พิมพ์ลภัส
พิมพ์ลภัสเด็กสาวร่างอ้วนแก้มยุ้ยด้วยน้ำหนักตัวเกือบร้อยกิโลกรัมแอบรักพี่ชายขัางบ้านที่โตมาด้วยกัน ทว่าภีรมัตเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น..เธอรู้
ระหว่างเธอกับภีรมัตแตกต่างกันราวผีเน่ากับเทพบุตร ใครจะไปสวยเท่าแฟนสาวสิตาภาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศต่อหน้าเธอว่าใช่สเป็ก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ และการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเธอกับภีรมัตเรื่องยุ่งๆของหัวใจจึงเริ่มต้นขึ้น

Tags: พิมพ์ลภัส ภีรมัต รักหวานซึ้งปนเศรา้้

ตอน: บทที่ 1

พิมพ์ลภัส

คฤหาสน์หลังงามสไตล์โมเดิร์นบนเนื้อที่สามไร่เศษย่านชานเมือง แสงไฟส่องสว่างรายล้อมตัวตึกบ่งบอกถึงฐานะของผู้อาศัย ซึ่งได้รับการออกแบบโดยบริษัทฯก่อสร้างยักใหญ่ในกรุงเทพฯ

ด้านหนึ่งของบ้านบุกระจกสีชาปิดทับด้วยแผงผ้าม่านสีทองนวลตา ยามเช้า..เพียงเปิดม่านรับแสงอรุณที่สาดส่องผ่านผืนกระจก ก็ช่วยให้ภายในสว่างมากขึ้น ประหยัดไฟในช่วงกลางวันได้ดี ทว่ายามราตรีดึกสงัดเช่นนี้ กลับมีเพียงแสงไฟดวงกลมสีส้มนวลเท่านั้นที่สาดสะท้อนให้เห็นถึงความงดงามของบ้าน

เดิมทีพิมพ์ลภัสตั้งใจให้มีแค่ปาร์ตี้เล็กๆแบบคนกันเองเท่านั้น สุดท้ายเธอก็ต้องพ่ายมารดา แขกที่มานอกเหนือจากเพื่อนๆซึ่งเรียนด้วยกันแล้ว ยังมีบรรดาคุณหญิงคุณนายซึ่งเธอไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวซักนิด หลายคนที่ไหว้ซะจนเมื่อย ชื่ออะไรกันบ้างก็จำไม่ได้ ยังงงอยู่ไม่หาย คงเป็นเพื่อนในสมาคมคุณหญิงปานทิพย์ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
..ทุกอย่างผิดแผนไปหมด..

ต้นเหตุแห่งความวุ่นวายจนความเป็นส่วนตัวเธอหายไปสิ้น ทั้งหมดทั้งมวล..ต้องโทษคุณหญิงปานทิพย์แต่เพียงผู้เดียว ทำไมเธอจะรู้ไม่ทันความคิดมารดา ท่านอยากให้เธอออกสื่อ..ปรากฏชื่อในวงสังคมไฮโซมากแค่ไหน จากปาร์ตี้เล็กๆเลยกลายเป็นงานช้างไปได้ คล้ายกับเป็นงานเปิดตัวมากกว่าที่จะเป็นงานวันเกิด
เซ็ง!ไม่รู้ว่างานวันเกิดในวันนี้เป็นของใครกันแน่ เธอแทบไม่มีโอกาสอยู่กับกลุ่มเพื่อนซี้เลย
เสียงผ่อนลมหายใจจากปากอิ่ม หลังปลีกตัวจากวงล้อมแขกมารดามาได้ เธอหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ริมสระน้ำอีกด้าน ซึ่งห่างจากกลุ่มคนพอควร ขอปลีกวิเวกซักพักเถอะ..เมื่อยขาแทบแย่

กระนั้นก็ทำได้แค่คิด เพราะไม่ทันที่ก้นจะแตะเก้าอี้ดีด้วยซ้ำ เสียงสลอสาวใช้กะเหรี่ยงที่พยายามจะพูดไทยให้ชัด แต่กลับฟังแปร่งๆชวนขันดังแว่วตามหลังมาว่า คุณหญิงปานทิพย์เรียกหาอีกแล้ว..โธ่!สวรรค์
ร่างบางเดินกลับเข้าภายในงานอีกครั้ง ใบหน้าหวานปรับโหมดเตรียมพร้อมที่จะรับแขก

ล่วงเวลาผ่านมาเกือบครึ่งคืน..นั่นแหละ เค้าลางแห่งอิสรภาพจึงพอมีให้เห็นรำไร แขกกิตติมศักดิ์ลากลับหมดแล้ว เหลือเพียงเพื่อนสนิท แล้วปาร์ตี้คอกเทลก็เริ่มต้นขึ้น กว่าจะได้รับอิสระภาพ..ก็เกือบๆห้าทุ่ม นั่งคุยนั่งเม้าท์กันไม่เท่าไหร่ก็ต้องแยกย้ายกันกลับซะแล้ว

