UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 2 : เผือกร้อน

บทที่ 2

รักษ์ชาติจากไปเงียบๆ ไม่มีอาการโวยวายพังบ้านอย่างที่เขียนจันทร์กลัว แต่หญิงสาวกลับมีลางสังหรณ์แปลก หากครั้งนี้รักษ์ชาติทำให้ดูคล้ายกับสึนามิ คลื่นลมสงบก่อนคลื่นยักษ์จะมา เอาเถอะ เผือกร้อนๆ คราวนี้เธอได้คืนไปถึงมือเจ้าของแล้ว

หวังว่าผู้ชายกวนประสาท สุดแสนมั่นใจตัวอย่างรักษ์ชาติจะไม่แปลกประหลาด อารมณ์เปลี่ยวอย่างนี้ไปนานๆ บ้านเธอคงจะเหงาหูพิลึก

“บ้านนี้ไม่มีอะไรเลยนะ ไม่รู้แม่เราทนอยู่มาได้ยังไงตั้งสิบกว่าปี สุดท้ายก็ทนไม่ไหว”

บนโต๊ะอาหารขนาดหกที่นั่งมีคนจับจองอยู่สามชีวิต วงเดือนนั่งติดหลานสาวคนโปรดหลังจากพบหน้ากันกอดกันให้หายคิดถึง มีตัดพ้อต่อว่าเรื่องที่กลับมาถึงไทยแล้วไม่มีบอกกัน และเธอก็จำผู้นำการมาถึงของเธอไปป่าวประกาศไม่ต่างจากโทรโข่งไว้ในใจ...ประกายพรึก

ศิลปินขยับตัวอย่างอึดอัด สบตากับลูกสาวอย่างขอความช่วยเหลือกรายๆ ความผิดในอดีตให้พูดอย่างไรก็เหมือนมีดพร้อมมาปักหลังพ่อของเธอเสมอ ไม่ใช่เพราะที่นี่ลำบากขนาดหม่อมหลวงเดือนดาวที่ยอมแต่งงานกับนายทหารยศน้อย ยอมเสียคำนำหน้าอันสูงศักดิ์สูงสามัญชนธรรมดาจะทนไมได้ แต่เพราะพ่อ...เจ้าชู้ประตูดิน ลำบากแค่ไหนแม่เธอทนได้ ยกเว้นการนอกใจ แม่พร้อมจะทิ้งที่นี่ไปได้ทันที และแม่ก็ยังรักพ่อมากพอ ถึงไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงในการเลิกกันว่าเลิกกันด้วยเรื่องอะไร แต่บอกเพียงแค่ว่าทนลำบากไม่ได้ และหลายๆ อย่างที่ไม่เข้ากัน

เขียนจันทร์ตักผัดผักใส่จานคุณยายอย่างเอาใจ “เขียนเองก็เพิ่งซื้อบ้านใหม่ไว้ รอให้พ่อย้ายไปเหมือนกันค่ะ”

“ที่ให้ทนายของยายทำเรื่องให้ใช่ไหม ยายให้เขาขายต่อไปแล้ว เรื่องอะไรยายจะยอมให้เขียนหาข้ออ้างไปอยู่ไกลจากยายอีก”

สาวอ่อนวัยสุดส่งเสียงแปลกใจ หันมองพ่อด้วยความเป็นห่วง อาการของเขียนจันทร์คงแสดงออกชัดว่าไม่เห็นด้วย วงเดือนจึงส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ “บ้านเราก็ออกตั้งกว้าง ให้พ่อของเขียนมาอยู่สักหลังก็ไม่เป็นไรหรอก ยายไม่อยากให้หลานไปไหนไกลๆ อุตส่าห์กลับมาทั้งที หลานแต่ละคนกว่าจะเรียกหาก็ยากเย็น ยายจะยอมทนๆ เรื่องพ่อเราเอาแล้วกัน แม่ดาวก็ไม่ได้ว่าอะไรตอนยายตัดสินใจไปแบบนี้”

