิงสาวไม่ชอบอวดอ้าง ความสามารถพิเศษให้ใครฟัง

“พูดไป มีคนเชื่อก็ดี ถ้าไม่เชื่อต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นอีก ลินไม่อยากเป็นตัวประหลาด”

นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเก็บงำเรื่องนี้ไว้กับตัวเอง

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ทีไร... หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้ง โลกพัฒนาไปมากถึงขนาดนี้ เธอเองได้ชื่อเป็นสาวสมัยใหม่ ขืนเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร จะถูกหัวเราะแค่ไหน...

นลินดาระงับความคิดในสมอง พร้อมกับปัดความหงุดหงิดในหัวใจทิ้ง ตั้งสติให้มั่น ก่อนส่งเสียงผ่านทางกระแสจิต ไปยังสิ่งที่มองไม่เห็น

“ใครอยู่ที่นี่คะ ต้องการบอกอะไรหรือเปล่า...”

ลมพัดมาวูบหนึ่ง... ทั้งที่บริเวณนั้นไม่น่าจะมีลมพัดเข้ามาได้...

นลินดามองเห็น เงาดำๆก่อตัวเป็นรูปร่างคนปรากฏขึ้น ห่างจากจุดที่เธอยืนราวห้าเมตร เงานั้นเคลื่อนตัวลอยเอื่อยไปตามทางเดิน แล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าห้องด้านในสุดของปีกขวา ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงภาพเขียน ก่อนจะแทรกผ่านประตูหายไป นลินดารีบวิ่งตามไปยังห้องนั้น

ภายในห้องมีภาพเขียนของจิตรกรชื่อดังหลายท่าน ทั้งจิตรกรในประเทศและจิตรกรชาวต่างชาติ ภาพเขียนถูกจัดวางเรียงรายเต็มผนังห้อง แสงดวงไฟถูกออกแบบให้ส่องสว่างหากไม่จัดจ้าดูนวลตา เน้นความงามของภาพ

ภาพสีน้ำมันเหมือนจริงของคุณวรรณดาตั้งเด่นอยู่บนผนังตรงกลางห้อง นลินดาเดินเข้าไปยืนตรงหน้าภาพนั้น แสงไฟอ่อนนวลสาดส่องโลมไล้ ดวงหน้าของสตรีวัยกลางคนในภาพกระจ่างชัดราวกับเจ้าของภาพมาอยู่ตรงหน้า

“หนู... ลิลลี่...” เสียงหนึ่งแทรกผ่านเข้ามาในหัว

ร่างๆหนึ่งปรากฏกายขึ้นมาจากมุมมืด ร่างนั้นเป็นสตรีวัยกลางคน สวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินคราม เกล้าผมมวยด้านหน้ายกพอง คล้ายทรงผมของหญิงสาวชาวอาทิตย์อุทัยในอดีต รูปร่างท้วม ผิวขาว ใบหน้าคล้ายกับสตรีในรูปเขียนไม่ผิดเพี้ยน

“คุณป้า... คุณป้าวรรณดา ใช่ไหมคะ”นลินดาถามซ้ำให้มั่นใจ

วิญญาณดวงนั้นพยักหน้าช้าๆ เป็นการยอมรับ หากไม่ยอมออกจากมุมมืด จนหญิงสาวต้องเข้าไปหาใกล้ๆ

“คุณป้าอยู่ที่นี่หรือคะ ลินดีใจจริงๆ ที่ได้พบคุณป้า รวินท์เขาเล่าเรื่องคุณป้าให้ลินฟังบ่อยๆ น่าเสียดายที่เราไม่ได้พบกัน” นลินดาชวนคุยอย่างถือสนิท

ความตึงเครียดคลายลง เมื่อเห็นว่าวิญญาณที่พบ คือมารดาของคนรัก ไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อนที่ไหน นลินดาสัมผัสได้ว่าวิญญาณดวงนี้ มิใช่วิญญาณชั้นต่ำ เช่นเคยพบมาก่อนหน้านั้น พวกนั้นจะปรากฏกายตามลักษณะการตายของตน กระแสพลังของดวงวิญญาณไม่เข้มแข็งเท่านี้ จึงไม่สามารถปรากฏกายให้เห็นในตอนกลางวันเช่นนี้ได้

“คุณป้าพอจะรู้บ้างไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”

นลินดารีบถามสิ่งที่เธออยากรู้ ก่อนที่วิญญาณของคุณวรรณดาจะหายไป วิญญาณโดยทั่วไปมักปรากฏกายได้ชั่วขณะ

หากไม่รีบถามไม่แน่ว่า จะได้พบวิญญาณดวงนั้นอีกครั้งหรือเปล่า... เวลาทุกนาทีมีค่าเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไป

“ไรวัตพาคนเข้ามา...ขโมยผลึกจันทร์... เอาไปไม่ได้... ไรวัต...ตาย...”

เสียงที่ได้ยินขาดหายเป็นช่วงๆ หากยังพอฟังเข้าใจ

“แล้วคุณไรวัต ทำไมถึงตายคะ”

คุณวรรณดาส่ายหน้าแทนคำตอบ สีหน้าคล้ายหวาดกลัวอะไรบางอย่าง นลินดาตีความอาการแบบนั้นไม่ออก

“ไม่รู้ หรือว่าบอกไม่ได้คะคุณป้า”

อีกฝ่ายยังคงส่ายหน้าไปมา ไม่ยอมตอบคำถามให้กระจ่าง ทำเอาคนถามปวดหัว คิดหาวิธีหาคำตอบคาใจ

“คุณป้าบอกอะไรลินได้มากกว่านี้ไหมคะ ลินอยากรู้จริงๆ ไม่ใช่เพื่อลินนะคะ แต่เพื่อรวินท์ ถ้าเรื่องนี้ไม่คลี่คลาย รวินท์อาจต้องเดือดร้อน นะคะคุณป้า ช่วยลินหน่อย”

วิญญาณมารดาของรวินท์พยักหน้ารับช้าๆ นลินดายิ้มกว้างแววตากระจ่างขึ้น

“บอกมาเลยค่ะคุณป้า ลินรอฟังอยู่”

แทนที่จะบอก คุณวรรณดากลับเคลื่อนกายลอยวูบไปยังประตูทางออก

“ตามมา... ทางนี้...”

๐๐๐๐๐๐๐๐๐

อัพแล้วจ้า



มณีจันทรา มีทั้งหมด 20 ตอนนะคะ จะอัพต่อเนื่องวันละ 1 ตอนจนจบเรื่องค่ะ



ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ



รวิญาดา /ผการุ้ง




รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 เม.ย. 2557, 07:01:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 เม.ย. 2557, 07:01:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1323





<< บทนำ   ตอนที่ 2. >>
อัศวินนภา 25 เม.ย. 2557, 20:53:18 น.
สนุกดีค่ะ


Amarilys 3 พ.ค. 2557, 12:52:13 น.
มาตามอ่านด้วยคนนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account