หทัยรักจ้าวทะเลทราย
ไม่มีเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ไม่มีผู้หญิงธรรมดา ณ ดินแดนผืนทรายสีทองแห่งนี้ จะมีเพียงรัก และมีเพียงแค่เรา “หัวใจรักสองดวง” จะผูกพันไว้ด้วยกัน จากนี้ จวบจนตลอดกาล
Tags: เจ้าชาย , ทะเลทราย , รัก , ซึ้ง , โรแมนติก
ตอน: 1
ไม่มีเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ไม่มีผู้หญิงธรรมดา
ณ ดินแดนผืนทรายสีทองแห่งนี้ จะมีเพียงรัก และมีเพียงแค่เรา
“หัวใจรักสองดวง” จะผูกพันไว้ด้วยกัน
จากนี้ .. จวบจนตลอดกาล
***********************
ร่างบางก้าวเดินเข้ามาภายในบริเวณตัวอาคารซึ่งมีสีสันสวยสดงดงาม รอบทิศทางเต็มไปด้วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง เด็กหญิง เด็กชายตัวน้อยๆ และอาจารย์ บ่งบอกให้สามารถรับรู้ได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือ “โรงเรียน”
โรงเรียน อนุบาล “นุชนาฎ” เปิดการเรียนการสอนในระดับชั้นอนุบาล 1 – 3 และเนอสเซอรี่ สำหรับเริ่มต้นเตรียมความพร้อมให้กับเด็กก่อนที่จะเข้าสู่อนุบาล เมื่อครบเกณฑ์อายุ
ซึ่งเธอได้เข้ามาเป็นคุณครูที่โรงเรียนนี้ได้เกือบ 3 เดือนแล้ว ตั้งแต่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง
เธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา ที่ชื่อ “แพรพลอย พินิจนันต์” อายุ 21 ปี
เธอมีชีวิตเติบโตขึ้นมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งมี “แม่ใหญ่” ที่เด็กกำพร้าทุกคนใน “บ้านแสงตะวัน” เรียกขาน และให้ความเคารพดุจดั่งเป็นแม่ที่แท้จริง เป็นผู้เลี้ยงดูมา
เธอมีความสามารถทางด้านการเรียนเข้าขั้นดีเยี่ยม จนสามารถสอบชิงทุนการศึกษา และมักจะได้โควตาพิเศษต่างๆ อยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ
ทำให้เธอค่อนข้างจะโชคดีและมีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในบ้านแสงตะวัน เพราะเธอได้ทุนเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงจบมหาวิทยาลัยอย่างไม่ยากลำบากมากนัก
และวันนี้ก็เป็นวันที่ความฝันหนึ่งเดียวในชีวิตของเธอได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ซึ่งก็ได้แต่ภาวนาเฝ้าวาดหวังว่าเธอจะประสบความสำเร็จกับอาชีพความเป็น “คุณครู”
เสียงตอบรับอนุญาตจากทางด้านใน ทำให้เธอผลักประตูไม้บานใหญ่ให้เปิดออก และแทรกตัวเดินเข้าไปด้วยท่าทางเรียบร้อย
“สวัสดีค่ะ ท่านผู้อำนวยการ”
เธอยกมือไหว้และกล่าวทักทายอย่างสุภาพ
“อ้าว คุณครูพลอย มามา กำลังรออยู่เลย”
คุณหญิงนุชนาฎ เจ้าของโรงเรียนยิ้มแย้มแจ่มใส เดินเข้ามาจับจูงมือเธอและพาให้ไปนั่งลงตรงโต๊ะรับแขก ซึ่งมีผู้หญิง 1 คน กับผู้ชายอีก 1 คน นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว
เธอยกมือไหว้คนทั้ง 2 เพราะจำได้ว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กนักเรียน และจะต้องมีธุระสำคัญกับเธอเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นผู้อำนวยการคงจะไม่เรียกตัวเธอมาพบเป็นการด่วนแบบนี้หรอก
ทั้ง 2 คน ยกมือไหว้ตอบ และยิ้มกว้างไม่แพ้ท่านผู้อำนวยการ
จากนั้นเธอก็ได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งเหตุผลทั้งหมดที่ทุกคนต้องการมาขอพบเธอในวันนี้
คุณพ่อและคุณแม่ของน้องเบนซ์ เด็กชายตัวน้อยที่เป็นนักเรียนให้ห้องของเธอ เดินทางมาเพื่อขอบคุณเธอเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้
เนื่องจากความซุกซนของน้องเบนซ์ ทำให้น้องเบนซ์หยิบแหวนเพชรของคุณแม่ นำใส่กระเป๋าหนังสือและพกมาที่โรงเรียนด้วย
และเมื่อเธอจัดเก็บการบ้านลงในกระเป๋าให้กับเด็กๆ ทั้งหลาย จนมีโอกาสได้พบแหวนซึ่งอยู่ในกระเป๋าของน้องเบนซ์
เธอจึงตัดสินใจโทรไปแจ้งให้ทางคุณแม่ของน้องเบนซ์ทราบ ทำให้คุณแม่รีบเร่งมาที่โรงเรียนภายในเวลาอันรวดเร็วด้วยท่าทางตื่นตระหนก ผสมปนเปไปด้วยความดีใจ
โดยบอกกับเธอว่าแหวนวงนี้มีความสำคัญมาก และมีมูลค่าหลายล้านบาทเลยทีเดียว
“พลอยขอไม่รับนะคะ”
เธอปฏิเสธ เมื่อคุณพ่อของน้องเบนซ์ยื่นซองสีขาวมาให้ และเอ่ยบอกว่าเป็นน้ำใจตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ
เธอเข้าใจดีว่าคนทั้งสองไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่การกระทำทั้งหมดของเธอนั้น เธอทำทุกอย่างด้วย “หัวใจ” ซึ่งไม่เคยคิดอยากได้สิ่งใดตอบแทนทั้งนั้น
“ขอโทษนะครับ แต่ผมกับภรรยาไม่ได้คิดจะดูถูกคุณครู ผมเพียงอยากจะตอบแทนเท่านั้น จริงๆ นะครับ”
เธอยิ้มหวาน เมื่อเห็นท่าทางลนลานและรู้สึกผิดของคุณพ่อคุณแม่น้องเบนซ์
“พลอยเข้าใจค่ะ พลอยขอรับไว้แค่น้ำใจของพวกคุณละกันนะคะ”
คุณพ่อคุณแม่ของน้องเบนซ์พยักหน้ารับรู้เข้าใจ และยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะขอตัวกลับไป
พร้อมกับประโยคทิ้งท้ายเป็นการกล่าวชื่นชมเธอ
“คุณครูเป็นคนดีมาก”
แค่คำๆ นี้ ก็รู้สึกดี อิ่มเอม ปลาบปลื้มเหลือเกิน และเพียงพอแล้วที่จะตอบแทนสิ่งที่เธอทำลงไปทั้งหมด
Xหทัยรักจ้าวทะเลทรายX
เธอสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ห้องจนถ้วนทั่ว เพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยภายในชั้นอนุบาล 1/3 อีกครั้ง ก่อนจะคว้ากระเป๋ามาสะพายไว้บนหัวไหล่มน
เดินมาและปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่ตรงข้างประตู หลังจากจัดการส่งเด็กนักเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบทุกคนกลับบ้านไปจนหมดแล้วก่อนหน้านี้ตอน 15.00 น.