ความเงียบสงบกลับเข้ามาเยือนอีกครั้งหลังจากปาร์ตี้ขนาดย่อมๆ บริเวณสนามหญ้าข้างสระน้ำสิ้นสุดลง ก่อนหน้านี้บรรยากาศสุดแสนจะวุ่นวาย ทั้งคนแปลกหน้าและเพื่อนสนิท และอีกหลายท่านซึ่งเธอไม่เคยรู้จักมาร่วมอวยพรวันเกิดให้กับเธอ ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยซักนิด สนามหญ้าที่เคยกว้างจึงดูแคบลงถนัดตา เธอจำต้องปล่อยลอยเพื่อนฝูงที่อยู่ในงานให้ดูแลตัวเองกันไปก่อน เพราะถูกมารดาจับไปซ้ายจูงไปขวา เดินไหว้แนะนำตัวซะจนเวียนหัวตาลาย เกินครึ่งเป็นแขกของมารดา..ราวกับว่าเป็นงานของท่านซะเอง

ผ่านไปอีกปีสำหรับงานครบรอบวันเกิดที่ไร้เงาของเขาเช่นเคย ที่ผ่านมา..ไม่เคยจัดให้มีงานเลี้ยงใหญ่โตอะไรแค่ตักบาตรกับครอบครัวในตอนเช้า ทำอาหารรับประทานกันเฉพาะคนสนิทมากๆเท่านั้นในช่วงเย็น ปีนี้แตกต่างเพราะแผนโปรโมทลูกสาวของคุณหญิงปานทิพย์ที่อยากอวดเธอให้วงสังคมได้รู้จัก แขกที่มาส่วนใหญ่เป็นของมารดามากกว่าคนที่เธอรู้จักซะอีก
..ปาร์ตี้เลิกแล้ว..หัวใจดวงนี้ผิดหวังนิดหน่อย ไม่มีเงาของคนที่เฝ้ารอคอยเหยียบเข้ามาในงานเลย

บิดาเธอติดราชการสำคัญมาไม่ได้เช่นกัน ท่านโทรศัพท์ทางไกล..เซย์ฮัลโหลมาอวยพรแต่เช้ามืด เธอเองเข้าใจงานของท่านดีเลยไม่คิดมากอะไร แต่เขานี่สิ..ไม่เคยว่างเลยห้าหกปีหลัง ความรู้สึกหม่นวูบแล่นจุกอก แน่นจนราวกับว่าในห้องไม่มีอากาศพอให้หายใจก่อนจะเริ่มร้อนที่ขอบตา ความน้อยใจที่มีอยู่เป็นทุนเดิมก็พลอยแต่จะบีบให้น้ำตาไหลมาซะดื้อๆ

แม้จะรู้อยู่เต็มอก ว่าอย่างไรเสีย..เขาก็คงไม่มา ทว่าในใจลึกๆกลับแอบหวังว่าเขาอาจจะมาเซอร์ไพรซ์เธอซักปีก็ได้ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน..หรือว่าเขาคงลืมน้องสาวคนนี้ไปแล้ว ใช่สิ!เธอก็แค่เด็กข้างบ้านคนหนึ่ง ไม่ได้สำคัญอะไรต่อชีวิตเขาอยู่แล้ว ทำไมจะต้องให้ความสำคัญ

ร่างบางนั่งนิ่งหน้ากระจกเงา คล้ายกับมองตอบภาพสะท้อนใบหน้าเนียนใสของตัวเองในกระจก ทว่าไม่เป็นเช่นนั้น..สมองคิดเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องเขา เธอควรเลิกฝันถึงพี่ชายคนนี้เสียที..ยอมรับซะเถอะ..เขาไปไกลเกินเอื้อมแล้ว

"ก๊อกๆ" เสียงเคาะประตูไม้สักเนื้อดีจากด้านนอกดังขึ้นติดกันสองครั้ง ส่งผลให้ร่างบางระหงสมส่วนภายในห้องจำต้องละมือที่กำลังเช็ดผม หลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆลุกขึ้นมาเปิดประตู

"คุณพิมค่ะ ของขวัญจากคุณภีมค่ะ" เสียงเจื้อยแจ้วของพี่เลี้ยงคนสนิทแจ้งเหตุที่มารบกวนในยามวิกาลเช่นนี้ ถ้าเป็นปกติของทุกวันพิมพ์ลภัสจะเข้านอนแล้ว วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดเธอ มีปาร์ตี้ตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆกว่าจะแยกย้ายกันก็เกือบๆตีสอง

“เฮ้อ…!” พิมพ์ลภัสผ่อนหายใจแผ่วเบา มองกล่องของขวัญใบโต หุ้มกระดาษสีชมพูหวานติดโบสีชมพูเข้มกว่าดูสวยงามตาอยู่ในมือแววดาวพี่เลี้ยงคนสนิท
แววดาวยื่นมันตรงหน้าเธอ หากแต่พิมพ์ลภัสกลับชำเลืองมองเพียงนิดด้วยความรู้สึกชาชินก่อนเบี่ยงตัวหลบปล่อยให้แววดาวอุ้มเข้ามาซะเอง ทั้งที่เมื่อก่อนเธอจะกระวีกระวาดรีบรับมันมากอดไว้พร้อมทั้งยิ้มหน้าบานไปหลายวัน

