มณีจันทรา
w6OUUR.jpg [677x756px] ฝากรูป


นิยาย มณีจันทรา

รักในชาติภพหนึ่ง คือพันธะสัญญาและหน้าที่

รักในชาติภพนี้คือความผูกจิตสนิทแน่นทั้งหัวใจ

เพราะเชื่อในคำสัญญา... ศศิพิลาสจึงรัก รอ และหวัง

เพราะถือในสัจวาจา... องค์เจษฎาจึงต้องกระทำดังนั้น

เพราะมั่นในความดี... นรวีจึงเสียสละและรอคอย

เพราะศรัทธาในหัวใจ... นลินดาจึงมั่นใจ รักจะไม่เป็นอื่น

ทุกชีวิตยึดโยงกันด้วยเส้นใยที่ว่า่กันว่า่เหนียวที่สุดในโลก

ที่ชื่อ 'ความรัก'

และดำรงอยู่เพื่อรอเวลาผันแปร เข้าใจ ละวางหรือทุกข์ทน

ก็ด้วยเส้นใยเส้นสุดท้าย... 'ความหวัง'

'กาลเคลื่อนผ่าน.. เวลาหมุนวนไปตามวิถีโลก

สรรพสิ่ง...ไม่มีสิ่งใดเที่ยงทน นั้นคือความจริงแท้'


หากทุกหัวใจก็พร้อมจะเดินทางต่อไปร่วมกัน

บนเส้นทางวัฏสงสารที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

***
แนะนำตัวละคร




UvIA8j.jpg [400x500px] ฝากรูป


รวินท์


รวินท์ ชายหนุ่มนักเรียนนอก ทายาทเจ้าของโรงแรมภูวันดา หนุ่มเท่ห์ หล่อจัด ชนิดสาวกรี๊ด จริงจังกับงาน เคร่งครึม ยิ้มยาก มีความรับผิดชอบสูง มีความโรแมนติกให้กับแฟนสาวเพียงคนเดียว คือ นลินดา...


h9hmWy.jpg [500x571px] ฝากรูป


นลินดา

นลินดา สาวมั่น ผู้จัดการภูวันดาสปา (อยู่ในเครือเดียวกับโรงแรม ใช้พื้นที่ร่วมกัน) แฟนสาวของรวินท์ มีสัมผัสที่หก รู้ถึงอันตราย ที่จะมาใกล้ และสามารถติดต่อกับดวงวิญญาณคุณวรรณดาแม่ของรวินท์ได้



IY8ZtK.jpg [406x375px] ฝากรูป


ศศิพิลาส

ศศิพิลาส หญิงสาวผู้งดงามเหมือนนางอัปสร


nJG4Gg.jpg [340x492px] ฝากรูป

นรวีร์

นรวีร์ ชายหนุ่มผู้มีความมั่นคงในความรัก


ขอนำเสนอนิยายแนวรักข้ามภพชาติ ให้ลองอ่านกันค่ะ

เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว สำนวนการใช้ภาษาอาจแตกต่างจากปัจจุบันบ้างนะคะตามแนวของเรื่อง อยากนำงานเก่าๆ มาให้นักอ่านได้ลองอ่านกันบ้างค่ะ

ชอบไม่ชอบยังไง เม้นบอกกันได้นะคะ

รักนักอ่านค่ะ

รวิญาดา /ผการุ้ง

Tags: มณีจันทรา

ตอน: ตอนที่ 7.

7.



ชายหนุ่มคนนั้น เดินตรงมาหาหญิงสาว เขาส่งยิ้มละมุน ดวงตาแจ่มใส แววตาที่เธอเห็นไม่มีร่องรอยของความกรุ้มกริ่มปรากฏอยู่แม้แต่น้อย หญิงสาวจึงยิ้มตอบ

“สวัสดีครับ...”เสียงทุ้มนุ่มนวลดังขึ้นเบาๆ

“สะ...สวัสดีค่ะ”

นลินดาทักทายตอบ เสียงนั้นตะกุกตะกัก และแสนจะแผ่วเบา

“คุณคงเป็นแขกที่มาพักที่นี่”

ชายหนุ่มเอ่ยถามคิ้วดำเข้มยกสูงดวงตาคมทอประกายละมุนทอดมองใบหน้าเนียนนิ่งคล้ายขบขัน ริมฝีปากบางยกขอบสวยคล้ายสตรี แย้มออกน้อยๆ เห็นไรฟันขาวสะอาด

“ฉันทำงานที่นี่ค่ะ เป็นผู้จัดการสปา”

นลินดาตอบเขาเสียงเป็นปกติ หลังจากตั้งสติได้แล้ว เธอมอง

หน้าอีกฝ่ายนิ่ง มิได้มีความหลงใหลปรากฏอยู่ในแววตา หากจ้องมองอย่างสงสัย ว่าเขาเป็นใครกันแน่...