และเมื่อเก็บของในห้อง เตรียมการเรียนการสอนไว้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ ก็ถึงเวลาที่เธอจะกลับบ้านแล้วในตอนเกือบๆ 5 โมงเย็น
มือบางผลักประตูให้เปิดออก และก็ได้พบกับร่างสูงของคนหนึ่งที่แสนคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะ คุณเอกภพ”
เธอยกมือไหว้ผู้ชายที่ยืนทำหน้าหล่ออยู่
เอกภพ กิจไพศาล ชายหนุ่มอายุ 30 ปี บุตรชายเพียงคนเดียวของคุณหญิงนุชนาฎ ซึ่งมักจะมาให้ได้พบเห็นอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ
ตั้งแต่วันแรกที่เธอมีโอกาสได้ย่างกรายเข้ามาสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ จวบจนกระทั่งวันนี้ ที่เขาพยายามจะเข้ามาทำความรู้จัก ให้ความสนิทสนม รวมทั้งแสดงออกถึงความมีน้ำอกน้ำใจอีกมากมายหลายอย่าง
“โธ่ น้องพลอย บอกว่าให้เรียกพี่เอกไงครับ”
เธอมองผู้ชายตัวโตๆ ที่ทำหน้างอนง้ำราวกับเด็กเล็กๆ ที่เอาแต่ใจ
“แต่นี่มันในโรงเรียนนะคะ พลอยกลัวว่าใครจะ”
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าน้องพลอยไปทานข้าวเป็นเพื่อนพี่ เพื่อเป็นการไถ่โทษละกันนะครับ”
คิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างสงสัย เพราะเธอยังนึกไม่ออกและไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าทำอะไรผิดกับเขากันแน่
“ไปเร็วครับ เดี๋ยวเย็นมาก รถจะติด”
จากนั้นชายหนุ่มผู้ที่ตั้งใจพูด แต่ไม่ได้ตั้งใจรอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธอะไรจากเธอทั้งนั้น ก็จัดการหยิบเอกสารและหนังสือในมือของเธอไปถือให้ และก้าวเดินนำหน้าไป
“น้องพลอย มาเร็วๆ สิครับ”
เอกภพหยุดยืน และหันกลับมาเรียกอีกครั้ง เมื่อเธอยืนนิ่งอยู่กับที่ ยังไม่ยอมเดินตามไป
“เอ่อ ค่ะ ค่ะ”
เธอรับคำอย่างงงๆ และเดินตามชายหนุ่มไปอย่างงงๆ เหมือนเดิม
Xหทัยรักจ้าวทะเลทรายX
บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูหราระดับ 10 ดาว ใจกลางกรุงเทพมหานคร มีร้านอาหารชื่อดัง
ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยบรรดาบุคคลในแวดวงสังคมชั้นสูง ผู้มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศไทย เดินเข้าเดินออกเพื่อมารับประทานอาหาร ณ สถานที่อันสุดแสนโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างคับคั่ง
ร่างบางนั่งกระสับกระส่ายอย่างไม่ค่อยสบายใจและเต็มไปด้วยความอึดอัด รู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทางซะเหลือเกิน
“ลองทานนี่สิครับ อร่อยนะ”
เอกภพตักอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดในร้านนี้ใส่จานของเธอ และแนะนำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
เธอพยักหน้ารับรู้และตักเนื้อรูปร่างหน้าตาน่ารับประทานใส่ปาก เมื่ออาหารแตะสัมผัสลิ้นก็รับรู้ได้ถึงรสชาดที่อร่อยสมกับที่ชายหนุ่มเอ่ยบอกจริงๆ
“อร่อยมั๊ยครับ ?”
เธอเงยมองผู้ชายหน้าหล่อที่ส่งยิ้มมาให้จนตาหยี ก่อนจะยิ้มรับและพยักหน้าเบาๆ
“สวัสดีค่ะ คุณเอกภพ”
เสียงใสของใครบางคนกล่าวทัก ทำให้เธอและเอกภพหันไปมองทางต้นเสียง
หญิงสาวในชุดแซคสีดำเรียบหรู ใบหน้างดงามมาพร้อมกับดีกรีนางแบบอันดับต้นๆ ของประเทศยืนส่งยิ้มมาให้
“สวัสดีครับ”
“วันนี้มิเชลไม่มาด้วยเหรอคะ ?”
