มณีจันทรา
w6OUUR.jpg [677x756px] ฝากรูป


นิยาย มณีจันทรา

รักในชาติภพหนึ่ง คือพันธะสัญญาและหน้าที่

รักในชาติภพนี้คือความผูกจิตสนิทแน่นทั้งหัวใจ

เพราะเชื่อในคำสัญญา... ศศิพิลาสจึงรัก รอ และหวัง

เพราะถือในสัจวาจา... องค์เจษฎาจึงต้องกระทำดังนั้น

เพราะมั่นในความดี... นรวีจึงเสียสละและรอคอย

เพราะศรัทธาในหัวใจ... นลินดาจึงมั่นใจ รักจะไม่เป็นอื่น

ทุกชีวิตยึดโยงกันด้วยเส้นใยที่ว่า่กันว่า่เหนียวที่สุดในโลก

ที่ชื่อ 'ความรัก'

และดำรงอยู่เพื่อรอเวลาผันแปร เข้าใจ ละวางหรือทุกข์ทน

ก็ด้วยเส้นใยเส้นสุดท้าย... 'ความหวัง'

'กาลเคลื่อนผ่าน.. เวลาหมุนวนไปตามวิถีโลก

สรรพสิ่ง...ไม่มีสิ่งใดเที่ยงทน นั้นคือความจริงแท้'


หากทุกหัวใจก็พร้อมจะเดินทางต่อไปร่วมกัน

บนเส้นทางวัฏสงสารที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

***
แนะนำตัวละคร




UvIA8j.jpg [400x500px] ฝากรูป


รวินท์


รวินท์ ชายหนุ่มนักเรียนนอก ทายาทเจ้าของโรงแรมภูวันดา หนุ่มเท่ห์ หล่อจัด ชนิดสาวกรี๊ด จริงจังกับงาน เคร่งครึม ยิ้มยาก มีความรับผิดชอบสูง มีความโรแมนติกให้กับแฟนสาวเพียงคนเดียว คือ นลินดา...


h9hmWy.jpg [500x571px] ฝากรูป


นลินดา

นลินดา สาวมั่น ผู้จัดการภูวันดาสปา (อยู่ในเครือเดียวกับโรงแรม ใช้พื้นที่ร่วมกัน) แฟนสาวของรวินท์ มีสัมผัสที่หก รู้ถึงอันตราย ที่จะมาใกล้ และสามารถติดต่อกับดวงวิญญาณคุณวรรณดาแม่ของรวินท์ได้



IY8ZtK.jpg [406x375px] ฝากรูป


ศศิพิลาส

ศศิพิลาส หญิงสาวผู้งดงามเหมือนนางอัปสร


nJG4Gg.jpg [340x492px] ฝากรูป

นรวีร์

นรวีร์ ชายหนุ่มผู้มีความมั่นคงในความรัก


ขอนำเสนอนิยายแนวรักข้ามภพชาติ ให้ลองอ่านกันค่ะ

เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว สำนวนการใช้ภาษาอาจแตกต่างจากปัจจุบันบ้างนะคะตามแนวของเรื่อง อยากนำงานเก่าๆ มาให้นักอ่านได้ลองอ่านกันบ้างค่ะ

ชอบไม่ชอบยังไง เม้นบอกกันได้นะคะ

รักนักอ่านค่ะ

รวิญาดา /ผการุ้ง

Tags: มณีจันทรา

ตอน: ตอนที่ 5.

5.



รถยนต์สีบอร์นทองเลี้ยวเข้าจอดตรงลานจอดรถ ด้านหน้าโรงแรมภูวันดา ประตูฝั่งคนขับเปิดออก ร่างสูงโปร่งของนายตำรวจหนุ่มก้าวออกมา เขายกนาฬิกาขึ้นดู ก่อนนิ่วหน้า เมื่อเห็นบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรง

นายตำรวจหนุ่มนำเรื่องนายบุญเกิด ไปปรึกษากับผู้บังคับบัญชา ผู้การองอาจซึ่งเคยติดตามคดีของนายบุญเกิดอยู่ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

“นายบุญเกิดคนนี้ เกี่ยวข้องกับคดีสำคัญหลายคดี มีทั้งคดีลักลอบค้าวัตถุโบราณข้ามชาติ รวมถึงเป็นคนอยู่เบื้องหลัง ในการขุดค้น ซากเมืองโบราณหลายแห่งทางภาคเหนือ”

“เป็นพวกนักล่าสมบัติหรือครับ”นัทธีให้ความเห็น

“เป็นนักฆ่าด้วย เคยมีคดีเจ้าของร้านขายของเก่า หายตัวไปอย่างลึกลับ นายบุญเกิดเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะมีเรื่องขัดแย้งกันอยู่ แต่ก็เอาผิดไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานบ่งชี้”ผู้การองอาจเสริมอีกว่า

“ด็อกเตอร์ทองทัศน์ เพื่อนของผมเคยได้รับทุนวิจัยจากนายบุญเกิด เพื่อค้นคว้าเรื่องเมืองโบราณที่ชื่อ นครเวียงผา ด็อกเตอร์ทองทัศน์เล่าให้ผมฟังว่า เมืองโบราณที่ว่า น่าจะอยู่ในตำนาน หรือนิทานปรัมปรามากกว่า เพราะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอัญมณีวิเศษ ชื่อผลึกจันทร์ มีอิทธิฤทธิ์เหลือเชื่อ เพื่อนผมเขาทำงาน ให้นายบุญเกิดพักหนึ่ง ก็บอกศาลาเลิก เพราะทนนายบุญเกิดไม่ไหว”

นัทธีขอที่อยู่ด็อกเตอร์ทองทัศน์จากผู้บังคับบัญชา ก่อนเดินทางไปติดต่อขอพบ กว่าจะเดินทางกลับมา ก็เลยเวลานัดไปมากแล้ว เขาโทรบอกน้องสาว ให้นัดรวินท์เอาไว้ช่วงหกโมงเย็น หากเอาเข้าจริงกลับสายไปร่วมชั่วโมง ถ้าไม่ใช่เพราะข้อมูลสำคัญ ที่เขาได้รับเพิ่มเติม เขาคงไม่เสียมารยาทขนาดนี้

