สาปเล่ห์สิเน่หา
เรื่องราวของสองธิดาชาวฮาง ที่เดิมพันหัวใจด้วยชายหนุ่มแห่งหมู่บ้านแม่นาง

ใคร...จะได้ครอบครองความรัก
ใคร...จะได้หัวใจของชายคนนั้น
แล้ว...
ใคร...จะเจ็บปวดที่สุดกับรักครั้งนี้

Tags: ความรัก ความแค้น แรงริษยา การแย่งชิง เล่ห์ มนตรา

ตอน: ตอนที่ ๑ สัญญาณรักลวง

สวัสดีครับ...หวังว่าจะยังคงจดจำพายุ-กีรณัช ได้นะครับ

ไม่ได้เข้ามาลงนาน รหัสเลยลืม เข้าไม่ได้ (ข้ออ้างเยอะม๊ากกก)

กับพอดี ได้กลับมาเขียน พร้อมกับนามปากกาใหม่

"ไวกูณฐ์" หวังว่าจะทำให้ผลงานเรื่องนี้ ติดตา ตรึงใจ แฟนรักนักอ่านนะครับ

ไม่ว่าจะเป็น "พายุ" กีรณัช" และ "ไวกูณฐ์" คือคนเดียวกันนะครับ

แล้ว...จะสลับนำผลงานทั้งสามนามปากกานี้มาลงให้อ่านกันนะครับ
หวังว่า "สิเน่หาที่ติดตรึง จะยังคงตราติดอยู่ได้มิจางไป" นะครับ

ขอขอบคุณด้วยใจ
ไวกูณฐ์
12/05/57

ตอนที่ ๑

ท่ามกลางความสลัวรางวูบไหวไปมาตามกระแสลมพัดผ่านของแสงไต้ที่วางตามจุดต่างๆ ทั่วบริเวณตัวเรือนไม้หลังใหญ่ โอบล้อมด้วยหมู่แมกไม้และดอกไม้ที่เบ่งบานท้าแสงจันทร์ ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ปรากฏร่างบอบบางผู้กำลังกรีดนิ้วลงบนเครื่องสาย เกิดท่วงทำนองแห่งดนตรีอันไพเราะ อ่อนช้อย

ตึง...เตรง ง ง

เสียงฟ้าครวญครางมาจากปลายฟ้าไกล เจ้าของร่างแบบบางผู้กำลังกรีดนิ้วลงบนเครื่องสาย ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก่อนนิ้วเรียวจะหยุดกรีดสายโลหะ บัดนี้กลุ่มเมฆสีเทาลอยอ้อยอิ่งบดบังพระจันทร์งามเด่นให้อ่อนแสงลง สายลมที่พัดแผ่วๆ มาแต่หัวค่ำเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น เช่นเดียวกับความเย็นก็เริ่มแผ่กระจายมาจากผาสูงที่อยู่ไกลออกไปในความมืด ดูท่าฝนกำลังจะเทลงมาในไม่ช้านี้

หญิงสาวค่อยๆ วางเครื่องดนตรีลงบนแคร่ไม้ข้างตัว ขาเรียวหย่อนลงเหยียบบนผืนดินแล้วหยัดยืนมองไปยังผาดำในความทะมึนมืด ยิ่งมีสายฟ้าสว่างวาบเป็นฉากหลังยิ่งทำให้ผานั้นทวีความน่ากลัวขึ้นเป็นเท่าตัว

ผาดำ...สถานอันเป็นที่สุดท้ายสำหรับฝังกายของชาวเมืองเมื่อถึงแก่ความตาย ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้านายฝ่ายเหนือหัวหากลาโลกแล้วก็จะถูกส่งไปที่นั่น ทอดกายถวายแก่ผืนดินแห่งความโศกสลด

กรอบหน้าสวยหวานงดงามละสายตาจากผาดำหันย้อนกลับมายังแคร่ไม้อันมีเครื่องสายวางอยู่ เธอแย้มยิ้มเมื่อเห็นร่างอรชรในชุดผ้าฝ้ายปล่อยชายระลงห้อยพร้อมกับลูกปัดงามหลากสีเรียงร้อยเป็นพู่นอกผ้าซิ่นไหมคำยาวกรอมเท้า ถักทอด้วยลวดลายงามตาเยื้องย่างมาใกล้อย่างอ่อนช้อยงดงาม หญิงนางนั้นขยับมาตรงหน้าแล้วทรุดลงคุกเข่ากระทำการคารวะ

“ฮอเมียงเจ้า...”