คำถามที่ราวกับถามชายหนุ่ม แต่สายตากลับมุ่งตรงมองมาทางเธออย่างไม่ยอมลดละ
“ไม่ได้มาครับ”
“อ้อ ค่ะ ถ้างั้นมินนี่ขอตัวก่อนนะคะ ทานให้อร่อยและขอให้มีความสุขในค่ำคืนนี้นะคะ”
มินนี่ฉีกยิ้มมาให้ แววตาเปล่งประกายด้วยความคิดหมายมาดบางอย่าง ก่อนจะผละเดินจากไปร่วมโต๊ะกับกลุ่มเพื่อนที่นั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน แถมตาข้างขวาก็กระตุกยิบๆ
“อิ่มแล้วเหรอครับ ?”
เอกภพเอ่ยถาม เมื่อเห็นเธอรวบช้อนและยกน้ำขึ้นดื่ม
“อาหารไม่ถูกปากหรือเปล่า ทานไปนิดเดียวเอง หรือจะเปลี่ยนไปทานร้านอื่นดีมั๊ยครับ ?”
“ไม่ ไม่ต้องค่ะ พลอยอิ่มแล้วจริงๆ ค่ะ”
“งั้นทานของหวานหน่อยนะครับ แล้วเดี๋ยวพี่จะรีบไปส่งบ้าน รับรองไม่เกิน 3 ทุ่มแน่นอนครับ”
เอกภพยิ้มกว้างอย่างรู้ใจ แม้ตัวเองจะแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชื่นชอบและพึงพอใจในตัวร่างบางอย่างไม่ปิดบัง แต่ก็พยายามเว้นช่องว่างเอาไว้ให้พอดี
เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกอึดอัดจนเกินไปกับการที่ต้องไปไหนมาไหนกับเขา ซึ่งเป็นบุคคลที่จัดว่ามีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
เนื่องจากตระกูลของเขา ติดอันดับมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของประเทศ ประกอบกับการที่เขาเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง บริษัทที่เขาเป็นประธานบริหารก็กำลังก้าวหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง
ทำให้ตอนนี้เขาจัดเป็นไฮโซหนุ่มเนื้อหอมคนหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว
เขารู้เกี่ยวกับตัวเองดี และก็รู้อีกเช่นกันว่าผู้หญิงหน้าตาสวยหวานที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ ไม่ได้รู้สึกสนใจใยดีอะไรเลยสักนิดเดียวกับสิ่งที่เขามีและเป็นอยู่
ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ชื่อเสียง เกียรติยศ หน้าที่การงาน หรือว่าเงินทอง
โดยที่เธอมักจะทำตัวราวกับเขาเป็นเพียง “เพื่อนร่วมโลก” หรือเป็นเพียง “พี่ชาย” คนหนึ่งเท่านั้นเอง
“พี่ภพ”
เอกภพหันไปมองเสียงที่เรียกชื่อของเขาอย่างหงุดหงิด เมื่อเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่ในชุดแซกสีแดงเพลิง
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ มิเชล”
“พี่ภพมากับใครเหรอคะ ?”
มิเชลถาม และถือวิสาสะนั่งลงข้างชายหนุ่ม โดยไม่ได้รับการเชื้อเชิญใดๆ สักคำ
เอกภพหรี่ตามองสาวสวยตรงหน้า รู้สึกไม่พอใจทั้งการกระทำที่เรียกได้ว่าแทบจะไร้มารยาทอย่างสิ้นเชิง แล้วยังเรื่องที่ซอกแซกถาม ราวกับต้องการจะสืบประวัติส่วนตัวของเขาอย่างไงอย่างงั้น
“มากับ “คนพิเศษ” ของพี่”
เอกภพตอบเสียงเรียบ หน้านิ่งสนิท แต่บ่งบอกถึงความหนักแน่น ชัดเจน
“ฮึ คนพิเศษเหรอคะ !”
มิเชลถามย้ำอีกครั้ง มือบางกำไว้จนเกร็งด้วยความกรุ่นโกรธที่กำลังจะปะทุออกมา
“ครับ คนพิเศษ”
เอกภพรับคำอย่างยืนยัน
“แล้วมิเชลล่ะคะ พี่ภพไม่มีเวลาให้มิเชลเลย มิเชลโทรหาก็ไม่ว่าง ไม่ว่าง ติดธุระ ยุ่ง ทำงาน แล้วนี่อะไรคะ !”
มิเชลเริ่มโวยวายอย่างเก็บอารมณ์ความโมโหและความน้อยใจเอาไว้ไม่อยู่
ชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่เฝ้ารักเฝ้ารอเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ชีวิตของเธอก็รู้จักแต่เอกภพมาตลอด
จนเติบโตขึ้นมา เธอก็มีชีวิตอยู่มาได้ด้วยความหวังของผู้ใหญ่ ที่พร่ำบอกว่าเธอจะได้เป็นภรรยาของเขาอย่างสมบูรณ์ในสักวัน
แล้วนี่อะไร อยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งไม่มีหัวนอนปลายเท้า จะมาชุบมือเปิบพรากเขาไปง่ายๆ แบบนี้
ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เอกภพไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนเลยซักคน
เพิ่งจะมามีช่วงไม่กี่เดือนนี่เอง ที่เธอได้ยินข่าวคราวจากเพื่อนฝูงอยู่เป็นประจำ กับการที่เขามักจะควงผู้หญิงคนหนึ่งไปไหนมาไหนอยู่บ่อยๆ
เธอจะไม่ยอมเสียหน้า และจะไม่ยอมเสียผู้ชายคนนี้ไปเป็นอันขาด
“พี่ขอโทษนะครับ แต่เราเอาไว้คุยกันวันหลังนะ วันนี้พี่ขอตัวกลับก่อน”
เอกภพเอ่ยบอก หันไปมองผู้หญิงอีกคนด้วยความสงสาร เห็นใจ และรู้สึกผิด ที่เห็นใบหน้าหวานมีแต่ความซีดเซียวด้วยความตกใจ
“ไปไม่ได้ค่ะ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน !”
