พิมพ์ลภัส
พิมพ์ลภัสเด็กสาวร่างอ้วนแก้มยุ้ยด้วยน้ำหนักตัวเกือบร้อยกิโลกรัมแอบรักพี่ชายขัางบ้านที่โตมาด้วยกัน ทว่าภีรมัตเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น..เธอรู้
ระหว่างเธอกับภีรมัตแตกต่างกันราวผีเน่ากับเทพบุตร ใครจะไปสวยเท่าแฟนสาวสิตาภาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศต่อหน้าเธอว่าใช่สเป็ก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ และการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเธอกับภีรมัตเรื่องยุ่งๆของหัวใจจึงเริ่มต้นขึ้น

Tags: พิมพ์ลภัส ภีรมัต รักหวานซึ้งปนเศรา้้

ตอน: บทที่ 2

รอ

“จูเลียต...หากมิได้ครองรักเคียงคู่เจ้า ชีวิตของข้าก็มิอาจจะหายใจต่อไปได้ " นิ้วเรียวสวยยื่นออกมาป้องปิดวาจาจากชายคนรักแผ่วเบา ดวงตาหวานซึ้งมองทอดเขาอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรัก

"อย่ากล่าวเช่นนี้...โรมิโอ...ข้ามิใคร่ฟังนัก "ขณะที่บนเวทีกว้างทุกคนกำลังตั้งใจซ้อมบทละครอย่างเต็มที่ เสียงใสของสาวน้อยตาคม ซึ่งนั่งเกาะขอบเวทีอยู่ด้านล่าง ดันเรียกขัดขึ้นมากลางปล่องซะนี่

"ขอโทษที" เพียงอร เจ้าของเสียงห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำเอ่ยแทรกสีหน้าแหยๆพร้อมทั้งยกมือกระพุ่มเหนือหัวขอโทษ ที่ต้องเข้ามาขัดจังหวะการซ้อมประจำวัน รู้ตัวว่าผิดที่ขัดจังหวะทำลายสมาธิทุกคนซึ่งกำลังตั้งใจซ้อมเต็มที่

"พิม มือถือแกดัง..หลายรอบแล้วว่ะ คิดว่าอาจจะเป็นเรื่องสำคัญ คุณหญิงแม่ถึงได้โทร.มาถี่ขนาดนี้” เพียงอรบอกถึงสาเหตุที่ต้องล่มงานกลางคันเนื่องจากสายเรียกเข้าเป็นคุณหญิงปานทิพย์หลายรอบแล้ว พิมพ์ลภัสดึงมือนุ่มออกจากอุ้งมือหนาของดาราหนุ่มแผ่วเบา

ดารานายแบบชื่อดัง จุ๊น จุลกานต์ เคยเป็นศิษย์เก่าที่นี่ ถูกเชิญมาช่วยรับบท "พระเอก " ให้กับทางมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเป็นงานช่วยเหลือสังคม เขาจึงยินดีที่ได้รับโอกาสนี้ ยิ่งไปกว่านั้น..พอรู้ว่าพิมพ์ลภัสรับบทเป็นนางเอก เขาจึงไม่ลังเลที่จะตอบตกลง อยากหาโอกาสใกล้ชิดเธอมานานแล้ว เคยได้รู้จักผ่านการแนะนำของมารดาและท่านก็อยากให้สนิทสนมกันมากกว่านี้

ส่วนตัวลึกๆเขาชอบเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ ใบหน้าหวานเชิดรั้นอย่างคนมั่นใจในตัวเองนั่น ทั้งดวงตากลมโตวาวระยับขนตายาวหนาเป็นแพ มันดึงดูดเขาจนไม่อาจลืม ความเป็นมิตรและน้ำใจที่เธอมีให้กับคนรอบข้างที่เขาได้พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ไม่เสแสร้งแกล้งทำ ไม่เย่อหยิ่งทะนงว่าตัวเป็นลูกสาวคนดัง ความเป็นกันเองเข้ากับคนอื่นได้ง่ายจึงทำให้พิมพ์ลภัสเป็นที่รักของเพื่อนเสมอ

บ่อยครั้งที่เขาแอบเห็น..รอยยิ้มสดใสยามเจ้าตัวแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง มันทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น ทุกครั้งที่เธอยิ้ม รอยยิ้มสว่างไสวของเธอส่งให้สิ่งต่างๆรอบตัวน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง ใครที่ได้อยู่ใกล้เธอก็พลอยสดชื่นตามไปด้วย ชายหนุ่มจำต้องยอมปล่อยมือนุ่มอย่างแสนเสียดาย

“ใครนะ..” นึกแปลกใจ เพราะปกติแล้วมารดาไม่เคยโทร.จิกซักที

“คุณหญิงแม่ว่ะ "เพียงอรเอ่ยหน้าเจื่อน รู้ตัวว่าผิดที่ขัดจังหวะกลางคัน แต่พอทุกคนทราบว่าเป็นคุณหญิงปานทิพย์ ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร

อย่างที่ทราบกันดี’คุณหญิงปานทิพย์’คือสปอร์นเซอร์รายใหญ่ที่สุดของกิจกรรมครั้งนี้จึงไม่มีใครปริปาก แต่ปกติแล้วท่านก็ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายด้วยซ้ำ เพียงแต่หนนี้อาจจะมีธุระสำคัญจริงๆก็เป็นได้ทุกคนจึงไม่ติดใจอะไร เธอกล่าวขอโทษทุกคนตามมารยาทแล้วจึงเดินมารับโทรศัพท์ที่ยังคงดังอยู่ไม่เลิกจากมือเพียงอร

"ค่ะ คุณแม่ "เสียงหวานกรอกลงไปตามสาย

“น้องพิมซ้อมละครใกล้เลิกรึยังลูก” คุณหญิงปานทิพย์ เอ่ยถามบุตรสาวน้ำเสียงตื่นเต้นพอควร

"อีกซักพักค่ะ คุณแม่มีอะไรรึเปล่าคะ"พิมพ์ลภัสอดสงสัยไม่ได้ เพราะปกติแล้วคุณหญิงปานทิพย์แทบไม่เคยโทร.ตามเธอเลย ถ้ารู้ว่าพิมพ์ลภัสซ้อมละครเวที

เธอรับบทเป็นนางเอกให้กับทางมหา'ลัย เนื่องจากเลี่ยงไม่ได้เพราะสมาคมของมารดาเข้ามาเป็นสปอร์นเซอร์รายใหญ่ร่วมกับทางมหาวิทยาลัยเพื่อการกุศล รายได้ทั้งหมดหลังจากหักค่าใช้จ่ายจะเป็นทุนสำหรับสร้างโรงเรียนให้กับเด็กๆในถิ่นทุรกันดาร ห่างไกลชุมชน จึงทำให้เด็กๆขาดโอกาสทางการศึกษา ด้วยเหตุผลนี้พิมพ์ลภัสจึงยอมตกลง

“คุณพ่อของลูกใกล้จะถึงแล้ว แม่แค่อยากให้ลูกกลับบ้านเร็วหน่อย” นางบอกถึงสาเหตุที่ต้องโทร.มาขัดจังหวะเวลาซ้อมของลูกสาว

"จริงเหรอคะ ได้ค่ะคุณแม่ อีกครู่เดียวพิมจะรีบกลับเลยค่ะ" เธอเอ่ย ยิ้มหวานละมุนเต็มดวงหน้าก่อนจะวางสายไป

เธอดีใจที่การมาครั้งนี้ของบิดาเป็นการกลับมาอย่างถาวร ไม่ต้องกลับไปประจำสถานทูตกรุงปรากอีกแล้ว ท่านหมดวาระประจำการที่นั่นซะที และสิ่งที่ทำให้เธอหุบยิ้มไม่ลง..ก็เมื่อคิดถึงใครอีกคน ซึ่งกำลังจะกลับจากเกาหลีแล้วเช่นกัน ก้อนเนื้อในอกเต้นจนเก็บอาการไว้ไม่มิด

วันนี้แล้วซินะที่เขาจะกลับมา นึกถึงเขาทีไรเป็นต้องใจเต้นแรงทุกที รอยยิ้มอ่อนหวานผุดขึ้นเต้มใบหน้าเพียงลำพัง เพียงอรซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล้ไมไกลนัก อดนึกสงสัยกับอาการเพ้อๆของเพื่อนรักไม่ได้จนต้องเอ่ยปากถามเสียเลย

“ไอ้พิมแกยิ้มดีใจอะไรนักหนา ดีใจมากไปปะเนี่ย"

“..เปล่า..ฉันแค่ดีใจที่คุณพ่อจะไม่ต้องไปประจำการที่ไหนไกลๆอีก " พิมพ์ลภัสตอบผ่านๆไม่ยอมสบตาช่างจับผิดของเพื่อน

“เหรออ!” เพียงอรลากเสียงประชด ไม่ค่อยอยากเชื่อสิ่งที่พิมพ์ลภัสบอกเท่าไหร่

“แต่สีหน้าแก มันเหมือนกับจะได้เจอแฟนงั้นแหล่ะ " เพียงอรว่าสะบัดน้ำเสียงประชดนิดๆ พิมพ์ลภัสกลับยิ้มแทนคำตอบเท่านั้น แล้วจึงกลับไปเริ่มซ้อมละครต่อ เพียงอรมองตามเพื่อนรักงงๆแต่ไม่คิดจะติดใจถามนัก


ลานจอดรถสำหรับนิสิตนักศึกษาบริเวณหน้าคณะที่เธอเรียนอยู่ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วสำหรับชีวิตการเป็นนิสิต มือบางเอืื้อมเปิดประตูรถ ทว่าเสียงทุ้มจากคนคุ้นเคยทำให้เธอต้องชะงักมือแล้วหันกลับไปมอง

"จะกลับแล้วเหรอพิม.." แทนไทถามเสียงดังจนเกือบจะเป็นตะโกนจากระยะไกล ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาเธอ

มาดเซอร์ๆของเขาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวบวกกับใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม สะดุดตาสาวน้อยใหญ่ได้ไม่ยาก ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันเธอมักจะเห็นนักศึกษาสาวๆแอบมองเขาอยู่บ่อยๆ ทว่าแทนไทกลับไม่เคยสนใจมองสาวคนไหนเลย

สำหรับแทนไท เจ้าของร่างบางที่ชื่อพิมพ์ลภัสเท่านั้นที่เขาแอบเก็บเอาไว้ในใจเงียบๆมานานหลายปี โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้ เธอยิ้มละมุนให้เขาแบบที่เคยทำเป็นประจำ แต่สำหรับแทนไทแล้วมันคือรอยยิ้มที่เติมพลังใจให้เขาในทุกๆวัน ทั้งที่มันเป็นบุคลิกปกติของพิมพ์ลภัส ทว่าเขากลับหวั่นไหวทุกครั้งไป

แทนไท เพื่อนชายเพียงคนเดียวที่พิมพ์ลภัสสนิทด้วยมากที่สุด เพราะทั้งสามรวมถึงเพียงอรด้วย เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมปลายแล้ว พอขึ้นมหา'ลัยต่างคนต่างแยกย้าย เลือกเรียนสายที่ตัวเองชอบและถนัด แทนไทเลือกเรียนช่างภาพตามความฝัน พิมพ์ลภัสเลือกเรียนเกี่ยวกับการออกแบบดีไซด์เสื้อผ้าเพราะเป็นความชอบมาตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนเพียงอรเลือกเรียนอักษรศาสตร์ตามถนัดเพราะชอบอ่านนิยายเพ้อฝันมาตั้งแต่เด็ก แต่ทั้งสามก็ไม่เคยทิ้งกัน ยังคงห่วงใย..ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเดิม

"อื้ม วันนี้ขอกลับเร็วหน่อยพอดีคุณพ่อลงจากเครื่องแล้ว ไม่เจอท่านหลายเดือนคิดถึงจะตายย.." พิมพ์ลภัสลากเสียงยาวยิ้มหน้าเป็นสดใสตามแบบฉบับเธอ แทนไทถึงกับหัวใจกระตุกวาบ เต้นผิดจังหวะเลยทีเดียว แม้มันจะเป็นบุคลิกปกติของพิมพ์ลภัส แต่ทุกครั้งที่ได้รับยิ้มพิมพ์ใจแบบนี้ ก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี

ยิ่งนานวันทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นพิมพ์ลภัส มันกระจ่างชัดอยู่ในใจเขา ไม่อาจปฏิเสธหัวใจตัวเองที่คิดมากกว่าเพื่อน และมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เขาประทับใจทุกอย่างที่พิมพ์ลภัสเป็น โดยที่เจ้าตัวนั้นไม่เคยรู้ความรู้สึกของเขาเลย เคยคิดเหมือนกันว่าอยากจะบอกให้เธอรู้..จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยกล้าเอ่ยมันซักที เกรงว่า..ถ้าพูดความในใจออกไปแล้วจะเสียเธอไปตลอดกาล

"ไว้ไทมีโอกาสดีๆจะเข้าไปกราบท่านนะพิม" แทนไทแสดงออกว่าเขินนิดๆเมื่อต้องสบกับรอยยิ้มหวานๆของพิมพ์ลภัสที่

"ได้สิไท” นึกขำท่าทางเก้อเขินที่เพื่อนพยายามซ่อนไว้แต่ไม่มิด กระนั้นก็ไม่คิดจะแซว

"นี่! จะคุยกันอีกนานมั้ย ยืนรอหัวโด่เมื่อยนะเว้ย " เพียงอรโวยเสียงดัง หงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ หลังจากยืนฟังอยู่เงียบๆโดยที่ไม่มีใครสนใจเธอเลย ทำเหมือนราวกับว่าเธอเป็นอากาศธาตุไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย

พิมพ์ลภัสเหลือบมองเพียงนิดไม่ถือสา ตลกมากกว่ากับนิสัยโผงผางซึ่งแก้ไม่หายของเพียงอร ยิ่งกับแทนไทด้วยแล้วเพื่อนคนนี้ไม่คอยลงให้ซักครั้ง

"แล้วไทกลับยังไง พิมไปส่งเอามั้ย" พิมพ์ลภัสหันกลับมาถามแทนไทต่อ เลิกสนใจเพียงอรที่ตอนนี้เข้าไปนั่งรอในรถเรียบร้อยแล้วหลังจากเหวี่ยงเสร็จ

ถ้าเป็นแทนไท..จะอะไรก็ช่างเพียงอรเป็นต้องหาเรื่องจิกกัดได้ทุกที ปากร้ายไว้ก่อน เห็นท่าทางหงุดหงิดของเพื่อนแล้วอดขำไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าเพียงอรก็ไม่ได้โกรธจริงจังอะไร แทนไทอดไม่ได้ที่ทำหน้ากวนๆกลับไป