“ยายลินท่าจะบ่นเป็นหมีกินผึ้งไปแล้ว”นัทธีบ่นพึมพำ

ผู้กองหนุ่มรีบสาวเท้ายาวเดินเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรม กวาดสายตามองหาร่างของน้องสาวที่นัดไว้

“พี่นัท...”เสียงใสๆดังขึ้น

เจ้าของเสียง ลุกจากเก้าอี้ข้างน้ำพุ โบกมือให้ ก่อนเดินตรงเข้ามาหา

“นัดไว้หกโมง ทำไมมาตอนนี้ล่ะ”คนเป็นน้องรีบเฉ่งพี่ชาย ไม่ผิดกับที่อีกฝ่ายคิดไว้

“อย่าเพิ่งโวยสิวะ”นัทธีรีบยกมือห้าม เขาชูแฟ้มในมือให้น้องสาวดู “ฉันไปเอาไอ้นี่มา”

“แฟ้มข้อมูลนายบุญเกิดหรือคะ”นลินดาดึงแฟ้ม มาเปิดดูด้านใน

“ของนายกอบลาภด้วย ฉันเพิ่งได้ข้อมูลเพิ่มเติม จากท่านผู้การ มีเรื่องน่าสนใจเยอะเชียว”นัทธีแตะข้อศอกน้องสาว พาเดินไปที่ลิฟต์

“ข้อมูลลึกๆของนายบุญเกิด ค่อนข้างหายากหน่อย ดีที่ท่านผู้การท่านแนะให้”

นายตำรวจหนุ่มเอ่ยขึ้น ขณะรอลิฟต์

“ข้อมูลของนายบุญเกิดมีไม่เท่าไหร่เลย ของนายกอบลาภหนาเป็นปึก”นลินดาเปิดดูคร่าวๆ แล้วปิดไว้ เมื่อเห็นลิฟต์เคลื่อนมา

นลินดาถือแฟ้มแนบอก เดินตามพี่ชายขึ้นลิฟต์ไป ยังชั้นบนสุดของโรงแรม อันเป็นสถานที่ทำงานของแฟนหนุ่ม เมื่อมาถึงพบรวินท์ยืนรออยู่หน้าลิฟต์

“สวัสดีครับพี่นัท เชิญข้างในก่อนครับ ผมให้เด็กเตรียมของว่างไว้แล้ว”

รวินท์ทักทายพี่ชายของแฟนสาว เขารับแฟ้มเอกสารไปช่วยถือ ก่อนพาสองพี่น้องเข้าไปนั่ง บนโซฟายาวในห้องทำงาน

“เป็นไงบ้างครับคุณรวินท์”

นัทธีถามยิ้มๆ สบตาว่าที่น้องเขยในอนาคต ราวกับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับชายหนุ่มบ้าง

“ก็พอเอาตัวรอดครับพี่นัท ขอบคุณนะครับ ที่บอกลินให้เตือนผม”

รวินท์หันไปยิ้มให้คนรัก นลินดาเลิกคิ้วสูง คำพูดของสองหนุ่ม มีลับลมคมในบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ

“อย่าทำหน้างง หวานใจแกเขาเจอดีมาน่ะ”นัทธีเฉลยให้น้องสาวเข้าใจ

“เจอดี...”

นลินดาครางเสียงแผ่ว หันไปถามแฟนหนุ่มอย่างตกใจ

“มีอะไรเกิดขึ้นคะ!”

รวินท์กุมมือนุ่มไว้ ยิ้มบางๆ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ มีคนขับรถตามผมไป ผมเห็นท่าไม่ดีเลยซิ่งหนี”เขาเอ่ยยิ้มๆ

คำพูดของชายหนุ่ม ยืนยันว่าสิ่งที่วิญญาณคุณวรรณดาบอกเป็นความจริง โชคดีที่นลินดาเอ่ยเตือนเขาได้ทันท่วงที รวินท์จึงรอดพ้นจากเคราะห์ร้ายมาได้

“พวกไหนคะพี่นัท”นลินดาหันไปถามพี่ชาย

“จะมีกี่พวก ก็พวกนายบุญเกิดพวกเดียวนั่นแหละ ฉันถึงต้องมาคุยกับคุณรวินท์เขานี่ไง”

ผู้กองหนุ่มตอบคำถามน้องสาว ก่อนจะยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม ดับกระหาย

“พวกนายบุญเกิด...” รวินท์ไม่เข้าใจที่พี่ชายของแฟนสาวพูด“นายบุญเกิดเป็นใครกันครับ”

นัทธีเปิดแฟ้มเอกสาร ให้อีกฝ่ายดู พร้อมอธิบายให้ชายหนุ่มเข้าใจ

“ผมได้ข่าวมาว่า นายบุญเกิดเป็นคน สั่งให้นายกอบลาภมาติดต่อขอซื้อจี้จากคุณ คดีการตายของคุณไรวัต นายบุญเกิดน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เขาค่อนข้างมีอิทธิพล อาจทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ได้ของที่ต้องการ แม้กระทั่งการอุ้มไปข่มขู่” นายตำรวจหนุ่มบอกคร่าวๆ

“นายบุญเกิด หรือเสี่ยฟง มหาเศรษฐีลูกครึ่งไทยฮ่องกง เจ้าของบริษัทอิมพอร์ตเอ็กส์พอร์ต เป็นนักสะสมวัตถุโบราณตัวยง”รวินท์อ่านข้อมูลในแฟ้ม ด้วยความสนใจ

“นอกจากสะสมแล้ว ยังแอบค้าวัตถุโบราณด้วย มีอิทธิพลพอตัว เขาสามารถทำทุกอย่างเพื่อ ให้ได้สิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม”นัทธีหยิบแฟ้มอีกแฟ้ม เปิดให้รวินท์ดู

“มีข้อมูลจากนักโบราณคดี เกี่ยวกับงานวิจัยเมืองโบราณชื่อว่า นครเวียงผา โดยมีนายบุญเกิดเป็นผู้ออกทุนให้”