“มีอะหยัง”

เจ้าของร่างแบบบางในชุดผ้าฝ้ายถักทอด้วยลวดลายเครือเถาเขียวส้มสลับกันเข้ากับผ้าซิ่นทอผืนงาม บนศีรษะที่เกล้ามวยรวบเก็บปักด้วยปิ่นไม้ประดับปลายและห้อยระย้าด้วยรัตนมณี ขยับกายลงนั่งยังแคร่ไม้แล้วมองนางผู้มาใหม่ด้วยคำถาม

“ท่านฮอเมืองเชิญให้หาเจ้า”

---
“ฮอเมียง...”

แวววรรณผุดกายลุกขึ้นนั่งหลังสะดุ้งตื่นจากนิทรา กรอบหน้าสวยเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโป้ง เกิดคำถามอย่างมากมายยามนึกถึงศัพท์สำเนียงอันแปลกหูของสตรีอีกนางยามเข้ามาเรียกเธอ

“ใครกัน ฮอเมียง” จิตประหวัดคิดถึงภาพความฝันอันเด่นชัด ชัดขนาดที่เธอจดจำรายละเอียดของอาณาบริเวณนั้น แม้กระทั่งท่วงทำนองเพลงที่ตนกรายนิ้วดีด...ไพเราะ อ่อนช้อย ชื่นเย็นนั้นได้เป็นอย่างดี

ทว่าการแต่งกาย รวมไปถึงภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏในห้วงความฝันกลับดูแปลกหูแปลกตา ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่เครื่องดนตรีที่เธอกรีดนิ้วลงบนเส้นโลหะเป็นท่วงทำนองอันไพเราะนั้นก็ไม่...ที่ไหนกันนะ แล้ว...ฮอเมียงคือใคร ก่อเกิดคำถามตามมาอย่างไม่เข้าใจกับภาพที่เห็น

หญิงสาวถอนใจ ก่อนจะสะบัดหน้าขับไล่ความคิดเหล่านั้นทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ไม่ว่าเธอจะไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร มันก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้น

“จริงสิ เมื่อวานเราไปค่ายอาสากับทางมหาลัยนี่”

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเนียนใสเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันวาน ที่เธอไปค่ายอาสากับทางมหาวิทยาลัยในฐานะศิษย์เก่าเข้าช่วยเหลือกลุ่มรุ่นน้องในคณะเดียวกันสร้างฝายน้ำล้นที่หมู่บ้านกลางป่าใหญ่

“คงเอามาฝันว่าตัวเองเป็นหญิงสาวเผ่าลัวะ ขมุหรือตองเหลืองล่ะสิ บ้าไปแล้วยัยแวว”

ลงจากเตียง จัดเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานก็ออกมาเปลี่ยนชุดเพื่อจะเดินทางไปช่วยจัดเตรียมงานแต่งงานของเพื่อนที่กำลังจะมีขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้านี้

แวววรรณเดินลงมายังชั้นล่าง เข้าสู่ห้องอาหาร เธอส่งยิ้มให้กับน้าสาวผู้ทำหน้าที่แม่บ้านที่กำลังจัดอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ กลิ่นอาหารหอมฉุยจนอดที่จะเข้าสูดกลิ่นหอมๆ นั้นไม่ได้

“ข้าวต้มกุ้งจ้ะ หอมไหม”

“หอมมากๆ เลยค่ะน้ากลิ่น แหม..มีกุ้งตัวโตด้วย แววขอกินเลยนะคะ” หญิงสาวขยับลงนั่งยังเก้าอี้ ทว่ากลับต้องยิ้มเจื่อนเมื่อน้ากลิ่นรีบปรี่มาปราม