กระแสพลังบางอย่าง แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่นี้ คลื่นพลังอ่อนละเอียดบางเบา นุ่มละมุน อย่างผู้เต็มพร้อมด้วยศีลธรรมและความดีงาม ยามสัมผัสใกล้ชิด มีแต่ความใสเย็นในดวงจิต

“คุณคงเป็นแขกที่มาพัก”เธอย้อนถาม

“ผมมาถึงที่นี่เมื่อวานนี้” เสียงนุ่มนวลไพเราะตอบคำ“ผมมาดูว่ามีอะไรเสียหายบ้าง”

“ก็เสียหายไม่น้อย ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อครู่ ไม่ทันได้เห็นเหตุการณ์”

นลินดาหันไปดูพี่ชายกับคนรัก ทั้งสองผละจากกลุ่มนักดับเพลิง เดินตรงมาหาเธอ หญิงสาวปรายตามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ รวินท์กับนัทธีคงเห็นว่าเธอคุยกับเขาอยู่ เลยเดินเข้ามาหา

ชายหนุ่มทอดสายตามองไปยังกลุ่มคน ที่ยืนคุยกัน ด้านหน้า

รถดับเพลิง รอยยิ้มละไมปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นสองคนในกลุ่มนั้นเดินตรงมา...

“เป็นไงยายลิน เผลอแผล็บเดียว แอบมาคุยกับหนุ่มอยู่ที่นี่เอง”

นัทธีเอ่ยยิ้มๆ เขาค้อมศีรษะทักทาย คนที่ยืนอยู่ข้างๆน้องสาว

“เอาอีกแล้วนะพี่นัท สร้างความร้าวฉาน คืองานของเราจริงๆ”

นลินดาตีเผียะที่แขนพี่ชายแรงๆ ก่อนหันมาแนะนำให้สาม

หนุ่มรู้จักกัน

“ร้อยตำรวจเอกนัทธีกับคุณรวินท์ค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อนรวีร์”

นรวีร์จับมือทักทายกับสองหนุ่มตามมารยาทสังคม เขาจับมือ

นายตำรวจหนุ่มก่อน แล้วจับมือเจ้าของโรงแรมเป็นคนถัดมา

รวินท์กระชับมือกับชายหนุ่มในชุดขาว เขาจำได้ว่าเคยพบ ชายคนนี้เมื่อคืนที่ผ่านมา ดวงตาสองคู่ประสานกัน ก่อนที่เขาจะปล่อยมืออีกฝ่ายออก

“ฉันชื่อนลินดาค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณนรวีร์”นลินดาส่งมือให้ชายหนุ่มจับ

นรวีร์ค้อมศีรษะให้ กระชับมือตอบ เมื่อเห็นสายตาของรวินท์จ้องมองมา เขาจึงทอดจังหวะปล่อยมือ ให้อ้อยอิ่งลง ดวงตาเรียวคมเป็นประกาย ริมฝีปากแย้มออก เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่วหน้า ดวงตาดำจัดมีรอยหวงแหนปรากฏอยู่

“นรวีร์ ข้ามีชีวิตอยู่ เพื่อรอคอยเจษฎากลับคืนมา ข้ามิอาจมอบความรักให้เจ้าได้” คำพูดของศศิพิลาส ดังแว่วมา

“ศศิ... เจษฎาของเจ้า เปลี่ยนไปแล้ว”

นรวีร์สะท้อนใจ นึกถึงผู้รอคอยอยู่อีกแดนด้วยความเวทนา

ศศิพิลาสยังผูกสมัครรักมั่นเพียงชายผู้นี้ มาตลอดนับพันปี นางเฝ้ารอคอยเขาด้วยความสัตย์ซื่อ ทว่า... เจษฎาของนางในชาติภพนี้ มิได้หลงเหลือความทรงจำใดใด ที่มีต่อนางเลย...

นลินดาสังเกตเห็นสายตาของรวินท์ เธอจึงขยับเข้ามายืนชิดเขา สอดแขนคล้องแขนชายหนุ่มไว้ ก่อนเอ่ยว่า

“พี่นัทเป็นพี่ชายลินค่ะ ส่วนรวินท์เป็นแฟนค่ะ”

คำสุดท้ายลงเสียงหนัก ตอกย้ำให้เพื่อนใหม่ รับรู้ถึงสถานะของเธอกับเจ้าของโรงแรมหนุ่ม

คนได้ยินยิ้มกว้าง ไม่สะทกสะท้าน “แฟนคุณท่าทาง องอาจ สง่างาม เหมือนเจ้าชายเลยนะครับ”นรวีร์เอ่ยเสียงนุ่ม

“ถ้านิสัยคงใช่ค่ะ แต่ฐานันดรศักดิ์ไม่ถึงค่ะ”