มิเชลดึงแขนร่างสูงที่กำลังลุกยืนให้นั่งลง จากนั้นก็หลุดถ้อยคำที่เจ็บแสบ ราวกับต้องการให้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าอันตรธานหายไปจากโลกใบนี้
“ไม่มีปัญญาหาแล้วหรือไง ถึงได้มาแย่งผู้ชายของคนอื่น แมวขโมย !”
ตามมาด้วยน้ำสีสันสวยงามที่เคยบรรจุอยู่ในแก้วใส สาดเข้าใส่ใบหน้านวลที่ยิ่งซีดหนักกว่าเดิมด้วยความตื่นตระหนกและทำตัวไม่ถูก
เอกภพตกใจสุดขีดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำหยาบคายที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกสาวของท่านรัฐมนตรี รวมทั้งการกระทำที่แสนร้ายกาจ
ร่างสูงลุกยืนและรีบอ้อมไปยังอีกฝั่งโต๊ะ ถอดเสื้อสูทออกและห่มคลุมให้กับร่างบางที่นั่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ราวกับลูกนกที่ถูกพรากจากอ้อมอกแม่
ความรู้สึกผิดบีบรัดและเกาะกุมหัวใจแกร่งจนเจ็บปวดที่สุด
“ไปให้พ้นเลยนะมิเชล อย่ามาให้พี่เห็นหน้าอีก !”
เสียงตวาดกราดกร้าวดังลั่น รู้สึกกรุ่นโกรธจนสุดจะบรรยาย ก่อนจะรีบโอบประคองร่างน้อยให้ออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่มองตาม พร้อมกับเสียงซุบซิบนินทา ซึ่งจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาและทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปอีกหลายวัน
Xหทัยรักจ้าวทะเลทรายX
“เจ้าชายรามเรซ !”
“เจ้าชายรามเรซ รัซวาล อัลฟาฮัช” เจ้าชายหนุ่มรูปงามในวัย 32 ปี
ผู้มีวงพักตร์หล่อเหลาคมคาย อย่างเฉกเช่นบุรุษในแถบแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ วรกายสูงโปร่งและกำยำราวกับนักรบในตำนาน ท่าทางสง่างามสมกับสายเลือดแห่งขัตติยะของราชวงศ์ชั้นสูง
ผู้เป็นองค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 แห่งประเทศ “ลาเนียญ่า”
ดวงเนตรสีนิลคมกริบดุจดังพญาอินทรีตวัดหันกลับมาทอดพระเนตรทางราชองครักษ์ประจำตัวที่ขานเรียก
“ว่าอย่างไร มาซาฮ์ ?”
“เจ้าชายเป็นอะไรไปพะเจ้าค่ะ หม่อมฉันเห็นพระองค์เหม่อลอย เรียกตั้งนานกว่าจะคืนสติ”
“เรารู้สึกเหมือน”
เจ้าชายหันทอดเนตรออกไปทางประตูบานใหญ่อีกครั้งอย่างครุ่นคิด ในขณะที่กำลังประทับนั่งรับประทานอาหารอยู่ภายในห้อง VIP ของโรงแรมแห่งนี้
ซึ่งเจ้าชายมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อมาพบกับนักธุรกิจที่ทำการนำเข้าและส่งออกจิวเวอรี่ ที่ติดต่อค้าขายกับประเทศลาเนียญ่ามาเป็นเวลาช้านานแล้ว
“รู้สึกเหมือนอะไรพะเจ้าค่ะ ?”
พันเอกฮิกซัส ราชองครักษ์อีกคนหนึ่งถามอย่างสงสัยในกิริยา อาการ และท่าทางของเจ้าชาย ที่ดูกระสับกระส่ายและผิดปกติอย่างไรชอบกล
วรองค์สูงสง่าลุกออกจากเก้าอี้ และก้าวพระบาทยาวๆ ผลักบานประตูออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ราชองครักษ์วิ่งตามมาติดๆ
ดวงเนตรคู่คมเพ่งพินิจออกไปบริเวณห้องโถงทางด้านนอกที่เป็นบริเวณทางเดินของโรงแรม
จนไปสะดุดเข้ากับเรือนร่างระหงของใครบางคน ที่ทอดพระเนตรเห็นเพียงเส้นผมสีดำสนิทที่ทิ้งตัวยาวสยายอยู่กลางแผ่นหลังบอบบาง ซึ่งสามารถเห็นได้เพียงไกลๆ
และเธอคนนั้นก็กำลังก้าวขึ้นรถคันหรู ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวพาเธอหายไปภายในชั่วพริบตา
เจ้าชายประทับยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับวิญญาณและดวงทหัยหลุดลอยออกไปจากวรกาย
ครู่ใหญ่ เมื่อสติกลับคืนมา จึงมีถ้อยคำตรัสที่หลุดออกมาจากริมโอษฐ์สีสด พร้อมกับพระพักตร์หล่อเหลาที่เปี่ยมไปด้วยความจริงจังที่สุด
“เรารู้สึกเหมือน กำลังจะได้พบ “นางในฝัน” ของเรา ในไม่ช้านี้ !”
