UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 1 : กลับบ้าน

รถกระบะสนิมขึ้นปุเลงแล่นลุยดินแดงมาจนฝุ่นฟุ้งไปทั่วในอากาศ สวนทางกับเด็กน้อยสวมกางเกงลายพรางที่กำลังปั่นจักรยานจนไอโขลกด่าเปิงไล่หลัง แรกเริ่มที่เข้ามารถแล่นบนถนนลาดยาง แต่พอเริ่มเข้าสู่เขตที่พักก็กลายเป็นดินแดง ไม่ถึงห้านาทีรถโยกโย้เย้ เสียงเครื่องยนต์ครืดคราดแล่นเบรกเอี๊ยดหน้าบ้านสองไม้ซอมซ่อที่ห่างจากการซ่อมแซมหลายปีจนนิ่งสนิทประตูด้านคนขับอยู่ตรงชานบันไดบ้านพอดิบพอดี

“ขอบคุณนะคะจ่า รบกวนจริงๆ” ประตูที่นั่งฝั่งข้างคนขับในรถกระบะตอนเดียวเปิดประตูออก คว้ากระเป๋าสัมภาระที่มีเพียงกระเป๋าเป้ใบใหญ่สะพายขึ้นหลัง พลางพนมมือไว้ผู้อาวุโสกว่าด้วยความขอบคุณ

“หมวดแกจะได้ไม่เหงานะ มีเรามาอยู่เป็นเพื่อน แปบๆ หมวดก็จะเกษียณแล้ว ไวจริงๆ” คนขับที่เป็นชายร่างเล็กหัวล้านหันมายิ้มให้เด็กคราวลูกอีกครั้งก่อนออกรถไป

เขียนจันทร์มองจนลับตาจึงแหงนหน้ามองบ้านไม้ที่เคยอยู่มากว่าสิบห้าปีด้วยความคิดถึง หลังคามุงด้วยกระเบื้องแบบง่าย มีชานระเบียงไม้ยื่นออกมา เสาเรือนทั้งสี่เสาของบ้านนั้นหญิงสาวเคยรู้มาว่าเธอกับพี่ๆ น้องๆ ต้องคอยหาอะไรมากำจัดปลวกที่เพียรขึ้นเสมอ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เธอไม่อยู่ที่นี่...พ่อจะทำอะไรกับบ้านบ้างหรือเปล่า

บ้านพักทหารในกรมนั้นพ่อของเธออยู่มาตั้งแต่สมัยเป็นนายสิบ คอยตามเจ้านายที่ยศสูงกว่า คอยทำตามคำสั่งเขาเสมอมา จนวันนี้ได้เลื่อนเป็นถึงยศร้อยตรีแล้ว พ่อก็ยังมีความสุขกับบ้านหลังนี้ ไม่ยอมย้ายเปลี่ยนไปไหน บอกว่าเอาไว้เปลี่ยนหลังเกษียณจากที่นี่ทีเดียว

บ้านที่ปิดเงียบเชียบแสดงว่าร้อยตรีศิลปินยังไม่ได้กลับนั้นทำให้คนที่มาโดยไม่บอกล่วงหน้าต้องเดินไปนั่งยังแคร่ไม้หน้าบ้าน ใต้ต้นจามจุรีต้นใหญ่อายุร่วมร้อยปี แสงของพระอาทิตย์เหนือหัวส่องแสงลอดมาเพียงรำไรตามแนวใบไม้ได้ไม่มาก แต่ก็ยังแผ่ไอร้อนมาให้ผิวขาวที่บำรุงมาอย่างดีแสบร้อนผิวได้อยู่บ้าง

พ่อของเธอเป็นทหารในกรมสัตว์ จะคอยดูแลฝึกสัตว์ และสัตว์ที่เธอชื่นชอบจนเกือบเอามาเป็นอาชีพก็คือขี่ม้า ม้าตัวโปรดของเธอชื่อ ‘พระจันทร์’เธอเลี้ยง และช่วยพ่อทำคลอดมันตั้งแต่อายุไม่ถึงแปดขวบดี ด้วยความที่สนใจการเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว ยิ่งมาพบกับพระจันทร์เธอจึงยิ่งหลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เธอนำพระจันทร์ออกไปแข่งหลายจากนั้นไม่กี่ปี ถึงจะยังเป็นเด็กแต่เธอก็ขี่ม้าแข่งได้กับพวกผู้ใหญ่เพราะความเอาจริงเอาจัง แต่แล้วจุดหมายปลายทางในการแข่งม้าของเธอก็ต้องสะดุดและจบลง

พระจันทร์ถูกวางยา และตายไปในขณะที่เธอกำลังพ่วงพีอย่างสง่าบนหลังของมัน มันร้องไห้ และล้มลงไปตอนที่มันพาเธอวิ่งสู่เส้นชัย จนวันนี้เธอจึงไม่เคยปักใจเลี้ยงสัตว์ชนิดไหนอีก รวมทั้งการปฏิเสธการแข่งขันขี่ม้าทุกอย่าง ผ่านมาสิบปี เธอก็ยังฝันถึงภาพลมหายใจสุดท้ายของพระจันทร์เสมอ จะมีใครกันที่รับเหรียญทองทั้งที่หน้าไร้อารมณ์ เธอได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในอก กระทั่งพิธีมอบรางวัลเสร็จในตอนนั้นเธอก็ไข้ขึ้น เข้าโรงพยาบาล ก่อนจะตัดสินใจย้ายออกจากบ้านหลังนี้ และมีหม่อมยายส่งเธอไปเรียนต่อต่างประเทศ

ความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นมามากมาย แต่มันไม่ได้ไม่น่าคิดถึงเหมือนแต่ก่อน เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่ยังฝังใจ หรือจดจำอะไรไปตลอดชีวิตโดยไม่คิดเรียนรู้ที่จะจัดการกับความรู้สึก เขียนจันทร์ถอดเป้วางลงบนแคร่ ก่อนจะนอนราบ ให้ศีรษะหนุนบนเป้ที่บรรจุเสื้อผ้าจนเต็มนอนหลับตา กลิ่นหญ้า ไอแดด และความรู้สึกของบ้านพ่อยังคงทำให้เธออบอุ่นไม่เปลี่ยนแปลง

เสียงรถเคลื่อนที่มาอย่างเร็ว หยุดลงตรงหน้าบ้านทำให้คนที่งีบพักสายตาไปไม่ถึงห้านาทีลุกขึ้นมานั่งหลังตรง ป้องมือบังแสงแดดที่สาดไปยังรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันโต คนๆ หนึ่งกระโดดลงมาจากรถ ร่างสูงที่เดินย้อนแสงทำให้เธอเห็นเขาไม่ชัดเจน แต่จากหุ่นที่มีมัดกล้ามชัดเจน แต่งชุดลำลองเสื้อเขียว กางเกงลายพรางก็คงเป็นทหาร เป็นชุดพื้นฐานของคนที่นี่เลยก็ว่าได้

“วาดเหรอ”

น้ำเสียงละมุน บวกกับหน้าตาโครงเข้ม ผิวคร้ามแดดปรากฏในครรลองสายตา คิ้วสีเข้มชัดเหนือดวงตาดำขลับที่มีรอยดุ ปากเม้มแน่น ยามปะทะสายตากับผู้หญิงคนที่เขาคิดว่าใช่...แต่ไม่ใช่ ดวงตาที่เคยอ่อนโยนจึงแปรเป็นกระด้าง น้ำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ

“เขียน!”

“ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะคะ” เขียนจันทร์ลุกขึ้นยกมือไหว้ลูกชายเจ้านายพ่อที่อายุห่างจากเธอสี่ปีอย่างคนมีมารยาทที่ดี ตรงข้ามกับใบหน้าที่ไม่ได้ละมุนตานัก นอกจากเรียบสงบเฉยชา ไม่หืออือหรือเดือดร้อนจากการที่อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอเป็นพี่สาว “แฟนไม่อยู่คุณก็น่าจะกลับไปได้แล้ว ข่าวที่ลุงๆ เขาส่งออกไปว่าลูกสาวบ้านนี้กลับมาเป็นฉัน คุณก็เห็นกับตาแล้วจริงไหมคะ”

รอยยิ้มเก๋แต้มมุมปาก เขียนจันทร์เลิกให้เกียรติอีกฝ่ายเสียดื้อๆ จึงไม่ได้สนใจเขา หันมาตบกระเป๋าซึ่งใช้ต่างหมอน ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนตามเดิม จงใจหันหลังให้รักษ์ชาติ เสียงฮึ่มฮั่มและจงใจเดินมากระแทกตัวนั่งบนแคร่จนเธอต้องกระเถิบหนีไปอีกนั้นทำให้คนอารมณ์เสียเกือบจะพ่นควันออกจากจมูก

“ไปอดนอนมาจากไหน ลุก! เธอนี่มันขี้เกียจจริงๆ”

“ยุ่ง!” เขียนจันทร์ส่งเสียงไปอย่างเย็นชา แต่ไม่ยอมลุกหันมาตามคำสั่งของรักษ์ชาติ

“คิดว่าออกไปอยู่ที่อื่นแล้วจะปีกกล้าขาแข็งได้หรือไง ลุกมาตอบฉันเดี๋ยวนี้ว่าพี่สาวเธอไปอยู่ที่ไหน” คนทำแฟนหายคว้าไหล่ปวกเปียกของคนนอนหลับให้ลุกมาเผชิญหน้า เขียนจันทร์ส่งเสียงหึ แต่ก็คร้านเกินกว่าจะมานอนฟังนายทหารที่เอาแต่โหวกเหวก ซ้ำยังพานมาลงกับเธอที่ไม่ใช่ ‘วาดตะวัน’ แฟนของเขา

“รู้แต่ไม่บอก ขอโทษด้วย ขนาดแฟนอย่างคุณ พี่สาวฉันยังไม่อยากให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ฉันก็จะเคารพการตัดสินใจของเขา” เขียนจันทร์ตอบชัดถ้อยชัดคำ สายตาเป็นต่อมองเขาอย่างดูแคลน ผู้ชายที่ทำตัววิ่งไล่ตามผู้หญิงคนหนึ่งมาตลอด ในอดีตเป็นอย่างไรปัจจุบันรักษ์ชาติก็ยังเป็นอย่างนั้น สายตายามมองเธอเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือที่เขาอยากจะบีบให้ตายอยู่รอมร่อนั่นก็ไม่เปลี่ยนสักนิด

ในอดีตเธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด ก็ถูกเขาซึ่งเป็นลูกเจ้านายพ่อ เขามักทำตัววางอำนาจ ถือว่าตัวเองเป็นใหญ่ สั่งอะไรต้องได้ วาดตะวันนั้นอายุห่างกับรักษ์ชาติเพียงสองปี จึงสนิทกับฝ่ายนั้นมากกว่าเธอ และเป็นคนที่รักษ์ชาติยอมลงให้เพียงคนเดียว นอกนั้นทั้งเธอ ประกายพรึก และภาพวิจิตรต่างก็ต้องโดนเขาจิกไปใช้เสมอๆ เป็นที่ตลกแก่เขา