นลินดาสะดุดใจกับสิ่งที่พี่ชายบอก นครเวียงผา ชื่อเดียวกับนครโบราณ ในบันทึกที่เธอค้นพบ หญิงสาวหันไปมองหน้าแฟนหนุ่ม รวินท์เองน่าจะสะดุดใจกับข้อมูลนี้เช่นกัน ชายหนุ่มหันไปดูเอกสาร จากแฟ้มนั้น ทันทีที่ได้ยิน นัทธีเอ่ยถึงนครเวียงผา

“พี่นัทได้ข้อมูลนี้ มาจากไหนคะ”

หญิงสาวเอ่ยถาม พลางขยับเข้าไปใกล้ อ่านแฟ้มที่เปิดไว้อย่างสนใจ

“ผู้การองอาจ ท่านมีเพื่อนเป็นนักโบราณคดี ท่านแนะนำพี่ให้ไปขอดูข้อมูลนี้จากเพื่อนท่าน”นัทธีอธิบายเพิ่มอีกว่า

“นายบุญเกิดเขาให้ทุน ด็อกเตอร์ทองทัศน์ นักโบราณคดี เพื่อนของท่านผู้การ เพื่อค้นคว้าเรื่องเมืองโบราณชื่อนครเวียงผา อะไรนี่แหละ นครที่ว่าล่มสลายมาเป็นพันๆปีแล้ว ข้อมูลอะไรที่มีอยู่ก็แทบ ยืนยันไม่ได้ว่ามีจริงหรือเปล่า โดยเฉพาะเรื่องอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ ที่ชื่อผลึกจันทร์ น่าจะเป็นตำนานมากกว่าเรื่องจริง”

“มันเป็นยังไงหรือคะ ผลึกจันทร์ที่ว่า”นลินดาถามอย่างสนใจ

“ด็อกเตอร์ทองทัศน์เล่าให้พี่ฟังว่า มีความเชื่อกันว่า ผลึกจันทร์เป็นอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ สามารถทำให้ผู้ครอบครอง มีอิทธิฤทธิ์ ต่างๆมากมาย ประมาณแก้ววิเศษ สารพัดนึกอะไรเทือกนั้นล่ะมั้ง”

รวินท์รับฟังข้อมูลจากนายตำรวจหนุ่มอย่างสนใจ เหตุการณ์ลอบเข้าไปขโมย ผลึกจันทร์จากพิพิธภัณฑ์ เมื่อวันก่อน อาจเป็นคำสั่งของนายบุญเกิดคนนี้ก็ได้

“นายบุญเกิดอาจจะเชื่อว่า ผลึกจันทร์มีอำนาจวิเศษ” รวินท์ให้ความเห็น

นัทธีพยักหน้าเห็นด้วย

“คงจะเป็นอย่างนั้น แล้วผลึกจันทร์ที่ว่า มาอยู่กับคุณรวินท์ได้ยังไง”เขาเอ่ยถามเจ้าของโรงแรม

รวินท์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเล่าเรื่องการไปสำรวจ นครเวียงผาให้สองพี่น้องฟังว่า

“หลวงวิสุทธิ์มนตรี คุณตาทวดของผม ท่านได้รู้จักกับนักโบราณคดีชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อมิสเตอร์แฟลงคลิน มิสเตอร์แฟลงคลินได้ค้นพบศิลาจารึก กล่าวถึงนครเวียงผา ในจารึกเล่าถึงประวัติของนครนี้ รวมถึงอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ ชื่อผลึกจันทร์ คุณตาทวดของผม ท่านสนใจมาก ท่านจึงร่วมเดินทางไปกับคณะสำรวจ ของมิสเตอร์แฟลงคลิน ท่านหายไปเป็นปีๆ พอกลับมาอีกทีก็ป่วยหนัก เป็นไข้ป่า ท่านอยู่ได้อีกไม่กี่วันก็สิ้นใจ ก่อนตายท่านได้มอบจี้ห้อยคอโบราณ ที่ท่านเรียกว่าผลึกจันทร์ให้แก่ลูกสาวของท่าน ซึ่งได้สืบทอดต่อมาเป็นสมบัติประจำตระกูลของคุณแม่ จนมาถึงรุ่นของผม”

ประวัติของผลึกจันทร์ ที่รวินท์เล่านั้น เกี่ยวข้องกับบันทึกเก่าแก่ ที่นลินดากำลังอ่านอยู่ หญิงสาวนิ่งฟัง พร้อมประมวลเรื่องราวไปด้วย

“เป็นไปได้ไหมคะ ว่าคณะที่ไปสำรวจครั้งนั้น มีบรรพบุรุษของนายบุญเกิดอยู่ด้วย เขาถึงได้รู้เรื่องผลึกจันทร์” นลินดาให้ความเห็น

“น่าจะเป็นอย่างนั้น”รวินท์พยักหน้าเห็นด้วย

“ผมว่านายบุญเกิด คงไม่ยอมปล่อยมือจากผลึกจันทร์ คุณต้องระวังตัวไว้บ้าง”นัทธีเอ่ยเตือนรวินท์

“ครับพี่นัท ผมจะระวังตัว”

รวินท์รับคำ เขาหันไปมองนาฬิกาบนผนัง ก่อนขมวดคิ้ว

“สองทุ่มแล้ว พี่นัทกับลิลลี่ คงจะหิวแล้ว ไปทานข้าวกันก่อนนะครับ”

ทั้งสามยุติบทสนทนากันเพียงเท่านั้น พากันมารับประทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรม รวินท์มาส่งนัทธีกับนลินดาที่ลานจอดรถ ก่อนเดินกลับบ้านของตน ที่อยู่ด้านหลังโรงแรม



ทางเดินตัดผ่านบริเวณ สวนดอกไม้ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ปลูกไว้หนาแน่น มีลูกค้าของโรงแรม เดินชมความงามของทิวทัศน์อยู่ประปราย ร่างสูงโปร่งเดินทอดน่องช้าๆอย่างไม่รีบร้อนไปตามทางเดิน กลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำมันหอมระเหยโชยชายตามลม ให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ตรงบริเวณหัวมุม พนักงานหญิงกำลังเติมเทียนและน้ำมันหอมระเหยในเบิร์นเนอร์อยู่ ร่างเล็กๆค้อมศีรษะทักทายนายจ้าง