"วางไว้ที่เตียงก็ได้ค่ะ" สีหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ ต่างจากที่ผ่านๆมาถ้าเป็นของขวัญจากเขา พิมพ์ลภัสจะตื่นเต้นดีใจยิ้มแก้มปริกอดมันเอาไว้แน่น หนนี้เธอกลับไม่รู้สึกแบบนั้นอีก มีแต่ความน้อยใจขึ้นมาแทน เธอมักจะได้รับจากเขาแบบนี้ทุกปี
ภายใต้ท่าทีเรียบเฉยเหมือนไม่คิดอะไร แต่แววดาวรู้ดีว่านายสาวกำลังรู้สึกอย่างไร เธอลอบมองอาการนิ่งสงบนั้นอยู่เงียบๆ

"คุณพิมจะรับนมอุ่นเลยมั้ยคะ พี่แววจะยกขึ้นมาให้ค่ะ" ที่ถามเพราะเห็นเจ้านายสาวอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยเตรียมจะเข้านอนแล้ว และไม่อยากให้พิมพ์ลภัสเก็บเรื่องเดิมๆมาคิดมาก

"ก็ดีค่ะ..เพลียจังเลย"เธอบอกยิ้มบางๆให้กับสาวใช้ที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงให้เธอมาตั้งแต่เด็กจนโต
ตั้งแต่เริ่มจำความได้ ก็เห็นแววดาวคอยดูแลมาตลอด ทั้งพ่อและแม่ไม่มีเวลาอยู่กับเธอเช่นครอบครัวอื่นทั่วไปด้วยหน้าที่การงาน

บิดาเป็นนักการฑูตท่านต้องไปประจำอยู่ที่ปราก นานๆครั้งจะกลับมาเยี่ยมเธอกับมารดาซักหน
ส่วนมารดาทำธุรกิจเกี่ยวกับจิวเวลรี่ อีกทั้งยังผันตัวเองไปทำประโยชน์เพื่อสังคมแบบเต็มกำลังร่วมกับบรรดาเพื่อนๆคุณหญิงคุณนายด้วยการก่อตั้งสมาคมช่วยเหลือสังคม ควบคู่ไปกับการดูแลกิจการจิวเวลรี่ สองสามปีหลังเปิดโรงงานทำจิวเวลรี่เองด้วย
ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนกระทั่งจัดจำหน่ายเองภาย ใต้แบรนด์พรีมสตาร์ ไดม่อนมีเพียงสองสาขาเท่านั้น โดยปกติแล้วส่งให้กับร้านนอกมากกว่า ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ติดอันดับต้นๆของเมืองไทยเลยทีเดียว ถ้าเป็นฝีมือคนไทยชื่อพรีมสตาร์ ไดม่อนมักจะถูกเลือกก่อนเสมอ

นักสะสมที่ชื่นชอบเครื่องประดับมักจะไม่ลืมแบรนด์พรีมสตาร์ ส่วนใหญ่ให้ความเชื่อถือในด้านคุณภาพของเพชรและการออกแบบที่มีสไตล์ ถือว่ากำลังไปได้ดี งานการจึงบีบรัดตัวท่านอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาเหมือนกับแม่คนอื่นๆนัก แต่พิมพ์ลภัสก็เติบโตขึ้นมาได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเพราะถึงท่านทั้งสองจะไม่มีเวลาให้กับเธอ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไรไปเลย ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวอ้างว้างหรือขาดความรักจากพ่อแม่ซักนิด ทั้งสองจะพยายามหาเวลาเพื่อเติมเต็มความรักให้กับเธออยู่เสมอและเธอเองก็เข้าใจในหน้าที่ของทั้งสองท่านดี เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันที่หมดไปมักจะขลุกอยู่กับครอบครัว ธาดากุล

ลุงหมอ หรือนายแพทย์ประจักษ์ ธาดากุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรัฐมีชื่อแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นเพื่อนรักกับคุณพ่อตั้งแต่สมัยหนุ่มๆเรียกว่าสนิทชิดเชื้อคุ้นเคยยิ่งกว่าญาติเสียอีก ครอบครัวธาดากุลปลูกบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านเธอ ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ ตั้งแต่เกิดมาเธอก็เห็นลุงหมอกับป้าเพ็ญแล้ว ทั้งสองจึงเปรียบเสมือนพ่อแม่ของเธออีกคน เมื่อไหร่ที่พ่อแม่ตัวจริงไม่ว่าง ครอบครัวธาดากุลก็มักจะเป็นทางเลือกที่เธอไม่ต้องคิดเลย การได้อยู่ร่วมบ้านเดียวกับภีรมัตจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุดในวัยเด็ก เขาทำหน้าที่พี่ชายคอยดูแลเธอเป็นอย่างดีเสมอโดยเฉพาะ ป้าเพ็ญ ที่รักและเอ็นดูเธอยิ่งกว่าลูกแท้ๆตัวเองซะอีก