แต่วันนี้มันจะไม่มีภาพสามพี่น้องต้องต่อตัวเพื่อไปเก็บมะม่วงแล้วโดนมดแดงกัดจนตกต้นไม้เป็นแผลถลอกปอกเปิก การลงน้ำไปเก็บลูกฟุตบอลที่เขาเล่นกับเพื่อนๆ แล้วทำเอาภาพวิจิตรเกือบจมน้ำเพราะขาเป็นตะคริว หรืออีกหลายๆ อย่างที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อแกล้งเธอ สั่งห้ามมีปากมีเสียงเพราะเขาจะอ้างว่าพ่อเธอเป็นลูกน้อง ถ้าเขาไปฟ้องเรื่องนี้จะไปมีปัญหาต่อการทำงานของพ่อเธออีก

เขามันก็แค่เด็ก ต่อให้ผ่านโรงเรียนนายร้อยมา เขาก็ไม่ได้โตขึ้นเลยสำหรับเธอ กับคนอื่นเธอได้ยินว่าเขาวางตัวดีขึ้น เธอคงได้ยินจากน้องๆ มาผิด

“วาดไม่ติดต่อฉันมาสามเดือน ครั้งล่าสุดที่โทรไปก็บอกปัดๆ เหมือนรำคาญ”

“ยิ่งคุณทำตัววิ่งไล่ตามเท่าไหร่ คนอย่างพี่วาดก็ยิ่งไม่สนใจหรอกค่ะ ผู้ชายที่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ไร้พิษภัย เหมือนของกลมๆ ที่มองออกง่ายๆ อย่างคุณ ผู้หญิงคงรำคาญ ทางที่ดีเตรียมใจถูกทิ้งเถอะค่ะ”

“เขียน!” เสียงตะคอกโมโหไมได้ทำคนฟังสะเทือนหรือสะทกสะท้าน หญิงสาวเพียงไหวไหล่ก่อนจะกลอกตาอย่างระอา

ท่าทีเป็นเดือดเป็นแค้น อยากคว้าเธอมาบีบคอด้วยใบหน้าแดงก่ำในตอนนี้ของเขาช่างสะใจเธอเหลือเกิน “ว่างหรือคะ เวลางานแท้ๆ”

คราวนี้ผิดคาด เสียงหัวเราะในลำคอของพ่อทหารหนุ่มหัวเราะ สายตาขบขันกับการเห็นสีหน้าเรียบเฉยของเขียนจันทร์ หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างที่กลายเป็นตัวตลกอย่างไม่รู้สาเหตุ เธอไปเหยียบนิ้วเท้าตัวเองให้เขาตลกตอนไหนมิทราบ แต่ความสามารถในการรักษาสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกออกไปของเธอก็ยังดีเยี่ยม มันเยี่ยมมาตั้งแต่เด็ก หากไม่เกิดมาเป็นรอง ต้องงอมืองอเท้าทำโดยปริปากบ่นไม่ได้ แม้แต่ให้เด็กชายตัวโย่งวันสิบขวบขึ้นหลังเพื่อจะปีนหน้าต่างขึ้นบ้านตัวเองไม่ให้พ่อจับได้ว่าแอบหนีไปสร้างเรื่องมาด้วยการท้าต่อยกับลูกชายผู้หมวดในกรมอีกคน

“ฉันไม่ได้อยู่ระเบียบกฎเกณฑ์อีกแล้วล่ะ ฉันออกจากราชการแล้ว”

เขียนจันทร์เลิกคิ้วประหลาดใจนิดหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเหอะอย่างดูแคลน เมินไปมองทางอื่น รู้สึกแถวนี้จะรกหูรกตาขึ้นมาฉับพลัน “เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ตอนนั้นไม่น่าเชื่อเลยนะคะที่คุณอยากจะเป็นมากๆ อยากรักชาติให้เหมือนชื่อ ฉันขี้เกียจพูดแล้ว ชีวิตใครก็ชีวิตมัน”

“นี่พูดมันให้ดีๆ เธอไม่มีสิทธิ์อ้าปากวิจารณ์ชีวิตฉัน” ต้นแขนเล็กถูกมือหนาหยาบกำไว้รอบแขนแน่น น้ำเสียงกรรโชก “ถ้าเธอไม่เคยเจอประสบการณ์ที่พ่อตัวเองต้องเสียชีวิตเพราะขนอาวุธอยู่ล่ะก็ขอให้รู้ว่าไม่มีวันเข้าใจ พ่อของฉันตายเพราะอาวุธ ต่อหน้าต่อตาฉัน”

“ฉันขอโทษ” เขียนจันทร์ปลดแขนตัวเองที่เริ่มเจ็บออก รู้สึกผิด และตกใจปะปนกัน เธอไม่เคยรู้ความเป็นไปของรักษ์ชาติ ผู้ชายที่เธอไม่ชอบขี้หน้ามากที่สุดในโลก

“คนอย่างเธอไม่รู้จักฉันสักนิด”

“ไม่คิดจะรู้จักอยู่แล้วค่ะ” ครานี้หญิงสาวยิ้มออกมาประกอบคำพูดเพื่อให้ดูว่าเธอจริงใจกับประโยคนี้มากแค่ไหน เห็นอีกฝ่ายชะงักค้างยังหาคำพูดมาตอบโต้ไม่ได้ เสียงกระดิ่งของม้าก็ดังพักยกเสียก่อน เขียนจันทร์รีบเดินเร็วให้พ้นจากบริเวณคนที่เป็นดังพายุ ไปยังผู้ชายร่างท้วมที่เริ่มลงพุง แม้จะสวมเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าแต่หน้าท้องก็โย้ออกมาชัดเจน สวมหมวกปีกกว้างกันแดด ลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วอ้าแขนรอรับ

