ไฟรักทรายเสน่หา
'ทะเลทรายมักแอบซ่อนความรักและมนตร์ขลังเอาไว้เสมอ' ‘เจน’ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อาหรับ รับรู้มาตลอดว่าตนเองเป็นชาวทะเลทราย ทว่าวันหนึ่ง ‘ไฟซารห์’ เจ้าชายหนุ่มรูปงามกลับเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง...หญิงสาวจะทำเช่นไรเมื่ออดีตถูกเปิดเผยและความรักก็เร่งเร้ารุนแรงจนเธอไม่อาจสั่งการหัวใจตนเองได้
Tags: ทะเลทราย ความรักหวานซึ้ง เข้มข้น
ตอน: 13
มาถึงตอนนี้ก็ครบ 60% อย่างที่ได้บอกไว้ในตอนแรกแล้ว ขอขอบคุณที่ช่วยติดตามอ่านกันนะคะ
ติดตาม "ไฟรักทรายเสน่หา" กันได้นะคะที่นี่เลยค่ะ
http://www.greenmindbook.com/product-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B2-356540-1.html
หรือว่าจะจองผ่านเฟสบุ๊คตอนนี้ในราคาพิเศษด้วย
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=659922994056278&set=a.103087873073129.1858.100001157496841&type=1&theater
ตอนที่ 13
เมื่ออยู่บนรถเจ้าชายไฟซารห์ก็ทบทวนเรื่องในอดีตให้เจนนาห์ฟังซึ่งก็ไม่มีอะไรมากกว่าคราวที่ทรงบอกหญิงสาวครั้งแรกนัก หากสิ่งที่เจนนาห์สงสัยก็คือ
“ถ้าหม่อมฉันคืออารียา แม่ของหม่อมฉันชื่อนารี แล้วตอนนี้...แม่ของหม่อมฉันอยู่ที่ไหนเพคะ”
“แม่ของเธอ...” เจ้าชายไฟซารห์มองออกไปนอกตัวรถก่อนตอบสิ่งที่เจนนาห์เองก็คิดอยู่บ้างแล้ว “แม่ของเธอตายไปแล้ว วิหารซอฟัรโดนปล้น แม่ของเธอตาย ส่วนเธอก็หายสาปสูญไปเลย”
“แสดงว่าแม่ของหม่อมฉันโดนพวกโจรฆ่าตายงั้นเหรอคะ” เจนนาห์เสียงแหบพร่ารู้สึกขนกายลุกชันเมื่อพูดเช่นนั้น เจ้าชายหนุ่มจึงพยักพระพักตร์ “ใช่ แต่นอกจากนั้นฉันก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก เพราะไม่เคยมีใครยอมพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย แล้วมันก็ผ่านมาตั้ง 19 ปีแล้ว ฉันรู้แค่มีการจัดงานศพตามประเพณีของเราที่วิหารซอฟัร...เท่านั้นเอง”
‘แม่ถูกฆ่าตาย’ เจนนาห์มองออกไปนอกหน้าต่างรถ นึกถึงฝันที่น่ากลัวของตนเอง และแม้ตอนนี้จะรู้ความจริงเพิ่มมากขึ้นแต่เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ มันเหมือนเป็นความกังวลที่กรุ่นๆ อยู่ลึกๆ และบุรุษที่นั่งข้างๆ ก็ดูจะรู้ดี พระหัตถ์ได้รูปจึงเลื่อนมากุมมือเรียวไว้
“อย่าวิตกเลยเจนนาห์ เราต้องรู้ความจริงแน่ๆ เราจะกลับไปที่วิหารอีกครั้งก็ได้ แต่ขอให้ฉันจัดการเรื่องงานที่จะทำวันนี้ก่อนได้ไหม”
“ต้องได้สิเพคะ” เจนนาห์ถอนหายใจ บางทีเธออาจจะหมกหมุ่นอยู่กับความฝันพวกนั้นมากเกินไปก็ได้ “เพราะถ้าหม่อมฉันบอกว่าไม่ได้ ฝ่าบาทจะทำยังไง”
“ฉันก็จะบอกให้ซากีร์ลงรถแล้วก็ขับพาเธอไปที่วิหารซอฟัรด้วยกันเพียงลำพังแค่สองคน แล้วจะค้างที่นั่นสักคืนหนึ่ง” ดวงเนตรคมหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ คนฟังจึงอดอมยิ้มไม่ได้ ความหวานบนใบหน้าสวยทำให้พระหัตถ์ได้รูปจับแก้มนวลดึงเบาๆ
“ยิ้มออกแล้วใช่ไหม”
“เพคะ” เจนนาห์มองเขายิ้มๆ “แต่วันนี้ยังไม่ไปที่วิหารนะเพคะ ทรงทำงานให้เสร็จก่อนเถอะ หม่อมฉันก็จะได้ไม่ต้องกลับไปตำหนักรับรองตอนมืดๆ หม่อมฉันล๊อคห้องไว้แล้วบอกว่าไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน ตอนค่ำๆ จะลงไปทานอาหารเอง ถ้าผิดเวลาเดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่อยากทะเลาะกับใครอีก”
“เฮ้อ รู้สึกผิดจัง” พระพักตร์คมเอนลงที่พนักก่อนค่อยๆ เอียงศีรษะไปพิงร่างระหง “เป็นถึงเจ้าชายแต่จะนัดสาวทั้งทีก็ต้องปีนขึ้นไปหากัน ไว้ขากลับฉันจะปีนไปส่งนะ”
“เห็นจะไม่ดีหรอกเพคะฝ่าบาท” เจนนาห์ทำเสียงยานพูดล้อๆ อยากจะผลักเขาไปให้ห่างๆ แต่ท่าทางเหมือนกำลังใช้ความคิดของชายหนุ่มนั้นทำให้เธอนิ่งเงียบไปและอดไม่ได้ที่จะบอกว่าตัวเองกำลังมีความสุข
ก่อน ที่เจ้าชายไฟซารห์จะเสด็จออกนอกเมืองทรงพบร้านเสื้อขนาดกลางแห่งหนึ่งจึงบอก ให้ซากีร์จอดรถและรับสั่งให้เจนนาห์เปลี่ยนชุดใหม่ที่ไม่ใช่ชุดสีฟ้าของชาว อัลคาซาน
“ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยคะ”
เจนนาห์มองร้านเสื้อผ้าหรูซึ่งตั้งอยู่ในอาคารหนึ่งและถามอย่างสงสัย อีกฝ่ายจึงหยักมุมปากน้อยๆ “ข้อหนึ่งคือฉันไม่อยากให้คนอื่นจำเธอได้และที่สำคัญก็คือ...ข้อสอง...ฉันอยากซื้อให้”
“ทรงตอบแบบนี้ หม่อมฉันถามต่อไม่ถูกเลย...”
เจนนาห์พึมพำและอดไม่ได้ที่จะค้อนขวักบุรุษหนุ่มแต่เจ้าชายไฟซารห์อยากจะรวบสาวสวยหุ่นระหงเข้ามาหอมแก้มมากกว่า และดวงเนตรสีไพลินก็คงส่อแววเช่นนั้นอยู่ไม่น้อย เจนนาห์ถึงรีบลงรถและเดินหนีเข้าร้านไปโดยเร็ว
“ชุดนี้เพิ่งมาใหม่ค่ะ สีพาสเทลสีนี้กำลังเป็นที่นิยมเลย ลองดูนะคะ”
เจ้าของร้านบอกพร้อมเปิดประตูห้องลองเสื้อเพื่อส่งชุดกับตัวสาวเจ้าเข้าไปและถามอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าไปได้สักพักหนึ่ง
“จะให้ช่วยอะไรไหมคะ”
“ไม่ค่ะ เสร็จแล้วล่ะค่ะ”
เจนนาห์ตอบพร้อมก้าวออกมาจากห้องลอง ร่างระหงในชุดสีเขียวพาสเทลเสื้อเข้ารูปกระโปรงยาวย้วยจรดข้อเท้าช่างเน้นทรวดทรงให้สวยงามและโดดเด่นกว่าชุดหลวมๆ ที่เคยใส่
“สวยมากเลยค่ะ ลองหมุนไปรอบๆ และดูในกระจกสิคะ” ช่างเสื้อเอ่ยชมอย่างจริงใจ และด้วยความเป็นหญิงทำให้เจนนาห์อดไม่ได้ที่จะทำตาม ทว่าสายตาที่มองอยู่นั้นกลับไม่ใช่แค่เธอกับช่างเสื้อเพราะเจ้าชายไฟซารห์ก้าวเข้ามาเงียบๆ และไล่ช่างเสื้อให้ออกไปรอข้างนอก
“ฝ่าบาท...”