“สวัสดีค่ะคุณรวินท์”

“ตรงด้านนั้นเทียนดับแล้วนะ ไปจัดการด้วย”รวินท์ชี้มือบอก

“ค่ะ... เดี๋ยวดิฉันจะรีบจัดการ”

พนักงานสาวรับคำ แล้วยกถาดใส่อุปกรณ์ตรงไปยังจุดที่เจ้าของโรงแรมบอก

รวินท์หยุดดูความเรียบร้อยของสถานที่ รวมถึงการบริการของพนักงาน เขายิ้มพอใจเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี

บนสนามหญ้า โคมไฟสนามสาดแสงสว่างนวล ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีขาว ดูสะดุดตา ชายหนุ่มเดินสวนกับรวินท์ ระหว่างทางเดินที่เลี้ยวไปยังตึกหลังใหญ่ ด้านหลังโรงแรม

รวินท์หันไปมองชายคนนั้น ร่างสูงในชุดสีขาวยืนนิ่ง ดวงตาดำสนิทรูปเรียวยาว จ้องมองเขาเช่นกัน รวินท์ค้อมศีรษะทักทาย เข้าใจว่าอีกฝ่าย เป็นลูกค้าของโรงแรม ที่เคยรู้จักเขามาก่อน

ศีรษะได้รูปค้อมลงนิดหนึ่ง รับการทักทาย ผมดำขลับยาวเสมอบ่า สะบัดไหวน้อยๆ ต้องแสงไฟเป็นประกายเงางาม ชุดสูทสีขาวช่วยขับให้ดวงหน้าคมคาย กระจ่างตา

รวินท์เดินผ่านชายคนนั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันไปสนใจดอกบัวที่อยู่ในสระน้ำ ร่างสูงเพรียวเดินช้าๆอย่างไม่รีบเร่งไปตามทางเดิน...

นรวีร์มองตามแผ่นหลังกว้าง ที่ห่างออกไป ปลายนิ้วเรียวยกขึ้น แตะหน้าผาก ประกายแสงสีอำพันสว่างเรืองขึ้น เขาหันปลายนิ้วชี้ไปยังร่างสูงที่เดินอยู่ ลำแสงสีเหลืองพุ่งวาบเข้าใส่แผ่นหลังนั้น คนที่เดินอยู่สะดุ้งเฮือก... หยุดเดิน มือหนากุมหน้าผากใบหน้าเหยเก ครู่หนึ่งจึงเดินต่อไป

รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากหยักโค้ง นรวีร์หมุนกายหายวับไป...



ในห้องสตรีม รวินท์นั่งอบไอน้ำอยู่เพียงลำพัง หลายวันที่สมองอ่อนล้า ร่างกายพลอยอ่อนเพลียไปด้วย เจ้าของโรงแรมหนุ่มเอนหลังพิงผนังห้อง หลับตาลงปล่อยให้ไอน้ำร้อนๆขับไล่ความเมื่อยล้าและความฟุ้งซ่านทิ้งไป

กลิ่นสมุนไพรหอมลอยกรุ่นเต็มห้อง คนที่นั่งนิ่งอยู่สูดดมเข้าไปเต็มปอด กลิ่นนั้นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ร่างหนานั่งอบไอน้ำจนเนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

ราวสิบห้านาที ประตูห้องสตรีมเปิดออก ร่างสูงโปร่งท่อนล่างพันผ้าขนหนูสีขาว เดินออกมา ศีรษะได้รูปสลัดผมที่ยาวระบ่าไปมาจนน้ำกระเซ็น แล้วใช้นิ้วสางผมเสยให้เรียบ ใบหน้าเรียวแดงระเรื่อ แผงอกกว้าง บริเวณท้องมีกล้ามเนื้อเป็นลอนสวย เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพรายเต็มตัว เขานั่งลงใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเหงื่อตามใบหน้าและลำตัว ก่อนเปิดฝาเครื่องดื่มเกลือแร่ ยกขึ้นดื่ม รวดเดียวจนหมดขวด แล้วเดินไปเปิดน้ำฝักบัวอาบ

รวินท์สวมชุดนอนเรียบร้อย ผมหยักศกเป็นลอน ยังไม่แห้งดี ผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กพาดอยู่บนไหล่กว้างนั้น ความรู้สึกอ่อนล้าผ่อนคลายลง หลังจากผ่านการอบไอน้ำ เบิร์นเนอร์ถูกจุดไว้มุมห้อง กลิ่นน้ำมันหอมระเหยกรุ่นกำจาย เต็มห้อง

ร่างสูงนั่งลงที่เก้าอี้ ข้างหน้าต่าง ทอดสายตามองทิวทัศน์ด้านนอกอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีต

“คุณยายเคยเล่าให้แม่ฟังว่า คุณตาทวดท่านเดินทางไปสำรวจเมืองโบราณ ชื่อ นครเวียงผา กับนักโบราณคดีชาวอังกฤษ พอท่านกลับมา ท่านก็เสียชีวิต ท่านทิ้งผลึกจันทร์ ไว้เป็นสมบัติประจำตระกูลของเรา คุณตาทวดท่านใช้ชีวิตของท่านแลกมันมา ลูกหลานอย่างเรา ต้องรักษามันไว้ให้ดี”

มารดาของเขาเคยเล่าเรื่อง ผลึกจันทร์ให้เขาฟังบ่อยครั้ง รวินท์จึงผูกพันกับอัญมณีชิ้นนี้มาก เขาตั้งใจจะเก็บมันไว้เป็นมรดกกับลูกหลานของเขาต่อไป...

สายลมเย็นพัดพลิ้ว ลอดม่านหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้ามา คนที่นั่งนิ่งอยู่ขยับลุกขึ้นยืน พิงไหล่บนขอบหน้าต่าง ศีรษะเอียงซบกรอบไม้ ดวงตาดำสนิทมีรอยวิตกกังวลซ่อนอยู่

ผลึกจันทร์ อัญมณีโบราณ กำลังกลายเป็นตัวปัญหา เมื่อมีผู้ต้องการครอบครองมัน การเสียชีวิตของไรวัตเมื่อวันก่อน น่าจะมีสาเหตุมาจากผู้ที่ต้องอัญมณีวิเศษ

ชายหนุ่มหวนนึกถึง เหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายนี้ขึ้นมา...