“อย่าเพิ่งสิจ๊ะ รอตาสันต์ก่อน”

“นานะน้ากลิ่น แววขอชิมก่อน นิดนึง...นี่ๆ ท้องร้องจ๊อกๆ แล้ว” เจ้าตัวว่าพร้อมกับชี้มาที่ท้องของตนเอง “ป่านนี้พี่สันต์คงจะยังแต่งตัวไม่เสร็จ ให้แววทานก่อนนะ แววหิวแล้ว”

น้ากลิ่นค้อนหญิงสาวทางสายตา แต่กระนั้นก็ยังปรามเด็กสาวเสียงเข้ม “อย่าลืมธรรมเนียมของบ้านเราสิจ๊ะ ต้องรอทานพร้อมผู้ใหญ่”

“ให้ยายแววทานเถอะครับน้ากลิ่น ปล่อยให้หิวมากเดี๋ยวเปลี่ยนมาแทะโต๊ะแทนมันจะยิ่งไปกันใหญ่” เสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มดังมาตั้งแต่หน้าประตูห้อง

แวววรรณค้อนพี่ชายก่อนจะเชิดหน้าไปทางอื่นทำเป็นงอนจนวสันต์เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ แล้ววางมือลงบนเส้นผมสลวยยีเล่นเบาๆ

“หิวก็ทานไปก่อนเถอะ พี่ไม่ว่าหรอก”

ชายหนุ่มอนุญาตก่อนจะขยับไปนั่งประจำที่รับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจากน้ากลิ่นมาเปิดอ่าน ฝ่ายเด็กสาวทำหน้ายู่มองชามข้าวต้มสลับกับหน้าหล่อๆ ของพี่ชาย

“แล้วพี่สันต์ล่ะคะทำไมไม่ทาน อ่านหนังสือพิมพ์อยู่นั่นแหละ ทานเสียก่อนแล้วค่อยอ่านก็ได้”

“พี่ยังไม่หิว แววหิวก็ทานไปก่อนเถอะนะ” วสันต์ว่าก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ

“เอ้า... ทำไมไม่ทานล่ะจ๊ะ ไหนว่าหิวมากไง ประเดี๋ยวข้าวต้มก็เย็นเสียหรอก” น้ากลิ่นหันมาเอ่ยกับหลานสาว ก่อนจะเอ่ยกับหลานชาย “ ไม่ทานหน่อยเหรอ เย็นแล้วไม่อร่อยนะ”

“ยังหรอกครับ”

“งั้นเดี๋ยวน้าเอาไปเก็บก่อน ไว้จะทานเมื่อไหร่ก็บอก น้าจะอุ่นให้”

วสันต์พยักหน้ายอมให้น้ากลิ่นดึงชามข้าวต้มออกไปไม่ได้ว่าอะไรอีก ไม่สนใจแม้กระทั่งน้องสาวที่ทำท่าล้อเลียนพี่ชายก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงซัดอาหารเช้าที่แสนอร่อยด้วยรสมือของน้ากลิ่น ญาติสาวที่มาอยู่ร่วมชายคานับตั้งแต่บิดาและมารดาของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อสามสี่ปีก่อน พอพ่อและแม่เสีย แวววรรณก็เหลือแค่พี่วสันต์และน้ากลิ่นที่เป็นญาติสนิท จะมีกลุ่มญาติห่างๆ และเพื่อนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นมอบความรักมิตรภาพให้แก่กัน

----
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นหลายครั้ง เรียกให้น้ากลิ่นเดินออกไปดู แวววรรณซึ่งทานข้าวต้มเกือบหมดจึงชะเง้อมองตาม ไม่นานน้ากลิ่นก็กลับเข้ามาพร้อมห่อพัสดุในมือ

“อะไรคะน้ากลิ่น” แวววรรณถามน้าสาวที่พ่วงตำแหน่งแม่บ้านอย่างสงสัย

“มีพัสดุถึงแววจ้ะ” น้ากลิ่นว่าพร้อมกับส่งกล่องกระดาษขนาดเล็กให้กับหลานสาว

“จากใครหรือคะ” แวววรรณมองกล่องในมืออย่างแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครส่งของให้กับเธอ แล้วนี่เป็นของใครกัน