ท่านคอยบอกอธิบายเหตุผลความจำเป็นของคุณพ่อคุณแม่ให้เธอเข้าใจ ส่วนใหญ่เธอจะติดเขาแจซะจนต้องหอบตุ๊กตาหมีตัวโปรดไปกินนอนอยู่บ้านโน้นทีละหลายวัน ไม่ใช่แม่ก็เหมือนใช่นั่นแหละเพราะป้าเพ็ญรักเธอยิ่งกว่าลูกชายตัวเองซะอีก ท่านบอกว่าอยากมีลูกสาวและให้เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว

สิ่งสำคัญที่ทำให้เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว เพราะยังมีภีรมัตที่คอยห่วงใยเธอสารพัด เป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายที่แสนดีตลอดมา ถึงแม้ว่าบ้างครั้งเขาจะชอบแกล้งแรงไปหน่อย แต่เธอก็มีความสุขดีที่มีเข้าอยู่ใกล้ๆ จะว่าไปเขาก็คือฮีโร่ประจำใจเธอมาเนิ่นนานแล้ว

ภีรมัตมักจะหากิจกรรมมาทำให้เธอไม่เคยต้องเบื่อ สอนเธอปลูกดอกไม้ในแปลงเล็กๆข้างรั้วบ้านบ้าง หาเกมสนุกๆมาเล่นได้ตลอด ทำให้ไม่เคยต้องเหงากันเลยซักวัน ทุกๆวันของเธอที่มีเขาอยู่ด้วยจึงมีแต่เสียงหัวเราะให้ได้ยินอยู่เสมอ บิดามารดาเธอไม่เคยต้องกังวลเลยถ้าต้องทิ้งเธอไปทำหน้าที่ของท่าน พิมพ์ลภัสจึงทั้งรักทั้งเคารพและผูกพันกับเขาเอามากๆ

นานวันเข้าความผูกพันที่มี..กลับซึมลึกกลางใจฝังแน่นแปรเปลี่ยนเป็นความลึกซึ้งมากกว่าพี่ชายตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว พอนึกว่าเขาลืมเธอความน้อยใจกลับตีรื้นขึ้นมาอีก..อีกปีแล้วที่ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม

สาวน้อยก้มมองกล่องของขวัญใบใหญ่นิ่งๆ เธอไม่รู้สึกตื่นเต้นไม่นึกอยากแตะต้องมันแม้แต่น้อย หน้ากล่องมีกระดาษติดไว้บอกรายละเอียดว่ามันถูกส่งมาจากที่ไหน วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบยี่สิบสองปีของเธอ

หกเจ็ดปีหลัง เธอไม่เคยพบเขาเลย พอเริ่มก้าวเข้าสู่วงการมายา เขาก็ย้ายไปอยู่คอนโดถาวร แวะมาหาป้าเพ็ญบ้างนานๆครั้ง
ครั้งสุดท้ายที่พบกัน ก็สมัยเรียนอยู่มัธยมสาม เขาแวะมาที่บ้านพร้อมตุ๊กตาหมีในวันที่เธอเรียนจบ หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้พบกันอีก ได้ยินแค่เสียงบ้างนานๆครั้ง รับทันบ้างไม่ทันบ้าง แล้วแต่จังหวะ แน่ล่ะสิ..ดังใหญ่แล้วนี่..ชิ!พ่อพระเอก

ตั้งแต่ภีรมัตเริ่มเข้าวงการบันเทิงจนกระทั่งกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ดังก้องฟ้าเมืองไทย ความเป็นพี่เป็นน้องที่เคยดูแลเอาใจใส่กันมาตั้งแต่เด็กๆก็จางลงไป ผ่านไปนานเท่าไหร่ความผูกพันที่มีก็คล้ายจะเลือนหายไปด้วย ไม่มั่นใจว่าระหว่างเธอกับเขายังเหลือความรู้สึกเดิมๆอยู่บ้างรึเปล่า บางครั้ง..เวลาที่รับสายเขา เธอเองก็ทำตัวไม่ถูก คุยกับเขาไม่สนิทใจเหมือนแต่ก่อน อย่างเช่นตอนนี้

"ตื๊ด...ตื๊ด..." เสียงโทรศัพท์บนหัวเตียงดังถี่ๆปลุกเธอให้หลุดจากภวังค์ส่วนลึก"ตื๊ด..ตื๊ด.." มันยังคงดังอยู่อย่างนั้น กระทั่งเจ้าของห้องต้องเอื้อมมือไปรับด้วยความรำคาญ

"สุขสันต์วันเกิดค่ะน้องพิม” เธอรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเขา เบอร์ห้องมีแค่เขาเท่านั้นที่รู้และมักจะโทร.มาเสมอ เสียงทุ้มนุ่มลึก ซึ่งคุ้นหูมาตั้งแต่เด็กฝังแน่นอยู่ในความทรงจำพิมพ์ลภัสมิเคยลืมเลือนตามกาลเวลา ดังมาจากปลายสายอีกด้านทันทีที่พิมพ์ลภัสยกกระบอกโทรศัพท์บ้านแนบหู