ตอนนั้นเจนนาห์คลุมศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกับชุดที่ใส่ ทว่าในพระหัตถ์ของราชนิกุลหนุ่มมีผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสสีครีมอยู่ด้วย
“ฉันว่าเธอน่าจะใช้ผ้าผืนนี้”
“ฝ่าบาทเป็นวิศวกรไม่ใช่สไตล์ลิสสักหน่อย” เจนนาห์ค่อน แต่เจ้าชายไฟซารห์ก็ไม่ฟัง พระองค์ตวัดผ้าผืนที่กำลังถือคลุมลงบ่าบางและใช้มันดึงเธอเข้ามาใกล้ พระหัตถ์ค่อยๆ จับผ้าผืนนั้นขึ้นคลุมศีรษะให้อีกฝ่าย
“แต่สำหรับเธอ...ฉันคิดว่าตัวเองรู้เสมอว่าทำอย่างไรเธอถึงจะสวยที่สุด”
เสียงตรัสพร้อมดวงเนตรสีไพลินพราวทำให้เจนนาห์นิ่งมองพระพักตร์คมดั่งถูกมนตร์สะกด ร่างงามในชุดเข้ารูปนั้นสัมผัสกายแกร่งในเสื้อเชิ้ตแบบสากล และเมื่อพระหัตถ์ได้รูปไล้แก้มนวลเบาๆ ก็เกือบจะเป็นอีกครั้งที่หญิงสาวเผลอไผลไปบุรุษตรงหน้า
“ฝ่าบาท นายช่างโทรมา บอกว่าถึงที่นัดแล้วพะย่ะค่ะ”
เสียงของซากีร์ทำให้เจนนาห์รู้สึกตัวและรีบถอยออกห่างจากร่างสูง เจ้าชายไฟซารห์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนบอกองครักษ์เสียงเครียด
“ไปถึงแล้วยังไง ถ้ารอไม่ได้ก็กลับไปก่อนเลย”
ซากีร์เห็นสองคนเพิ่งผละออกจากกันจึงพอรู้ตัวว่าเข้ามาไม่ถูกจังหวะ ชายหนุ่มอายุ 25 ทำหน้าเจื่อนก่อนรีบวิ่งกลับไปที่รถ แต่ถึงตอนนั้นเจนนาห์ก็เดินามหลังเขาไปด้วยแล้วแถมยังทำท่าจะก้าวขึ้นไปนั่งข้างคนขับอีกแต่ซากีร์รีบร้องห้าม
“ไม่ได้นะคุณเจนนาห์”
“ทำไมล่ะ ความจริงฉันก็ไม่สมควรจะนั่งตีเสมอฝ่าบาทสักหน่อย” หญิงสาวอ้างแต่คนที่เดินตามมาทีหลังรีบคว้าแขนเรียวไว้ทันทีพร้อมกระซิบข้างหูของเธอ
“นั่งข้างหลังน่ะถูกต้องแล้วเจนนาห์ เธอรู้ไหมว่าฉันจะทรมานแค่ไหนถ้าเห็นเธออยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่แตะต้องไม่ได้”
“ฝ่าบาท! อย่าพูดแบบนี้นะเพคะ” เจนนาห์ร้อนวาบขึ้นมาทันที เขาช่างกล้าพูด หมายความว่าถ้าเธอนั่งหลังกับเขาแล้วเขาจะ...จะทำอะไร! คนบ้า! “ทรงพูดแบบนี้...ถ้าใครได้ยินเข้าจะคิดว่าหม่อมฉันเป็นยังไง”
“ใครจะได้ยินก็ฉันกระซิบให้เธอฟังคนเดียว หรือว่าอยากให้พูดดังๆ ” เจ้าชายไฟซารห์หยักมุมโอษฐ์และเมื่ออีกฝ่ายทำท่าพูดไม่ออกจึงพยักหน้าไปทางประตูซึ่งซากีร์เปิดให้
“ขึ้นสิ”
“ไม่เพคะ หม่อมฉันจะกลับแล้ว” เจนนาห์รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กเล็กๆ ที่มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แต่หาเหตุผลเถียงเขาไม่ชนะสักที เธอจึงตัดสินใจกะทันหันว่าจะแยกกับเขาตรงนี้แหละ
“ไม่ได้ เธอตัดสินใจแยกกับฉันช้าไปแล้ว” เจ้าชายหนุ่มตรัสเสียงเข้มพร้อมรวบร่างบางอุ้มหญิงสาวขึ้นและส่งเข้าไปในประตูรถที่ซากีร์เปิดไว้พร้อมตามขึ้นไปนั่งข้างๆ ทันที
“ฝ่าบาท” เจนนาห์ร้อง “ถ้าหม่อมฉันจำไม่ผิดและนึกย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ได้ เด็กผู้ชายคนที่หม่อมฉันเคยพบน่าจะเป็นคนที่อบอุ่นแล้วก็ใจดีสุดๆ ถึงได้อยู่กับเด็กผู้หญิงแค่ 3-4 ขวบได้โดยไม่รำคาญ แต่นี่ทรงบังคับอุ้มหม่อมฉันแบบนี้มา 2 ครั้งแล้วนะเพคะ”
“ฉันเป็นได้ทุกอย่างนั่นแหละเจนนาห์...แล้วแต่ว่าคนตรงหน้าจะปฏิบัติต่อฉันยังไง และถ้าเธออยากให้ฉันเลิกทำแบบนี้ เธอก็ต้องสวยให้น้อยกว่าที่เป็นอยู่ หรือไม่ก็...อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น”
เจ้าชายหนุ่มถอนหายใจทรงปรายพระเนตรมองดวงตาหวานสีน้ำตาลของหญิงสาวแล้วเมินหน้าหนี ทำให้เจนนาห์ขมวดคิ้วเรียว เธอเอียงศีรษะมองพระพักตร์คมอย่างสงสัย ‘ฉันไปมองแบบไหนกัน คุณถึงได้หมั่นหาเรื่องจะจูบฉันอยู่ร่ำไป’ พร้อมความคิดแบบนั้นริมฝีปากอิ่มก็ถามขึ้นทันที
“มองแบบไหนเพคะ”
“ก็แบบนี้แหละ” ฉับพลันเจ้าชายหนุ่มก็หันขวับก้มลงจูบริมฝีปากอิ่มเร็วๆ ทำให้เจนนาห์ตกใจร้องว๊าย! และยกมือตีพระอุระแกร่งเสียงดังเพี๊ยะ
“ฝ่าบาท นี่มันบ่อยเกินไปแล้วนะ ถ้าทรงทำแบบนี้อีกละก็...”
“ทำไม” นอกจากคนโดนคาดโทษจะไม่สนใจแล้ว ดวงเนตรสีไพลินก็ยังแวววามจ้องหญิงสาวไม่วางตาอีกต่างหาก เจนนาห์เลยพูดไม่ออก หญิงสาวได้แต่เม้มปากลงสะบัดหน้าน้อยๆ หันหนีไปทางนอกรถแทน ในขณะที่พระพักตร์คมหัวเราะในลำคอและมองคนข้างๆ ด้วยความรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก พระองค์ไม่กลัวเรื่องที่ท่านซารานคิดจะให้เจนนาห์อภิเษกกับพระเชษฐา เพราะทรงแน่ใจว่าถึงแม้ทุกคนจะซ่อนเร้นบางอย่างแต่พระองค์ก็จะสืบได้ในเร็วๆ นี้ว่าเจนนาห์คืออารียา เด็กหญิงที่หายสาบสูญเมื่อ 19 ปีที่แล้ว
เจ้าชายไฟซารห์พาเจนนาห์แวะไปซื้อของหลายอย่างที่ห้างสรรพสินค้าเพราะตั้งใจว่าจะเอาไปแจกที่ชุมชนแออัด ตอนนี้ทุกคนทราบฐานันดรของเจ้าชายไฟซารห์หมดแล้วเพราะซากีร์เป็นคนบอก และเนื่องจากรู้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะมาพวกผู้ใหญ่จึงทำอาหารถาดใหญ่มาเลี้ยงด้วย ส่วนพวกเด็กๆ ก็ต่างวิ่งออกมาห้อมล้อมต้อนรับช่วยกันหยิบจับของอย่างดีใจ
“ขอบ คุณมากจริงๆ ค่ะ” หญิงวัยประมาณ 45 ปีคนหนึ่งในชุดซอมซ่อแต่ก็คลุมศีรษะมิดชิดก้มหัวให้เจนนาห์ ซึ่งตอนนั้นพวกผู้ชายเดินออกไปทำงานกับหมดแล้ว เธอแอบมองหน้าหญิงสาวลูกครึ่งอย่างไม่ค่อยมั่นใจก่อนจะเล่าให้ฟังอีกว่า ราชนิกุลหนุ่มจะให้ซากีร์ซื้อของกินมาให้เด็กๆ บ่อยๆ แล้วยังออกทุนซื้ออุปกรณ์ให้พวกผู้หญิงเย็บปักถักร้อยทำพืชสวนครัวเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ทานกันเอง รวมถึงให้ซากีร์เป็นตัวกลางจัดการหางานให้พวกผู้ชายด้วย
“เชิญคุณรอฝ่าบาทอยู่ที่นี่ก่อนนะคะ ฉันคงต้องเข้าไปจัดการอะไรต่ออีกสักหน่อย” หญิงคนนั้นบอกก่อนรีบขอตัวเดินจากไป ทิ้งให้เจนนาห์ยืนอยู่ในเพิ่งหลังคาที่ทำเอาไว้บังแดดชั่วคราวพร้อมมีกระติกคูลเลอร์ใบใหญ่วางไว้ด้านหลัง อีกทั้งยังมีพวกเด็กซึ่งยังห้อมล้อมเธออยู่ และอาหมัดก็ดูจะเป็นหนุ่มน้อยคนเดียวที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุด
“อาหมัด พวกเธอมาอยู่ที่นี่นานหรือยัง”
“นาน แล้วครับ ผมว่ามันผ่านมาหลายเดือนมากแล้ว...” เด็กชายวัย 10 กว่าปีทำท่านึกพร้อมตอบ เขามองไปทางผู้ชายที่ทำงานอยู่และกล่าวอย่างชื่นชม “พ่อของผมบอกว่าพวกเราอยู่มานานแล้วแต่ไม่เคยมีใครมาเหลียวแลเลยจนกระทั่งพบ เจ้าชายไฟซารห์ นับว่าพวกเราก็ยังมีบุญอยู่ครับ”
“งั้นสมัยก่อนพวกเธอก็เป็นชาวทะเลทรายน่ะสิ” เจนนาห์ถามอย่างสนใจ
“พวกเรามาจากหลายที่ครับ พ่อบอกว่าชาวทะเลทรายกระจัดกระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆ แต่ในซาราเวียไม่ใช่ที่อยู่ของพวกทะเลทราย คนในราชวงศ์มัสตาฟาเกลียดพวกคนทะเลทราย ประชาชนส่วนใหญ่ก็คิดแบบนั้น เขารังเกียจพวกเรา” อาหมัดตอบตามที่ผู้ใหญ่พูดและทิ้งท้าเสียงส่อความน้อยใจ เจนนาห์จึงจับบ่าเด็กชายตัวเล็กแต่ท่าทางผู้ใหญ่พร้อมค้าน
“ไม่จริงหรอก จะคนทะเลทรายหรือคนในเมืองก็เป็นคนเหมือนกันนะอาหมัด มีค่าความเป็นคนเท่าๆ กัน ดูอย่างเจ้าชายไฟซารห์สิ ฝ่าบาทก็เป็นพระโอรสของสุลต่านอัสตาฟาถ้าพระองค์คิดแบบนั้นจะมาช่วยพวกเธอทำไม ดูสิแดดร้อนขนาดนี้...ก็ยังออกไปสั่งงานด้วยตัวเอง”
เจน นาห์มองออกไปนอกเพิงที่พัก เธอเห็นวรองค์สูงยืนอยู่กลางเปลวแดดจ้าขณะใช้นิ้วพระหัตถ์ทัชสกรีนบนหน้าจอ เครื่องคอมพิเตอร์มินิและสั่งงานกับนายช่าง ดวงพักตร์คมดูมุ่งมั่น จริงจังและเต็มที่กับงาน แม้หยาดพระเสโทจะไหลจนเปียกไรพระเกษาก็ไม่สนใจ ท่าทางแบบนี้ทำให้หญิงสาวอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าไม่เหมือนยามที่พระองค์ชอบ หยอกล้อตนเองเลยสักนิดแต่ก็ทำให้เธอคิดต่อไปว่านี่เองคือเสน่ห์ของเจ้าชายไฟ ซารห์ ทรงมีด้านที่มุ่งมั่น จริงจัง เข้มแข็งและพร้อมจะเป็นผู้ชายที่อบอุ่นทำให้คนที่ใกล้ๆ มีความสุขได้เสมอ
“เดี๋ยวมานะ” เจนนาห์บอกเดินไปหยิบขวดน้ำดื่มและเดินตรงไปทางที่วรองค์สูงทำงานอยู่ “น้ำเพคะฝ่าบาท”
เสียงหวานๆ พร้อมมือเรียวที่ยืนขวดน้ำมาตรงหน้าทำให้พระพักตร์คมเงยขึ้น เจ้าชายหนุ่มรับขวดน้ำจากหญิงสาวพลางดื่มจนเกือบครึ่งขวดและส่งคืนให้พลางพูดลอยๆ
“วันนี้ไม่เหนื่อยเลย”
“ฝ่าบาททรงอดทนมาก” นายช่างยกนิ้วให้ราชนิกุลหนุ่มและหยิบน้ำของตนซึ่งเป็นกระติกเหน็บอยู่ในเข็มขัดมาดื่มอย่างกระหาย สาเหตุเพราะเมื่อเจ้านายไม่ดื่มตนจึงไม่กล้า
“กระหม่อมแทบอาบเหงื่อต่างน้ำแล้ว”
“บางทีฝ่าบาทอาจจะแกล้งพูดก็ได้ค่ะนายช่าง” เจนนาห์บอกยิ้มๆ มือเรียวกำผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งอยู่และคนที่โดนค่อนก็มองเห็น พระหัตถ์ได้รูปจึงคว้าข้อมือหญิงสาวขึ้นแตะพระพักตร์ของตนเอง
“ฝ่าบาท...” เจนนาห์พึมพำอย่างคาดไม่ถึง ความจริงเธอก็จะเช็ดหยาดเหงื่อให้ราชนิกุลหนุ่มแต่ก็กลัวจะเป็นการไม่สมควรแต่เมื่อบุรุษหนุ่มตรงหน้าทำเช่นนั้น หญิงสาวจึงซับพระเสโทแต่ดวงตาสีน้ำตาลกับไม่กล้าสบพระเนตรสีไพลินเอาเสียเลย
“แล้วถ้าเราผังตามแนวนี้ล่ะ” เจ้าชายไฟซารห์ปล่อยให้หญิงสาวซับเหงื่อให้และใช้พระหัตถ์ทัชสกรีนแบบแปลนในหน้าจอให้นายช่างดู อีกฝ่ายจึงชี้ไปตามเนินดินซึ่งยังเป็นที่รกร้างอยู่พร้อมกราบทูล
“ถ้าเลยไปทางนี้ก็จะเป็นที่ส่วนบุคคล กระหม่อมไม่แน่ใจว่าเป็นของใครกันแน่”
เจน นาห์มองที่รกร้างหลายร้อยไร่ที่นายช่างชี้ไปและเห็นด้วยตาว่าซาราเวียเองก็ มีประชากรไม่มากและมีที่ดินทำกินเพียงพอที่รองรับผู้คนเร่ร่อนอีกมากมายแต่ ทำไมพวกของอาหมัดถึงได้อยู่ในตรอกแคบๆ แออัดเช่นนี้
“เจนนาห์...” ราชนิกุลหนุ่มจับมือเรียวนุ่มของอีกฝ่ายก่อนลุกขึ้นยืน พระหัตถ์ดึงผ้าคลุมศีรษะของหญิงสาวลงให้มิดชิดกว่าเดิม ริมโอษฐ์หยักมุมน้อยก่อนจักษุสีไพลินจะมองอีกฝ่ายด้วยแววเจ้าเล่ห์ “ไปรอข้างในเถอะ ข้างนอกร้อนมาก ฉันไม่อยากให้ผิวสวยๆ นี่เป็นรอยเพราะ...”
“เพราะอะไรเพคะ ทรงชอบทำสายตาแบบนี้อยู่เรื่อยเลย” เจนนาห์แค่นเสียงใส่บุรุษหนุ่มแต่คนที่ยืนตรงหน้าก็ยิ้มหวานให้เสียเฉยๆ ทรงจับร่างระหงหมุนกลับไปทางเพิงพักพร้อมรับสั่ง
“ไปรอข้างในเถอะ”
เจน นาห์จึงกลับมายืนรอที่เดิมและอดจะค้อนขวักคนที่ชำเลืองมองตามไม่ได้เพราะสาย พระเนตรของราชนิกุลหนุ่มนั้นช่างแฝงนัยน์และทำให้คนถูกมองรู้สึกหวั่นไหวได้ เอาง่ายๆ
“พี่ผู้หญิงคะ” ละตีฟาวัย 7 ขวบเดินเข้ามาเลียบๆ เคียงๆ ทำให้เจนนาห์หันกลับมามองเชิงถาม แม่หนูที่ดูเก่งและโตเกินอายุจึงขยับมาใกล้ๆ
“แม่บอกให้หนูเรียกพี่ชายว่าฝ่าบาทแล้วหนูต้องเรียกพี่ผู้หญิงว่าอะไรคะ”
“ก็...พี่เจนนาห์ หรือไม่ก็ พี่เจน” เจนนาห์ตอบ ตอนนั้นเองที่เธอเห็นว่านอกจากพวกเด็กๆ จะยังยืนอยู่หลายคนแล้วยังมีหญิงสาววัยรุ่นอายุยังไม่ถึง 20 จับกลุ่มยืนอยู่ไม่ห่างด้วย
“แล้วพี่เจนเป็นอะไรกับฝ่าบาทคะ” คำถามอีกครั้งของเด็กตัวเล็กดวงตาคมทำให้สาวสวยลูกครึ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ
“อ้อ...ก็เป็นเพื่อนจ้ะ” ดวงตาสีน้ำตาลอดสังเกตไม่ได้ว่าพวกสาวๆ นั้นล้วนแอบฟังกันหูผึ่ง
“เป็นเพื่อนเหรอคะ” เด็กหญิงวัย 7 ขวบพยักหน้าหงึกหงักและมองกลุ่มสาววัยรุ่นก่อนที่มือเล็กๆ จะสะกิดแขนคนตัวสูงกว่าพร้อมบอกให้ก้มลงมาใกล้ๆ และเมื่อเจนนาห์ย่อตัวลง เธอก็กระซิบข้างหู
“หนูจะบอกอะไรให้นะคะ สาวๆ แถวนี้น่ะหลงรักฝ่าบาทกันทั้งนั้น พวกนี้บอกว่าฝ่าบาทน่ะรูปหล่อเหมือนดาราฝรั่งแถมเป็นคนดีด้วย พวกเธอกำลังจะหาทางตามไปเป็นนาง...เป็นนางอะไรน๊าที่จะได้อยู่รับใช้พี่ชายในวังน่ะ...แต่หนูไม่ยอมหรอก หนูก็จะไปด้วยเหมือนกัน พี่เจนนาห์เป็นเพื่อนฝ่าบาทก็ต้องช่วยหนูด้วยนะคะ”