"ยังหรอกพิม ไทต้องถ่ายภาพลงข่าวของมหา'ลัย เพื่อโปรโมทละครเวทีของพิม ยังไม่เสร็จเลยพิมกลับเถอะ " แทนไทบอกตามจริง ทั้งที่ใจเขาอยากจะไปด้วยใจแทบขาด

"งั้นพิมไปก่อนนะไท รำคาญไอ้อรบ่นด้วย" เธอเอ่ยบอกเขาขำๆ แล้วจึงเปิดประตูฝั่งคนขับเข้าไปนั่งเมื่อเพียงอรเข้าไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว อีกครั้งที่เธอต้องลดกระจกลงเพราะแทนไทเคาะเรียกอีกครั้ง แล้วเขาก็ได้เห็นเพียงอรทำหน้าเบ้ยุ่งส่งมาให้เขาตาเขียว แทนไทหัวเราะเบาๆเลิกคิ้วกวนๆตอบกลับไปอีกแล้วจึงหันมาทางพิมพ์ลภัสบ้าง

"ขับรถดีๆนะพิม" เขาเอ่ยเสียงนุ่มอ่อนโยนแววตาอ่อนแสง ในขณะที่เพียงอรกลับทำท่าทางคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียนใส่เขาจนพิมพ์ลภัสถึงกับหลุดหัวเราะออกมมาเสียงดังมันเป็นภาพเหตุการณ์ปกติที่เธอคุ้นชินซะแล้วสองคนนี้มักต่อล้อต่อเถียงกันเป็นประจำ

"ไปนะไท" พิมพ์ลภัสสตาร์ทรถยนต์เคลื่อนออกจากตรงนั้นพร้อมปล่อยเสียงหัวเราะร่วนไปด้วย
แทนไทชะเง้อคอมองส่งจนลับตา อีกทั้งยังยิ้มเคลิ้มกับตัวเองลำพัง ทว่าไม่ได้รอดพ้นสายตาเพื่อนชายที่เรียนคณะเดียวกันซึ่งยืนเตร่รออยู่แถวนั้น

"เขาไปแล้วครับคุณไท น้ำลายจะหกแล้วครับ" อดที่จะเอ่ยแซวล้อเลียนอาการเคลิ้มฝันของแทนไทไม่ได้ ทั้งที่สาวเจ้าขับรถออกไปตั้งนานแล้ว

“อะไร..พูดมากไอ้วัตรเตะซักทีดีมั้ยเนี่ย! " แทนไทแก้เขินด้วยการทำทีเป็นไม่พอใจเพื่อนที่รู้ทัน ไล่กวดเตะนายวัตรไปตลอดทาง

หลังจากขับรถพ้นรั้วมหา’ลัยมาซักพัก บรรยากาศภายในรถกลับเงียบผิดปกติจนพิมพ์ลภัสต้องเหลือบมองซึ่งเพียงอรกำลังนั่งหน้าง้ำหักเป็นปลาทูนึ่ง ชวนให้ขำ เธออมยิ้มกับอาการที่เพื่อนเป็นซึ่งมีให้เห็นไม่บ่อยนักจากเพียงอร อาการเหม่อลอยเหมือนคนกำลังสิ้นหวัง

////////////////////////////////////////////////////////////////////////---------------------------------//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

พิมพ์ลภัสขับรถเงียบๆปล่อยให้เพียงอรจมอยู่กับความคิดไปเรื่อยๆ สายตาเธอจับนิ่งไปยังท้องถนนสลับกับชำเลืองคนข้างกายบ้างเป็นครั้งคราว ไม่คิดจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามก่อน เพราะเธอรู้ดีว่าเพื่อนเป็นอะไรรอให้เพียงอรเป็นฝ่ายพูดจะดีกว่า
..คนอย่างเพียงอรรึจะทนอึดอัดอยู่ได้นาน แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี

เธอมองวิวทิวทัศน์รอบนอกที่ขับผ่านทั้งที่เห็นอยู่เป็นประจำทุกวัน แต่วันนี้มันกลับน่ามองกว่าวันไหนๆสำหรับกรุงเทพฯที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติด โชคเข้าข้างเธอบ้าง วันนี้รถค่อนข้างบางตาเพราะเป็นวันหยุดการจราจรจึงไม่แออัดเหมือนวันปกติ จึงขับเรื่อยเปื่อยได้สบายๆไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเบียดไล่ทาง อารมณ์ก็พลอยดีไปด้วยหลังจากที่ต้องเหนื่อยซ้อมละครเวทีมาแล้วทั้งวัน

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ภีรมัตก็จะกลับมาแล้ว เธอไม่เคยได้เจอเขาหรอกเพียงแอบเห็นไกลๆจากบ้านตัวเองเท่านั้น นั่นก็ทำให้สุขใจมากพอแล้ว

”พิม.."เสียงเรียกเอื่อยอ่อยไร้อารมณ์ของเพียงอร ขัดอารมณ์สุนทรียภาพนิดหน่อย

"หือ.." พิมพ์ลภัสขานรับในลำคอ ระบายยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา

"ไทชอบแกใช่มั้ยพิม " ในที่สุดเพื่อนก็เก็บความใจไว้ไม่อยู่ โพล่งออกมาจนได้ ขณะพูดก็ยังตีหน้ายุ่งเหมือนครุ่นคิด

พิมพ์ลภัสอมยิ้ม รู้อยู่แล้วว่าเพียงอรจะต้องพูดออกมา เธอเหลือบมองพบเพียงด้านข้างคนพูดที่เอาแต่ตีหน้าเครียดตาลอยมองออกไปนอกรถก่อนจะหันมาสบตาเธอหน้าตึง พิมพ์ลภัสหัวเราะเสียงใสกังวานก้อง ตลกเพียงอร ที่หน้านิ่วคิ้วขมวดเก็บอาการไว้ไม่มิด ก่อนจะหันกลับไปถนนอย่างเดิม

"คิดไปเองรึเปล่าอร" เธอตอบกลั้วขำมากกว่าคิดจริงจังกับประโยคเมื่อครู

แม้จะรู้บ้างว่าเพื่อนชายคนสนิทคิดอย่างไรกับเธอ แต่เธอก็ไม่เคยแสดงท่าทีพิเศษไปมากกว่าความเป็นเพื่อนเท่านั้นยังคงรักษาสถานะและปฏิบัติต่อเขาเช่นเพื่อนปกติทั่วไป ไม่ได้แตกต่างจากเดิม รอยยิ้มละมุนผุดขึ้นตลอดเวลาทั้งที่เพียงอรจ้องเธอหน้าเครียด มือก็ทำหน้าที่ของมันอย่างชำนาญหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยคอนโดที่เพียงอรพักอยู่อย่างคล่องแคล่ว ทว่าน้ำเสียงจริงจังจากอีกฝ่ายทำให้พิมพ์ลภัสต้องหุบยิ้มทันที

"แกไม่รู้สึกหรือว่าแกล้ง..ไม่-รับ-รู้-กันแน่พิม" เพียงอรย้อนถามทันควันย้ำที่ละคำอย่างช้าๆ พิมพ์ลภัสหันมาสบตากับเพื่อนอีกครั้งแวบเดียว

"คิดอะไรเลอะเทอะอร" พูดไปขำไป

“ก็ดูสิ ห่วงแกซะเว่อร์ขนาดนั้น ดูไม่ออกก็บ้าแล้ว " น้ำเสียงตอนท้ายแผ่วลงและยังเจือความน้อยใจอยู่ในที พิมพ์ลภัสฟังแล้วถึงกับหลุดหัวเราะเบาๆ

"เศร้าเหรอ" อดแหย่ไม่ได้ แต่กลับจี้ถูกจุดบอดเข้าพอดีเ พียงอรถึงกับเหวอทำหน้าเหลอหลา หันมาปฏิเสธเร็วรี่ส่ายหน้ารัวถี่ยิบ นั่นยิ่งแสดงพิรุธ

"เปล๊า! เศร้าอะไร ใครเศร๊า ทำไมต้องเศร้าด้วยเล่า” สาวตาคมปฏิเสธเสียงแข็งหลบตาพิมพ์ลภัส

"แล้วทำไมต้องทำเสียงสูงด้วยล่ะ" เธอเกิดอยากแกล้งต่ออีกนิด

"สูงอะไร..เปล่าซะหน่อย” พอโดนจับจุดได้จึงคิดว่าหนีดีที่สุด”จอดๆ จอดตรงนี้เลยไอ้พิม ฉันจะลงตรงนี้ "แก้มเนียนใสของเพียงอรเกิดสีระเรื่อขึ้นมาจนเห็นชัดปิดไม่มิดเสียแล้ว เจ้าตัวถึงกับอยากหายตัวได้

”แกขำอะไรนักหนาว่ะพิม" เพียงอรทำทีเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อนอาการเขินอาย นึกเจ็บใจตัวเองที่ตั้งใจจะถามเอาความลับแท้ๆกลับโดนต้อนจนมุมซะเอง

”ก็ขำแกนั่นแหล่ะ! นึกว่าเลิกชอบไทแล้วซะอีก“พิมพ์ลภัสเอ่ยตรงๆ แววตายิ้มๆนั่นถึงกับทำให้เพียงอรเบิกตาโตอ้าปากค้างพูดไม่ออก จ้องหน้าพิมพ์ลภัสนิ่งตาแทบไม่กระพริบก่อนจะแก้ตัวเป็นพัลวัน

“ก็ไม่ได้คิดอะไรนี่ จอดเลยฉันจะลง" เพียงอรเอ่ยตะกุกตะกักตอบเสียงสูง

"เฮ้ย อะไรกันอีกนิดเดียวก็ถึงแล้วจะเดินทำไมให้เมื่อย" พิมพ์ลภัสมองอาการเขินของเพื่อน แล้วหัวเราะร่วนก้องรถ กลับเป็นเพียงอรเองที่เครียด ความลับที่อุตส่าห์เก็บเอาไว้ในใจมานาน เพื่อนรักก็ดันมาล่วงรู้ แถมยังพูดตรงพูดแทงใจ จี้ตรงจุดอีก น่าโมโหชะมัด