แม้เวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใดเธอก็ไม่เคยลืมน้ำเสียงแบบนี้ และชื่อของภีรมัตก็ยังเป็นชื่อเดียวในใจที่จำได้แม่น ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา อันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ
พี่ภีม สำหรับเธอแล้วเขาดูจะห่างไกลออกไปทุกที

"ขอบคุณค่ะ" พิมพ์ลภัสตอบกลับสั้นๆ เสียงแหบพร่าเพราะต้องฝืนกลืนก้อนสะอื้นที่จุกกลางลำคอ พยายามปรับน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติ

"เกือบไม่ทัน" เขาสบถเบาๆคล้ายรำพันกับตัวเองมากกว่า แต่พิมพ์ลภัสได้ยินชัดเจน เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเธอนักหรอก

พระเอกหนุ่มพลิกนาฬิกาข้อมือยี่ห้อดังดูเวลาที่เมืองไทย ซึ่งเขาไม่ได้ปรับให้ตรงกับที่นี่ คิดว่าจะใช้ดูเวลาที่เมืองไทย..จะได้ไม่พลาดวันสำคัญของพิมพ์ลภัส เหลือเวลาอีกห้านาทีจะเที่ยงคืน ซึ่งกำลังจะผ่านพ้นวันสำคัญของพิมพ์ลภัสแล้ว

"แกะของขวัญดูรึยังคะ ชอบรึเปล่า" เสียงทุ้มถามเธอนั้นน่าฟังจนชวนเคลิ้ม แต่พิมพ์ลภัสกลับไม่ได้รู้สึกชวนฝันเหมือนทุกคราที่เคยได้ยิน
เขาคงไม่รับรู้ถึงน้ำเสียงเศร้าๆของเธอเลยมั้ง น้ำเสียงถึงฟังดูรื่นเริงนัก ภีรมัตมักจะทำเช่นนี้เสมอเมื่อถึงวันเกิดของเธอหรือเทศกาลสำคัญต่างๆ เนื่องจากไม่มีเวลามาด้วยตัวเอง พิมพ์ลภัสนิ่งเงียบแทนคำตอบ หากแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้รอฟังเท่าใดนัก

"น้องพิมยังไม่นอนอีกหรือคะ นอนดึกพรุ่งนี้ก็ตื่นไม่ไหว..ไปโรงเรียนสายกันพอดี" เขาเอ่ยเรียบเรื่อย เสียงหัวเราะในลำคอทำให้รู้ว่าเขากำลังนึกขันเธออยู่ พิมพ์ลภัสนิ่วหน้านิด

การตื่นสายของพิมพ์ลภัส เขาเห็นจนชิน ถือเป็นเรื่องปกติเมื่อนึกถึงเด็กหญิงขี้เซาที่ตอนเด็กๆ เขามักจะต้องเป็นฝ่ายไปปลุกเธอที่บ้านทุกครั้ง เพราะเจ้าตัวยุ่งขี้เกียจตื่นเช้าไปโรงเรียน พิมพ์ลภัสหน้าตึงขึ้นมาทันที จากที่กำลังเศร้ากลับเปลี่ยนเป็นโมโหแทน..คิ้วเรียวขมวดมุ่น

นี่เขายังเห็นเธอเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไม่เปลี่ยนเลย ความน้อยใจในตัวเขาที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วทำให้หลังขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง รีบปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติทั้งที่มันสั่นเครือ

"จะกลับเมื่อไหร่คะ" เธอกระพริบตาถี่ๆไล่หยาดนน้ำอุ่นดวงตาคู่งามทำหน้าที่ของมันอย่างคุ้นชิน
แค่ได้ยินเสียงเขา ทำไมเธอจะต้องอยากร้องไห้ด้วยนะ หัวใจไม่รักดีก็คอยแต่จะอ่อนไหวอยู่ร่ำไปทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้อะไรเลย

"อาทิตย์หน้าค่ะ ละครใกล้ปิดกล้องแล้ว ถ่ายเสร็จก็ยกกองกลับเมืองไทยเลย ไปฉลองกันที่โน่น" เขาร่ายให้เธอฟัง ละครเรื่องล่าสุด ภีรมัตต้องเดินทางไปถ่ายทำที่เกาหลีนานหนึ่งเดือน

"เป็นอะไรรึเปล่าคะ ทำไมเงียบจัง"ภีรมัตอดแปลกใจไม่ได้ รู้สึกว่าพิมพ์ลภัสจะเงียบนานไปหน่อย ทุกครั้งเธอมักจะคุยจ้อถามโน่นถามนี่จนเขาตอบแทบไม่ทัน

"เปล่าค่ะ สบายดีนะคะ" เธอปฏิเสธเร็วกลัวเขาจะจับพิรุธเสียงสั่นเครือได้และเขาอาจจะรู้ว่าเธอกำลังร้องไห้ อาการตื้อแน่นกลางอกทำให้เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ จึงพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติแล้วถามกลับ