“ไม่ทราบสิคะ ไม่เห็นมีจ่าหน้าด้วยว่ามาจากใคร” น้ากลิ่นว่าก่อนจะปลีกตัวเข้าห้องครัวไป

วสันต์ละสายตาจากหนังสือพิมพ์หันมองน้องสาวที่ทำหน้างง แม้แต่ตัวเขาก็ยังแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป

“ของใครกันนะ กล่องกระจิ๋วเดียว จะใส่อะไรได้” เธอมองกล่องในมือ พลิกมันไปมาพร้อมพินิจพิเคราะห์ว่าในช่วงระยะนี้เธอได้ไปสั่งของหรืออยากได้อะไรจากใครหรือเปล่า ใครบางคนคนนั้นถึงได้ส่งมันมาให้กับเธอ

“อยากรู้ก็เปิดดูสิ...ถ้าเป็นระเบิดพี่จะได้หนีทัน”

“บ้า” ค้อนพี่แล้วก็ก้มลงมองกล่องเล็กๆ ชิ้นนั้นอีกครั้ง

ชั่งใจอยู่สักพักจึงแกะเทปที่ปิดมันออกอย่างระมัดระวัง เรื่องระเบิดตามที่พี่ชายเย้านั้นไม่มีอยู่ในหัวเพราะถ้าใช่ กล่องจะต้องมีน้ำหนักมากกว่านี้หรือไม่ก็ต้องมีเสียงอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน ทว่ากล่องที่ได้กลับเบาหวิวราวกับกล่องเปล่า

ใช้ความพยายามแกะกล่องเพียงไม่นานหญิงสาวก็ได้เห็นสิ่งของที่อยู่ข้างใน...ลูกปัดเม็ดเล็กๆ หลากสีหลายขนาดถูกร้อยเป็นสายสร้อยข้อมือวางนิ่งอยู่บนกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนข้อความสั้นๆ

ให้คุณครับ...

“เออแฮะ ส่งมาหาฉันแล้วจะให้ในโอกาสอะไรล่ะ...บ้า” เธอเถียงเมื่ออ่านตามกระดาษแผ่นนั้นที่เขียนข้อความแค่สองสามคำ แล้วหยิบสร้อยลูกปัดขึ้นมาพลิกๆ ดูอย่างสนใจ ในกระดาษไม่ได้บอกว่ามาจากใคร มีแค่ตัวหนังสือที่บรรจงเขียนด้วยลายมือสวยงามเท่านั้น

วสันต์ที่นั่งอยู่ขมวดคิ้วสงสัย มองน้องสาวสลับกับสร้อยลูกปัดและกระดาษแผ่นเล็ก อดไม่ได้ที่จะถาม

“จากใครน่ะแวว สร้อยสวยดีนี่”

“ไม่รู้ค่ะพี่ ดูสิเขียนแค่นี้แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครให้มา...ถ้าเกิดส่งมาผิดบ้านแววก็ได้ของฟรีสิ” เจ้าตัวว่าพร้อมกับส่งสร้อยลูกปัดและกระดาษแผ่นนั้นให้กับพี่ชาย ฝ่ายวสันต์อ่านข้อความและมองสิ่งของในมือแล้วจึงนิ่งไป

“ไม่ผิดหรอก ที่กล่องน่ะชื่อแกชัดๆ”

“นั่นสินะ” แวววรรณพยักหน้าเห็นด้วย

“แกไปหว่านเสน่ห์ให้หนุ่มๆ ที่ไหนหรือเปล่า...เขาถึงได้ส่งของมากำนัลเนี่ย”

“ไม่นี่...ไม่มีหรอก” เจ้าตัวปฏิเสธ หลุบเปลือกตาลงหลับพร้อมนึก ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่มีใครที่จะเข้าข่ายอย่างที่พี่ชายว่าสักที

“หรือจะเป็นคู่ปรับ”