นี่คือความแปลกใจของเขียนจันทร์ในรอบหลายปี หญิงสาวต้องกลั้นยิ้มไม่ให้ลอยออกมาจนผู้เป็นยายจับได้ว่าเธอดีใจมากแค่ไหน

“เขียนขอบคุณยายมากนะคะ”

วงเดือนมองค้อนหลานสาว วางช้อนก่อนเริ่มเรื่องที่มาในวันนี้อย่างจริงจัง “แต่เขียนต้องกลับไปพร้อมยายเดี๋ยวนี้ อีกหนึ่งเดือนค่อยให้พ่อเราย้ายตามเข้าไป” และหยุดนิ่งรอปฏิกิริยาจากหลานสาว

“พรุ่งนี้ได้ไหมคะ เขียนต้องจัดกระเป๋า”

“เสื้อผ้าที่บ้านเราก็ออกเยอะแยะ เขียนจะกังวลทำไม หรือไม่ชอบอะไรที่บ้านเรา”

เจอมุกคุณยายทำท่าจะบีบน้ำตา เสียงสั่นเครือหัวใจหลานสาวก็อ่อนยวบ ท่าทีคัดค้านจึงอ่อนลง เขียนจันทร์มองหน้าบิดาอย่างขอความคิดเห็น

“ไปเถอะ พ่ออยู่ทางนี้ได้ เขียนไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องบ้าน พ่ออาจจะกลับไปอยู่ที่ต่างจังหวัดไม่รบกวนยายของเขียนหรอก”

“ถ้าพ่อไม่สัญญาว่าจะไปอยู่ที่บ้านหม่อมยายด้วยกัน เขียนก็จะอยู่กับพ่อแบบนี้ เขียนทิ้งพ่อไม่ได้หรอกนะคะ”

“กรุณาอย่าทำให้หลานฉันลำบากใจ การตัดสินใจของฉันถือเป็นสิ้นสุด เขียนกลับไปพร้อมยายวันนี้ ส่วนเธอถ้าหนีกลับไปบ้านต่างจังหวัดล่ะก็ ฉันจะส่งคนไปรับมาอยู่ด้วยกัน” วงเดือนจบปัญหาอย่างวางอำนาจ มื้ออาหารที่เพิ่งดำเนินไป ข้าวแต่ละจานยังไม่ทันพร่องก็เป็นยุติ “ยายให้เวลาสิบนาทีนะคะ”

พายุลูกย่อมผ่านไป สองพ่อลูกจึงหายใจได้สะดวกโล่งปอดมากขึ้น เขียนจันทร์เห็นอดีตลูกเขยของคุณวงเดือนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงรู้สึกเสียใจที่ไปบีบพ่ออย่างนั้น

“ขอโทษนะคะพ่อ เขียนไม่น่าไปบังคับพ่อแบบนั้น” เธอก็มีความคิดเด็กๆ อย่างการอยากเห็นพ่อแม่มาคืนดีกันในสักวันหนึ่ง

“พ่อรู้นะว่าเขียนคิดอะไร แต่เอาเถอะ พ่อจะทำในสิ่งที่ลูกสบายใจ มีเวลาอีกหน่อยทานให้อิ่มก่อนไปสิเขียน”

เขียนจันทร์สะอึก ความรู้สึกมาจุกรวมอยู่ที่บริเวณลำคอ ความสบายใจของเธอจะทำร้ายพ่อหรือเปล่า...เธอไม่ต้องการให้พ่อลำบากเพราะเธอจริงๆ

จานข้าวกลายเป็นหมัน เขียนจันทร์ทำได้แค่มองมันนิ่งเฉย มองผู้เป็นพ่อตักข้าวทานไปเงียบๆ เธอยังจำภาพวันที่พ่อแม่เลิกกันได้ดี พ่อที่มักเจ้าชู้ประตูดินถูกแม่จับได้คาหนังคาเขาว่าแอบไปมีอะไรกับคนงานบ้านเจ้านาย แม่ที่มีศักดิ์ศรีอยู่ในตัวเองมากจึงทนไม่ไหว ตอนนั้นเธออายุสิบขวบ ต้องกอดน้องๆ ที่กำลังร่ำไห้หนัก แม้แต่วาดตะวันที่แก่กว่าสองปีก็ต้องให้เธอปลอบ ส่วนพ่อไหล่ลู่ตก ยอมรับอย่างหมดสภาพ หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยเห็นพ่อมีใครอื่นอีก ตั้งใจทำงาน และเลี้ยงพวกเธออย่างดีที่สุด