นลินดาหัวเราะเสียงใส ถูกใจกับคำชมนั้น แต่คนถูกชมกับนิ่ว

หน้า ก่อนจะคลายเมื่อรู้สึกตัว ดวงตาคมงาม จ้องมองคนชมนิ่ง

อีกฝ่ายมองตอบ ดวงตายาวเรียวสงบนิ่ง ราวกับน้ำทะเลลึก ทว่า...ซ่อนรอยบางอย่างที่ทำให้คนเห็นสะท้านไหว จนต้องเบนหลบสายตาไปเอง

“ใครจะรู้ล่ะครับ ว่าคุณรวินท์ ไม่เคยเป็นเจ้าชายมาก่อน”นรวีร์เอ่ยยิ้มๆ

“นั่นสิครับ ผมเองก็คงจะเคยเกิดเป็นเจ้าชาย กะเขาเหมือนกัน”

นัทธีร่วมขบวนด้วย เขายืดไหล่ วางท่าทรงภูมิประกอบคำพูด ทำให้คนเห็นอดหัวเราะไม่ได้ บรรยากาศครื้นเครง สดใสขึ้น

“ขำๆครับ เครียดกันมามาก หัวเราะสักนิดจะได้ผ่อนคลาย”นัทธียิ้มกว้าง เขาหันไปมองซากเพลิงไหม้ สาเหตุแห่งความเครียด แล้วถอนหายใจเสียงดัง

“ไฟไหม้หนนี้ ทำเอาวุ่นกันไปหมด”

“คุณนรวีร์ คงตกใจเหมือนกัน”นลินดาหันไปคุยกับชายหนุ่มในชุดขาว

นรวีร์ยิ้มรับ ไม่ตอบอะไร เขามองดูสถานที่เกิดเหตุนิ่ง

“ที่แห่งนั้น คงเป็นที่แห่งความทรงจำใช่ไหมครับ” เขาเอ่ยลอยๆ ไม่เจาะจง

หากรวินท์กลับรู้สึกว่า นรวีร์กำลังพูดประโยคนี้กับเขา

“ครับ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เก็บความทรงจำในอดีตไว้มากมาย” ปลายเสียงแผ่วอ่อน สะท้อนถึงอารมณ์หม่นซึมของคนพูด

“อดีตบางอย่าง เกี่ยวเนื่องกับปัจจุบัน”

นรวีร์ทอดเสียงนุ่มเบา เขามองหน้าเจ้าของโรงแรมหนุ่มนิ่ง ริมฝีปากแย้มออกเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

รวินท์ชะงักงัน เรียวคิ้วดกหนาขมวดนิ่ว ความรู้สึกที่ยากอธิบาย ห่อคลุมหัวใจจนสะท้านไหว...

ภาพความฝันเมื่อคืนก่อน กับภาพนิมิตที่เขาเห็นก่อนหน้า คล้ายหมุนวนเข้ามาในหัว เขานึกถึงจี้ห้อยคอขึ้นมา ผลึกจันทร์ทำให้เขาฝันแปลกๆ ครั้งล่าสุด ถึงกับทำให้เห็นภาพนิมิต อีกทั้งยังรู้สึกและสัมผัส สิ่งที่เห็นได้ ราวกับเคยเกิดขึ้นกับตัวเอง

รวินท์กำมือแน่นอย่างลืมตัว เหงื่อไหลซึมเต็มหน้าผาก...

ขณะเดียวกัน นลินดากับนัทธีคล้ายถูกกัน จากการพูดคุยอย่างไม่รู้ตัว ทั้งสองยืนนิ่งเหมือนกำลังฟังสองหนุ่มสนทนา ทว่า...ความจริงแล้วทั้งสองมิได้ร่วมรับรู้ บทสนทนานั้นเลย เวลารอบกายราวกับ ถูกควบคุมให้หมุนเอื่อยลง มีเพียงรวินท์กับนรวีร์ที่ยังคงสื่อสารกันอยู่

นรวีร์มองหน้ารวินท์ แววตาคล้ายมีรอยบางอย่างที่ตรึงให้อีกฝ่ายนิ่งฟัง

“หากเรารู้เรื่องราวในอดีตได้ เราจะทำยังไงครับ”เสียงทุ้มนุ่มนวลราบเรียบ ไม่มีรอยคาดคั้นในน้ำเสียง

รวินท์ส่ายหน้าไปมา ก่อนตอบคำถามนั้นว่า

“มนุษย์มีจิตใจไม่ใช่สิ่งของ จะเคยเป็นของใคร รักใครมาก่อน ย่อมกำหนดไม่ได้ ถ้าชาติก่อนผมเคยเป็นใคร เคยทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง ชาตินี้ถ้าผมมีโอกาสแก้ไขได้ ผมคงเลือกที่จะทำ” เขาถอนหายใจเมื่อพูดจบ

นรวีร์มองหน้าอดีตเจ้าชายเจษฎานิ่ง การกระตุ้นเมื่อคืน ทำให้ชายหนุ่มเริ่มจดจำสิ่งต่างๆ ในอดีตได้มากขึ้น หากนำพาเขาไปพบศศิพิลาส โดยที่เขาจดจำนางไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์ และดูไม่ยุติธรรมกับเขา รวินท์ต้องรับรู้อดีตชาติของตนก่อน เมื่อรู้แล้วชายหนุ่มจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าจะไปพบกับศศิพิลาสหรือไม่...