บนโลกกลมๆ ใบนี้ มีเรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์เกิดขึ้นไม่เว้นในแต่ละวัน
อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีมีโอกาสได้พบเจอกับสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้
เช่นเดียวกับเส้นทางเดินของชีวิตต่างๆ ภายใต้ผืนฟ้า ที่ถูกโชคชะตาลิขิตและกำหนดเอาไว้แล้ว
เพียงแต่ต้องรอคอยจนกว่าจะถึงช่วงจังหวะ และเวลาที่เหมาะสม
เมื่อถึงกาลนั้น “พรหมลิขิต” จะเริ่มต้นทำงาน โดยมี “หัวใจ” เป็นตัวเชื่อมโยง อย่างไม่อาจพรากจาก
Xหทัยรักจ้าวทะเลทรายX
ณ ดินแดนผืนทรายสีทองแห่งนี้ จะมีเพียงรัก และมีเพียงแค่เรา
“หัวใจรักสองดวง” จะผูกพันไว้ด้วยกัน
จากนี้ .. จวบจนตลอดกาล
***********************
ร่างบางก้าวเดินเข้ามาภายในบริเวณตัวอาคารซึ่งมีสีสันสวยสดงดงาม รอบทิศทางเต็มไปด้วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง เด็กหญิง เด็กชายตัวน้อยๆ และอาจารย์ บ่งบอกให้สามารถรับรู้ได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือ “โรงเรียน”
โรงเรียน อนุบาล “นุชนาฎ” เปิดการเรียนการสอนในระดับชั้นอนุบาล 1 – 3 และเนอสเซอรี่ สำหรับเริ่มต้นเตรียมความพร้อมให้กับเด็กก่อนที่จะเข้าสู่อนุบาล เมื่อครบเกณฑ์อายุ
ซึ่งเธอได้เข้ามาเป็นคุณครูที่โรงเรียนนี้ได้เกือบ 3 เดือนแล้ว ตั้งแต่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง
เธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา ที่ชื่อ “แพรพลอย พินิจนันต์” อายุ 21 ปี
เธอมีชีวิตเติบโตขึ้นมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งมี “แม่ใหญ่” ที่เด็กกำพร้าทุกคนใน “บ้านแสงตะวัน” เรียกขาน และให้ความเคารพดุจดั่งเป็นแม่ที่แท้จริง เป็นผู้เลี้ยงดูมา
เธอมีความสามารถทางด้านการเรียนเข้าขั้นดีเยี่ยม จนสามารถสอบชิงทุนการศึกษา และมักจะได้โควตาพิเศษต่างๆ อยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ
ทำให้เธอค่อนข้างจะโชคดีและมีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในบ้านแสงตะวัน เพราะเธอได้ทุนเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงจบมหาวิทยาลัยอย่างไม่ยากลำบากมากนัก
และวันนี้ก็เป็นวันที่ความฝันหนึ่งเดียวในชีวิตของเธอได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ซึ่งก็ได้แต่ภาวนาเฝ้าวาดหวังว่าเธอจะประสบความสำเร็จกับอาชีพความเป็น “คุณครู”
เสียงตอบรับอนุญาตจากทางด้านใน ทำให้เธอผลักประตูไม้บานใหญ่ให้เปิดออก และแทรกตัวเดินเข้าไปด้วยท่าทางเรียบร้อย
“สวัสดีค่ะ ท่านผู้อำนวยการ”
เธอยกมือไหว้และกล่าวทักทายอย่างสุภาพ
“อ้าว คุณครูพลอย มามา กำลังรออยู่เลย”
คุณหญิงนุชนาฎ เจ้าของโรงเรียนยิ้มแย้มแจ่มใส เดินเข้ามาจับจูงมือเธอและพาให้ไปนั่งลงตรงโต๊ะรับแขก ซึ่งมีผู้หญิง 1 คน กับผู้ชายอีก 1 คน นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว
เธอยกมือไหว้คนทั้ง 2 เพราะจำได้ว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กนักเรียน และจะต้องมีธุระสำคัญกับเธอเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นผู้อำนวยการคงจะไม่เรียกตัวเธอมาพบเป็นการด่วนแบบนี้หรอก
ทั้ง 2 คน ยกมือไหว้ตอบ และยิ้มกว้างไม่แพ้ท่านผู้อำนวยการ
จากนั้นเธอก็ได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งเหตุผลทั้งหมดที่ทุกคนต้องการมาขอพบเธอในวันนี้
คุณพ่อและคุณแม่ของน้องเบนซ์ เด็กชายตัวน้อยที่เป็นนักเรียนให้ห้องของเธอ เดินทางมาเพื่อขอบคุณเธอเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้
เนื่องจากความซุกซนของน้องเบนซ์ ทำให้น้องเบนซ์หยิบแหวนเพชรของคุณแม่ นำใส่กระเป๋าหนังสือและพกมาที่โรงเรียนด้วย
และเมื่อเธอจัดเก็บการบ้านลงในกระเป๋าให้กับเด็กๆ ทั้งหลาย จนมีโอกาสได้พบแหวนซึ่งอยู่ในกระเป๋าของน้องเบนซ์
เธอจึงตัดสินใจโทรไปแจ้งให้ทางคุณแม่ของน้องเบนซ์ทราบ ทำให้คุณแม่รีบเร่งมาที่โรงเรียนภายในเวลาอันรวดเร็วด้วยท่าทางตื่นตระหนก ผสมปนเปไปด้วยความดีใจ
โดยบอกกับเธอว่าแหวนวงนี้มีความสำคัญมาก และมีมูลค่าหลายล้านบาทเลยทีเดียว
“พลอยขอไม่รับนะคะ”
เธอปฏิเสธ เมื่อคุณพ่อของน้องเบนซ์ยื่นซองสีขาวมาให้ และเอ่ยบอกว่าเป็นน้ำใจตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ
เธอเข้าใจดีว่าคนทั้งสองไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่การกระทำทั้งหมดของเธอนั้น เธอทำทุกอย่างด้วย “หัวใจ” ซึ่งไม่เคยคิดอยากได้สิ่งใดตอบแทนทั้งนั้น
“ขอโทษนะครับ แต่ผมกับภรรยาไม่ได้คิดจะดูถูกคุณครู ผมเพียงอยากจะตอบแทนเท่านั้น จริงๆ นะครับ”
เธอยิ้มหวาน เมื่อเห็นท่าทางลนลานและรู้สึกผิดของคุณพ่อคุณแม่น้องเบนซ์
“พลอยเข้าใจค่ะ พลอยขอรับไว้แค่น้ำใจของพวกคุณละกันนะคะ”
คุณพ่อคุณแม่ของน้องเบนซ์พยักหน้ารับรู้เข้าใจ และยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะขอตัวกลับไป
พร้อมกับประโยคทิ้งท้ายเป็นการกล่าวชื่นชมเธอ
“คุณครูเป็นคนดีมาก”
แค่คำๆ นี้ ก็รู้สึกดี อิ่มเอม ปลาบปลื้มเหลือเกิน และเพียงพอแล้วที่จะตอบแทนสิ่งที่เธอทำลงไปทั้งหมด
Xหทัยรักจ้าวทะเลทรายX
เธอสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ห้องจนถ้วนทั่ว เพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยภายในชั้นอนุบาล 1/3 อีกครั้ง ก่อนจะคว้ากระเป๋ามาสะพายไว้บนหัวไหล่มน
เดินมาและปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่ตรงข้างประตู หลังจากจัดการส่งเด็กนักเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบทุกคนกลับบ้านไปจนหมดแล้วก่อนหน้านี้ตอน 15.00 น.