“คู่ปรับ ใครกัน” วสันต์ถามขึ้นทันที

“คนปากมอมน่ะค่ะพี่สันต์ เหอะ...แต่ไม่น่าใช่หรอก ถ้านายนั่นส่งสร้อยนี่มาให้แววจริงๆ แม่น้ำน่านท่าจะขึ้นจนล้นตลิ่งอีกรอบแล้วล่ะมั้ง”

“ไม่แน่นะ” พี่ชายว่าแล้วยิ้ม “เขาอาจจะชอบแกแล้วส่งสร้อยนี่มาให้ก็ได้”

“ชอบบ้าชอบบออะไรกัน เกลียดกันจะตาย แต่ถ้าใช่... มันก็คงส่งมาแกล้งให้ดีใจเล่นสิไม่ว่า ยังไงก็ไม่มีทางเป็นนายนั่นเด็ดขาด วู้...แววไม่พูดกับพี่แล้ว” ดึงสร้อยลูกปัดกับกระดาษจากพี่ชาย รวบเก็บใส่กล่องกระดาษแล้วเดินหนีออกจากห้องนั้นไปทันที
ยังไงก็ไม่เชื่อหรอก...คนอย่างนายนั่นคงไม่คิดส่งสร้อยมาให้กับเธออย่างแน่นอน

----

ในเวลานั้น ณ อีกสถานที่หนึ่ง คนที่แวววรรณกำลังนึกถึงในทางไม่สู้ดีนักกำลังจามอย่างหนักขณะคุมบรรดาน้องๆ ทหารเกณฑ์ผลัดใหม่มาออกกำลังกายหน้าค่าย จนกลุ่มชายหนุ่มผู้รับใช้ชาติต่างมองผู้คุมแล้วพากันหัวเราะ

ชนวีร์ถลึงตาใส่กลุ่มทหารที่หัวเราะ ทุกคนหยุดแล้วก้มหน้าก้มตายืดเส้นยืดสายตามผู้นำที่อยู่แถวหน้า เขาจึงได้เดินแยกมาอีกทาง

“จามขนาดนี้ท่าจะเป็นหวัดนะผู้กอง” เสียงทักจากจ่าชิด จ่าทหารวัยกลางคนดังขึ้นพร้อมกับพาร่างอันสมส่วนในชุดลายพรางเข้ามายืนข้างๆ

“ไม่นะครับ...ไม่เห็นมีอาการอื่นเลย” ผู้กองหนุ่มปฏิเสธ

“หรือไม่ก็อาจจะมีคนถามหา”

“ใครกันล่ะจะถามหาผม เหอะ” เจ้าตัวยิ้ม ทอดสายตามองผืนน้ำสีน้ำตาลของแม่น้ำน่านยามหน้าน้ำขึ้นไหลเอื่อยผ่านไป “คงจะเริ่มเป็นหวัดอย่างที่จ่าว่า เพราะเมื่อวานดันขี่มอเตอร์ไซด์ตากฝนกลับบ้านพัก”

“อ้าว รถยนต์มีทำไมไม่ใช้ล่ะครับหรือว่าต้องการขับมอเตอร์ไซด์ไปอวดสาว” ผู้มีอายุกว่าว่าเป็นเชิงเย้า

ชนวีร์หัวเราะ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่เขาขับมอเตอร์ไซด์ฮาเล่ย์คันโปรดตากฝนกลับค่าย ไม่ใช่เพราะอยากอวดสาวหรอก แต่เพราะขณะนั้นออกไปธุระที่อยู่ใกล้ๆ กับค่าย จึงเอารถมอเตอร์ไซด์ไปแทน สนอง นโยบายช่วยรัฐบาลประหยัดพลังงาน

“ผมไปธุระไม่ไกลก็เลย เอามอเตอร์ไซด์ไปมันสะดวกกว่า ไม่รู้ว่าฝนจะตกเลยไม่ได้ติดเสื้อกันฝนไปด้วย” ชายหนุ่มว่าแล้วยิ้ม