“อ้อ...” เจนนาห์ได้แต่ยิ้มบางๆ ก่อนมองสาวๆ ที่แอบซุบซิบและมองกลับไปทางคนที่ทำงานอยู่ ในใจนึกหมั่นไส้คนเสน่ห์แรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาจากบริเวณที่เป็นที่อยู่อาศัยและกระซิบบางอย่างกับละตีฟา เด็กหญิงวัย 7 ขวบทำท่าไม่เข้าใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะดึงมือเจนนาห์
“ตามมาสิคะ”
เจ้าชายไฟซารห์กำลังสั่งงานอยู่แต่ก็เหลือบขึ้นมาเห็นว่าเจนนาห์เดินเข้าไปในบริเวณซึ่งเป็นบ้านที่สร้างไว้ลวกๆ หลายหลังแต่ก็ยังปลีกตัวไม่ได้ ส่วนละตีฟาเมื่อจูงเจนนาห์มาถึงกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่งจึงร้องบอกคนข้างใจ
“ป้าลาฟีร์คะ พี่เจนนาห์มาแล้ว หนูไปก่อนนะคะ”
“ป้างั้นเหรอ” เจนนาห์ทวนคำอย่างไม่เข้าใจ แต่สักพักเธอก็เห็นหญิงคนที่ออกมาต้อนรับเธอเมื่อประมาณชั่วโมงที่แล้วค่อยๆ เดินออกมา คราวนี้เธอจ้องเจนนาห์อย่างพินิจพิเคราะห์และถามอย่างสงสัย
“เห็นเด็กๆ บอกว่าคุณเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว คราวนั้นคุณใส่ชุดฟ้าของชาวอัลคาซาน อาหมัดบอกว่าคุณเป็นลูกสาวชีคซารานใช่ไหม”
“ถามทำไม” เจนนาห์ไม่ตอบในทันทีแต่ถามกลับ เธอสังเกตตั้งแต่เมื่อครู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีท่าทีแปลกๆ แต่เพิ่งรู้ว่าเป็นแม่ของละตีฟา
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันอยากจะขอบคุณและมีผ้าผืนหนึ่งอยากจะให้” หญิงชาวชุมชนส่งผ้าผืนที่ถืออยู่ให้เจนนาห์ มันเป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวถักลายโครเชสีเดียวกันไว้รอบๆ
“ขอบคุณค่ะ” เจนนาห์บอกอีกฝ่ายแต่มองเธอเหมือนยังมีเรื่องค้างคาใจ ทว่าคนถูกมองก็ผลุบหายเข้าไปในกระโจมทันที และเป็นช่วงเดียวกับที่เจ้าชายไฟซารห์ตามมา
“มีอะไรเหรอเจน”
“ป้าของละตีฟาเรียกให้เจนมาพบเธอค่ะ” เจนนาห์บอกบุรุษหนุ่มอีกฝ่ายจึงขมวดคิ้วและเรียกคนที่เพิ่งเดินหายเข้าไป
“ลาฟีร์ ลาฟีร์ใช่ไหม เธอออกมาพบฉันกับเจนนาห์เดี๋ยวนี้”
เสียงตรัสเข้มๆ ของเจ้าชายหนุ่มทำให้คนที่เพิ่งเข้าไปโผล่ออกมา เธอมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักในขณะเจ้าชายไฟซารห์บอกกับเจนนาห์ว่า ลาฟีร์คือป้าของละตีฟาและแม่ของละตีฟาก็บอกกับซากีร์ว่า ลาฟีร์เคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งกับชาวอัลคาซานแต่เพราะสามีเสียชีวิตจึงกลับมาอยู่กับครอบครัวเดิม และเธอก็เป็นคนที่น่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวิหารซอฟัรเมื่อ 19 ปีที่แล้ว
“มันผ่านมานานมากแล้ว ฝ่าบาทอย่าบังคับให้หม่อมฉันเล่าเลย” เมื่อโดนบังคับถามลาฟีร์ก็อิดออดไม่อยากพูดถึง เจ้าชายไฟซารห์จึงขู่
“เรื่องนี้สำคัญมาก ตอบฉันแล้วเธอจะไม่ต้องตอบใครอีก แต่ถ้าไม่เล่ารับรองว่าฉันต้องเอาเธอเข้าไปในเมืองด้วยแน่ๆ”
“ไม่นะเพคะ หม่อมฉันไม่อยากไปไหนทั้งนั้น เล่าก็ได้ แต่ฝ่าบาทต้องให้สัญญานะเพคะว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ไม่บอกว่ารู้มาจากหม่อมฉันๆ อยู่มาได้ทุกวันนี้ก็เพราะไม่เคยปริปากพูดเลย” ลาฟีร์มีสีหน้ากังวลเธอมองไปรอบและเรียกชายหญิงทั้งคู่ตามเข้าไปในกระท่อมเล็กๆ ก่อนเล่าเสียงแทบกระซิบ “เมื่อ 19 ปีที่แล้วมีคนร้ายบุกวิหารซอฟัร...ตอนกลางดึก...พวกเราหลับแล้วแต่สามีของหม่อมฉันได้ยินเสียงแปลกๆ ก็เลยลุกขึ้นมาดู หม่อมฉันวิ่งตามเขาออกมานอกกระโจม ตามไปที่วิหาร...แต่มีคนหลายคนถูกฆ่าตาย หม่อมฉันหลบอยู่ในมุมมืดและสามีก็อุ้มเด็กคนหนึ่งวิ่งออกมา ตอนนั้นมืดมากฉันได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนร้องหาใครคนหนึ่ง รียา รียา หม่อมฉันจดจำเสียงนั้นได้เพราะมันช่างโหยหวนน่าขนลุกที่สุด แต่แล้วท่านซารานก็ปรากฏตัวขึ้นและทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้งอย่างรวดเร็ว”
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ” เจ้าชายไฟซารห์ถามขึ้นในขณะที่เจนนาห์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
“ท่านซารานพาเด็กคนนั้นไปเลี้ยงไว้...และห้ามทุกคนพูดเรื่องนี้อีก” ลาฟีร์ตอบเบาๆ และขอร้อง “ได้โปรดอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยนะเพคะ”
“งั้นอะไรที่ป้าให้ฉัน” เจนนาห์ยื่นผ้าสีขาวให้ป้าของละตีฟา อีกฝ่ายจึงมองใบหน้าของสาวลูกครึ่งพร้อมพูดเบาๆ
“ถ้าคุณคือลูกสาวคนสุดท้องที่เกิดจากผู้หญิงซึ่งเป็นคนไทย ผ้านั่นก็คือของๆ แม่คุณ”
“ของแม่” เจนนาห์คลี่ผ้าสีขาวขึ้นดูทันที เธอเห็นไหมสีชมพูปักอยู่ทีริมผ้าผืนนั้นแต่ด้วยภาษาที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน “อะไร เขียนว่าอะไร”
“ชื่อของแม่เธอ” ลาฟีร์พูดขึ้น “แต่ฉันก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน”
เจ้าชายไฟซารห์หยิบผ้าผืนนั้นไปจากเจนนาห์และตรัสขึ้น “ภาษาไทยแต่ฉันเองก็อ่านไม่ได้ ถ้าเธออยากรู้ละก็ฉันมีเพื่อนเป็นนักข่าวชาวไทยอยู่คนหนึ่ง จะถ่ายรูปส่งไปให้เขาดู”
เอ่ยจบบุรุษหนุ่มก็ใช้โทรศัพท์กดถ่ายอักษรนั้นก่อนโทรไปหาเพื่อนนักข่าวของพระองค์ทันทีและกลับมาด้วยถ้อยคำที่เจนาห์คาดไว้
“นารี อักษรนั่นเขียนว่านารี เป็นชื่อแม่ของเธอเจนนาห์”
“แม่ของฉัน” เจนนาห์หยิบผ้าผืนนั้นมากอดและเคลียร์ที่ข้างแก้ม สัมผัสเก่าๆ ที่คุ้นเคยเริ่มฉายภาพในหัวสมองอีกครั้ง เธอเริ่มนึกถึงภาพที่ตนเองตื่นขึ้นมากรีดร้องยามเยาว์วัย นีสรีนหรือไม่ก็แม่ชีคก้าต้องงัวเงียขึ้นมาลูบหัวลูบหลัง ภาพของตัวเองที่ตกใจกลัวยามเห็นเลือดนองเวลาพวกผู้ชายฆ่าสัตว์เป็นๆ จนกระทั่วรีฮานต้องเข้ามาปลอบให้เลิกร้องไห้ เป็นเวลาหลายปีทีเดียวกว่าภาพพวกนั้นจะจางหายไป และเมื่อมันกลับมาอีกครั้งร่างบางก็สั่นน้อยๆ มือเรียวกำแน่น ก่อนหวีดร้องออกมาดังลั่น
“เจนนาห์ เจนนาห์” เจ้าชายไฟซารห์กอดร่างเพรียวระหงไว้ ในขณะที่เจนนาห์ใช้มือกดศีรษะตัวเองหวีดเสียงพร้อมกับร้องไห้
“แม่ๆ ฉันจะหาแม่ อย่าทำแม่ อย่า อย่า!”