เขียนจันทร์กอดบิดาไว้แน่น เจ็ดปีที่เธอไปร่ำเรียนต่างประเทศ เวลากลับมาก็น้อยวัน อย่างมากก็ปีหนึ่งไม่เกินเจ็ดวันที่จะได้อยู่กับพ่อ นอกจากนั้นเธอจะถูกดึงตัวไปอยู่วังของหม่อมยายเสียหมด อยู่ให้ท่านฝึกเย็บปักถักร้อย ทำอาหาร ตรงข้ามกับบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ของเธอที่เอาแต่ส่ายหัวดิก ไม่อยากเอาใจญาติผู้ใหญ่ เธอเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะปีๆ หนึ่งก็ไม่ได้จะกลับไทยบ่อย อยู่ต่อไปไม่เคยถึงสองเดือนดี

“พ่อสบายดีนะคะ วันนี้เขียนลงเหยียบสนามบินก็รีบดิ่งมาที่นี่เลย กลัวว่าถ้าไม่รีบมา จะไม่มีโอกาสมา”
ผู้หมวดศิลปินคลายอ้อมกอด เปลี่ยนมาโอบไหล่ลูกสาวคนรองไว้แทน เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงพอได้ฟังคำบอกเล่าจากบุตรสาว

“อะไรกัน หม่อมยายของลูกจะไม่ให้พ่อลูกได้พบกันเชียวเหรอ”

เขียนจันทร์ส่ายศีรษะไม่ตอบ ไม่อยากให้พ่อกับยายพานเข้าหน้ากันไม่ติดไปมากกว่านี้ ตั้งแต่เธอสิบขวบที่พ่อแม่เลิกกันไป ครอบครัวของแม่ก็ยิ่งตั้งป้อมรังเกียจรังงอนพ่อเธอกันใหญ่ พานอยากเก็บหลานๆ ทั้งสี่ไปอยู่ในอาณัติให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำกันไม่สำเร็จ

หลานทั้งสี่ของพวกท่านรักอิสระเกินกว่าจะไปอยู่ในวัง อย่างมากเธอก็จะเป็นตัวแทนน้องๆ ไปนั่งพับเพียบเรียนมารยาท และสังคมชั้นสูงกับผู้เป็นยายตั้งแต่เย็นวันศุกร์จนถึงเย็นวันอาทิตย์ของทุกสัปดาห์เสมอ เพื่อไม่ให้มีระเบิดลงที่กรมการสัตว์

“เขียนซื้อบ้านไว้ที่กรุงเทพฯ นี่ก็รอมาดักย้ายข้าวของพ่อไปอยู่ด้วยกัน กลัวพี่วาด ตาพรึก แล้วก็ยัยวาดจะมาแย่งหน้าที่ก่อน”

หญิงสาวสำรวจม้าพันธุ์ดีตัวสีน้ำตาลเข้มเหลือบดำ ขนมันวาว ดวงตาของมันเป็นประกายสดใส ลมหายใจพ่นฟืดฟาดอย่างม้าที่มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม มือบางแตะลงไปบนขนที่แปรงขนอย่างดีด้วยดวงตาที่ปิดประกายไม่มิด

“พายุดูแข็งแรงกว่าที่เจอเมื่อปีที่แล้วอีกนะคะ” อดีตนักกีฬาขี่ม้ายิ้มอย่างพึงพอใจ พายุเป็นหนึ่งในลูกม้าที่เกิดคอกเดียวกับพระจันทร์ของเธอ เป็นม้าที่อ่อนแอแตกต่างจากพระจันทร์ที่แข็งแรงกว่าม้าในวัยเดียวกันมาก “พระจันทร์คงไม่ปล่อยให้น้องของมันเป็นอะไรไปง่ายๆ”

ศิลปินลูบผมนุ่มของลูกสาวด้วยความเข้าใจ บาดแผลในวัยรุ่นเกี่ยวกับม้าเพื่อนรักนั้นให้ลบไปอย่างไรก็ไม่มีทางหาย สิ่งที่มันเกิดขึ้นไปแล้วย่อมตกสะเก็ดอยู่ภายในทรงจำ เขารู้เขียนจันทร์เป็นคนเก่ง จัดการความรู้สึกได้ดี อย่างตอนนี้เขาไม่เห็นร่องรอยเสียใจในดวงตาลูกสาวเลย ไม่เห็นมานานหลายปีแล้ว

“สวัสดีครับคุณอา” เสียงทักของชายหนุ่มที่ถูกลืมบนแคร่ไม้เรียกร้องความสนใจเต็มที่ รักษ์ชาติเก็บสีหน้าเอะอะโวยวายเมื่อห้านาทีได้อย่างรวดเร็ว เหลือเพียงชายสุภาพคนหนึ่ง

“กลับบ้านมาเหมือนกันเหรอครับ โชคดีได้เจอเขียนพอดี วันนี้ให้เขียนแสดงฝีมือทำอาหารชาววังอวดกันหน่อยดีไหม” ท้ายประโยคหันมาถามบุตรสาวที่กลอกตาหน่ายเล็กๆ แต่ก็ไม่เอ่ยปฏิเสธ เลือกเดินควงแขนบิดาเข้าไปในบ้าน ไม่สนว่าจะทำให้ใครอีกคนเก้อแค่ไหน

เรื่องที่อยู่ของวาดตะวันอยากรู้ก็ไปตามสืบเอาเอง เธอไม่ชอบยุ่งเรื่องของพี่สาวนัก ซึ่งรักษ์ชาติควรจะไปจัดการด้วยตัวเอง อีกอย่างที่สำคัญกว่าคือเขาขี้ขลาดเกินกว่าจะรับความจริงได้เรื่องที่ว่า...วาดตะวัน หมดรักเขาไปแล้ว