ชายหนุ่มชาวจันทรกานต์ ระบายลมหายใจแรง พร้อมกับดีดนิ้ว คลายมนต์สะกด

นลินดากับนัทธี สะดุ้งเฮือก สองพี่น้องมองหน้ากัน ดวงตามีรอยงุนงงปรากฏอยู่ ความรู้สึกละม้ายสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด เมื่อถูกใครสะกิดเรียก ทำให้ทั้งคู่สับสน หากซ่อนอาการนั้นไว้ไม่เอ่ยออกมาให้ใครรับรู้

รวินท์สูดลมหายใจเข้าออกยาว ระงับความสั่นไหวของหัวใจให้สงบลง เมื่อสติมาความฟุ้งซ่านก็เตลิดหาย ชายหนุ่มรู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง เขาหันมามองคนข้างกาย นลินดากับนัทธีกำลังมองหน้าเขาอยู่ แววตาของสองพี่น้องปัดผ่านไปยัง ใบหน้าของเพื่อนใหม่ คล้ายกำลังสงสัยบางอย่าง

ขณะที่ฝ่ายนั้น ได้แต่ยิ้มบางๆ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“คุณนรวีร์อยู่ที่ไหนคะ ตอนที่เกิดไฟไหม้” นลินดาเอ่ยถามในทำนองชวนคุย มากกว่าจะคาดคั้น

นัทธีกับรวินท์สบตากัน ก่อนหันไปมองหน้าคนถูกถาม นรวีร์ยิ้มกว้างขวางเปิดเผย ดวงตาทอประกายกล้า ไม่มีร่องรอยผิดปกติเมื่อถูกถามคำถามนี้อย่างจู่โจม

“ผมอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ครับ”ปลายนิ้วเรียวยาว ชี้ไปยังด้านหลังอาคารพิพิธภัณฑ์ “ผมเดินมาตามทางเดิน ผ่านด้านหลังโรงแรมไปทางนั้นครับ”

“แถวๆบ้านคุณรวินท์นี่ครับ”นัทธีเอ่ยขึ้น

“ไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามอะไรครับพี่นัท แขกของโรงแรม มักจะเดินเล่นชมสวน ไปแถวหน้าบ้านผมบ่อยๆ ทางมันตัดผ่านถึงกันครับ”เจ้าของสถานที่อธิบาย

จากโรงแรมมีทางเดินทอดยาว ผ่านสวนดอกไม้นานาพันธุ์ กินอาณาบริเวณไปถึงด้านหน้ารั้วบ้านของเขา มีกำแพงหินศิลาแลงกั้นเป็นรั้วกั้นพื้นที่ไว้เป็นสัดส่วน ให้แยกออกจากบริเวณของโรงแรมเท่านั้น

“มัวแต่คุยเพลิน ผมเพิ่งนึกได้...”

นรวีร์ล้วงกระเป๋าหยิบของสิ่งหนึ่ง ชูให้ทั้งสามดู

“ผมเจอของสิ่งนี้ตกอยู่”

ประกายวาวใส ระยิบระยับสะท้อนมา อัญมณีสีอำพันบนจี้ห้อยคอ หมุนติ้วไปมา เมื่อถูกชูขึ้นสูง ดวงตาสามคู่มองสิ่งนั้นอย่างแปลกใจ แล้วหันมามองหน้ากัน

“คุณพบจี้ห้อยคอนี่ ที่ไหนครับ”เจ้าของจี้เอ่ยถาม มองหน้าคนถืออย่างสงสัย

นรวีร์ยิ้มกว้าง ตอบคำถามด้วยท่าทีสงบว่า“ผมเจอมันตกอยู่ด้านหลังโรงแรม แถวๆใกล้ลานจอดรถครับ”

“มันมาตกอยู่แถวนั้นได้ยังไง”นัทธีมองหน้าคนพบ ค้นหา

ร่องรอยพิรุธ

“นั่นสิคะ คุณทำหล่นไว้หรือเปล่าคะรวินท์”นลินดาเอ่ยถามคน

รัก

รวินท์ส่ายหน้า “ผมเก็บไว้ในห้องนอน ตอนที่เห็นไฟไหม้ ผม

ทิ้งมันไว้บนเตียง”เขาว่า

นรวีร์ลอบยิ้ม หวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมา...