และเมื่อเก็บของในห้อง เตรียมการเรียนการสอนไว้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ ก็ถึงเวลาที่เธอจะกลับบ้านแล้วในตอนเกือบๆ 5 โมงเย็น
มือบางผลักประตูให้เปิดออก และก็ได้พบกับร่างสูงของคนหนึ่งที่แสนคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะ คุณเอกภพ”
เธอยกมือไหว้ผู้ชายที่ยืนทำหน้าหล่ออยู่
เอกภพ กิจไพศาล ชายหนุ่มอายุ 30 ปี บุตรชายเพียงคนเดียวของคุณหญิงนุชนาฎ ซึ่งมักจะมาให้ได้พบเห็นอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ
ตั้งแต่วันแรกที่เธอมีโอกาสได้ย่างกรายเข้ามาสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ จวบจนกระทั่งวันนี้ ที่เขาพยายามจะเข้ามาทำความรู้จัก ให้ความสนิทสนม รวมทั้งแสดงออกถึงความมีน้ำอกน้ำใจอีกมากมายหลายอย่าง
“โธ่ น้องพลอย บอกว่าให้เรียกพี่เอกไงครับ”
เธอมองผู้ชายตัวโตๆ ที่ทำหน้างอนง้ำราวกับเด็กเล็กๆ ที่เอาแต่ใจ
“แต่นี่มันในโรงเรียนนะคะ พลอยกลัวว่าใครจะ”
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าน้องพลอยไปทานข้าวเป็นเพื่อนพี่ เพื่อเป็นการไถ่โทษละกันนะครับ”
คิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างสงสัย เพราะเธอยังนึกไม่ออกและไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าทำอะไรผิดกับเขากันแน่
“ไปเร็วครับ เดี๋ยวเย็นมาก รถจะติด”
จากนั้นชายหนุ่มผู้ที่ตั้งใจพูด แต่ไม่ได้ตั้งใจรอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธอะไรจากเธอทั้งนั้น ก็จัดการหยิบเอกสารและหนังสือในมือของเธอไปถือให้ และก้าวเดินนำหน้าไป
“น้องพลอย มาเร็วๆ สิครับ”
เอกภพหยุดยืน และหันกลับมาเรียกอีกครั้ง เมื่อเธอยืนนิ่งอยู่กับที่ ยังไม่ยอมเดินตามไป
“เอ่อ ค่ะ ค่ะ”
เธอรับคำอย่างงงๆ และเดินตามชายหนุ่มไปอย่างงงๆ เหมือนเดิม
Xหทัยรักจ้าวทะเลทรายX
บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูหราระดับ 10 ดาว ใจกลางกรุงเทพมหานคร มีร้านอาหารชื่อดัง
ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยบรรดาบุคคลในแวดวงสังคมชั้นสูง ผู้มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศไทย เดินเข้าเดินออกเพื่อมารับประทานอาหาร ณ สถานที่อันสุดแสนโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างคับคั่ง
ร่างบางนั่งกระสับกระส่ายอย่างไม่ค่อยสบายใจและเต็มไปด้วยความอึดอัด รู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทางซะเหลือเกิน
“ลองทานนี่สิครับ อร่อยนะ”
เอกภพตักอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดในร้านนี้ใส่จานของเธอ และแนะนำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
เธอพยักหน้ารับรู้และตักเนื้อรูปร่างหน้าตาน่ารับประทานใส่ปาก เมื่ออาหารแตะสัมผัสลิ้นก็รับรู้ได้ถึงรสชาดที่อร่อยสมกับที่ชายหนุ่มเอ่ยบอกจริงๆ
“อร่อยมั๊ยครับ ?”
เธอเงยมองผู้ชายหน้าหล่อที่ส่งยิ้มมาให้จนตาหยี ก่อนจะยิ้มรับและพยักหน้าเบาๆ
“สวัสดีค่ะ คุณเอกภพ”
เสียงใสของใครบางคนกล่าวทัก ทำให้เธอและเอกภพหันไปมองทางต้นเสียง
หญิงสาวในชุดแซคสีดำเรียบหรู ใบหน้างดงามมาพร้อมกับดีกรีนางแบบอันดับต้นๆ ของประเทศยืนส่งยิ้มมาให้
“สวัสดีครับ”
“วันนี้มิเชลไม่มาด้วยเหรอคะ ?”
คำถามที่ราวกับถามชายหนุ่ม แต่สายตากลับมุ่งตรงมองมาทางเธออย่างไม่ยอมลดละ
“ไม่ได้มาครับ”
“อ้อ ค่ะ ถ้างั้นมินนี่ขอตัวก่อนนะคะ ทานให้อร่อยและขอให้มีความสุขในค่ำคืนนี้นะคะ”
มินนี่ฉีกยิ้มมาให้ แววตาเปล่งประกายด้วยความคิดหมายมาดบางอย่าง ก่อนจะผละเดินจากไปร่วมโต๊ะกับกลุ่มเพื่อนที่นั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน แถมตาข้างขวาก็กระตุกยิบๆ
“อิ่มแล้วเหรอครับ ?”
เอกภพเอ่ยถาม เมื่อเห็นเธอรวบช้อนและยกน้ำขึ้นดื่ม
“อาหารไม่ถูกปากหรือเปล่า ทานไปนิดเดียวเอง หรือจะเปลี่ยนไปทานร้านอื่นดีมั๊ยครับ ?”