“เจนนาห์อย่าร้องไห้ คนดี อย่าร้องไห้”
เจ้าชายไฟซารห์เองก็รู้ดีว่าทุกคนในวิหารถูกปล้นฆ่าโดยโจรทะเลทรายเพียงแต่วันนั้นทรงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จำได้ว่าเมื่อทราบข่าวจากน้านาร่าห์ทรงทำทุกวิถีทางที่จะมายังวิหารซอฟัร และตอนที่เสด็จไปถึงภาพคราบเลือดเกรอะกรังก็ยังมีให้เห็น ทว่าทรงไม่เห็นอารียาแล้วทุกๆ คนต่างบอกเด็กผู้หญิงคนนั้นตายหรือไม่หายสาปสูญไปแล้ว กอดร่างเพรียวไว้และปลอบขวัญเหมือนผู้ใหญ่กำลังปลอบเด็กๆ ลาฟีร์เองพอเห็นภาพเช่นนั้นก็สะอื้นขึ้นมา เหตุการณ์เลวร้ายที่วิหารซอฟัรยังติดตาติดใจเธออยู่เสมอ การฆาตกรรมนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายและน่ากลัว โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ของอารียา
********************************************
ติดตาม "ไฟรักทรายเสน่หา" กันได้นะคะที่นี่เลยค่ะ
http://www.greenmindbook.com/product-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B2-356540-1.html
หรือว่าจะจองผ่านเฟสบุ๊คตอนนี้ในราคาพิเศษด้วย
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=659922994056278&set=a.103087873073129.1858.100001157496841&type=1&theater
ตอนที่ 13
เมื่ออยู่บนรถเจ้าชายไฟซารห์ก็ทบทวนเรื่องในอดีตให้เจนนาห์ฟังซึ่งก็ไม่มีอะไรมากกว่าคราวที่ทรงบอกหญิงสาวครั้งแรกนัก หากสิ่งที่เจนนาห์สงสัยก็คือ
“ถ้าหม่อมฉันคืออารียา แม่ของหม่อมฉันชื่อนารี แล้วตอนนี้...แม่ของหม่อมฉันอยู่ที่ไหนเพคะ”
“แม่ของเธอ...” เจ้าชายไฟซารห์มองออกไปนอกตัวรถก่อนตอบสิ่งที่เจนนาห์เองก็คิดอยู่บ้างแล้ว “แม่ของเธอตายไปแล้ว วิหารซอฟัรโดนปล้น แม่ของเธอตาย ส่วนเธอก็หายสาปสูญไปเลย”
“แสดงว่าแม่ของหม่อมฉันโดนพวกโจรฆ่าตายงั้นเหรอคะ” เจนนาห์เสียงแหบพร่ารู้สึกขนกายลุกชันเมื่อพูดเช่นนั้น เจ้าชายหนุ่มจึงพยักพระพักตร์ “ใช่ แต่นอกจากนั้นฉันก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก เพราะไม่เคยมีใครยอมพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย แล้วมันก็ผ่านมาตั้ง 19 ปีแล้ว ฉันรู้แค่มีการจัดงานศพตามประเพณีของเราที่วิหารซอฟัร...เท่านั้นเอง”
‘แม่ถูกฆ่าตาย’ เจนนาห์มองออกไปนอกหน้าต่างรถ นึกถึงฝันที่น่ากลัวของตนเอง และแม้ตอนนี้จะรู้ความจริงเพิ่มมากขึ้นแต่เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ มันเหมือนเป็นความกังวลที่กรุ่นๆ อยู่ลึกๆ และบุรุษที่นั่งข้างๆ ก็ดูจะรู้ดี พระหัตถ์ได้รูปจึงเลื่อนมากุมมือเรียวไว้
“อย่าวิตกเลยเจนนาห์ เราต้องรู้ความจริงแน่ๆ เราจะกลับไปที่วิหารอีกครั้งก็ได้ แต่ขอให้ฉันจัดการเรื่องงานที่จะทำวันนี้ก่อนได้ไหม”
“ต้องได้สิเพคะ” เจนนาห์ถอนหายใจ บางทีเธออาจจะหมกหมุ่นอยู่กับความฝันพวกนั้นมากเกินไปก็ได้ “เพราะถ้าหม่อมฉันบอกว่าไม่ได้ ฝ่าบาทจะทำยังไง”
“ฉันก็จะบอกให้ซากีร์ลงรถแล้วก็ขับพาเธอไปที่วิหารซอฟัรด้วยกันเพียงลำพังแค่สองคน แล้วจะค้างที่นั่นสักคืนหนึ่ง” ดวงเนตรคมหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ คนฟังจึงอดอมยิ้มไม่ได้ ความหวานบนใบหน้าสวยทำให้พระหัตถ์ได้รูปจับแก้มนวลดึงเบาๆ
“ยิ้มออกแล้วใช่ไหม”
“เพคะ” เจนนาห์มองเขายิ้มๆ “แต่วันนี้ยังไม่ไปที่วิหารนะเพคะ ทรงทำงานให้เสร็จก่อนเถอะ หม่อมฉันก็จะได้ไม่ต้องกลับไปตำหนักรับรองตอนมืดๆ หม่อมฉันล๊อคห้องไว้แล้วบอกว่าไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน ตอนค่ำๆ จะลงไปทานอาหารเอง ถ้าผิดเวลาเดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่อยากทะเลาะกับใครอีก”
“เฮ้อ รู้สึกผิดจัง” พระพักตร์คมเอนลงที่พนักก่อนค่อยๆ เอียงศีรษะไปพิงร่างระหง “เป็นถึงเจ้าชายแต่จะนัดสาวทั้งทีก็ต้องปีนขึ้นไปหากัน ไว้ขากลับฉันจะปีนไปส่งนะ”
“เห็นจะไม่ดีหรอกเพคะฝ่าบาท” เจนนาห์ทำเสียงยานพูดล้อๆ อยากจะผลักเขาไปให้ห่างๆ แต่ท่าทางเหมือนกำลังใช้ความคิดของชายหนุ่มนั้นทำให้เธอนิ่งเงียบไปและอดไม่ได้ที่จะบอกว่าตัวเองกำลังมีความสุข
ก่อน ที่เจ้าชายไฟซารห์จะเสด็จออกนอกเมืองทรงพบร้านเสื้อขนาดกลางแห่งหนึ่งจึงบอก ให้ซากีร์จอดรถและรับสั่งให้เจนนาห์เปลี่ยนชุดใหม่ที่ไม่ใช่ชุดสีฟ้าของชาว อัลคาซาน
“ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยคะ”
เจนนาห์มองร้านเสื้อผ้าหรูซึ่งตั้งอยู่ในอาคารหนึ่งและถามอย่างสงสัย อีกฝ่ายจึงหยักมุมปากน้อยๆ “ข้อหนึ่งคือฉันไม่อยากให้คนอื่นจำเธอได้และที่สำคัญก็คือ...ข้อสอง...ฉันอยากซื้อให้”
“ทรงตอบแบบนี้ หม่อมฉันถามต่อไม่ถูกเลย...”
เจนนาห์พึมพำและอดไม่ได้ที่จะค้อนขวักบุรุษหนุ่มแต่เจ้าชายไฟซารห์อยากจะรวบสาวสวยหุ่นระหงเข้ามาหอมแก้มมากกว่า และดวงเนตรสีไพลินก็คงส่อแววเช่นนั้นอยู่ไม่น้อย เจนนาห์ถึงรีบลงรถและเดินหนีเข้าร้านไปโดยเร็ว
“ชุดนี้เพิ่งมาใหม่ค่ะ สีพาสเทลสีนี้กำลังเป็นที่นิยมเลย ลองดูนะคะ”
เจ้าของร้านบอกพร้อมเปิดประตูห้องลองเสื้อเพื่อส่งชุดกับตัวสาวเจ้าเข้าไปและถามอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าไปได้สักพักหนึ่ง
“จะให้ช่วยอะไรไหมคะ”
“ไม่ค่ะ เสร็จแล้วล่ะค่ะ”
เจนนาห์ตอบพร้อมก้าวออกมาจากห้องลอง ร่างระหงในชุดสีเขียวพาสเทลเสื้อเข้ารูปกระโปรงยาวย้วยจรดข้อเท้าช่างเน้นทรวดทรงให้สวยงามและโดดเด่นกว่าชุดหลวมๆ ที่เคยใส่
“สวยมากเลยค่ะ ลองหมุนไปรอบๆ และดูในกระจกสิคะ” ช่างเสื้อเอ่ยชมอย่างจริงใจ และด้วยความเป็นหญิงทำให้เจนนาห์อดไม่ได้ที่จะทำตาม ทว่าสายตาที่มองอยู่นั้นกลับไม่ใช่แค่เธอกับช่างเสื้อเพราะเจ้าชายไฟซารห์ก้าวเข้ามาเงียบๆ และไล่ช่างเสื้อให้ออกไปรอข้างนอก
“ฝ่าบาท...”