"เออ! ช่างฉันเถอะ แกจอดเลยไอ้พิม..ตรงนี้แหละ "เพียงอรเต้นเร่าๆร้อนตัว บังคับให้เพื่อนรักจอดรถทันที

พิมพ์ลภัสจำต้องจอดรถตามที่เพียงอรบอกเพราะเห็นว่าอีกไม่ไกลมากก็จะถึงตัวคอนโดแล้ว และไม่อยากแกล้งให้เพียงอรอายมากกว่านี้

"ขอบใจที่มาส่ง..ฉันไปล่ะ! คุยกับแกทีไรปวดหัวทุกที "เพียงอรกล่าวหน้ายุ่งพยามโมโหกลบเกลื่อนใบหน้าเนียนที่ค่อยๆซับสีเรื่อขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็เปิดประตูรถก้าวฉับๆทั้งที่เธอยังจอดไม่สนิทดีด้วยซ้ำ พิมพ์ลภัสส่ายหน้าน้อยๆตลกกับท่าทางเขินอายของเพียงอร

เข้าใจความรู้สึกเพื่อนดีว่าการที่เราแอบรักใครซักคนมันทรมานแค่ไหน ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวแล้วยิ่งไม่สามรถเปิดเผยได้จริงๆ ถ้าเป็นเพื่อนสนิทยิ่งพูดกันลำบาก ถ้าบอกไป..อาจจะต้องสูญเสียแม้กระทั่งมิตรภาพความเป็นเพื่อนไปเลยก็ได้ ตัวเธอเองก็ตกอยู่ในห้วงเดียวกับเพียงอร

ถ้าเพียงหัวใจลองได้มอบให้กับใครซักคนแล้ว มันยากนะที่จะถอนคืน พิมพ์ลภัสเหลือบมองผ่านกระจกหลังจนเพียงอรเดินหายเข้าไปในตัวตึก จึงกลับรถออกมา ยังนึกขบขันท่าทางเขินแบบประหลาดๆของเพียงอรไม่หาย

พิมพ์ลภัสรู้มาตลอดว่าเพื่อนคิดอย่างไรกับแทนไท ทั้งสองเป็นเพื่อนเรียนกันมาตั้งแต่ประถมก่อนจะมารู้จักกับเธอซะอีก ทว่าแทนไทกลับไม่เคยรับรู้ความรู้สึกที่เพียงอรมีต่อเขามากว่าเพื่อน ขณะที่เพียงอรก็ไม่คิดจะเปิดเผยเช่นกัน
ทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน เธอต้องเป็นฝ่ายคอยห้ามศึึกอยู่เป็นประจำ แต่ก็ไม่เคยโกรธกันจริงๆซักที เพราะรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วแทนไทก็จะต้องยอมให้กับเพียงอรทุกครั้ง

จนกระทั้งเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยพิมพ์ลภัสนึกว่าเพียงอรจะเปลี่ยนความรู้สึกแล้วซะอีก ประทับใจกับความรักที่เพียงอรมีต่อแทนไท มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
ความรักของเพียงอรช่างน่าเห็นใจ มันเหมือนกับเธอเสียเหลือเกิน ต่างกันตรงที่ว่า เขา..คนนั้นของเธอมีคนรักอยู่แล้ว ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกระบายออกจากปากอิ่มราวกับว่ามันสามารถช่วยผ่อนคลายความทุกข์ที่มีได้แล้วเข้าเกียร์เร่งเครื่องยนต์เพื่อเลี้ยวรถออกจากซอย

บ้านวีรภากานต์

"กลับมาแล้วค่ะ” ร่างบางสมส่วน ส่งเสียงเข้ามาก่อนจะสาวเท้าเข้ามาถึง คุณพ่อของเธอนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่ในห้องโถง

ชายชรามาดภูมิฐานสง่างามแม้เส้นผมที่เคยดกหนาจะเริ่มบางและมีสีเทาแซมบ้างแล้ว ถึงอายุจะล่วงเข้าวัยเกษียณแต่ใบหน้ายังห่างความชราอีกไกลนัก ท่านละสายตาจากหนังสือพิมพ์ในมือเงยขึ้นมองต้นเสียงหวานของลูกสาว วางหนังสือพิมพ์ในมือลงบนโต๊ะแล้วยืนขึ้นเต็มความสูง แขนทั้งสองข้างอ้าออกรอรับการสวมกอดจากบุตรสาวที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายเดือน

"ช้ากว่าคุณพ่อจนได้ มาถึงนานแล้วเหรอคะ เหนื่อยรึเปล่า” พิมพ์ลภัสถามรวดเดียวเมื่อคลายสองแขนออกจากอ้อมกอดของบิดา

"เห็นแม่กับลูกอยู่กันสบายดีพ่อก็หายเหนื่อยแล้วล่ะ” ชายชราตอบพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้เหมือนเคย เธอเขย่งปลายเท้าจูบแก้มบิดาอย่างประจบ