เป็นวันที่สามแล้วที่เขียนจันทร์มาอยู่บ้านในกรมของพ่ออย่างสงบ เธอตัดสินใจไม่ไปทำเรื่องลงทะเบียนเรื่องซิมโทรศัพท์ การมาถึงแบบที่บ้านฝั่งแม่ไม่รู้นั้นก็ทำให้เธอหายปวดหัวไปได้บ้าง แม้จะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่เธอขอใช้เวลาที่มีน้อยนิดอย่างน้อยๆ ก็สักสัปดาห์หนึ่ง ก่อนที่เธอจะติดต่อเพื่อบอกแก่ทางนั้นว่าเธอกลับมาแล้ว ตอนนี้บรรดาพี่น้องทั้งสามคนที่เหลือของเธอยังไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าเธอกลับมา

ที่จริงแล้วเธอเรียนจบมาได้เกือบสองปี แต่ก็แกล้งถ่วงกลับมาช้าเพื่อจะได้มีโอกาสได้ไปเผชิญโลกกว้างในฐานะสัตวแพทย์ เธอทำงานกับทีมสารคดี พิพิธภัณฑ์หลายๆ ที่ทั่วโลก ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา แอฟริกา ออสเตรเลีย และอีกๆ หลายประเทศที่เพื่อนของเธอจะพาไปได้ เขียนจันทร์สนุกจนเกือบจะต้องลืมว่าเธอควรกลับบ้านมาได้แล้ว

รายได้จากการตระเวนไปช่วยงานหลายๆ ที่นับตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ต่างประเทศทำให้เธอมีเงินเก็บอยู่ไม่น้อย เธอมีหุ้นส่วนอยู่ในธุรกิจของญาติฝั่งแม่ เงินปันผล และการงกในการเก็บเงินของเธอ ในที่สุดเธอก็มีมากพอจนซื้อบ้านชานเมืองในกรุงเทพฯได้หนึ่งหลังตอนกลับมาไทยคราวที่แล้วเพื่อให้พ่อได้อยู่หลังเกษียณ

เขียนจันทร์ออกมาวิ่งเหยาะๆ ควบไปพร้อมกับม้าตัวโตรอบสนามขนาดย่อม หลังตรงบนอานม้า ขาขยับควบไปด้วยท่วงท่าอันสง่า หญิงสาวยิ้มกับตัวเองด้วยความรู้สึกแสนคิดถึง เหตุผลหนึ่งที่เธอตัดสินใจเรียนสัตวแพทย์เพราะที่นี่สอนให้เธอรักสัตว์ ไม่ว่าจะสุนัข หรือม้า สัตว์จำเป็นสำหรับทหาร ตำรวจ ก็ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิต เธอได้พบเจอมาตั้งแต่เกิด จะแปลกอะไรถ้าส่วนลึก และลมหายใจของเธอจะเลือกเรียนในสิ่งนี้

“กลับมาไทยไม่มีบอกน้องนุ่งเลยนะพี่เขียน” น้ำเสียงทะเล้นดังมาจากข้างลานสนาม ผู้ชายร่างสูงโย่ง ทะมัดทะแมงจับราวไม้กั้นเตี้ยกระโดดข้ามมาด้วยท่วงท่าคล่องตัว วิ่งมารั้งสายบังเหียนม้าตัวใหญ่ไว้ ยืนเท้าสะเอวเอาเรื่อง ดวงตาสีแอลมอนด์ที่มองมายังเขียนจันทร์คล้ายว่าค้อนก็ไม่ปาน

ร่างเพรียวระหงลงมาจากหลังม้ามายืนมั่นคง สีหน้าไม่ได้รู้สึกผิดกับการถูกจับได้ว่ามาไทยไม่มีบอกของประกายพรึกสักนิด “กลัวบอกแล้วจะมาแย่งหน้าที่ลูกกตัญญูกับพี่กันหมด แล้วนี่รู้จากใคร พ่อบอกเหรอ”

“พี่เขยโทรมาบอกผม”

‘พี่เขย’ เป็นคำที่บรรดาน้องๆ ทั้งสองคนของเธอถูกรักษ์ชาติบังคับให้เรียกเมื่อหลายปีก่อนถึงกับทำให้คนฟังต้องกลอกตาด้วยความระคายหู เธอนึกโกรธความปากสว่างของอดีตนายทหารหนุ่มที่ชอบมาตีซี้กับครอบครัวเธอบ่อยครั้ง

“อย่าเพิ่งบอกใครละกัน อีกสองสามวันพี่จะโทรบอกบ้านหม่อมยายเอง” คนรักอิสระที่กำลังกลับไปสู่ชีวิตในรั้ววังแทนน้องๆ ออกปากเตือน ประกายพรึกทำหน้าสยองพองขนกับคำว่าบ้านหม่อมยาย พลางดึงร่างพี่สาวมากอดโยกไว้ด้วยความคิดถึง เขียนจันทร์ชอบทำตัวเป็นเกราะเพื่อให้น้องๆ ไม่ต้องลำบากใจทั้งที่จริงตัวเองก็ไม่ได้ชอบชีวิตแบบนั้นนัก

“ผมก็เข้าข่ายผู้สมรู้ร่วมคิดไปด้วยสิแบบนี้” ร้อยตำรวจตรีประกายพรึกกล่าวกลั้วหัวเราะ ทำหน้าที่จูงม้าไปยังคอกที่มีนายทหารรอรับหน้าที่ต่อ

“พี่วาดยังไม่จัดการกับพี่เขยของพรึกอีกเหรอ หนังหน้าไฟจะไม่เหลืออะไรไปให้ไฟเผาแล้วรู้ไหม”