รถยนต์สีดำติดฟิล์มทึบ ตามรถเขามาตลอด ตั้งแต่ออกจากโรงแรม หากไม่ได้คำเตือนจากนลินดา เขาคงไม่เอะใจ ว่าอาจจะมีใครกำลังคิดทำอะไรบางอย่างกับเขา

เมื่อเขาเลี้ยวเข้าซอยที่ค่อนข้างปลอดคนสัญจร รถคันนั้น ก็เร่งเครื่อง ตามมาประชิด ท่าทางของคนขับ มุ่งร้ายจนรู้สึกได้ ชายหนุ่มเหยียบคันเร่ง นำรถแล่นหนี ฝ่ายนั้นยังตามไม่ลดละ โชคดีที่ตามไม่ทัน ไม่อย่างนั้น คงมีเหตุอะไรเกิดขึ้นกับเขาแน่

เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ รวินท์ยกมือขึ้นลูบหน้าตามความเคยชิน รอยนูนบนฝ่ามือสัมผัสผิวหน้า ทำให้เขายกมือขึ้นมาดู

ทันใดนั้น! เสียงหนึ่งดังแว่วมาตามลม

“เจษฎา... เจษฎา...”เสียงหวานใส ของผู้หญิง แว่วมาเบาๆ

รวินท์หันขวับ มองหาที่มาของเสียง ชายหนุ่มเงี่ยหูฟัง จนจับที่มาของเสียงได้ เสียงนั้นดังมาจากตู้เซฟข้างเตียงนั่นเอง..

เมื่อเปิดตู้ เสียงนั้นดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขามองเห็นแสงสว่างนวลระเรื่อ เรืองออกมาจากกล่องไม้โบราณ ที่เก็บจี้ห้อยคอโบราณ

“เจษฎา... เจษฎา...”เสียงนั้นดังไม่หยุด

รวินท์ตัดสินใจหยิบกล่องไม้ออกมาเปิดดู ประกายสีเหลืองอำพัน วาววะวับต้องนัยน์ตา ปลายนิ้วเรียวยาวลูบอัญมณีบนจี้แผ่วๆ เสียงนั้นค่อยๆเงียบลง

ทว่า... ชายหนุ่มกลับรู้สึก ขนลุกซู่ เย็นยะเยือกทั้งตัว ร่างกายแข็งทื่อ ขยับไม่ได้ ดวงตาเบิกกว้าง แก้วผลึกใสวาววาม ค่อยๆขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดเท่ากระจกบานหนึ่ง รัศมีสีเหลืองทองทอประกาย สว่างจ้า ภาพบางอย่างปรากฏขึ้นบนผิวเรียบลื่นนั้น เหมือนภาพเคลื่อนไหว จากจอโทรทัศน์ ดวงตาดำสนิทเบิกกว้าง คล้ายถูกบังคับให้ จ้องมองภาพนั้น...

ภาพรอบกายค่อยๆพร่าเลือนไป...

รวินท์จดจ้องภาพบนจอนิ่ง เหตุการณ์บางอย่าง ดำเนินไป เหมือนกำลังมองดูภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่ง ม่านแสงสีเหลืองทอง ราแสงลง ภาพบนจอแจ่มชัดขึ้น....

ภาพนั้นขยายกว้าง คล้ายมองจากมุมสูง มองเห็นกองทัพทหารในชุดเกราะหนังนับพันนาย ตั้งค่ายอยู่ริมลำธาร กองไฟถูกจุดขึ้นหลายกอง ไพร่พลของกองทัพรายล้อมอยู่ทั่วไป ต่างทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน ฝูงม้าศึกถูกปล่อยให้เล็มหญ้าอ่อนเขียวสดข้างลำธารอย่างสำราญใจ ไม่ไกลจากจุดนั้น มีช้างศึกเชือกหนึ่งถูกล่ามไว้ ทหารผู้ดูแลกำลังขนหญ้ามากองให้กิน ควันไฟสีเทาลอยเป็นสาย ไปตามลม ม่านควันลอยขึ้นไปบนฟ้ากว้าง ที่เริ่มอ่อนแสงลง

ไม่ไกลจากตรงนั้น...

ร่างของชายหญิงคู่หนึ่ง กำลังเดินเคียงกันริมลำธารใส หญิงสาวร่างบางระหงสวมผ้าซิ่นสีชมพูอ่อนจาง สวมเสื้อแขนกระบอกสีเดียวกัน ผมยาวเกล้าเป็นมวยสูงประดับดอกกล้วยไม้ป่าสีขาว ในมโนภาพ ใบหน้าเนียนลออ กระจ่างชัด

รวินท์จำได้ ว่าเธอ... คือผู้หญิงที่เขาฝันเห็น ในคืนก่อนนั่นเอง!

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำ อยู่ในชุดนักรบ สวมเกราะหนัง มีดาบยาวคาดไว้ที่หลัง ชายคนนั้นมีฐานันดรศักดิ์เป็นถึงเจ้าชาย นามเจ้าชายเจษฎา

เจ้าชายหนุ่มเดินเคียงข้างร่างบอบบางนั้น มือหนากุมมือนุ่มไว้มั่น ความอบอุ่นอ่อนโยนส่งผ่านแววตาที่ทอดมองกัน

รวินท์รับรู้ได้ถึงความรู้สึก อ่อนโยน อยากทะนุถนอมหญิงสาวจากชายผู้นั้น สายตายามทอดมองร่างน้อย คล้ายกับบอกว่า

...รักเหลือเกิน... รักทุกอณูของร่างนี้... อยากดูแล พิทักษ์ เจ้าของดวงหน้างามพิสุทธิ์นี้

...ด้วยชีวิตและวิญญาณ...

ความรู้สึกอ่อนอุ่นบังเกิดขึ้น ความอ่อนหวานอวลในความรู้สึก ราวกับเขา ได้เข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของบุรุษผู้นั้น หาใช่เพียงแค่มองเห็นภาพไม่...