“หน้าน้ำหน้าฝนแบบนี้ควรมีเสื้อกันฝนติดรถไว้บ้างนะครับจะได้ไม่เปียกทั้งข้างนอกและข้างใน” จ่าทหารแซวแล้วก็หัวเราะกับประโยคสองแง่สองง่ามของแก

“ทะลึ่งน่าจ่า...” ผู้กองหนุ่มเอ็ดเบาๆ

“แหมๆ เข้าใจซะด้วย” จ่าชิดอมยิ้มกับมุขถุงยางอนามัยของแก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถาม “เอ้อ ว่าแต่สร้อยเส้นที่ผมให้เด็กเอาไปให้ผู้กองสวยไหมครับ อันนั้นน่ะผมเพิ่งได้จากลูกน้อง เขาว่าเป็นของเก่าและน่าจะเหมาะกับผู้กองดี เห็นผู้กองชอบสะสมของเก่า”

“สร้อยข้อมือนี่นะ...ผมใส่มีหวังถูกหาว่าเป็นตุ๊ดอีกแน่ แค่โดนแซวว่าแอ็บแมนทำหน้าขาวก็แย่อยู่แล้ว”

“เหอะๆ ผมไม่ได้บอกให้ผู้กองใส่เองนี่ เผื่อผู้กองจะเอาไปให้น้องสาวหรือแฟน ...ผู้กองเอาให้แฟนแล้วหรือยัง”

“ให้แล้ว... เอ้ย ไม่ใช่” รีบปฏิเสธอย่างทันที หากสีหน้ากลับแดงเข้มอย่างเห็นได้ชัด

“ฮ่า ฮ่า ปฏิเสธแบบนี้แสดงว่าให้ไปแล้ว อุแหม่ ผมไม่น่าคุยเรื่องนี้เลย เรื่องพรรค์นี้สำหรับผู้กองชนวีร์นั้นไม่ต้องสอนกันแล้ว”

“โห...จ่าชิด นี่ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ”

“ไม่ได้ว่าแต่ตาผู้กองมันฟ้อง เถอะน่า ให้ก็ให้สิครับผมไม่ได้ว่าอะไรนี่ แค่อยากจะฝากบอกเจ้าของคนนั้นว่าให้เก็บมันเอาไว้ให้ดี มันเป็นของเก่าประมาณค่าไม่ได้”

“ผมไม่เข้าใจ จ่าเอามาให้ผมทำไม จ่าน่าจะเก็บเอาไว้เองนะ” เขาถามด้วยความแปลกใจ

“เถอะครับ ให้ก็คือให้ผู้กองไม่ต้องคิดอะไรมาก” จ่าชิดโบกไม้โบกมือ “อ้อ...ผู้กองครับผมลืมบอกไป ของบางอย่างโบราณเขาว่ามันเลือกเจ้าของนะครับ บางทีอาจจะมีอะไรมาดลใจให้ผมเอามาให้คุณแล้วให้คุณไปให้เจ้าของที่แท้จริงเขาก็ได้”

“อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยจ่า” ชนวีร์ว่าแล้วยิ้มแหย เกิดสร้อยเส้นนั้นมีอะไรที่ผิดปกติล่ะคนที่ซวยที่สุดเห็นจะไม่พ้นกับคนที่เขาให้ไป...แวววรรณ

“มันก็ไม่แน่หรอกครับผู้กอง” จ่าชิดยังยืนยัน

และคำยืนยันนั้นก็สร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ให้อย่างชนวีร์อย่างไม่อาจระงับได้

----

ที่เรือนแม่นายซึ่งได้กลายมาเป็นศูนย์วัฒนธรรมกำลังจะมีงานมงคลในอีกไม่ถึงวัน เวลานี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยกลุ่มคนที่มาช่วยตระเตรียมงานแต่งงานระหว่างปรียาและผู้กองกานต์ แต่ละคนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส...