‘หนังหน้าไฟ’ ทำปากยื่นไม่เก็บอาการ กับพี่น้องและพ่อเธอไม่มีอะไรต้องรักษาสีหน้าท่าที เขียนจันทร์จะคุยเปิดอกกับพี่น้องได้โดยไม่มีอะไรปิดบัง ยิ่งประกายพรึกยิ่งเป็นน้องที่เธอสนิทด้วยที่สุด เพราะอายุห่างกันแค่ปีเดียว มองตากันก็รู้ใจกันดี

“หนีไปเที่ยวอังกฤษกับกิ๊กใหม่แล้ว” ประกายพรึกกระซิบบอก สายตาหวาดระแวงกลัวรักษ์ชาติโผล่มาไม่ถูกจังหวะเป็นได้กระเจิงกันหมด

ถึงแม้ในตอนนี้ประกายพรึกจะเป็นตำรวจติดดาว แต่ความเคารพในตัวรุ่นพี่โรงเรียนเตรียมทหารอย่างรักษ์ชาติก็มีสูง สมัยก่อนเขาเป็นลูกไล่ดีๆ ที่ยอมก้มหน้าทำตามลูกชายเจ้านายพ่อสั่งอย่างไม่มีปริปากบ่น เพราะไม่อยากให้พ่อมีปัญหาเสมอมา ถึงวันนี้แม้รักษ์ชาติจะออกจากราชการไปทำธุรกิจ และพ่อของเขาก็เสียไปแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ประกายพรึกอยากปีนเกลียวรุ่นพี่สักนิด

“กิ๊กคนนี้ใช่คนคราวที่แล้วไหม”

ประกายพรึกทำหน้านึก ก่อนส่ายหน้าพรืด “คนนั้นเมื่อปีก่อนใช่ไหม พี่วาดมีไปคน แล้วก็เลิก คนนี้เป็นคนใหม่ เด็กรุ่นน้อง เอ๊าะๆ ยังไม่จบมหาวิทยาลัยเลย”

เขียนจันทร์ไม่ได้ตกใจกับข้อมูลที่ได้รับรู้ วาดตะวันเป็นผู้หญิงประเภทหัวสมัยใหม่ แววตาเจ้าชู้ ไปอยู่ในวงการนางแบบตั้งแต่อายุสิบหกสิบเจ็ด เอาดีจนรุ่ง เป็นคนที่หม่อมยายมองหางตาด้วยไม่ถูกนิสัยไม่แคร์สื่อของเจ้าหล่อน แต่ใครเล่าจะรู้ ว่าถึงวาดตะวันจะเปลี่ยนแฟนบ่อยเป็นกระดาษชำระ แต่เจ้าตัวก็ยังรักษาเนื้อหนังตัวเองไม่ให้เสียหายได้ วาดตะวันเป็นคนหวงตัว แต่ก็ขี้เหงาขาดคนคุยด้วยไม่ได้

และปัญหาของวาดตะวันที่แก้ไม่เคยตกก็คือเรื่องรักษ์ชาติ ฝ่ายนี้ไม่เลิกตื๊อ เลิกยัดเยียดตัวเองถวายพานให้ฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายหญิงก็เกรงใจ กลัวสารพัด เพราะก็ไม่อยากเสียความเป็นเพื่อน เป็นพี่ที่มีมายาวนาน มันถึงค้างคา วาดตะวันก็ต้องแอบคบคนอื่นแบบหลบๆ ซ่อนๆ ต่อไป

“น่าปวดหัวจริงๆ พรึกเองก็ใช่ย่อยไม่ใช่เหรอ”

จู่ๆ เผือกร้อนๆ ก็วกกลับมาเข้าตัว ประกายพรึกย่นคอ ทำหน้าแหย ความเจ้าชู้ตาพราวของตัวเองก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าวาดตะวันนัก “ประสาตำรวจน่าพี่เขียน ใครๆ ก็เป็น”

“จำเป็นต้องเป็นเหมือนใครๆ ด้วย เป็นตัวของตัวเองไม่เป็น”

“ใครจะไปหวงความโสดเหมือนพี่เขียนกัน ยัยภาพเองตอนนี้มีแฟนเป็นเดือนหล่อของคณะคุยโวตั้งแต่หน้ากรมยันท้ายกรมเลยเถอะ” เผือกร้อนๆ ถูกโยนไปให้น้องสาวคนเล็กต่อ ภาพวิจิตรเป็นน้องน้อยจอมแก่น จอมห้าว งานอดิเรกคือไปเดินป่าเขาลำเนาไพร ถึงเลือกเรียนวนศาสตร์ สมบุกสมบันไม่สนว่าตัวเองจะหุ่นเล็กแค่ไหน ตอนนี้ก็ขึ้นปีสุดท้ายแล้ว

การได้นึกถึงพี่น้องในช่วงเวลาที่ห่างหายไปก็ถือเป็นความสุข เรื่องบางเรื่องพ่อแม่ยังไม่รู้เรื่องส่วนตัวได้เท่ากับพี่น้องวัยใกล้กันนี้เลย ประกายพรึกเห็นพี่สาวคนรองที่นิสัยน่าจะเป็นพี่คนโตยิ้มได้จึงเบาใจ...ยิ้มแบบนี้คงไม่มีเผือกร้อนชิ้นที่สามมาอีก

“จัดการพี่เขยตัวเองไปแล้วกัน พี่ไปหาพ่อดีกว่า”

ประกายพรึกหันขวับไปมองร่างสูงบึกบึนที่ยืนเท้าสะเอวขวางทางออกของคอกม้าอยู่ เขียนจันทร์เลี่ยงได้ด้วยการเดินเบี่ยงออกไปอีกทาง ทำหน้าไม่รับไม่รู้ ปล่อยให้เขาผจญเผือกร้อนยักษ์ชิ้นใหญ่ที่กำลังส่งควันออกมาทางรูขุมขนบนผิวหน้า