ร่างของชายสองคนเดินออกมาจากบ้านของรวินท์ คนหนึ่งรูปร่างเล็กอีกคนตัวใหญ่กว่าอีกคนมาก ทั้งสองเดินมาที่ลานจอดรถ เมื่อเห็นเขายืนอยู่ ทั้งคู่ชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้

“เฮ้ย! มายืนขวางหน้าทำไมวะ”ไอ้ตัวใหญ่ถามเสียงดัง

“มารอคน...”เขาตอบ พร้อมกับมองหน้าทั้งสองคนนิ่ง

ใบหน้าคมคายดูสำอางไร้พิษสง ทำให้เจ้าตัวใหญ่ประเมินว่าอีกฝ่ายคงแหยแฝ่น มันจึงเดินอาดๆเข้าไปกระชากคอเสื้อ

“มึงรู้หรือเปล่าว่ากูเป็นใคร”มันลอยหน้าตะคอกเสียงใส่

“รู้สิ... คนขี้ขโมยไง” คนพูดแย้มริมฝีปาก คล้ายเยาะหยัน แววตานิ่งสงบ

“ไอ้เล็ก มันกวนตีนกู แบบนี้น่าจะเอา หัวแม่ตีนล้วงคอให้หายซ่า”เจ้าตัวใหญ่หันบอกเจ้าเพื่อนตัวเล็กที่มาด้วย

“อย่าก่อเรื่องเลยไอ้ใหญ่ รีบกลับเหอะ”

เจ้าตัวเล็กห้ามเพื่อน สายตามองคนร่างสูงอย่างหวาดๆ

“ไอ้เวร! ใจปลาซิวชิบ”

เจ้าตัวใหญ่หันไปด่าเพื่อน มันคงอยากตะบันหน้าขาวนี้สักหมัด ข้อหาหล่อกวนใจ

“นายใหญ่รออยู่นะมึง อย่าเสียเวลาเลย”เจ้าตัวเล็กห้ามปรามอีกครั้ง

คำว่านายใหญ่ ทำให้เจ้าตัวใหญ่สงบลง มันยอมปล่อยคอเสื้อชายหนุ่มโดยดี หากยังฝากคำพูดทิ้งท้าย ตามประสาอันธพาลว่า

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”

“ฝากของไว้ด้วยสิ อย่าเอาของคนอื่นเขาไปแบบนี้”เสียงห้าวทุ้ม ดังกังวาน

คนพูดจ้องหน้าทั้งสองเขม็ง มือเรียวแตะบนอัญมณีตรงหน้าผาก แสงสีอำพันสว่างเรือง เจิดจ้า... เจ้าหัวขโมยทั้งสองตัวแข็งทื่อ ตาลอยคว้าง ก่อนจะทรุดฮวบลงกองกับพื้น...

นั่นเป็นเพียงบทเรียนเล็กน้อย ที่เขามอบให้มันทั้งสอง ชาวจันทรกานต์เช่นเขา ยึดมั่นในศีลธรรมไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือทำร้ายผู้อื่นด้วยความคะนอง สิ่งที่ทำได้เพียงแค่จัดการ ลบความทรงจำทิ้งเท่านั้น แค่นี้ก็มากพอแล้ว...

“ถ้าสิ่งนี้เป็นของคุณ ผมขอคืนให้เลยนะครับ เก็บรักษาไว้ดี สิ่งนี้มีค่ามาก อาจจะมากพอๆกับชีวิตคนหนึ่งคน” นรวีร์พูดพร้อมกับส่งจี้ให้รวินท์

“ขอบคุณมากครับ คุณนรวีร์”รวินท์รับจี้ห้อยคอมาเก็บไว้

“คงจะเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำแน่ๆ” นัทธีมองจี้ห้อยคอในมือเจ้าของพลางวิเคราะห์ “มันวางเพลิงล่อให้ออกมา แล้วแอบเข้าไปขโมยผลึกจันทร์”

ข้อสันนิษฐานของนายตำรวจหนุ่ม ทำให้เจ้าของอัญมณีนิ่วหน้า มองจี้ห้อยคอในมืออย่างครุ่นคิด

นี่เป็นครั้งที่สอง ที่ผลึกจันทร์ถูกคนภายนอกคุกคาม ครั้งแรกไรวัตกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนนำมันไปไม่ได้ ไรวัตเสียชีวิตอย่างปริศนา คราวนี้ถึงกับวางเพลิงพิพิธภัณฑ์ ล่อให้เขาออกมาจากบ้าน แล้วเข้าไปขโมยของ แต่ทำไมพวกนั้นถึงเลินเล่อปล่อยของสำคัญตกหล่นอยู่!