“พ่อยังรักแม่ไหมคะ”

ศิลปินชะงักกับคำถามนั้น ชายวัยเกือบเกษียณรีบปรับท่าทางเป็นปกติ ตักน้ำแกงซดให้คอไม่แห้งเกินไป “ไม่มีประโยชน์ไปรื้อฟื้นอีกแล้ว พ่อทำผิดเกินไป เขียนก็รู้”

การเห็นพ่อจมอยู่กับความผิดพลาดในอดีตมาตลอดนั้นเขียนจันทร์ไม่เคยสบายใจ และครั้งนี้เธอก็รู้สึกอยากจะทำสิ่งหนึ่งแรงกล้า

...เธออยากเห็นพ่อกับแม่คืนดีกัน


“ไว้เขียนจะมารับพ่อไปอยู่ด้วยกันนะคะ ให้เขียนได้ดูแลพ่อบ้าง” ร่างเพรียวถอยออกมาจากอ้อมกอดของบิดาอย่างอาลัย แต่อีกไม่ถึงเดือนเธอจะได้ทำตามหน้าที่ที่ตั้งใจเสียที

“ดูแลแม่ดูแลหม่อมยายเถอะ เขียนไม่ต้องห่วงพ่อ”

เขียนจันทร์อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบปากปิดสนิท กอดศิลปินไว้แน่นๆ ส่งท้าย ก่อนจะเดินไปยังรถกึ่งแวนของหม่อมยายที่เปิดประตูรออยู่ หันกลับมาส่งยิ้มให้บิดา ในสมองเริ่มเรียบเรียงสิ่งที่จะทำไปเงียบๆ

รถเริ่มเคลื่อนตัวไปยังไม่พ้นอาณาเขตของกรมทหาร รถกึ่งแวนก็ต้องเบรกเอี๊ยดสุดตัว เขียนจันทร์มองสำรวจวงเดือนก็พบว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดีไมได้เจ็บตรงไหน เพราะสายคาดนิรภัยยังทำงานได้ดี เขียนจันทร์จึงชะโงกหน้าไปมองกระจกหน้ารถอย่างสงสัย พบว่าเป็นรักษ์ชาติยืนกางมือกางแขนกางกั้นไว้ ระยะเกือบประชิดรถ

“หม่อมยายไม่ต้องค่ะ เขียนจัดการได้” เขียนจันทร์มีท่าทีสงบเยือกเย็นขึ้น แววตาไม่ได้ส่องประกายกราดเกรี้ยวอย่างที่ถูกอบรมมาอย่างดีทำให้วงเดือนยอมตามใจ

ร่างที่ยืนจังก้าขวางหน้ารถลดแขนตัวเองลงก่อนจะมาดึงแขนเล็กลากไปคุยในทุ่งหญ้าเลี้ยงม้า พอให้ไกลจากคนบนรถได้ยิน รักษ์ชาติหยุดเดิน และหันกลับมายังเขียนจันทร์ ดวงตาร้ายนั้นไม่ต่างจากเสือ

“เธอต้องรับผิดชอบ”

เขียนจันทร์กอดอกมองอย่างใจเย็น ความรู้สึกกดดันของรักษ์ชาติท่วมทะลักออกมามากมาย แต่เธอพยายามทำเป็นมองไม่เห็น

“อะไรก็ว่ามา ฉันต้องรับผิดชอบโลก ไม่ให้รถติดเครื่องเพราะจอดรอฉัน ผลิตก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ไปเพิ่มก๊าซเรือนกระจกให้กับชั้นบรรยากาศโลกด้วยเหมือนกัน”