“ไม่ ไม่ต้องค่ะ พลอยอิ่มแล้วจริงๆ ค่ะ”
“งั้นทานของหวานหน่อยนะครับ แล้วเดี๋ยวพี่จะรีบไปส่งบ้าน รับรองไม่เกิน 3 ทุ่มแน่นอนครับ”
เอกภพยิ้มกว้างอย่างรู้ใจ แม้ตัวเองจะแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชื่นชอบและพึงพอใจในตัวร่างบางอย่างไม่ปิดบัง แต่ก็พยายามเว้นช่องว่างเอาไว้ให้พอดี
เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกอึดอัดจนเกินไปกับการที่ต้องไปไหนมาไหนกับเขา ซึ่งเป็นบุคคลที่จัดว่ามีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
เนื่องจากตระกูลของเขา ติดอันดับมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของประเทศ ประกอบกับการที่เขาเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง บริษัทที่เขาเป็นประธานบริหารก็กำลังก้าวหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง
ทำให้ตอนนี้เขาจัดเป็นไฮโซหนุ่มเนื้อหอมคนหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว
เขารู้เกี่ยวกับตัวเองดี และก็รู้อีกเช่นกันว่าผู้หญิงหน้าตาสวยหวานที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ ไม่ได้รู้สึกสนใจใยดีอะไรเลยสักนิดเดียวกับสิ่งที่เขามีและเป็นอยู่
ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ชื่อเสียง เกียรติยศ หน้าที่การงาน หรือว่าเงินทอง
โดยที่เธอมักจะทำตัวราวกับเขาเป็นเพียง “เพื่อนร่วมโลก” หรือเป็นเพียง “พี่ชาย” คนหนึ่งเท่านั้นเอง
“พี่ภพ”
เอกภพหันไปมองเสียงที่เรียกชื่อของเขาอย่างหงุดหงิด เมื่อเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่ในชุดแซกสีแดงเพลิง
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ มิเชล”
“พี่ภพมากับใครเหรอคะ ?”
มิเชลถาม และถือวิสาสะนั่งลงข้างชายหนุ่ม โดยไม่ได้รับการเชื้อเชิญใดๆ สักคำ
เอกภพหรี่ตามองสาวสวยตรงหน้า รู้สึกไม่พอใจทั้งการกระทำที่เรียกได้ว่าแทบจะไร้มารยาทอย่างสิ้นเชิง แล้วยังเรื่องที่ซอกแซกถาม ราวกับต้องการจะสืบประวัติส่วนตัวของเขาอย่างไงอย่างงั้น
“มากับ “คนพิเศษ” ของพี่”
เอกภพตอบเสียงเรียบ หน้านิ่งสนิท แต่บ่งบอกถึงความหนักแน่น ชัดเจน
“ฮึ คนพิเศษเหรอคะ !”
มิเชลถามย้ำอีกครั้ง มือบางกำไว้จนเกร็งด้วยความกรุ่นโกรธที่กำลังจะปะทุออกมา
“ครับ คนพิเศษ”
เอกภพรับคำอย่างยืนยัน
“แล้วมิเชลล่ะคะ พี่ภพไม่มีเวลาให้มิเชลเลย มิเชลโทรหาก็ไม่ว่าง ไม่ว่าง ติดธุระ ยุ่ง ทำงาน แล้วนี่อะไรคะ !”
มิเชลเริ่มโวยวายอย่างเก็บอารมณ์ความโมโหและความน้อยใจเอาไว้ไม่อยู่
ชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่เฝ้ารักเฝ้ารอเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ชีวิตของเธอก็รู้จักแต่เอกภพมาตลอด
จนเติบโตขึ้นมา เธอก็มีชีวิตอยู่มาได้ด้วยความหวังของผู้ใหญ่ ที่พร่ำบอกว่าเธอจะได้เป็นภรรยาของเขาอย่างสมบูรณ์ในสักวัน
แล้วนี่อะไร อยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งไม่มีหัวนอนปลายเท้า จะมาชุบมือเปิบพรากเขาไปง่ายๆ แบบนี้
ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เอกภพไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนเลยซักคน
เพิ่งจะมามีช่วงไม่กี่เดือนนี่เอง ที่เธอได้ยินข่าวคราวจากเพื่อนฝูงอยู่เป็นประจำ กับการที่เขามักจะควงผู้หญิงคนหนึ่งไปไหนมาไหนอยู่บ่อยๆ
เธอจะไม่ยอมเสียหน้า และจะไม่ยอมเสียผู้ชายคนนี้ไปเป็นอันขาด
“พี่ขอโทษนะครับ แต่เราเอาไว้คุยกันวันหลังนะ วันนี้พี่ขอตัวกลับก่อน”
เอกภพเอ่ยบอก หันไปมองผู้หญิงอีกคนด้วยความสงสาร เห็นใจ และรู้สึกผิด ที่เห็นใบหน้าหวานมีแต่ความซีดเซียวด้วยความตกใจ
“ไปไม่ได้ค่ะ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน !”
มิเชลดึงแขนร่างสูงที่กำลังลุกยืนให้นั่งลง จากนั้นก็หลุดถ้อยคำที่เจ็บแสบ ราวกับต้องการให้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าอันตรธานหายไปจากโลกใบนี้
“ไม่มีปัญญาหาแล้วหรือไง ถึงได้มาแย่งผู้ชายของคนอื่น แมวขโมย !”
ตามมาด้วยน้ำสีสันสวยงามที่เคยบรรจุอยู่ในแก้วใส สาดเข้าใส่ใบหน้านวลที่ยิ่งซีดหนักกว่าเดิมด้วยความตื่นตระหนกและทำตัวไม่ถูก
เอกภพตกใจสุดขีดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำหยาบคายที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกสาวของท่านรัฐมนตรี รวมทั้งการกระทำที่แสนร้ายกาจ
ร่างสูงลุกยืนและรีบอ้อมไปยังอีกฝั่งโต๊ะ ถอดเสื้อสูทออกและห่มคลุมให้กับร่างบางที่นั่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ราวกับลูกนกที่ถูกพรากจากอ้อมอกแม่
ความรู้สึกผิดบีบรัดและเกาะกุมหัวใจแกร่งจนเจ็บปวดที่สุด
“ไปให้พ้นเลยนะมิเชล อย่ามาให้พี่เห็นหน้าอีก !”