“แล้วทำไม ผลึกจันทร์ถึงตกอยู่ล่ะครับ !”

รวินท์ตั้งคำถาม เขามองหน้าทุกคนก่อนหยุดนิ่งที่ใบหน้าคมคายของผู้นำมาคืน

“นั่นสิ... ทำไมพวกมันถึงไม่เอาของไปด้วย”

นลินดาเห็นด้วย หญิงสาวหันไปมองหน้าพี่ชาย นายตำรวจหนุ่มนิ่งเงียบแววตาครุ่นคิด

“พวกมันส่งคนมาวางเพลิง ล่อให้คุณรวินท์ออกมา เพื่อเข้าไปขโมยผลึกจันทร์ ของชิ้นนี้ต้องสำคัญมาก พวกมันถึงอยากได้มากขนาดนี้ แล้วทำไมถึงปล่อยให้ตกอยู่ล่ะ”นัทธีเองยังหาข้อสรุปไม่ได้

“ถ้าจะมีคนรู้ ก็คงเป็นคนที่เข้ามาขโมยนั่นแหละ”

๐๐๐๐๐๐

“ไอ้เวร! ให้ทำงานแค่นี้ ก็ทำไม่ได้ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”เสียเอ็ดตะโร ดังลั่นห้อง

เจ้าของเสียงหน้าแดงก่ำ นั่งกอดอกแน่น จ้องหน้าลูกสมุนตัวเล็กตัวใหญ่สองคน ที่ยืนตัวลีบอย่างโมโหจัด เก้าอี้ตัวติดกัน มีร่างท้วมสมบูรณ์ของกอบลาภนั่งอยู่ด้วย

“ใจเย็นๆก่อนครับ”กอบลาภพยายามไกล่เกลี่ย

“ใจเย็น! ลื้อพูดมาได้ยังไง”บุญเกิดตาลุกวาว ตบโต๊ะปัง

คนที่ยืนอยู่สะดุ้งโหยง มองหน้ากันอย่างหวาดๆ ก่อนจะส่งสายตาไปยังลูกพี่ใหญ่ ที่อยู่ร่วมห้อง อย่างขอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายส่งสายตาทำนองว่าให้สงบไว้

“ดื่มชาก่อนครับคุณบุญเกิด”

กอบลาภรีบรินน้ำชา ส่งให้ผู้เป็นนายใหญ่ หวังให้อีกฝ่ายใจเย็นลง

“กอบ ลื้อหามือดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง สามครั้งแล้ว ที่ลื้อพลาด ลื้อจะแก้ตัวกับอั๊วยังไง”

บุญเกิดรับถ้วยชามาดื่มดับอารมณ์ หากความร้อนรุ่มในหัวใจ ไม่คลายลง เขาหันไปเล่นงานสมุนคนสำคัญต่อ กอบลาภหลบสายตา ก้มหน้ารับผิด

“ครั้งนี้มันสุดวิสัยจริงๆ ให้โอกาสไอ้สองคนนี้อีกสักครั้งนะครับ”

คำแก้ตัวนั้น ทำให้คนฟังอารมณ์พุ่งขึ้นอีกระลอก ถ้วยชาถูกขว้างลงพื้นแตกกระจาย เฉียดศีรษะเจ้าตัวใหญ่ไปนิดเดียว ตะคอกเสียงดังว่า

“สุดวิสัย!ลื้อหาคำแก้ตัวดีกว่านี้ ไม่ได้หรือไง...”

“นายครับ พวกเราผิดไปแล้ว เราขอแก้ตัวอีกสักครั้งนะครับ”

เจ้าตัวเล็กพยายามอ้อนวอน มันรู้ดีว่า ยามโกรธนายใหญ่เหี้ยมแค่ไหน ความผิดเล็กๆ อาจนำความตายมาสู่คนทำได้ทุกขณะ เจ้าแดงกับเจ้าก้านสองเพื่อนซี้ กอดคอกันลงนรกไปก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยข้อหาทำงานผิดพลาด มันกับไอ้ตัวใหญ่ไม่อยากต่อคิวเป็นรายถัดไป

“ลื้อยังมีหน้ามาขอร้องอั๊วอีกเหรอวะ งานง่ายแค่นี้ลื้อยังพลาด แล้วงานใหญ่กว่านี้ ลื้อจะมีปัญญาทำหรือวะ”คนเป็นนาย สะบัดเสียงขุ่น

“นายครับ พวกผมไม่รู้จริงๆนะครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น พอตื่นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว ผลึกจันทร์ของนายก็หายไปด้วย”ไอ้ตัวใหญ่คร่ำครวญ

ถึงตัวจะใหญ่ แต่หัวใจมันนิดเดียว ร่างกำยำสั่นพั่บๆ น้ำในกระเพาะปัสสาวะแทบเล็ดราด ในหัวยังมึนงงไม่หาย บวกกับความกลัวจับใจ ทำให้สมองมันเบลอ นึกเรื่องอะไรไม่ออก สติสัมปชัญญะสุดท้ายวาบเข้ามาในหัว

ในแวบแรกที่เห็น ร่างของชายหนุ่ม ในชุดขาวมายืนขวางหน้า มันถึงกับสะดุ้งตกใจ ตัวแข็งทื่อ... พอฟื้นขึ้นมาอีกที มันสองคนก็นอนกองอยู่หน้าประตูบ้าน ของนายใหญ่แล้ว...