แวววรรณและกลุ่มเพื่อน ทั้งจักจั่นและตาลแก้วช่วยกันตัดเย็บกระดาษสี บ้างจัดเตรียมบรรดาหมากพลู เมี่ยงคำและเครื่องคายบายศรีให้ครบพร้อมในพิธีอีกไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงข้างหน้า

ไม่นานกลุ่มทหารสังกัดเดียวกันกับผู้กองกานต์ว่าที่เจ้าบ่าวก็เดินทางมาถึง พวกเขาช่วยกางเต็นท์ในบริเวณลานด้านหน้า ทั้งจัดเวทีและช่วยในการผูกผ้ามัดโยงให้อาณาบริเวณลานแห่งนั้นดูสวยงามสมกับเป็นงานมงคลพิธี

พอเห็นแวววรรณช่วยบรรดาคุณป้าคุณน้าเย็บใบตองอยู่ นายทหารหนุ่มหน้าใสก็ถือโอกาสเดินเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยทักเย้าแหย่อย่างทุกครั้ง

“สวัสดีครับทุกคน อืม...เย็บใบตองสวยๆ กันทั้งนั้น ดีครับหัดเอาไว้ เผื่อถึงคราวตัวเองแต่งบ้าง จะได้บอกคนช่วยเย็บได้ถูกแบบ” หน้าทะเล้นยมองกรอบหน้าสวยคมคายของแวววรรณ “แต่ก็นั่นล่ะนะ...สำหรับใครบางคนในนี้คงจะอีกนาน หรือไม่ก็คง...ไม่มีเลย”

“นี่นายว่าใครไอ้หน้าขาว” เรียวตาคู่สวยตวัดมองคนพูดในทันทีเมื่อประโยคท้ายของเขามันพุ่งมาประชดเธออย่างจัง

“ผมไม่ได้ว่าใครนะ แค่พูดออกมาลอยๆ เท่านั้น” เจ้าหนุ่มว่าพร้อมกับถอยหนีเมื่อมือบางคว้ามีดหมายจะจ้วงใส่เขา จนบรรดาเพื่อนๆ ต่างรีบมาช่วยกันยื้อยุดเอาไว้

“โห...พูดแค่นี้จะเล่นให้ถึงตายเลยหรือไงคุณ...ทอสระออมอม้า”

“ไอ้...” เข่นเขี้ยวอย่างสุดแค้นเมื่อความหมายของชายหนุ่มนั้นกำลังว่าเธอเป็นทอม “ทำไม เป็นทอมมันหนักหัวทหารตุ๊ดตรงไหน ไปไป้ ไปไกลๆ ก่อนที่ฉันจะอดใจเหยียบหน้าขาวๆ ของนายไม่ไหว”

“โอ๊ะโอ๋ ดุอีก” ชนวีร์ถอยห่าง หากยังไม่วายทำหน้าทะเล้นเมื่อสายตาไปจับที่ข้อมือบางของหญิงสาวซึ่งมีเส้นสร้อยร้อยลูกปัดสวมอยู่ “ว้าว...ทอมหวานเสียด้วย ว่าแต่ใส่สร้อยกับเขาเป็นด้วยหรือครับ”

“เรื่องของฉัน”

“จะว่าไปมันก็สวยดีนะ แต่มันไม่น่าจะเหมาะกับทอมอย่างคุณนักหรอก”

“ไอ้!! ฉันจะฆ่าแก”

“อย่า ยายแวว” ทั้งตาลแก้วและจักจั่นต่างดึงแขนทั้งสองข้างของแวววรรณเอาไว้ “อย่าเลย นี่มันงานมงคลของเพื่อนเรานะ หยุดต่อล้อต่อเถียงกับเขาเถอะ”

“ใช่ๆ จักจั่นกับตาลแก้วพูดถูก นี่มันงานมงคลนะครับคุณ” ประโยคท้ายลากเสียงยาว “กรุณาทำตัวสุภาพให้สมกับเป็นเพื่อนเจ้าสาวหน่อย”

“สำหรับนายฉันไม่ต้องสุภาพก็ได้” ว่าแล้วจะโผเข้าหาเจ้าหนุ่มอีก

ทว่าเวลานั้นชนวีร์กลับเดินหนีไปเฉยๆ ประหนึ่งมายั่วให้โมโหแล้วก็จากไปด้วยความสุขที่ได้กลั่นแกล้ง