อดีตทหารนายร้อยกัดฟันกรอด ท่าทีไม่สนใจ ยี่หระของอีกฝ่ายนั้นยั่วโมโหให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก ทั้งที่เธอกับหม่อมยายของเธอเพิ่งจะขว้างระเบิดใส่สมองเขาเมื่อชั่วโมงก่อนนี้
“ฉันจะไปจัดการคุยกับวาดที่อังกฤษ” รักษ์ชาติไม่สนว่าคนฟังกำลังทำหน้าเหมือนเห็นผีตอนบ่ายสองอันร้อนจัดแค่ไหน “อย่าให้รู้ว่ามีคนโทรไปบอกวาดก่อน ไม่อย่างนั้นฉันจะกลับมาเชือดทิ้งให้หมด”

“ถ้าเจอก็ฝากบอกพี่วาดให้ฉันด้วยว่าฉันคิดถึง แต่ถ้าไม่เจอก็ฝากซื้อกระเป๋า เครื่องสำอางกลับมาให้ด้วยก็ได้นะ จะได้ไปไม่เสียเที่ยว”

รักษ์ชาติถลึงตาดุใส่ผู้หญิงที่ไม่ได้แสดงท่าทีเกรงกลัวเขาสักนิด ในอดีตเขียนจันทร์ก็ออกจะต่อล้อต่อเถียงแบบนี้เสมอ แต่สุดท้ายก็จะลงเอยด้วยการยอมทำตามในสิ่งที่เขาขอ เพราะเขามักใช้เรื่องพ่อมาอ้าง ส่วนตอนนี้เขาต้องใช้เหตุผลอื่นมาบีบอีกฝ่ายแทน

“ฉันจะไม่อยู่ ไม่มีใครมาดูแลลูก พี่เลี้ยงกว่าจะกลับก็อีกสามวัน ฉันอยากให้เธอช่วยดูเขาให้หน่อย”

น้ำเสียงที่อ่อนลงไม่ได้ทำให้คนฟังหายมึนงง เขียนจันทร์ทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามผสมอาการตกใจ รักษ์ชาติไม่ใส่ใจที่จะอธิบายอะไรเพิ่ม หันไปป้องปากเรียกชื่อๆ หนึ่งออกมา

“ลูกขุน”

เขียนจันทร์ขมวดคิ้วมองหา ว่าขุนที่เขาว่าจะเป็นนกขุนทอง หรืออะไร แต่คนตรงหน้าเธอก็มีชื่อเล่นว่า ‘เจ้าขุน’ หากมีลูกอีกทำไมถึงได้ตั้งชื่อซ้ำซากแบบนั้น หรือคิดได้เท่านี้...เสียงเคลื่อนไหวในทุ่งหญ้าสูงท่วมเอวเรียกสายตาผู้ใหญ่สองคู่ให้มองตาม ร่างเล็กผิวขาวสะอาด ปากแดง แก้มยุ้ยหน้าหยิกของเด็กชายตัวเล็กสวมชุดทหารขนาดเล็กมุดออกมาจากพงหญ้า

“เจ้าเสือ นี่อาเขียน น้องสาวอาวาด” พ่อเด็กช้อนตัวเด็กน้อยที่มีดวงตาหวาดระแวงมองมาให้รู้จักเขียนจันทร์ เมื่อรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใครเด็กน้อยก็แปรเปลี่ยนสายตาเป็นรอยยิ้ม

“นี่น้องลูกขุน ลูกชายฉัน คงไม่ได้รบกวนเธอมากไปใช่ไหม”

“ขนาดนี้ฉันจะไปปฏิเสธอะไรได้” เขียนจันทร์ย่อตัวนั่งยอง อยู่ระดับเดียวกับส่วนสูงเด็กชายที่ยังไม่แตะหนึ่งเมตร “น้องขุน อาชื่ออาเขียนนะครับ อาไม่ดุ คุยง่าย รักสัตว์ด้วย น้องขุนต้องสัญญาว่าจะไม่ดื้อนะครับ”