สองหนุ่มสาวพากันเดินห่างออกมา เมื่อมาไกลจากตรงนั้นแล้ว ท่อนแขนแข็งแกร่งรวบเอวคอดแนบสนิท ประคองร่างน้อยให้นั่งเคียงกัน บนก้อนหินก้อนใหญ่

“ไม่นึกเลยว่ารัชทายาทแห่งเวียงผาเช่นข้า จักต้องกรีฑาทัพ เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ของตนเอง”เสียงทอดถอนใจดังขึ้น จากวรกายสูงใหญ่

“เจษฎา ท่านจักเดินทางเมื่อใด” คำถามนั้น แฝงเร้นไปด้วยความอาวรณ์ หญิงสาวมองวงพักตร์คมกล้านั้นนิ่ง

“ศศิพิลาส... พรุ่งนี้ ข้าจักออกเดินทางแล้ว”

น้ำเสียงทุ้ม หากฟังดูอ่อนหวานกว่าปกติ เอื้อนเอ่ย หัตถ์หนาลูบไล้แผ่นหลังบอบบางแผ่วเบาปลอบประโลม

“เจษฎา ท่านสัญญากับข้าได้หรือไม่ ว่าท่านจักกลับมา”

ศศิพิลาสทอดเสียงอ่อนเบา ใบหน้างามลออซบนิ่งตรงแผ่นอกกว้าง ซ่อนแววตาอาลัย

“ทำไมต้องสัญญาด้วยเล่า ในเมื่อข้าจักกลับมาหาเจ้าแน่นอน”

เจ้าชายหนุ่มกุมมือบางไว้มั่น ดวงเนตรคมงาม ทอดมองดวงหน้าเนียนละมุนด้วยแววตาอ่อนโยน รักใคร่

ศศิพิลาสเงยหน้าขึ้นสบตาชายคนรัก นางขยับกายซบซุกอกกว้าง แนบหน้าซ่อนรอยน้ำตาที่คลอคลองสองนัยน์ตา แขนเรียวโอบรัดร่างหนาไว้แน่น

กิริยานั้น ทำให้เจ้าชายหนุ่มหทัยอ่อนยวบ กระชับร่างบางแนบอุระ ความห่วงหาอาวรณ์หญิงสาวในอ้อมกอด แล่นเข้ามาจนแน่นทรวง

ศศิพิลาสทำให้พระองค์ รู้จักกับคำว่า ความรักอย่างลึกซึ้ง อิสตรีมากมาย ที่เคยพานพบ มิเคยมีใครสักคน ที่นำความใสเย็นราวกับน้ำในลำธาร มาสู่ดวงหฤทัย ชะล้างความรุ่มร้อนราวเพลิงผลาญให้อ่อนอุ่นละมุนละไม ปัดเป่าความดำมืดให้มลายเลือน นางคือหนึ่งเดียวในดวงหทัย

“ศศิ... เจ้าอย่าเศร้าโศกไปเลย ข้าจากเจ้าไปครั้งนี้ มิใช่จากไปตลอดกาล ข้าจักกลับมาหาเจ้าแน่นอน เมื่อนั้นข้าจักมารับเจ้าไปเป็นแม่เมือง ครองคู่อยู่กับข้านิรันดร์กาล”

คำพูดนั้นเรียกน้ำตาจากดวงตาคู่สวย ให้ไหลซึมออกมาอีกครั้ง

“เจษฎา ท่านกำลังไปออกรบ หนทางข้างหน้าล้วนเต็มไปด้วยภยันตราย”

“ข้าต้องไปศศิ บ้านเมืองของข้า ถูกเจ้ามหาอำมาตย์ชั่ว แย่งชิงไป พ่อกับแม่ข้า ถูกมันควบคุมตัวไว้ ข้าต้องไปช่วยพวกท่าน”

หญิงสาวมองใบหน้าชายคนรักนิ่ง แววตาของชายหนุ่มฉายแววมุ่งมั่น เหี้ยมหาญ สมเป็นผู้มีสายเลือดขัตติยะ นางกุมจี้ห้อยคอของตนเอง แววตาครุ่นคิด คล้ายกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“เจษฎา ข้าจักช่วยท่านเอง”นางเอ่ยขึ้น น้ำเสียงจริงจังนัก

เจ้าชายหนุ่ม มองหน้าหญิงสาวในอ้อมกอด อย่างพิศวง มิเข้าใจสิ่งที่หญิงสาวเอ่ย

ศศิพิลาสขยับห่างร่างหนา นางลุกขึ้นยืน ริมฝีปากบางแย้มละไม

ทันใดนั้นเอง! แสงสีอำพันก็สว่างจ้าขึ้น ล้อมรอบร่างของหญิงสาว

เมื่อแสงนั้นราหาย ร่างงามระหงงดงามราวเทพธิดา ปรากฏต่อหน้าเจ้าชายหนุ่มอีกครั้ง ด้วยอาภรณ์สีชมพูกลีบบัว ท่อนเอวเป็นผ้าบางซ้อนสลับสีเหมือนสายรุ้ง ยาวกรุยกราย เครื่องประดับบนเรือนกายงามพิสุทธิ์ล้วนเป็นอัญมณีวาวระยับ ลักษณะของนาง มิต่างจากเทพธิดาบนแดนสรวง

เจ้าชายเจษฎาตกตะลึง หทัยเต้นรัว ทอดพระเนตรมองหญิงสาว ที่พระองค์คิดว่าเป็นสาวบ้านป่า อย่างประหลาดพระทัย ดวงเนตรกระตุกไหว เมื่อเห็นนางปลดจี้ห้อยคอ ประดับอัญมณีสีอำพันส่งให้

“นี่คือผลึกจันทร์ อัญมณีวิเศษ มีฤทธานุภาพมากมาย มันจักช่วยให้ท่านชนะศัตรู” มือเรียวงามแตะบนผิวเรียบลื่นของอัญมณี