"ดีเลยค่ะ คุณพ่อกลับมาทันละครเวทีของพิมพอดี”

“เปิดการแสดงเมื่อไหร่ล่ะลูก " ท่านถามต่อเรียบๆหย่อนตัวนั่งบนโซฟาตัวใหญ่ที่ใช้รับแขกอยู่เป็นประจำ

“ต้นเดือนหน้าแล้วค่ะพ่อ แต่วันที่ยังไม่ได้กำหนดแน่นอนเลยค่ะ " เธอบอก

“อืม เห็นแม่เที่ยวไปคุยอวดใครต่อใครเอาไว้เยอะ ว่าลูกสาวเล่นเป็นนางเอก อย่าทำให้พ่อกับแม่ขายหน้าล่ะ ” ท่านเอ่ยเย้าหยอกพร้อมทั้งบีบจมูกเธอเบาๆเหมือนตอนที่เธอยังเป็นเด็กตัวเล็กๆไม่เคยเปลี่ยน พิมพ์ลภัสยิ้มนิดก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความวิตกกังวลหน้ายุ่ง

“ก็นี่ล่ะค่ะที่ทำให้พิมรู้สึกกดดัน " เอ่ยเสียงอ่อยใบหน้างอง้ำ ลึกๆแล้วเธอค่อนข้างกังวลมากเหมือนกัน

“เอาน่า เป็นลูกพ่อซะอย่าง ลูกทำได้แน่นอน เชื่อพ่อสิ” ท่านกล่าวให้กำลังใจพร้อมทั้งลูบศีรษะเป็นการปลอบให้คลายกังวล จนทำให้พิมพ์ลภัสรู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น

“งั้นพิมขอขึ้นข้างบนไปอาบน้ำก่อนนะคะคุณ..เหนียวตัวไปหมด"

“ตามสบาย เจอกันบนโต๊ะอาหารนะลูก”

“ค่ะพ่อ "พิมพ์ลภัสรับคำแล้วหอมแก้มพ่อฟอดใหญ่จากนั้นก็ปลีกตัวขึ้นด้านบนไป ส่วนประมุขของบ้านวีรภากานต์ก็หันกลับมาให้ความสนใจกับหนังสือพิมพ์บนโต๊ะอีกครั้ง
-----------------------------------------------------------------****************--------------------------------------------------------------

พิมพ์ลภัสก้าวขึ้นบันไดมาเรื่อย จบที่ขั้นสุดท้ายของชั้นแล้วจึงเดินต่อมาทางขวามือสุดทางเดิน ประตูไม้สักบานใหญ่ตรงหน้าบ่งบอกถึงฝีมือการแกะสลักจากช่างไม้ได้เป็นอย่างดี ลวดลายธรรมชาติที่เห็นล้วนบรรจงแกะสลักอย่างปะณีตงดงามวิจิต

มือบางเปิดประตูเข้าไปทันที ภายในห้องนอนถูกตกแต่งอย่างหรูหราตามสมัยนิยมโดยใช้โทนสีเป็นชมพูอ่อน นวลตาเป็นสีพื้น แต่กลับมิใช่สีที่เธอชอบนัก หากแต่เป็นความโปรดปราณของมารดาเธอต่างหากที่ออกแบบและตกแต่งไว้ตั้งแต่พิมพ์ลภัสยังไม่ออกมาลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ

เธอวางกระเป๋าถือลงบนเตียงกว้าง ดวงตาคู่สวยปะทะเข้ากับกล่องของขวัญใบโต มันถูกวางทิ้งไว้บนตู้ติดกับโซฟาตัวยาวใกล้ประตูบานเลื่อนออกไประเบียง เธอตั้งใจลืมมันไว้ตรงนั้น

ผ่านมาอาทิตย์กว่าที่พิมพ์ลภัสเมินมันอย่างไม่ใยดี เธอไม่คิดอยากจะรู้ด้วยซ้ำว่าข้างในคืออะไร พิมพ์ลภัสกวาดสายตามองไปยังตุ๊กตาตัวอื่นๆอีกหลายตัว เบียดกันแน่นอยู่บนชั้นไม้โชว์ขนาดหกฟุต หลายขนาดหลากสีสันที่เธอได้รับจากเขาในโอกาสต่างๆ มันถูกจัดวางเอาไว้ในช่องสี่เหลี่ยมที่ดูแล้วเหมือนเอาสี่เหลี่ยมหลายๆช่องมาเรียงต่อกัน ความสูงของมันคงราวเกือบสองเมตรได้
เกือบยี่สิบตัวได้มั้ง

พิมพ์ลภัสเหลือบมองเจ้าหมีน้อยใหญ่ทั้งหลายตามช่องต่างๆ นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้เจอะเจอเขา มีเหตุให้ต้องคลาดกันตลอด อย่างครั้งล่าสุดที่เขาเข้ามาเยี่ยมมารดาเธอก่อนเดินทางไปถ่ายละครที่เกาหลี เธอก็พลาดกับเขาอีก เพราะมัวติดซ้อมละครของมหาวิทยาลัย ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะทั้งที่บ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง

ถึงแม้จะเข้าใจว่าเขางานยุ่งมากแค่ไหน แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี ใช่สิ!เธอเป็นใครกัน ก็แค่น้องข้างบ้านที่เคยเล่นด้วยกัน ไม่ได้มีความสำคัญกับเขาซะหน่อย ทำไมเขาจะต้องใส่ใจกันเล่า เขาคงลืมน้องสาวคนนี้ไปแล้วด้วยมั้ง

ความน้อยใจแล่นปรี่ขึ้นมาจนแน่นอก เขาเป็นคนดัง เป็นขวัญใจของคนเกือบทั้งประเทศไปแล้วนี่ จะมาสนใจอะไรกับเด็กผู้หญิงข้างบ้าน และเขาก็มีคนรักแล้วเป็นผู้หญิงในสเป็กซะด้วย

พิมพ์ลภัสรับรู้ข่าวความแรงของเขาจากสื่อต่างๆมากมาย ทั้งหน้าหนังสือพิมพ์ หน้าโทรทัศน์มีข่าวไม่ได้ว่างเว้น วันไหนว่างก็มักจะมาขลุกอยู่ที่บ้านฝั่งตรงข้ามเสมอ แต่น่าแปลก กลับไม่เคยเจอเขาเลยซักครั้ง ช่วงหลังๆเธอเรียนหนักจึงไม่ได้เข้าไปอีก กิจกรรมก็เยอะ ออกค่ายอาสาแทบทุกอาทิตย์ ป้าเพ็ญ แม่ของเขา จะชอบเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟัง เธอเองก็ยังอยากที่จะรู้ถึงความเป็นไปของเขาอยู่ดี

ความคิดล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย หยุดนิ่งตรงรูปถ่ายของเธอกับเขา ซึ่งใส่กรอบไม้อย่างดี ตั้งโชว์ท่ามกลางฝูงหมีน้อยใหญ่ที่เขาสรรหาซื้อมาให้ มันถูกตั้งอยู่ตรงนั้นมานานโข โดยที่ไม่เคยมีใครกล้าเคลื่อนย้ายไปไหน เธอมองรูปถ่ายใจกลางกองทัพตุ๊กตาเหล่านั้น มือบางเรียวนุ่มหยิบมันขึ้นเพ่งมอง

รูปที่เธอกับเขาเคยถ่ายคู่กันสมัยเธอรียนอยู่ป.สี่ เธออ้วนตุ๊ตะแก้มยุ้ยน้ำหนักเกินวัย ส่วนเขาเพิ่งจะเขามหา'ลัยเป็นปีแรก เด็กหญิงยิ้มกว้างจนแทบไม่เห็นตา เขาเพียงกอดคอเธอเอาไว้หลวมๆด้วยมือข้างหนึ่ง ยิ้มอ่อนโยนใส่กล้อง คิ้วดกหนาเรียงตัวเป็นระเบียบพาดเฉียงๆเหนือหน้าผากได้รูปกับดวงตาสีนิลคมปลาบ ที่มันยิ้มได้ตลอดเวลานั่น เหมือนกำลังจ้องตอบเธอ

"เฮ้อ.." พิมพ์ลภัสระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ระหว่างก้มมองใบหน้าหล่อเหลาในกรอบสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเข้ม

วันนี้แล้วสินะที่เขาจะกลับมา ขณะคิด หัวใจเจ้ากรรมก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมา ปากอิ่มอมชมพูผุดรอยยิ้มละมุน แต่แล้วความดีใจทั้งหมดทั้งมวลเป็นอันต้องสะดุดลง เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเธอ

'ต้องสวยเหมือนสิตา' มันก้องชัดทุกคำ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แม้คนที่พูดจะไม่ใช่เขา แต่รอยยิ้มที่ผุดแต้มใบหน้าเขาช่วยยืนยันเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี วันนี้มันกลายเป็นความจริงแล้ว ภาพข่าวระหว่างเขากับสิตาภามีออกมาให้เห็นอยู่เนืองๆ

กระทั่งทั้งคู่เพิ่งประกาศยอมรับความจริงไปเมื่อสัปดาห์ก่อน อารมณ์ขุ่นมัวน้อยๆเกิดขึ้นในใจ พิมพ์ลภัสย่นจมูกใส่คนในรูปอย่างขุ่นๆ ทำราวกับเขารับรู้ได้งั้นแหล่ะ เธอวางกรอบรูปลงที่เดิมแทบเป็นกระแทกด้วยความหมั่นไส้เสียเต็มประดา หากแต่คนในรูปกลับไม่ได้มารู้สึกรู้สาอะไรกับเธอซักนิด


----------------------------------------------------------------**************-------------------------------------------------------------------






รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 เม.ย. 2557, 17:20:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มิ.ย. 2557, 15:12:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1595





<< บทที่ 1    บทที่ 10 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account