“ฮึ้ย กลับมานะไอ้บ้า ไอ้หน้าขาว ไอ้ลิงว๊อก”

“เขาไปแล้วก็หยุดเถอะแวว” ตาลแก้วกดแวววรรณลงนั่งดุจเดิม “คู่นี้นะ เจอกันทีไรเป็นได้กัดกันทุกที ฉันล่ะเบื่อจริงๆ”

“นั่นน่ะสิ” จักจั่นเห็นด้วย ก่อนจะหันไปทางหญิงชราคนหนึ่งที่นั่งเย็บใบตองและเปิดเสียงหัวเราะพร้อมกับพูด

“ปะแล้วกัดกั๋นจะอี้คนบ่ะเก่าเปิ้นว่าในอดีตชาติเคยเป็นคู่ฮัก คู่ถวายดอกไม้คำฮ่วมกั๋นหนาอีหล้า”

แวววรรณหน้าม่าน ตวัดตามองคนพูดอย่างโกรธจัด ติดแต่คนพูดเป็นหญิงแก่ชรา ไม่เช่นนั้นแล้วเธอเป็นได้เปิดศึกอีกรอบแน่ หญิงสาวทำท่าฮึดฮัดก่อนจะสะบัดเสียงว่า

“สำหรับหนู เป็นคู่เวรคู่กรรมกันมากกว่าเจ้า แม่อุ้ย”

อารมณ์ฮึดฮัดของแวววรรณสงบลงในเวลาต่อมาด้วยคำพูดปลอบและชวนทำนู่นทำนี่ของตาลแก้วและจักจั่น ก่อนเพื่อนสาวทั้งสองจะหันมาสนใจกับสร้อยข้อมือเส้นใหม่ของแวววรรณซึ่งไม่เคยเห็นใส่มันมาก่อน

“เพิ่งได้มาน่ะ เมื่อเช้านี้เอง” แวววรรณว่าพร้อมกับถอดสร้อยข้อมือเส้นเล็กๆ ให้กับเพื่อนสาวทั้งสองดู ซึ่งทั้งตาลแก้วและจักจั่นดูเหมือนจะตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของลูกปัดหลากสีตรงหน้าไปด้วยไม่ได้

“ว้าวสวยจัง ดูท่าจะเป็นของเก่าด้วยนะ เธอได้มาจากไหนหรือแวว ใครให้มาล่ะ”

“อือ...จากที่ดูฉันก็ว่าเป็นของเก่าเหมือนกันนะ” หญิงสาวว่าแล้วเหลือบตามองอีตาทหารหน้าขาวที่ยืนอยู่กับกลุ่มนายทหารด้วยกันแต่สายตามิวายเหลือบมองมายังเธออย่างสนใจ หญิงสาวจุดยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดถึงที่มาของสร้อยเส้นนั้นเสียงดังหมายใจให้ได้ยิน

“คนที่ให้มันมาน่ะหรือ หึ หึ เป็นแฟนของฉันเองจ้ะ เป็นไงสวยไหม” ลอยหน้าตอบอย่างอารมณ์ดี

“หา...แฟน!!”

ทั้งตาลแก้วและจักจั่นถึงกับอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนสาวพูด แต่นั่นมันยังไม่เท่ากับใครอีกคนที่ได้ยินประโยคนั้นเช่นกัน...ชนวีร์ที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มเป็นอันต้องชะงักและพ่นพรวดออกมาจนกลุ่มนายทหารคนอื่นต้องขยับหลบไปคนละทาง จากนั้นเสียงเอ็ดตะโรตามนิสัยก็ดังมาจากกลุ่มนายทหารเหล่านั้น

----
โปรดติดตามตอนต่อไป....
---



ไวกูณฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ค. 2557, 11:14:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2557, 19:48:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1102





   ตอนที่ ๒ สมบัติพันปี!!! >>
ทองหลาง 13 พ.ค. 2557, 11:43:39 น.
สู้ต่อไปทาเคชิ


ไวกูณฐ์ 13 พ.ค. 2557, 11:50:34 น.
ทาเคชิ สู้แน่ครับ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account