"สบายดีค่ะ แต่อากาศที่นี่หนาวว.. เป็นบ้าเลย"เขาตอบทำเสียงยานคาง แสดงให้เธอรู้ว่าหนาวเย็นเพียงใด
พิมพ์ลภัสฟังเขาเงียบๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ห่วงไม่คิดถึงเขา แต่น้ำอุ่นๆที่หยดลงมาต่างหากมันทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก ภีรมัตเห็นฝ่ายนั้นเงียบไปคิดว่าพิมพ์ลภัสคงจะง่วงอาจจะผลอยหลับคาโทรศัพท์ไปแล้ว จึงเป็นฝ่ายตัดบทซะเอง

“งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ พี่ต้องเข้าฉากสุดท้ายแล้ว ง่วงจะแย่..ไว้ค่อยคุยกันใหม่ ว่างแล้วพี่จะโทรหาค่ะ" เสียงทุ้มเอ่ยอ่อนโยน ระบายยิ้มใส่โทรศัพท์ลำพัง ภีรมัตวางสายทันทีโดยมิทันรอให้อีกฝ่ายตอบกลับมาแต่อย่างใด

พิมพ์ลภัสวางโทรศัพท์ลงบนแป้นตามเดิม น้ำตาร่วงเผาะ เสียงประตูถูกเปิดเข้ามาเบามือของแววดาว ทันได้เห็นคุณหนูคนสวยกำลังเช็ดน้ำตาตัวเองพอดี แววดาววางแก้วนมอุ่นไว้ที่โต๊ะหัวเตียง มองนายสาวอย่างเห็นใจ

"คุณภีมโทร.มาหรือคะ" เธอเลี้ยงพิมพ์ลภัสมาตั้งแต่แบเบาะ ตอนนี้นายสาวรู้สึกอย่างไรทำไมเธอจะดูไม่ออก
"....." เงียบไร้เสียงตอบกลับ ร่างบางเอาแต่นั่งนิ่งหันหลังบนเตียง ถึงแม้นายสาวจะไม่บอก ก็พอจะเดาได้..ไม่มีใครหรอกที่สามารถทำให้คุณหนูบ้านวีรภากานต์น้ำตาซึมได้

"อ้าว!คุณพิม ยังไม่แกะของขวัญดูอีกหรือคะนี่" เปลี่ยนเรื่องไม่อยากเห็นเจ้านายสาวเอาแต่จมอยู่กับความน้อยใจในตัวเจ้าของกล่องของขวัญใบโต และก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเช่นเดิม เธอเอาแต่นั่งนิ่งหันหลังให้กับกล่องของขวัญอย่างไม่ใยดี น่าแปลก! ทุกครั้งเธอจะดีใจยิ้มหน้าบานไปหลายวัน
เธอนั่งหน้ายุ่งนึกโกรธเจ้าของ ทั้งที่ต้นเรื่องไม่ผิดซักนิด เป็นแบบนี้ทุกปี

"คุณพิมไม่อยากรู้เหรอคะว่าคุณภีมส่งอะไรมาให้” แววดาวยังคงถามเรื่อยแจ้วตามประสาคนสนิทและอยู่กับพิมพ์ลภัสมากกว่าใครจึงกล้าจะพูดเรื่องส่วนตัวของเจ้านายสาวได้
พิมพ์ลภัสยังคงนั่งท่าเดิม ริมฝีปากอิ่มได้รูปเม้มสนิท ก่อนจะคิดอย่างปลงๆเหมือนเช่นทุกครั้ง

“เฮ้อ..” เสียงผ่อนลมหายใจเบาๆก่อนตอบคำถามพี่เลี้ยงแบบเซ็งๆ

"ก็คงไม่พ้นตุ๊กตาล่ะค่ะพี่แวว" พิมพ์ลภัสเอ่ยเนือยๆไม่มองพี่เลี้ยง หากแต่น้ำเสียงของเจ้านายสาวทำให้แววดาวจับความรู้สึกได้ไม่ยากนักว่ากำลังรู้สึกเช่นไร

"เฮ้อ!" แววดาวตามบ้าง หล่อนเห็นใจคุณหนู คงเกิดอาการน้อยใจเหมือนเดิมก่อนจะเดินอ้อมมาหยุดตรงหน้าพิมพ์ลภัส นั่งหันหลังให้กับกล่องของขวัญสีหวาน

"น้อยใจคุณภีม อีกล่ะสิท่า" แววดาวเอ่ยถึงความในใจเธอโดยไม่ต้องอ้อมค้อมกันให้มากความ

"เจ็ดปีแล้วนะคะพี่แวว..ที่พิมฟังเสียงอวยพรทางโทรศัพท์" พิมพ์ลภัสโพล่งออกมาน้ำเสียงติดจะงอนๆ แววดาวยิ้มเอ็นดูกับอาการนั้นของเจ้านายสาวที่เหมือนเมื่อครั้งตอนที่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ไม่มีผิด

"โถ่! คุณหนูคะ คุณภีมเธอดังเป็นพลุแตกนี่คะก็เห็นใจเธอบ้าง ขนาดคุณป้าเพ็ญคุณแม่แท้ๆของคุณภีมเอง เธอยังแทบไม่มีเวลาให้เลยค่ะคุณหนูก็ทราบดีนี่คะ" แววดาวให้เหตุผลเข้าข้างเขาอีกตามเคย ซึ่งพิมพ์ลภัสเองก็เข้าใจดีมาโดยตลอด