เจ้าชายหนุ่มมองดูจี้ห้อยคอนั้นนิ่ง รับสั่งถามว่า

“ผลึกจันทร์ เจ้าได้มันมาจากที่ใด ข้าเคยได้ยินว่ามันเป็นของวิเศษ มีอยู่ที่นครจันทรกานต์เท่านั้น ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ว่า นครแห่งนี้อยู่ที่ใด”

“ข้าเป็นชาวจันทรกานต์ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเคยล่วงผ่าน” เสียงหวานใส ดุจระฆังแก้ว ดังกังวานขึ้น

“ศศิ... เจ้าเป็นชาวจันทรกานต์”เจ้าชายอุทาน สุรเสียงแผ่วพร่า

ดวงเนตรคมกล้าจับจ้องดวงหน้าเนียน ไม่ละสายตา มีรอยประหลาดพระทัยเจือด้วยความสงสัย ในดวงเนตรคู่นั้น

“เจษฎา จงรับผลึกจันทร์ไปเถิด มันจักช่วยให้ท่านชนะศัตรู”ศศิพิลาสยื่นอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้าชายหนุ่ม

“เหตุใดเจ้าถึงมอบมันให้ข้า” เจ้าชายจ้องหน้าหญิงสาวนิ่ง

“เจษฎา... เพราะท่านคือคนที่ข้ารัก ข้าย่อมทำทุกอย่างเพื่อท่านได้”

ฝ่ามือนุ่มอุ่นเกาะกุมมือหนากว่า ดุจต้องการถ่ายทอดความรู้สึกในหัวใจให้อีกฝ่ายรับรู้ ริมฝีปากบางแย้มละมุน สบตาคมเข้มด้วยความรักเต็มหัวใจ

สายตาของนาง ทำให้หทัยแกร่งสะท้านไหว เต็มตื้นด้วยความซาบซึ้ง

“ศศิ... ไม่ว่าเจ้าจักเป็นผู้ใด มนุษย์หรือเทพธิดา ความรักของข้ามิเคยเปลี่ยนแปลง”

ร่างสูงใหญ่ สวมกอดร่างบอบบางอย่างแสนรัก มิได้รู้สึกหวาดหวั่น เมื่อรู้ว่านางมิใช่ชาวบ้าน สามัญทั่วไป หากเป็นชาวจันทรกานต์ ดินแดนลึกลับที่ไม่เคยมีผู้เคยพานพบ

...คุณค่าของความรักของนาง ต่างหากที่สำคัญกว่า ชาติกำเนิดของนาง...

“วันนี้เป็นหนึ่ง ที่ข้าจักจดจำไว้ ว่าข้าได้รับความรักอันสูงค่ายิ่ง จากหัวใจของท่าน”

ศศิพิลาสรำพึงเสียงแผ่ว น้ำตาไหลรินออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ

“ข้าก็เช่นกัน ศศิ... ข้าโชคดีเหลือเกิน ที่ได้พบเจ้า”

สองหนุ่มสาวอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน จนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี แสงสุดท้ายของดวงตะวันหรี่โรย ม่านราตรีเคลื่อนคลุมผืนฟ้า ดวงจันทราลอยเด่นฉายฉานทอรัศมีสีเงินยวง อาบไล้ปลายยอดไม้ แลยอดหญ้าบนผืนดินชุ่มฉ่ำ

“เจษฎา... ท่านจักให้สัญญากับข้าได้หรือไม่ ว่าท่านจักกลับมาหาข้า” ศศิพิลาสเงยหน้าขึ้นมอง ชายอันเป็นที่รัก เอ่ยขอสัจจะจากเขา

เจ้าชายหนุ่มกุมมือน้อย มาวางบนอุระ ดวงเนตรคมกล้า แลสบดวงตาคู่สวย แววเนตรแน่วนิ่ง มั่นคงนัก

“ศศิ... เมื่อใดที่ข้าทำให้บ้านเมืองสงบสุข ชาวประชาพ้นภัย เมื่อนั้นข้าจักนำผลึกจันทร์มามอบคืนเจ้า หัวใจและความรักของข้า จักมอบให้เจ้าผู้เดียว” ทรงให้สัจจะสาบาน

“เจษฎา... ข้าจักรอคอยท่าน ไม่ว่านานเพียงใด ข้าจักรอคอยท่านกลับคืนมา”ศศิพิลาสให้สัจจะกับเจ้าชายเช่นกัน

นางขยับห่างจากวรกายแข็งแกร่ง เอื้อมมือไปดึงมีดพกที่เหน็บไว้บนพระกฤษฎีของเจ้าชายหนุ่มมาถือไว้

“ท่านจักสัญญากับข้า ด้วยชีวิตแลหยดเลือดของท่านได้หรือไม่ เจษฎา”

เจ้าชายเจษฎาแย้มโอษฐ์ หัตถ์หนากุมมือเรียวบางให้หงายขึ้น ดวงเนตรคมทอประกายกล้าทอดมองผลึกใสนิ่ง ก่อนดึงมีดออกจากฝัก แล้วกดปลายคมวับบนอุ้งหัตถ์ โลหิตสีแดงสดหยาดรินไหล หยดลงสู่ผลึกจันทร์ ในมือของศศิพิลาส

“ข้าขอให้สัญญา ชีวิตแลวิญญาณแห่งข้า จักเป็นของเจ้าตลอดไป”

สิ้นคำ อัญมณีในมือของหญิงสาวก็หมุนติ้ว ดูดซับโลหิตนั้นจนเหือดแห้ง แสงสีอำพันเรืองรองสว่างจ้า

ทันใดนั้น! บาดแผลบนอุ้งหัตถ์ของเจ้าชาย กลับจางหายไปอย่างน่าอัศจรรย์...