ตอนนั้นเจนนาห์คลุมศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกับชุดที่ใส่ ทว่าในพระหัตถ์ของราชนิกุลหนุ่มมีผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสสีครีมอยู่ด้วย
“ฉันว่าเธอน่าจะใช้ผ้าผืนนี้”
“ฝ่าบาทเป็นวิศวกรไม่ใช่สไตล์ลิสสักหน่อย” เจนนาห์ค่อน แต่เจ้าชายไฟซารห์ก็ไม่ฟัง พระองค์ตวัดผ้าผืนที่กำลังถือคลุมลงบ่าบางและใช้มันดึงเธอเข้ามาใกล้ พระหัตถ์ค่อยๆ จับผ้าผืนนั้นขึ้นคลุมศีรษะให้อีกฝ่าย
“แต่สำหรับเธอ...ฉันคิดว่าตัวเองรู้เสมอว่าทำอย่างไรเธอถึงจะสวยที่สุด”
เสียงตรัสพร้อมดวงเนตรสีไพลินพราวทำให้เจนนาห์นิ่งมองพระพักตร์คมดั่งถูกมนตร์สะกด ร่างงามในชุดเข้ารูปนั้นสัมผัสกายแกร่งในเสื้อเชิ้ตแบบสากล และเมื่อพระหัตถ์ได้รูปไล้แก้มนวลเบาๆ ก็เกือบจะเป็นอีกครั้งที่หญิงสาวเผลอไผลไปบุรุษตรงหน้า
“ฝ่าบาท นายช่างโทรมา บอกว่าถึงที่นัดแล้วพะย่ะค่ะ”
เสียงของซากีร์ทำให้เจนนาห์รู้สึกตัวและรีบถอยออกห่างจากร่างสูง เจ้าชายไฟซารห์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนบอกองครักษ์เสียงเครียด
“ไปถึงแล้วยังไง ถ้ารอไม่ได้ก็กลับไปก่อนเลย”
ซากีร์เห็นสองคนเพิ่งผละออกจากกันจึงพอรู้ตัวว่าเข้ามาไม่ถูกจังหวะ ชายหนุ่มอายุ 25 ทำหน้าเจื่อนก่อนรีบวิ่งกลับไปที่รถ แต่ถึงตอนนั้นเจนนาห์ก็เดินามหลังเขาไปด้วยแล้วแถมยังทำท่าจะก้าวขึ้นไปนั่งข้างคนขับอีกแต่ซากีร์รีบร้องห้าม
“ไม่ได้นะคุณเจนนาห์”
“ทำไมล่ะ ความจริงฉันก็ไม่สมควรจะนั่งตีเสมอฝ่าบาทสักหน่อย” หญิงสาวอ้างแต่คนที่เดินตามมาทีหลังรีบคว้าแขนเรียวไว้ทันทีพร้อมกระซิบข้างหูของเธอ
“นั่งข้างหลังน่ะถูกต้องแล้วเจนนาห์ เธอรู้ไหมว่าฉันจะทรมานแค่ไหนถ้าเห็นเธออยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่แตะต้องไม่ได้”
“ฝ่าบาท! อย่าพูดแบบนี้นะเพคะ” เจนนาห์ร้อนวาบขึ้นมาทันที เขาช่างกล้าพูด หมายความว่าถ้าเธอนั่งหลังกับเขาแล้วเขาจะ...จะทำอะไร! คนบ้า! “ทรงพูดแบบนี้...ถ้าใครได้ยินเข้าจะคิดว่าหม่อมฉันเป็นยังไง”
“ใครจะได้ยินก็ฉันกระซิบให้เธอฟังคนเดียว หรือว่าอยากให้พูดดังๆ ” เจ้าชายไฟซารห์หยักมุมโอษฐ์และเมื่ออีกฝ่ายทำท่าพูดไม่ออกจึงพยักหน้าไปทางประตูซึ่งซากีร์เปิดให้
“ขึ้นสิ”
“ไม่เพคะ หม่อมฉันจะกลับแล้ว” เจนนาห์รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กเล็กๆ ที่มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แต่หาเหตุผลเถียงเขาไม่ชนะสักที เธอจึงตัดสินใจกะทันหันว่าจะแยกกับเขาตรงนี้แหละ
“ไม่ได้ เธอตัดสินใจแยกกับฉันช้าไปแล้ว” เจ้าชายหนุ่มตรัสเสียงเข้มพร้อมรวบร่างบางอุ้มหญิงสาวขึ้นและส่งเข้าไปในประตูรถที่ซากีร์เปิดไว้พร้อมตามขึ้นไปนั่งข้างๆ ทันที
“ฝ่าบาท” เจนนาห์ร้อง “ถ้าหม่อมฉันจำไม่ผิดและนึกย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ได้ เด็กผู้ชายคนที่หม่อมฉันเคยพบน่าจะเป็นคนที่อบอุ่นแล้วก็ใจดีสุดๆ ถึงได้อยู่กับเด็กผู้หญิงแค่ 3-4 ขวบได้โดยไม่รำคาญ แต่นี่ทรงบังคับอุ้มหม่อมฉันแบบนี้มา 2 ครั้งแล้วนะเพคะ”
“ฉันเป็นได้ทุกอย่างนั่นแหละเจนนาห์...แล้วแต่ว่าคนตรงหน้าจะปฏิบัติต่อฉันยังไง และถ้าเธออยากให้ฉันเลิกทำแบบนี้ เธอก็ต้องสวยให้น้อยกว่าที่เป็นอยู่ หรือไม่ก็...อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น”
เจ้าชายหนุ่มถอนหายใจทรงปรายพระเนตรมองดวงตาหวานสีน้ำตาลของหญิงสาวแล้วเมินหน้าหนี ทำให้เจนนาห์ขมวดคิ้วเรียว เธอเอียงศีรษะมองพระพักตร์คมอย่างสงสัย ‘ฉันไปมองแบบไหนกัน คุณถึงได้หมั่นหาเรื่องจะจูบฉันอยู่ร่ำไป’ พร้อมความคิดแบบนั้นริมฝีปากอิ่มก็ถามขึ้นทันที
“มองแบบไหนเพคะ”
“ก็แบบนี้แหละ” ฉับพลันเจ้าชายหนุ่มก็หันขวับก้มลงจูบริมฝีปากอิ่มเร็วๆ ทำให้เจนนาห์ตกใจร้องว๊าย! และยกมือตีพระอุระแกร่งเสียงดังเพี๊ยะ
“ฝ่าบาท นี่มันบ่อยเกินไปแล้วนะ ถ้าทรงทำแบบนี้อีกละก็...”
“ทำไม” นอกจากคนโดนคาดโทษจะไม่สนใจแล้ว ดวงเนตรสีไพลินก็ยังแวววามจ้องหญิงสาวไม่วางตาอีกต่างหาก เจนนาห์เลยพูดไม่ออก หญิงสาวได้แต่เม้มปากลงสะบัดหน้าน้อยๆ หันหนีไปทางนอกรถแทน ในขณะที่พระพักตร์คมหัวเราะในลำคอและมองคนข้างๆ ด้วยความรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก พระองค์ไม่กลัวเรื่องที่ท่านซารานคิดจะให้เจนนาห์อภิเษกกับพระเชษฐา เพราะทรงแน่ใจว่าถึงแม้ทุกคนจะซ่อนเร้นบางอย่างแต่พระองค์ก็จะสืบได้ในเร็วๆ นี้ว่าเจนนาห์คืออารียา เด็กหญิงที่หายสาบสูญเมื่อ 19 ปีที่แล้ว
เจ้าชายไฟซารห์พาเจนนาห์แวะไปซื้อของหลายอย่างที่ห้างสรรพสินค้าเพราะตั้งใจว่าจะเอาไปแจกที่ชุมชนแออัด ตอนนี้ทุกคนทราบฐานันดรของเจ้าชายไฟซารห์หมดแล้วเพราะซากีร์เป็นคนบอก และเนื่องจากรู้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะมาพวกผู้ใหญ่จึงทำอาหารถาดใหญ่มาเลี้ยงด้วย ส่วนพวกเด็กๆ ก็ต่างวิ่งออกมาห้อมล้อมต้อนรับช่วยกันหยิบจับของอย่างดีใจ
“ขอบ คุณมากจริงๆ ค่ะ” หญิงวัยประมาณ 45 ปีคนหนึ่งในชุดซอมซ่อแต่ก็คลุมศีรษะมิดชิดก้มหัวให้เจนนาห์ ซึ่งตอนนั้นพวกผู้ชายเดินออกไปทำงานกับหมดแล้ว เธอแอบมองหน้าหญิงสาวลูกครึ่งอย่างไม่ค่อยมั่นใจก่อนจะเล่าให้ฟังอีกว่า ราชนิกุลหนุ่มจะให้ซากีร์ซื้อของกินมาให้เด็กๆ บ่อยๆ แล้วยังออกทุนซื้ออุปกรณ์ให้พวกผู้หญิงเย็บปักถักร้อยทำพืชสวนครัวเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ทานกันเอง รวมถึงให้ซากีร์เป็นตัวกลางจัดการหางานให้พวกผู้ชายด้วย
“เชิญคุณรอฝ่าบาทอยู่ที่นี่ก่อนนะคะ ฉันคงต้องเข้าไปจัดการอะไรต่ออีกสักหน่อย” หญิงคนนั้นบอกก่อนรีบขอตัวเดินจากไป ทิ้งให้เจนนาห์ยืนอยู่ในเพิ่งหลังคาที่ทำเอาไว้บังแดดชั่วคราวพร้อมมีกระติกคูลเลอร์ใบใหญ่วางไว้ด้านหลัง อีกทั้งยังมีพวกเด็กซึ่งยังห้อมล้อมเธออยู่ และอาหมัดก็ดูจะเป็นหนุ่มน้อยคนเดียวที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุด
“อาหมัด พวกเธอมาอยู่ที่นี่นานหรือยัง”
“นาน แล้วครับ ผมว่ามันผ่านมาหลายเดือนมากแล้ว...” เด็กชายวัย 10 กว่าปีทำท่านึกพร้อมตอบ เขามองไปทางผู้ชายที่ทำงานอยู่และกล่าวอย่างชื่นชม “พ่อของผมบอกว่าพวกเราอยู่มานานแล้วแต่ไม่เคยมีใครมาเหลียวแลเลยจนกระทั่งพบ เจ้าชายไฟซารห์ นับว่าพวกเราก็ยังมีบุญอยู่ครับ”
“งั้นสมัยก่อนพวกเธอก็เป็นชาวทะเลทรายน่ะสิ” เจนนาห์ถามอย่างสนใจ