เจ้าตัวใหญ่ลูบแขนที่เย็นวาบๆ มันไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ผู้เป็นนายฟัง จำยอมรับผิดไปตามน้ำ แม้จะกลัวอารมณ์ร้ายๆของเจ้านายอยู่มาก หากมันยังเชื่อว่าเฮียกอบ ลูกพี่ใหญ่จะสามารถคุ้มกะลาหัวมันได้

“ลื้อสองตัว ไปให้พ้นหน้าอั๊ว ไป๊!” บุญเกิดตวาดก้อง โบกไม้โบกมือไล่ อย่างฉุนเฉียว

แม้เสียงนั้นจะดังและเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง หากคนฟังเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์ เจ้าสองวายร้ายพนมมือไหว้ แล้วรีบพากันออกไปจากห้อง อย่างลนลาน

“คุณบุญเกิดครับ ขอบคุณมากนะครับ ที่ไว้ชีวิต เจ้าสองตัวนั่น”

กอบลาภ มองลูกสมุนทั้งสอง ที่เผ่นแผล็วออกจากห้อง ว่องไวปานลิง อย่างโล่งอก นับว่าเป็นบุญของมันสองคน ที่คนเป็นนายไม่เอาความ ไม่เหมือนเจ้าก้านกับเจ้าแดง สองเพื่อนสนิท ที่ขับรถไปชนจนพังยับทั้งคัน แถมยังจับตัวเจ้าของโรงแรมหนุ่มไม่ได้ มันทั้งสองนอนร้องไห้อยู่ในท้องจระเข้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

“กอบ ลื้อไปฟังข่าวมา ทางนั้นมันเป็นยังไงกันบ้าง”บุญเกิดเสียงค่อยลง หน้าตาเริ่มคลายความเคร่งตึง

“ครับคุณบุญเกิด”กอบลาภได้โอกาส ถอยฉาก หลบออกมาจากห้องนั้นอีกคน

เจ้าของห้อง ประสานมือ รองใต้คาง ดวงตายาวรีหรี่ปิดลง หากมิใช่นอนหลับ ทว่า... กำลังคิดวางแผนการใหม่ๆอยู่...

๐๐๐๐๐๐๐

หลังจากพนักงานโรงแรมทยอยกันกลับไปทำหน้าที่ของตน บริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ สองหนุ่มกับหนึ่งสาว ช่วยกันวิเคราะห์หาข้อสรุปเรื่องผลึกจันทร์อยู่นานสองนาน ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้

“ถึงเราจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ที่รู้ๆคือ พวกมันต้องการผลึกจันทร์ของคุณรวินท์ มันคงไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ”นัทธีพูด พลางป้องปากหาว

“นั่นสิคะ ที่ทำได้คงเป็นการระมัดระวังให้มากกว่าเดิม”

นลินดาให้ความเห็น หญิงสาวหันมาทางแฟนหนุ่มที่ยืนนิ่ง ใบหน้ามอมแมมดูซีดเซียว อ่อนล้า ท่าทางเพลียจัดจากการอดนอนมาทั้งคืน หนำซ้ำยังมีเรื่องผลึกจันทร์ซ้อนเข้ามาอีก รวินท์จึงดูเครียดขรึมกว่าเดิม

พนักงานโรงแรมประคองถาดใส่ถ้วยกาแฟมาเสิร์ฟ นลินดาส่งถ้วยกาแฟให้พี่ชาย ก่อนหันไปถามอีกหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วย

“รับสักถ้วยไหมคะคุณนรวีร์ แก้ง่วง”

นรวีร์ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ”เขาเอ่ยเรียบๆ สายตาแอบลอบมองดูกิริยาเอาใจใส่ ของนลินดาที่มีต่อชายคนรัก

หญิงสาวส่งผ้าเย็นที่มาพร้อมกับกาแฟบนถาด ให้รวินท์ แล้วจัดการคนกาแฟให้คลายความร้อน ก่อนส่งให้ชายหนุ่มเมื่อเขาเช็ดหน้าเสร็จ ทุกๆกิริยาของเธอมีความโอบเอื้ออาทรแทรกอยู่ แววตายามทอดสายตามองคนรัก เจือรอยรักใคร่