ทว่า... มีรอยแดงรูปวงกลม ปรากฏอยู่แทนที่

“ผลึกจันทร์ ยอมรับคำสัญญาของท่านแล้ว”ศศิพิลาสเอ่ยขึ้น

นางแตะปลายนิ้วบนผิวเรียบลื่น วาวระยับ อ่อนเบา... ละม้ายกำลังปลอบประโลม ผลึกใสในอุ้งมือ ก่อนจะนำผลึกจันทร์อัญมณีแห่งชีวิตของชาวจันทรกานต์ วางบนมือของเจ้าชายหนุ่ม แล้วใช้มีดกดลงบนอุ้งมือซ้ายของตนเอง หยดเลือดไหลรินรดผลึกใส แสงสีอำพันสว่างจ้า ฝ่ามือน้อยประกบบนผลึก ดวงตาหรี่ปิดลง

ร่างกายของหญิงสาวกระตุกเล็กน้อย สีหน้าคล้ายกำลังเจ็บปวดอย่างสาหัส หากเจ้าตัวยังฝืนกัดฟันไว้ เมื่อแสงราหาย หญิงสาวก็ลืมตาขึ้น ใบหน้าละม้ายซีดเผือดลงไป เหมือนคนที่กำลังจะหมดแรง เมื่อยกฝ่ามือออก บาดแผลกลับเลือนหายไป ปรากฏรอยวงกลมสีแดงขึ้น เฉกเดียวกับเจ้าชายหนุ่ม

“ผลึกจันทร์ จักบันดาลสิ่งประสงค์ให้ท่าน เช่นที่บันดาลให้ข้า จักไม่มีผู้ใดครอบครอง และใช้สิ่งนี้ได้ นอกจากท่านและข้า ชีวิตกึ่งหนึ่งของข้า ผสานรวมกันเป็นพลังของผลึกนี้ ขอท่านจงใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

นางบอกเขาด้วยเสียงแผ่วพร่า ริมฝีปากบางแย้มละมุน ดวงตาคู่นั้นจ้องมองใบหน้าเจ้าชายหนุ่ม ด้วยแววตารักใคร่

“ศศิ... ข้าจักกลับมาหาเจ้า ข้าขอสัญญาด้วยชีวิต และวิญญาณของข้า”สัจจะนั้นเปล่งออกมาจากหัวใจที่ตั้งมั่น ร่างหนาสวมกอดร่างบางไว้แนบแน่น

“ข้าจะรอ... รอท่านกลับมา เจษฎา...”

ภาพหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น ก่อนค่อยๆพร่าพราย... เลือนหายไป

รวินท์สะดุ้งเฮือก ชายหนุ่มละสายตาจากอัญมณี กะพริบตาถี่ๆ อย่างมึนงง สติสัมปชัญญะกลับคืนมาอีกครั้ง... เขาถอนหายใจยาว เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่...

ร่างสูงขยับลุกขึ้นมานั่งบนขอบเตียง ดึงผ้าขนหนูที่พาดบ่ามาซับเหงื่อบนใบหน้า ก่อนหยิบจี้ห้อยคอมาดูใกล้ๆ แก้วผลึกใสทอประกายวาววาม สะท้อนแสงไฟ ไม่มีภาพใดใด ปรากฏบนผิวเรียบลื่นนั้นเลย...

ภาพนิมิตที่เห็นเมื่อครู่ ทำให้ชายหนุ่มพิศวง คิ้วหนาเข้มขมวดชนกันอย่างไม่รู้ตัว

ทุกอากัปกิริยาของเจ้าชายพระองค์นั้น ทุกการกระทำ รวมถึงทุกความรู้สึก นึกคิด เขารู้สึกและสัมผัสมันได้ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน...

รวินท์รู้สึกราวกับว่า เขา...เป็นคนๆเดียวกัน กับบุรุษสูงศักดิ์ในนิมิต

ชายหนุ่มหงายฝ่ามือหนาขึ้น เขายังจำความรู้สึก ยามคมมีดกรีดลงบนฝ่ามือนั้นได้

ความเจ็บปวด...แปลบปลาบ แล่นเป็นริ้ว หยดเลือดแต่ละหยด ราวกับหยาดรินมาจากฝ่ามือของเขาเอง รวินท์ขนลุกเกรียว วาบไปจนถึงไขสันหลัง เลือดในกายเย็นเฉียบ

สิ่งที่เขาเห็น... คืออะไรกันแน่ ?

ความจริง... ความฝัน... หรือภาพลวงตา!

ร่างสูง ทิ้งตัว นอนหงายกลางที่นอน หลับตานิ่ง ความปวดแล่นจี๊ดเข้ามาในหัว จนต้องเอามือกุมไว้ ปล่อยจี้ห้อยคอหล่นร่วง โดยไม่แยแสว่าจะตกอยู่ตรงไหน

“โอ๊ย... มันเกิดอะไรขึ้น! ”

ชายหนุ่มตะโกนก้อง ปลายเล็บจิกบนอุ้งมือจนเจ็บแปลบ ซบหน้ากับท่อนแขน หลับตานิ่งด้วยความสับสน

ทันใดนั้นเอง! มีเสียงหนึ่งดังแว่วมา

“ไฟไหม้! ไฟไหม้!”

เสียงผู้คนร้องตะโกนกันดังโหวกเหวก ได้ยินมาแต่ไกล รวินท์ผุดลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มหันไปมองที่หน้าต่าง

ท้องฟ้าในคืนสงัดกระจ่างแจ้ง แสงสีส้มแกมแดงสว่างจ้า เขารีบสาวเท้าเดินมาที่หน้าต่าง สิ่งที่เห็น ทำให้ชายหนุ่ม สะดุ้งวาบ

“ไฟไหม้...” เขาอุทานเสียงแผ่ว

กลุ่มควันสีเทาดำลอยขึ้นสู่อากาศ เปลวไฟสีส้มลุกโชน สาดแสงสว่างโร่ มองเห็นในระยะไกล ทิศทางของเพลิวไหม้อยู่ตรงกลางระหว่าง โรงแรมกับสปา ต้นเพลิงน่าจะมาจาก อาคารพิพิธภัณฑ์ ประกายไฟกำลังลุกไหม้จากบริเวณใดบริเวณหนึ่งของที่นั่น!

๐๐๐๐๐๐๐๐



อัพแล้วนะคะ

ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ

รวิญาดา/ผการุ้ง



รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2557, 01:25:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 เม.ย. 2557, 01:25:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1171





<< ตอนที่ 4.   ตอนที่ 7. >>
อัศวินนภา 29 เม.ย. 2557, 13:46:45 น.
สนุก น่าติดตามมากๆค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account