“พรึก...วาดอยู่ที่ไหน”


ปกติเขียนจันทร์ไม่ใช่คนติดเฮดโฟนอันเบ้อเร่อเทิ่มปิดหู แต่พอเธอเตรียมย่างกรายออกจากบ้านมาในวันสองวันมานี้ ขอแค่เธอส่องเห็นรักษ์ชาติยืนทำหน้าง้ำปากคว่ำอยู่หน้าชานบันได มือเธอก็จะเอื้อมไปคว้าเฮดโฟนมาสวมปิดหู เปิดเพลงบ้างไม่เปิดบ้าง แต่ขอให้ไม่ได้ยินคำเหน็บแนม ระรานจากอีกฝ่ายเป็นพอ

ไม้สอยมะม่วงอันยาวมีมือบางจับไว้มั่นขณะพยายามดึงลูกมะม่วงเขียวเสวยลงมาจากต้น แต่ดูเหมือนว่าขนาดไม้ที่ว่ายาว กับส่วนสูงเกือบร้อยเจ็ดสิบนั้นจะยังไม่พอต่อการให้ได้มาในเขียวเสวยหนึ่งลูกบนต้น

เฮดโฟนที่ไม่ได้เปิดเพลงได้ยินเสียงห้าวหัวเราะดังอยู่ตรงแคร่ที่ไม่ห่างกันนัก เขียนจันทร์ต้องระงับอาการหน้าร้อนผ่าวจากความอับอาย ตัดสินใจวางไม้สอยพาดไปกับลำต้น ดึงแขนเสื้อยืดระดับไหล่ขึ้น จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะจับลำต้นใหญ่ไว้แน่น เท้าเธอเกี่ยวกิ่งใหญ่กิ่งหนึ่งที่ยื่นมาจากลำต้น วิญญาณลิงน้อยในอดีตก็เริ่มเข้าสิง เธอไม่เคยชอบปีนนักหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะรักษ์ชาติเป็นประเภทอยากได้อะไรต้องได้มาแต่เด็ก และเธอกับน้องก็อยู่ในฐานะพ่อเป็นลูกน้องเขา เราก็ต้องเป็นลูกน้องลูกเขาด้วย

ตอนนี้สถานการณ์พลิก ไม่มีอะไรเหมือนเดิมทั้งนั้น...

ขึ้นมาถึงความสูงระดับครึ่งต้น มือเธอเตรียมคว้าไม้สอยมาต่อความสูงอีกหน่อย เสียงดังจึ้ก ภาพมะม่วงหลุดไปอยู่ในตะกร้อต่อหน้าเธอ หญิงสาวไล่สายตาลงมอง มือยื้อลูกมะม่วงที่เกือบจะลอยผ่านหน้าไป เสี่ยงคว้ามือลงไปหยิบมะม่วงเหนียวยางไว้ได้ทัน ตัดสินใจปาอัดใส่หน้าคนสอยด้วยความหมั่นไส้ ใช้เวลาไม่ถึงสามวินาทีในการกระทำทั้งหมด

เสียงโอดครวญดังลั่น เขียนจันทร์ยิ้มสะใจ แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงหัวเราะอย่างที่นึกหวัง ภาพหญิงชรา แต่งตัวดูดี จากห้องเสื้อดัง หน้าตาแช่มชื่นทำให้คนปีนต้นมะม่วงอยู่ชะงักตาค้าง เธอสังเกตว่าใบหน้าใจดีของหม่อมยายเธอนั้นจะต้องยังไม่ทันได้เหลือบแลมายังลำต้นของต้นมะม่วงที่เธอกำลังนั่งอยู่บนกิ่งๆ หนึ่งอยู่ ไม่อย่างนั้นใบหน้านั้นจะยังยิ้มได้อยู่เหรอ

“ถ้าคุณช่วยฉันปิดเรื่องฉันปีนต้นมะม่วง ฉันจะบอกว่าพี่วาดอยู่ไหน” คนบนต้นมะม่วงยื่นหน้ามาสั่งคนใต้ต้นมะม่วงที่ยกมือคลำศีรษะหน้าเหย รักษ์ชาติส่งเสียงหืมอย่างฉงน แต่เมื่อหม่อมยายเธอเดินเข้ามาใกล้ เขาก็เมินสายตาไปทางอื่นทันที

“มาหาเขียนเหรอครับ” รักษ์ชาติรับหน้าอย่างสมยอม เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องใช้ต้นมะม่วงเป็นฐานกำบังชั่วคราว

“คุณเป็นใคร เป็นอะไรกับเขียน คุณเป็นเพื่อนวาดไม่ใช่เหรอ ฉันเคยเห็นคุณกับวาดเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนฉันก็นึกว่าจะเป็นแฟนของวาดเขา ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเข้าใจผิด แล้วนี่มายุ่งอะไรกับหลานคนรองของฉันอีกล่ะ พลาดคนพี่จะมาคว้าคนน้องหรือคุณ”

วาจาชัดถ้อยชัดคำของหม่อนราชวงศ์วงเดือนขัดกับอายุที่มากถึงเจ็ดสิบกว่าปี แต่ก็ยังกระฉับกระเฉงเดินคล่องโดยไร้คนประคอง ในขณะที่คนฟังสองคนต่างรู้สึกไปคนละแบบ เขียนจันทร์กลั้นหายใจรอดูว่าจะมีพายุลูกใดมาลงกลางกรมสัตว์นี้หรือไม่ เธอไม่อยากให้ความจริงมาเปิดเผยตอนที่เธอยังอยู่แบบนี้เลย หม่อมยายเธอมาได้ถึงห้านาทีก็ส่งระเบิดมาไว้ในมือรักษ์ชาติเป็นที่เรียบร้อย