รวินท์ก็เช่นกัน ชายหนุ่มส่งผ่านความห่วงหาอาทรผ่านแววตาอบอุ่น ให้คนรักอย่างอ่อนโยน ทั้งสองต่างรักใคร่กันอย่างสุดซึ้ง เหมือนครั้งหนึ่งที่เจ้าชายหนุ่มกับสาวน้อยชาวจันทรกานต์เคยมีให้ต่อกัน

อานุภาพความรักนั้นแสนยิ่งใหญ่ ทว่า... ในความรักใช่ว่าจะพบความสมหวังตลอดกาล

ดั่งเหรียญที่มีสองด้าน ฝั่งหนึ่งคือความสุข อีกฝั่งคือความทุกข์ทน อยู่คนละด้าน หากรวมอยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีทางแยกออก ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ล้วนไม่เที่ยงทน ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา นรวีร์เบนสายตาจากภาพนั้น นึกสะท้อนใจ เมื่อมองเห็นหนทางข้างหน้าของทั้งสอง

“ผมคงต้องขอตัวก่อน”เขาเอ่ยลา

“ขอบคุณมากนะครับคุณนรวีร์”รวินท์จับมือมืออีกฝ่ายมาเขย่าเบาๆ

ร่างสูงสง่างามนั้น ค้อมศีรษะเล็กน้อย ดวงตามองเลยไปยังจุดที่ วิญญาณของคุณวรรณดาปรากฏกาย ดวงตาดำขลับจ้องมองตรงนั้นนิ่ง คล้ายมองเห็นดวงวิญญาณ เขาแย้มริมฝีปาก ก่อนจะค้อมศีรษะอีกครั้ง เหมือนเอ่ยลา

วิญญาณของมารดาของรวินท์ ยกมือขึ้นพนมไหว้ คล้ายเกรงอีกฝ่าย ก่อนเลือนหายไป นลินดามองอาการของวิญญาณอย่างสงสัย ก่อนหันมามองนรวีร์

ร่างสูงสง่าหมุนกายเดินจากไป ดวงตายาวเรียวเหลือบมองท้องฟ้ากว้าง หัวใจโบยบินไปหาใครคนหนึ่ง ที่อยู่อีกแดน...

“ถ้าไม่ได้คุณนรวีร์ คุณรวินท์คงเสียผลึกจันทร์ไปแล้ว”นัทธีเอ่ยขึ้น

“ครับพี่นัท ผมเป็นหนี้บุญคุณเขา”รวินท์กำจี้ผลึกใสในมือแน่น รู้สึกขอบคุณคนที่นำสิ่งนี้มาคืนเขาเหลือเกิน

“ตายจริง! ลินลืมถามว่าเขาพักอยู่ห้องไหน จะได้เลี้ยงตอบแทนสักมื้อ”นลินดาอุทาน

ทั้งสามคนพร้อมใจกันหันไปมองคนที่เก็บจี้อีกครั้ง ร่างสูงใหญ่ในชุดขาว เดินเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างนั้นเดินผ่านพุ่มไม้ด้านหลังอาคารพิพิธภัณฑ์ลับหายไปแล้ว...

“ไว้ไปถามพนักงานเอาก็ได้ ฉันว่าแกพาคุณรวินท์ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”คนเป็นพี่แตะไหล่น้องสาว

นลินดามองหน้าคนบอก นัทธีเองก็อ่อนเพลียไม่แพ้รวินท์ แต่คงเป็นเพราะเคยชินกับการนอนดึกจึงยังยิ้มอยู่ได้

“ลินว่า ไปพักกันทั้งสองคนนั่นแหละค่ะ” ว่าพลางรุนหลัง พี่ชายกับคนรักให้กลับไปพักผ่อน

สองหนุ่มมองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มให้กัน ยอมทำตามที่หญิงสาวบอกแต่โดยดี นลินดาหันไปมองตรงจุดที่ วิญญาณของคุณวรรณดาปรากฏกายอีกครั้ง ท่าทางที่วิญญาณแสดงต่อ ชายหนุ่มที่ชื่อ นรวีร์ คนนั้น คล้ายกับยำเกรงอีกฝ่าย ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ

นรวีร์มีบางอย่างพิเศษ แต่พิเศษยังไง... หญิงสาวกลับหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้!

๐๐๐๐๐๐๐๐



อัพแล้วนะคะ



ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ



รวิญาดา / ผการุ้ง




รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 เม.ย. 2557, 22:38:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 เม.ย. 2557, 22:38:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1213





<< ตอนที่ 5.   
Amarilys 3 พ.ค. 2557, 14:08:45 น.
อุเหม่... ไม่สงสัยนรวีร์กันเลยรึนี่


อัศวินนภา 3 พ.ค. 2557, 21:03:09 น.
สนุกมากค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account