“พวกเรามาจากหลายที่ครับ พ่อบอกว่าชาวทะเลทรายกระจัดกระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆ แต่ในซาราเวียไม่ใช่ที่อยู่ของพวกทะเลทราย คนในราชวงศ์มัสตาฟาเกลียดพวกคนทะเลทราย ประชาชนส่วนใหญ่ก็คิดแบบนั้น เขารังเกียจพวกเรา” อาหมัดตอบตามที่ผู้ใหญ่พูดและทิ้งท้าเสียงส่อความน้อยใจ เจนนาห์จึงจับบ่าเด็กชายตัวเล็กแต่ท่าทางผู้ใหญ่พร้อมค้าน
“ไม่จริงหรอก จะคนทะเลทรายหรือคนในเมืองก็เป็นคนเหมือนกันนะอาหมัด มีค่าความเป็นคนเท่าๆ กัน ดูอย่างเจ้าชายไฟซารห์สิ ฝ่าบาทก็เป็นพระโอรสของสุลต่านอัสตาฟาถ้าพระองค์คิดแบบนั้นจะมาช่วยพวกเธอทำไม ดูสิแดดร้อนขนาดนี้...ก็ยังออกไปสั่งงานด้วยตัวเอง”
เจน นาห์มองออกไปนอกเพิงที่พัก เธอเห็นวรองค์สูงยืนอยู่กลางเปลวแดดจ้าขณะใช้นิ้วพระหัตถ์ทัชสกรีนบนหน้าจอ เครื่องคอมพิเตอร์มินิและสั่งงานกับนายช่าง ดวงพักตร์คมดูมุ่งมั่น จริงจังและเต็มที่กับงาน แม้หยาดพระเสโทจะไหลจนเปียกไรพระเกษาก็ไม่สนใจ ท่าทางแบบนี้ทำให้หญิงสาวอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าไม่เหมือนยามที่พระองค์ชอบ หยอกล้อตนเองเลยสักนิดแต่ก็ทำให้เธอคิดต่อไปว่านี่เองคือเสน่ห์ของเจ้าชายไฟ ซารห์ ทรงมีด้านที่มุ่งมั่น จริงจัง เข้มแข็งและพร้อมจะเป็นผู้ชายที่อบอุ่นทำให้คนที่ใกล้ๆ มีความสุขได้เสมอ
“เดี๋ยวมานะ” เจนนาห์บอกเดินไปหยิบขวดน้ำดื่มและเดินตรงไปทางที่วรองค์สูงทำงานอยู่ “น้ำเพคะฝ่าบาท”
เสียงหวานๆ พร้อมมือเรียวที่ยืนขวดน้ำมาตรงหน้าทำให้พระพักตร์คมเงยขึ้น เจ้าชายหนุ่มรับขวดน้ำจากหญิงสาวพลางดื่มจนเกือบครึ่งขวดและส่งคืนให้พลางพูดลอยๆ
“วันนี้ไม่เหนื่อยเลย”
“ฝ่าบาททรงอดทนมาก” นายช่างยกนิ้วให้ราชนิกุลหนุ่มและหยิบน้ำของตนซึ่งเป็นกระติกเหน็บอยู่ในเข็มขัดมาดื่มอย่างกระหาย สาเหตุเพราะเมื่อเจ้านายไม่ดื่มตนจึงไม่กล้า
“กระหม่อมแทบอาบเหงื่อต่างน้ำแล้ว”
“บางทีฝ่าบาทอาจจะแกล้งพูดก็ได้ค่ะนายช่าง” เจนนาห์บอกยิ้มๆ มือเรียวกำผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งอยู่และคนที่โดนค่อนก็มองเห็น พระหัตถ์ได้รูปจึงคว้าข้อมือหญิงสาวขึ้นแตะพระพักตร์ของตนเอง
“ฝ่าบาท...” เจนนาห์พึมพำอย่างคาดไม่ถึง ความจริงเธอก็จะเช็ดหยาดเหงื่อให้ราชนิกุลหนุ่มแต่ก็กลัวจะเป็นการไม่สมควรแต่เมื่อบุรุษหนุ่มตรงหน้าทำเช่นนั้น หญิงสาวจึงซับพระเสโทแต่ดวงตาสีน้ำตาลกับไม่กล้าสบพระเนตรสีไพลินเอาเสียเลย
“แล้วถ้าเราผังตามแนวนี้ล่ะ” เจ้าชายไฟซารห์ปล่อยให้หญิงสาวซับเหงื่อให้และใช้พระหัตถ์ทัชสกรีนแบบแปลนในหน้าจอให้นายช่างดู อีกฝ่ายจึงชี้ไปตามเนินดินซึ่งยังเป็นที่รกร้างอยู่พร้อมกราบทูล
“ถ้าเลยไปทางนี้ก็จะเป็นที่ส่วนบุคคล กระหม่อมไม่แน่ใจว่าเป็นของใครกันแน่”
เจน นาห์มองที่รกร้างหลายร้อยไร่ที่นายช่างชี้ไปและเห็นด้วยตาว่าซาราเวียเองก็ มีประชากรไม่มากและมีที่ดินทำกินเพียงพอที่รองรับผู้คนเร่ร่อนอีกมากมายแต่ ทำไมพวกของอาหมัดถึงได้อยู่ในตรอกแคบๆ แออัดเช่นนี้
“เจนนาห์...” ราชนิกุลหนุ่มจับมือเรียวนุ่มของอีกฝ่ายก่อนลุกขึ้นยืน พระหัตถ์ดึงผ้าคลุมศีรษะของหญิงสาวลงให้มิดชิดกว่าเดิม ริมโอษฐ์หยักมุมน้อยก่อนจักษุสีไพลินจะมองอีกฝ่ายด้วยแววเจ้าเล่ห์ “ไปรอข้างในเถอะ ข้างนอกร้อนมาก ฉันไม่อยากให้ผิวสวยๆ นี่เป็นรอยเพราะ...”
“เพราะอะไรเพคะ ทรงชอบทำสายตาแบบนี้อยู่เรื่อยเลย” เจนนาห์แค่นเสียงใส่บุรุษหนุ่มแต่คนที่ยืนตรงหน้าก็ยิ้มหวานให้เสียเฉยๆ ทรงจับร่างระหงหมุนกลับไปทางเพิงพักพร้อมรับสั่ง
“ไปรอข้างในเถอะ”
เจน นาห์จึงกลับมายืนรอที่เดิมและอดจะค้อนขวักคนที่ชำเลืองมองตามไม่ได้เพราะสาย พระเนตรของราชนิกุลหนุ่มนั้นช่างแฝงนัยน์และทำให้คนถูกมองรู้สึกหวั่นไหวได้ เอาง่ายๆ
“พี่ผู้หญิงคะ” ละตีฟาวัย 7 ขวบเดินเข้ามาเลียบๆ เคียงๆ ทำให้เจนนาห์หันกลับมามองเชิงถาม แม่หนูที่ดูเก่งและโตเกินอายุจึงขยับมาใกล้ๆ
“แม่บอกให้หนูเรียกพี่ชายว่าฝ่าบาทแล้วหนูต้องเรียกพี่ผู้หญิงว่าอะไรคะ”
“ก็...พี่เจนนาห์ หรือไม่ก็ พี่เจน” เจนนาห์ตอบ ตอนนั้นเองที่เธอเห็นว่านอกจากพวกเด็กๆ จะยังยืนอยู่หลายคนแล้วยังมีหญิงสาววัยรุ่นอายุยังไม่ถึง 20 จับกลุ่มยืนอยู่ไม่ห่างด้วย
“แล้วพี่เจนเป็นอะไรกับฝ่าบาทคะ” คำถามอีกครั้งของเด็กตัวเล็กดวงตาคมทำให้สาวสวยลูกครึ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ
“อ้อ...ก็เป็นเพื่อนจ้ะ” ดวงตาสีน้ำตาลอดสังเกตไม่ได้ว่าพวกสาวๆ นั้นล้วนแอบฟังกันหูผึ่ง
“เป็นเพื่อนเหรอคะ” เด็กหญิงวัย 7 ขวบพยักหน้าหงึกหงักและมองกลุ่มสาววัยรุ่นก่อนที่มือเล็กๆ จะสะกิดแขนคนตัวสูงกว่าพร้อมบอกให้ก้มลงมาใกล้ๆ และเมื่อเจนนาห์ย่อตัวลง เธอก็กระซิบข้างหู
“หนูจะบอกอะไรให้นะคะ สาวๆ แถวนี้น่ะหลงรักฝ่าบาทกันทั้งนั้น พวกนี้บอกว่าฝ่าบาทน่ะรูปหล่อเหมือนดาราฝรั่งแถมเป็นคนดีด้วย พวกเธอกำลังจะหาทางตามไปเป็นนาง...เป็นนางอะไรน๊าที่จะได้อยู่รับใช้พี่ชายในวังน่ะ...แต่หนูไม่ยอมหรอก หนูก็จะไปด้วยเหมือนกัน พี่เจนนาห์เป็นเพื่อนฝ่าบาทก็ต้องช่วยหนูด้วยนะคะ”
“อ้อ...” เจนนาห์ได้แต่ยิ้มบางๆ ก่อนมองสาวๆ ที่แอบซุบซิบและมองกลับไปทางคนที่ทำงานอยู่ ในใจนึกหมั่นไส้คนเสน่ห์แรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาจากบริเวณที่เป็นที่อยู่อาศัยและกระซิบบางอย่างกับละตีฟา เด็กหญิงวัย 7 ขวบทำท่าไม่เข้าใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะดึงมือเจนนาห์
“ตามมาสิคะ”
เจ้าชายไฟซารห์กำลังสั่งงานอยู่แต่ก็เหลือบขึ้นมาเห็นว่าเจนนาห์เดินเข้าไปในบริเวณซึ่งเป็นบ้านที่สร้างไว้ลวกๆ หลายหลังแต่ก็ยังปลีกตัวไม่ได้ ส่วนละตีฟาเมื่อจูงเจนนาห์มาถึงกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่งจึงร้องบอกคนข้างใจ
“ป้าลาฟีร์คะ พี่เจนนาห์มาแล้ว หนูไปก่อนนะคะ”
“ป้างั้นเหรอ” เจนนาห์ทวนคำอย่างไม่เข้าใจ แต่สักพักเธอก็เห็นหญิงคนที่ออกมาต้อนรับเธอเมื่อประมาณชั่วโมงที่แล้วค่อยๆ เดินออกมา คราวนี้เธอจ้องเจนนาห์อย่างพินิจพิเคราะห์และถามอย่างสงสัย
“เห็นเด็กๆ บอกว่าคุณเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว คราวนั้นคุณใส่ชุดฟ้าของชาวอัลคาซาน อาหมัดบอกว่าคุณเป็นลูกสาวชีคซารานใช่ไหม”