สิบกว่าปีที่เข้าสู่วงการบันเทิง ตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่มรุ่นๆได้ จนมีชื่อเสียงโด่งดังถึงทุกวันนี้ กระทั่งแม้เวลาส่วนตัวก็แทบจะไม่มี ความฮอตทำให้มีงานรุมเยอะเรียกว่าเนื้อหอมที่สุดแล้วในขณะนี้ ทั้งงานละคร โฆษณา งานโชว์ตัวอีเว้นท์เข้ามาไม่ได้ขาดสาย ค่ายไหนๆต่างก็เรียกหาแต่ ภีม ภีรมัต กันทั้งนั้น จนแทบกระดิกตัวไม่ได้

พิมพ์ลภัสรู้จากคำบอกเล่าของป้าเพ็ญ ถ้าว่างเธอมักจะไปคลุกอยู่ที่นั่นเป็นประจำ ป้าเพ็ญมักจะบ่นเรื่องนั้นเล่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเขาให้ฟังอยู่บ่อยๆ หลังๆมานี่ ภีรมัตเริ่มมีเสียงบ่นอยากพักบ้าง คงจะเหนื่อย
แต่ก็ได้แค่บ่นเท่านั้น เพราะเธอยังเห็นเขาตามสื่อแทบทุกวันไม่เว้นว่าง

"อย่าน้อยใจเลยค่ะ อย่างน้อยคุณภีมก็ไม่เคยลืมวันเกิดคุณพิมเลยซักปีนะคะ"
เรื่องนี้ก็เป็นความจริงอีกนั่นแหล่ะเขาไม่เคยลืมเลย พิมพ์ลภัสระบายยิ้มออกมามือเรียวสวยยื่นออกไปหยิกแก้มพี่เลี้ยงวัยเกือบสี่สิบปีแกมหยอกเย้าอย่างเบามือ

"รู้ดีจังเลยย" เธอกล่าวลากเสียงมองค้อนให้พี่เลี้ยงพร้อมทั้งหยิกแก้มเป็นการหยอกเย้า รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย พอจะคลายอารมณ์หม่นลงไปได้บ้าง

"อย่าว่ารู้ดีเลยค่ะ พี่แววรู้ใจคุณพิมต่างหากก็เลี้ยงมากับมือนี่คะ"แววดาวบอก

"เชื่อแล้วค่ะว่ารู้ใจ" พิมพ์ลภัสยิ้มกว้างเลิกเก็บความน้อยใจมาคิดอีก

"พี่แววว่าคุณพิมควรจะเข้านอนได้แล้วค่ะ พรุ่งนี้มีซ้อมละครที่คณะไม่ใช่เหรอคะ เดี๋ยวหน้าไม่เด้งกันพอดี อีกอย่างพี่แววก็เริ่มง่วงแล้วด้วย" แววดาวร่ายยาวซ้ำยังหาวให้ดูอีกต่างหาก ทำให้พิมพ์ลภัสหัวเราะเสียงใส ก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย แววดาวห่มผ้าให้เธอแล้วจึงหันไปอุ้มกล่องของขวัญใบโตไปเก็บไว้ในตู้โชว์ขนาดคิงไซด์ พร้อมทั้งจัดแจงเปิดไฟหัวเตียง ปิดสวิตซ์ไฟดวงใหญ่ลงพร้อมปิดประตูอย่างเบามือก่อนออกไป

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////------------------/////////////////////////////////////////////////////////////

“พี่ภีม...พิมเอาช็อกโกแลตมาให้ค่ะ วันนี้ชั่วโมงทำอาหาร อาจารย์สอนให้ทำช็อกโกแลต เพื่อมอบให้กับคนที่เรารัก พิมทำเผื่อทุกคนเลยค่ะ แล้วอันนี้ก็ของพี่ภีม" เด็กหญิงวัยสิบสองปีวิ่งหน้าตั้งมาหาเขาเอ่ยเจื้อยแจ้ว ใบหน้ากลมแป้นยิ้มกว้างจนตาหยีมองเห็นเหล็กดัดฟันสีชมพูเต็มช่องปาก ผมยาวถูกถักร้อยเป็นเปียไว้สองข้าง แก้มยุ้ยกลบปลายจมูกโด่งหายไป ด้วยน้ำหนักตัวเกือบหกสิบกิโลกรัม มืออ้วนป้อมยื่นขวดโหลที่ไปด้วยช็อกโกแลตภายในบรรจุไว้เกือบเต็มโหลแก้วให้เขา

"เฮ้ย! ภีม เลี้ยงต้อยเหรอวะ"เสียงคนใดคนหนึ่งในกลุ่มของเขาขึ้น ขณะที่ภีรมัตกำลังจะเอื้อมมือออกไปรับ ทว่าชะงักไว้ซะก่อน ทั้งหมดกำลังเลี้ยงฉลองเตรียมจบการศึกษาในปีสุดท้ายที่บ้านของดาราหนุ่ม ‘ภีม ภีรมัต