เสียงตวาดกราดกร้าวดังลั่น รู้สึกกรุ่นโกรธจนสุดจะบรรยาย ก่อนจะรีบโอบประคองร่างน้อยให้ออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่มองตาม พร้อมกับเสียงซุบซิบนินทา ซึ่งจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาและทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปอีกหลายวัน
Xหทัยรักจ้าวทะเลทรายX
“เจ้าชายรามเรซ !”
“เจ้าชายรามเรซ รัซวาล อัลฟาฮัช” เจ้าชายหนุ่มรูปงามในวัย 32 ปี
ผู้มีวงพักตร์หล่อเหลาคมคาย อย่างเฉกเช่นบุรุษในแถบแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ วรกายสูงโปร่งและกำยำราวกับนักรบในตำนาน ท่าทางสง่างามสมกับสายเลือดแห่งขัตติยะของราชวงศ์ชั้นสูง
ผู้เป็นองค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 แห่งประเทศ “ลาเนียญ่า”
ดวงเนตรสีนิลคมกริบดุจดังพญาอินทรีตวัดหันกลับมาทอดพระเนตรทางราชองครักษ์ประจำตัวที่ขานเรียก
“ว่าอย่างไร มาซาฮ์ ?”
“เจ้าชายเป็นอะไรไปพะเจ้าค่ะ หม่อมฉันเห็นพระองค์เหม่อลอย เรียกตั้งนานกว่าจะคืนสติ”
“เรารู้สึกเหมือน”
เจ้าชายหันทอดเนตรออกไปทางประตูบานใหญ่อีกครั้งอย่างครุ่นคิด ในขณะที่กำลังประทับนั่งรับประทานอาหารอยู่ภายในห้อง VIP ของโรงแรมแห่งนี้
ซึ่งเจ้าชายมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อมาพบกับนักธุรกิจที่ทำการนำเข้าและส่งออกจิวเวอรี่ ที่ติดต่อค้าขายกับประเทศลาเนียญ่ามาเป็นเวลาช้านานแล้ว
“รู้สึกเหมือนอะไรพะเจ้าค่ะ ?”
พันเอกฮิกซัส ราชองครักษ์อีกคนหนึ่งถามอย่างสงสัยในกิริยา อาการ และท่าทางของเจ้าชาย ที่ดูกระสับกระส่ายและผิดปกติอย่างไรชอบกล
วรองค์สูงสง่าลุกออกจากเก้าอี้ และก้าวพระบาทยาวๆ ผลักบานประตูออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ราชองครักษ์วิ่งตามมาติดๆ
ดวงเนตรคู่คมเพ่งพินิจออกไปบริเวณห้องโถงทางด้านนอกที่เป็นบริเวณทางเดินของโรงแรม
จนไปสะดุดเข้ากับเรือนร่างระหงของใครบางคน ที่ทอดพระเนตรเห็นเพียงเส้นผมสีดำสนิทที่ทิ้งตัวยาวสยายอยู่กลางแผ่นหลังบอบบาง ซึ่งสามารถเห็นได้เพียงไกลๆ
และเธอคนนั้นก็กำลังก้าวขึ้นรถคันหรู ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวพาเธอหายไปภายในชั่วพริบตา
เจ้าชายประทับยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับวิญญาณและดวงทหัยหลุดลอยออกไปจากวรกาย
ครู่ใหญ่ เมื่อสติกลับคืนมา จึงมีถ้อยคำตรัสที่หลุดออกมาจากริมโอษฐ์สีสด พร้อมกับพระพักตร์หล่อเหลาที่เปี่ยมไปด้วยความจริงจังที่สุด
“เรารู้สึกเหมือน กำลังจะได้พบ “นางในฝัน” ของเรา ในไม่ช้านี้ !”
บนโลกกลมๆ ใบนี้ มีเรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์เกิดขึ้นไม่เว้นในแต่ละวัน
อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีมีโอกาสได้พบเจอกับสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้
เช่นเดียวกับเส้นทางเดินของชีวิตต่างๆ ภายใต้ผืนฟ้า ที่ถูกโชคชะตาลิขิตและกำหนดเอาไว้แล้ว
เพียงแต่ต้องรอคอยจนกว่าจะถึงช่วงจังหวะ และเวลาที่เหมาะสม
เมื่อถึงกาลนั้น “พรหมลิขิต” จะเริ่มต้นทำงาน โดยมี “หัวใจ” เป็นตัวเชื่อมโยง อย่างไม่อาจพรากจาก
Xหทัยรักจ้าวทะเลทรายX
ศศิธาราริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 เม.ย. 2557, 13:03:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 เม.ย. 2557, 13:08:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 1967
2 >> |
ร้อยวจี 28 เม.ย. 2557, 14:47:27 น.
ขอหวานๆ อีกนะคะ ชอบค่ะ
ขอหวานๆ อีกนะคะ ชอบค่ะ
แว่นใส 28 เม.ย. 2557, 15:04:14 น.
ยังไม่เจอจัง ๆ เลย
ยังไม่เจอจัง ๆ เลย
รรวโรจน์ 28 เม.ย. 2557, 20:42:58 น.
ไม่เห็นฝาก EBook ไว้ละคะลิงก์นะ
ไม่เห็นฝาก EBook ไว้ละคะลิงก์นะ
Zephyr 28 เม.ย. 2557, 23:37:19 น.
เปิดมาก็ดุเดือดเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
แหม นางเอกหงอไปหน่อยนะคะ
นึกว่านางจะลุกขึ้นสู้ซะอีก
เปิดมาก็ดุเดือดเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
แหม นางเอกหงอไปหน่อยนะคะ
นึกว่านางจะลุกขึ้นสู้ซะอีก