“ถามทำไม” เจนนาห์ไม่ตอบในทันทีแต่ถามกลับ เธอสังเกตตั้งแต่เมื่อครู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีท่าทีแปลกๆ แต่เพิ่งรู้ว่าเป็นแม่ของละตีฟา
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันอยากจะขอบคุณและมีผ้าผืนหนึ่งอยากจะให้” หญิงชาวชุมชนส่งผ้าผืนที่ถืออยู่ให้เจนนาห์ มันเป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวถักลายโครเชสีเดียวกันไว้รอบๆ
“ขอบคุณค่ะ” เจนนาห์บอกอีกฝ่ายแต่มองเธอเหมือนยังมีเรื่องค้างคาใจ ทว่าคนถูกมองก็ผลุบหายเข้าไปในกระโจมทันที และเป็นช่วงเดียวกับที่เจ้าชายไฟซารห์ตามมา
“มีอะไรเหรอเจน”
“ป้าของละตีฟาเรียกให้เจนมาพบเธอค่ะ” เจนนาห์บอกบุรุษหนุ่มอีกฝ่ายจึงขมวดคิ้วและเรียกคนที่เพิ่งเดินหายเข้าไป
“ลาฟีร์ ลาฟีร์ใช่ไหม เธอออกมาพบฉันกับเจนนาห์เดี๋ยวนี้”
เสียงตรัสเข้มๆ ของเจ้าชายหนุ่มทำให้คนที่เพิ่งเข้าไปโผล่ออกมา เธอมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักในขณะเจ้าชายไฟซารห์บอกกับเจนนาห์ว่า ลาฟีร์คือป้าของละตีฟาและแม่ของละตีฟาก็บอกกับซากีร์ว่า ลาฟีร์เคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งกับชาวอัลคาซานแต่เพราะสามีเสียชีวิตจึงกลับมาอยู่กับครอบครัวเดิม และเธอก็เป็นคนที่น่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวิหารซอฟัรเมื่อ 19 ปีที่แล้ว
“มันผ่านมานานมากแล้ว ฝ่าบาทอย่าบังคับให้หม่อมฉันเล่าเลย” เมื่อโดนบังคับถามลาฟีร์ก็อิดออดไม่อยากพูดถึง เจ้าชายไฟซารห์จึงขู่
“เรื่องนี้สำคัญมาก ตอบฉันแล้วเธอจะไม่ต้องตอบใครอีก แต่ถ้าไม่เล่ารับรองว่าฉันต้องเอาเธอเข้าไปในเมืองด้วยแน่ๆ”
“ไม่นะเพคะ หม่อมฉันไม่อยากไปไหนทั้งนั้น เล่าก็ได้ แต่ฝ่าบาทต้องให้สัญญานะเพคะว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ไม่บอกว่ารู้มาจากหม่อมฉันๆ อยู่มาได้ทุกวันนี้ก็เพราะไม่เคยปริปากพูดเลย” ลาฟีร์มีสีหน้ากังวลเธอมองไปรอบและเรียกชายหญิงทั้งคู่ตามเข้าไปในกระท่อมเล็กๆ ก่อนเล่าเสียงแทบกระซิบ “เมื่อ 19 ปีที่แล้วมีคนร้ายบุกวิหารซอฟัร...ตอนกลางดึก...พวกเราหลับแล้วแต่สามีของหม่อมฉันได้ยินเสียงแปลกๆ ก็เลยลุกขึ้นมาดู หม่อมฉันวิ่งตามเขาออกมานอกกระโจม ตามไปที่วิหาร...แต่มีคนหลายคนถูกฆ่าตาย หม่อมฉันหลบอยู่ในมุมมืดและสามีก็อุ้มเด็กคนหนึ่งวิ่งออกมา ตอนนั้นมืดมากฉันได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนร้องหาใครคนหนึ่ง รียา รียา หม่อมฉันจดจำเสียงนั้นได้เพราะมันช่างโหยหวนน่าขนลุกที่สุด แต่แล้วท่านซารานก็ปรากฏตัวขึ้นและทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้งอย่างรวดเร็ว”
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ” เจ้าชายไฟซารห์ถามขึ้นในขณะที่เจนนาห์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
“ท่านซารานพาเด็กคนนั้นไปเลี้ยงไว้...และห้ามทุกคนพูดเรื่องนี้อีก” ลาฟีร์ตอบเบาๆ และขอร้อง “ได้โปรดอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยนะเพคะ”
“งั้นอะไรที่ป้าให้ฉัน” เจนนาห์ยื่นผ้าสีขาวให้ป้าของละตีฟา อีกฝ่ายจึงมองใบหน้าของสาวลูกครึ่งพร้อมพูดเบาๆ
“ถ้าคุณคือลูกสาวคนสุดท้องที่เกิดจากผู้หญิงซึ่งเป็นคนไทย ผ้านั่นก็คือของๆ แม่คุณ”
“ของแม่” เจนนาห์คลี่ผ้าสีขาวขึ้นดูทันที เธอเห็นไหมสีชมพูปักอยู่ทีริมผ้าผืนนั้นแต่ด้วยภาษาที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน “อะไร เขียนว่าอะไร”
“ชื่อของแม่เธอ” ลาฟีร์พูดขึ้น “แต่ฉันก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน”
เจ้าชายไฟซารห์หยิบผ้าผืนนั้นไปจากเจนนาห์และตรัสขึ้น “ภาษาไทยแต่ฉันเองก็อ่านไม่ได้ ถ้าเธออยากรู้ละก็ฉันมีเพื่อนเป็นนักข่าวชาวไทยอยู่คนหนึ่ง จะถ่ายรูปส่งไปให้เขาดู”
เอ่ยจบบุรุษหนุ่มก็ใช้โทรศัพท์กดถ่ายอักษรนั้นก่อนโทรไปหาเพื่อนนักข่าวของพระองค์ทันทีและกลับมาด้วยถ้อยคำที่เจนาห์คาดไว้
“นารี อักษรนั่นเขียนว่านารี เป็นชื่อแม่ของเธอเจนนาห์”
“แม่ของฉัน” เจนนาห์หยิบผ้าผืนนั้นมากอดและเคลียร์ที่ข้างแก้ม สัมผัสเก่าๆ ที่คุ้นเคยเริ่มฉายภาพในหัวสมองอีกครั้ง เธอเริ่มนึกถึงภาพที่ตนเองตื่นขึ้นมากรีดร้องยามเยาว์วัย นีสรีนหรือไม่ก็แม่ชีคก้าต้องงัวเงียขึ้นมาลูบหัวลูบหลัง ภาพของตัวเองที่ตกใจกลัวยามเห็นเลือดนองเวลาพวกผู้ชายฆ่าสัตว์เป็นๆ จนกระทั่วรีฮานต้องเข้ามาปลอบให้เลิกร้องไห้ เป็นเวลาหลายปีทีเดียวกว่าภาพพวกนั้นจะจางหายไป และเมื่อมันกลับมาอีกครั้งร่างบางก็สั่นน้อยๆ มือเรียวกำแน่น ก่อนหวีดร้องออกมาดังลั่น
“เจนนาห์ เจนนาห์” เจ้าชายไฟซารห์กอดร่างเพรียวระหงไว้ ในขณะที่เจนนาห์ใช้มือกดศีรษะตัวเองหวีดเสียงพร้อมกับร้องไห้
“แม่ๆ ฉันจะหาแม่ อย่าทำแม่ อย่า อย่า!”
“เจนนาห์อย่าร้องไห้ คนดี อย่าร้องไห้”
เจ้าชายไฟซารห์เองก็รู้ดีว่าทุกคนในวิหารถูกปล้นฆ่าโดยโจรทะเลทรายเพียงแต่วันนั้นทรงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จำได้ว่าเมื่อทราบข่าวจากน้านาร่าห์ทรงทำทุกวิถีทางที่จะมายังวิหารซอฟัร และตอนที่เสด็จไปถึงภาพคราบเลือดเกรอะกรังก็ยังมีให้เห็น ทว่าทรงไม่เห็นอารียาแล้วทุกๆ คนต่างบอกเด็กผู้หญิงคนนั้นตายหรือไม่หายสาปสูญไปแล้ว กอดร่างเพรียวไว้และปลอบขวัญเหมือนผู้ใหญ่กำลังปลอบเด็กๆ ลาฟีร์เองพอเห็นภาพเช่นนั้นก็สะอื้นขึ้นมา เหตุการณ์เลวร้ายที่วิหารซอฟัรยังติดตาติดใจเธออยู่เสมอ การฆาตกรรมนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายและน่ากลัว โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ของอารียา
********************************************

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 เม.ย. 2557, 12:15:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 เม.ย. 2557, 12:15:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 1266
<< 12 |

Zephyr 28 เม.ย. 2557, 19:00:15 น.
องค์รานี สั่ง รึป่าวน้า
องค์รานี สั่ง รึป่าวน้า

แพรพริมา 1 พ.ค. 2557, 11:06:47 น.
คุณ Zephyr ขอบคุณที่ตามให้กำลังใจกันเสมอมานะคะ ขอบคุณจริงๆ
คุณแว่นใสและน้อง Siang คนที่กรุณากดถูกใจให้ด้วยค่ะ ^^
คุณ Zephyr ขอบคุณที่ตามให้กำลังใจกันเสมอมานะคะ ขอบคุณจริงๆ
คุณแว่นใสและน้อง Siang คนที่กรุณากดถูกใจให้ด้วยค่ะ ^^