"ทำไมล่ะก็โตขึ้นเราจะแต่งงานกัน" พิมพ์ลภัสโต้กลับสีหน้าจริงจังตามประสาเด็ก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการแต่งงานคืออะไร เพียงคิดตามประสาเด็กว่าจะได้อยู่เล่นด้วยกันไปตลอดชีวิต

"จริงเหรอวะภีม นี่นายมีคู่หมั้นแล้วเหรอ ตุ้ยนุ้ยซะด้วย" สายตาของผู้พูดกวาดตามองเด็กน้อยร่างอ้วนกลมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเงยหน้าหัวเราะร่วนสนุกสนาน พาให้คนอื่นๆขำตามไปด้วย ภีรมัตระบายยิ้มน้อยๆเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เขาไม่ได้โกรธที่เพื่อนพูดแหย่ และไม่ได้คิดอะไรในคำพูดของเด็กน้อย เพียงยิ้มขันกับท่าทางล้อเลียนของเพื่อนมากกว่า

พิมพ์ลภัสหน้ามุ่ยบึ้งตึงแดงก่ำด้วยความโกรธจนน้ำตาปริ่มคลอเบ้า รอยยิ้มของเขามันทำให้เธอดูเหมือนเป็นตัวตลก ดวงตาใสซื่อของเด็กน้อยเต็มไปด้วยหยาดน้ำใสก่อนจะหยดแหมะเปื้อนแก้มอวบยุ้ยนั้น

"น้องยังเด็กก็พูดไปเรื่อย สเป็คกันแบบไหนไม่รู้อีกหรือไง" เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาบาดใจพูดเสียงเรียบติดจะขันๆด้วยซ้ำไม่ได้คิดจริงจังกับคำพูดของเด็กน้อยเลยซักนิด

"เออใช่ สเป็คไอ้ภีมมันต้องสวยเหมือนคุณสิตาใช่มั้ยวะ" เสียงเพื่อนในกลุ่มดังขึ้นมาอีกจนคนถูกแซวเริ่มออกอาการเขินให้เห็น ไม่มีใครหรือแม้แต่เขาสนใจเด็กน้อยร่างกลมอ้วนป้อมที่กำลังยืนร้องไห้น้ำตาอาบแก้มในยามนี้ และสิ่งที่เรียกความสนใจจากทุกคนให้หันมามองที่เธอก็ดังขึ้น เสียงโหลแก้วหลุดจากมืออวบอ้วนลงพื้นเสียงดังทำให้เขาชะงักมองเด็กน้อย

"เพล้งง!!" เสียงโหลแก้วในมือตกกระทบพื้นกระเบื้องดังสนั่น เศษแก้วกระจายเกลือนห้องจนทั้งกลุ่มเงียบกริบ สายตาทุกคู่มองมาที่เด็กน้อย ร่างอ้วนตุ้ยนุ้ยแก้มยุ้ยอมชมพูตามธรรมชาติสั่นสะอื้นอย่างน่าสงสาร

ภีรมัตตกใจเพราะหยาดน้ำใสอาบแก้มเด็กน้อย ถึงกับผงะเงอะงะทำอะไรไม่ถูกไปเหมือนกัน ทุกครั้งที่เด็กน้อยร้องไห้ เขามักใจไม่ดีทุกครั้ง มือหนาเตรียมจะเอื้อมคว้าเด็กน้อยเข้ามาสวมกอดเพื่อปลอบใจ

"สักวันหนึ่ง พิมจะสวยให้ได้..คอยดู" เด็กหญิงประกาศก้องดวงตาใสคู่กระจ่างเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาสองแก้มป่อง จ้องมองเขาอย่างผิดหวัง ภีรมัตสลดวูบสึกผิดที่เป็นสาเหตุให้เธอน้ำตาร่วง จึงคิดจะดึงร่างอ้วนมาสวมกอดปลอบขวัญแต่พิมพ์ลภัสกลับปัดมือเขาให้ห่างแล้ววิ่งหนีออกไปซะก่อน

“ติ๊ดๆ...ติ๊ดๆ"ร่างบางสะดุ้งตื่นจากความฝันทันที หัวใจเต้นถี่เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า

เสียงนาฬิกาข้างหัวเตียงดังขึ้นปลุกเธอให้ตื่นจากฝันร้ายซ้ำๆซากๆ ซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นจริง..เมื่อนานมาแล้ว เธอยังจำได้ดี

“ฝันอีกแล้วเหรอเนี่ย" พิมพ์ลภัสสบถกับตัวเอง มันเป็นฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอนเธอมาตลอดเวลาหลายปี

พิมพ์ลภัสสะบัดศีรษะสองสามครั้งพยายามไล่ภาพฝันในอดีตทิ้งไป ก่อนจะลุกจากเตียงนุ่มคว้าผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ตรงเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวเหมือนปกติเช่นเคย

------------------------------------------------------------**************---------------------------------------------------------------------



รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 เม.ย. 2557, 15:30:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มิ.ย. 2557, 15:09:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1961





   บทที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account