“ผมเป็นแฟนของวาดครับ” ชายหนุ่มส่งเสียงเข้มห้วนอย่างอดทน และใจเย็น

“โดนหลอกอีกรายล่ะสิ หลานฉันเพิ่งหิ้วหนุ่มน้อยที่ไหนไม่รู้ไปอังกฤษเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง” ท่าทีรื่นเริงกับการนำความจริงมาโยนตรงหน้าหนุ่มธรรมดาในสายตาวงเดือนเป็นอะไรที่คลายร้อนยามบ่ายได้ไม่น้อย หล่อนมองหนุ่มรุ่นหลานทางหางตา ก่อนจะเอ่ยปากปรามไว้ด้วยความจริง “จะวาดหรือเขียนเธอก็ดูไม่เหมาะอะไรกับหลานฉันสักนิด ยิ่งเป็นเขียน หลานฉันผู้ดีทุกกระเบียด น่ารัก อ่อนหวาน อย่าได้คิดยุ่งกับเขาเชียว”

รักษ์ชาติหน้าเหี้ยมเกรียม หัวเราะหึ “หลานคนโปรดคนนั้นของหม่อมยายผมยิ่งไม่กล้าแตะหรอกครับ เกลียดกันอย่างกับอะไรดี เธอน่ะหมามุ่ยสำหรับผม”

เขียนจันทร์เกือบจะรู้สึกเห็นใจคนเพิ่งรู้ตัวว่าโดนแฟนทิ้ง แต่พอเจอว่าตัวเองถูกเปรียบเป็นอะไรเธอก็ลบความรู้สึกเวทนาสงสารทิ้งไปไม่ใยดี

“ก็ดี ฉันจะได้สบายใจ” นอกจากไม่โกรธเคือง วงเดือนยังยิ้มยินดี ตบบ่าหนุ่มรุ่นหลานด้วยความปลาบปลื้มที่อีกฝ่ายไม่ปลื้มหลานตนจึงเดินเข้าไปด้านในบ้าน ไม่ทันรู้ว่าท่านได้พาลมหายใจของหลานติดตามไปด้วย เขียนจันทร์กลั้นลมหายใจด้วยความระทึกจนเหน็ดเหนื่อย นึกไม่อยากจะลงข้างล่างเลยสักนิด ไม่ว่าจะหม่อมยาย หรือรักษ์ชาติ รายหลังอาจน่ากลัวกว่าคนแรกหลายเท่าตัว

“ลงมาดีๆ หรือจะให้ฉันขย่มต้นไม้” น้ำเสียงลอดไรฟันบอกชัดว่าชายหนุ่มใกล้หมดความอดทนมากแค่ไหน

เขียนจันทร์ตัดสินใจปีนลงมา เธอคอยลอบสังเกตอาการรักษ์ชาติว่านอกจากหน้าแดง จะยังมีอาการคุ้มคลั่งอยากฆ่าคนเพิ่มด้วยไหม แต่เมื่อเขายังปกติดีถ้าไม่นับดวงตาวาวแดงก่ำก็ยังถือว่ารักษ์ชาติอยู่ในเกณฑ์อาจจะพอสนทนากันได้

ร่างระหงลงมายืนบนพื้นดินได้ปกติ เธอถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าไร้สิ้นหนทางหนี เธอเดินหน้ามาอีกนิด พอจะแหงนหน้าประจันกับรักษ์ชาติได้โดยใช้ระยะห่างหนึ่งฟุตพูดออกไปได้อย่างเสียงค่อย

“ทำใจซะเถอะ พี่วาดเขาไม่ได้รักคุณแล้ว”


........................................................................

หายไปนานมากกก เป็นมนุษย์ประเภทเขียนจบแล้วสาบสูญ ฮา

เรื่องใหม่นี้อาจทำคนรอพี่ภีมจุดไฟเผาพริกเผาเกลือให้ปวราอยู่ก็เป็นได้

เมนต์ตอนจบจากในเงาฝันปลายตะวันได้อ่านครบแล้วนะคะ เรื่องนั้นแฟนนายแปบมาแรงมาก

ในอนาคตอาจจัดให้สักเรื่อง (เมื่อไหร?) มาเป็นผู้หญิงหลงรักคนโหดร้ายดีกว่าค่ะ

ผู้ชายคนนี้แรกเริ่มที่คิดคือ ตามชื่อภาษาอังกฤษเรื่องเลย

สิ่งที่พ่อเจ้าประคุณเป็นไม่รู้จะทำให้คนรักหรือเกลียดมากกว่ากัน

ยังไงก็ฝากเรื่องหนีไม่พ้นใจไว้ด้วยนะคะ ใครที่คิดถึงนายกลางจอมแปลก หรือตระกูลดีเอส

จะพากลับมาเยี่ยมเยียนในนี้แน่นอน(ยกเว้นพี่ภีม) จับพี่ภีมซุ่มเงียบต่อไป ง่ะ...อ่านแล้วเป็นยังไงบอกให้รู้กันได้ค่า ^^

ใครมีอะไรจะถาม จะทวง ก็เข้าไปที่นี่ได้ http://ask.fm/PaWaRaa ค่ะ ไม่กัดค่ะ^_^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2557, 06:00:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2557, 06:01:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 2533





   บทที่ 2 : เผือกร้อน >>
ร้อยวจี 20 พ.ค. 2557, 08:50:41 น.
น่าสนุกค่ะ ติดตามค่ะ


อัศวินนภา 20 พ.ค. 2557, 19:58:48 น.
มาแล้ว


ผักหวาน 13 มิ.ย. 2557, 21:48:58 น.
ชอบๆๆค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account