เด็กชายกองพันพยักหน้าหงึกหงัก แต่ไม่ยอมพูดจา เขียนจันทร์เลิกคิ้วแปลกใจ

“แกได้ยิน แต่ไม่ค่อยพูด” รักษ์ชาติอธิบายด้วยหน้าตาเคร่งเครียด

หญิงสาวยิ้ม ไม่แสดงออกถึงความเศร้าให้เด็กชายนึกเศร้าตาม เธอเชื่อว่าทุกอย่างย่อมมีสาเหตุ “ทุกคนที่บ้านอาใจดีหมด ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะครับน้องขุน” มือบางลูบศีรษะนุ่มของเด็กชายอย่างปลอบโยน อดสะท้านใจไม่ได้กับแววตาอันว่างเปล่า แฝงหวาดระแวงอย่างปิดไม่มิดที่มองตอบมา

“เดี๋ยวฉันไปเอากระเป๋าน้องขุนมาให้ แล้วก็กุญแจบ้าน อีกสามวันพี่เลี้ยงน้องขุนจะกลับมา ฝากเธอไปส่งที่บ้านด้วย เดี๋ยวจดที่อยู่ไว้ให้” รักษ์ชาติกระเถิบตัวมาใกล้ กระซิบเสียงเข้ม “ดูแลน้องฉันให้ดี มันเป็นสิ่งที่เธอต้องรับผิดชอบแทนฉันชั่วคราว”

เขียนจันทร์อุ้มเด็กชายขึ้นมานั่งบนแขนอย่างง่ายดาย พอจะกระจ่างอะไรหลายๆ อย่างในเวลาอันสั้น พ่อของรักษ์ชาติเสียไปเมื่อสามปีก่อน และเด็กคนนี้ก็คงเกิดขึ้นมาจากอนุคนไหนสักคนของพ่อเขา แต่โชคร้ายที่ลูกชายไม่มีโอกาสได้รู้จักพ่อที่แท้จริง พี่ชายจึงต้องสวมบทบาทแทน

“คุณออกจากราชการมากี่ปีแล้ว”

รักษ์ชาติหมุนตัวกลับมา ดวงตามองมาก่อนเลื่อนไปยังใบหน้าของกองพัน ตอบเสียงห้วนก่อนจะเดินไปยังรถของตัวเอง

“สามปี”

และนี่ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผล...เขียนจันทร์ยกมือลูบแก้มนุ่มของเด็กชาย ปากเล็กเม้มแน่น เกร็งตัว และสั่นขณะที่เธอกำลังอุ้มไว้

ทำไมเด็กชายตัวน้อยถึงได้ดูหวาดระแวงต่อทุกสิ่งแบบนี้

แม่บ้านพากันส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา เมื่ออาหารเด็กหลายๆ ชนิดถูกปฏิเสธ เขียนจันทร์พยักหน้าเข้าใจ เธอเองก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน แต่การที่เด็กชายไม่ขยับมือแม้แต่จับช้อน นั่งนิ่งไม่หือไม่อือ ขนาดแม่บ้านพยายามตักป้อนก็ปิดปากแน่น เบือนหน้าหนี พานให้ใครๆ ในวังต่างพากันหนักใจ
ทีแรกแค่เธอพากองพันเข้ามาในรถ หม่อมยายก็ถามแล้วถามอีกว่าเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงจะดีเหรอ แต่เธอก็รับปากรักษ์ชาติไปแล้วเหมือนกัน แค่มองสบกับดวงตาดำขลับกลมโตของเด็กชายใจเธอก็อ่อนยวบ

“ไหวเหรอเขียน”

มื้ออาหารเย็นบนโต๊ะไม้ฉลุที่มีเธอกับวงเดือนรับประทานไปได้ครึ่งๆ กลางๆ อาหารชาววังที่ว่าอร่อยวันนี้ก็เหมือนจะไม่ถูกกระเพาะ ไม่ย่อยในลำไส้ เด็กชายตัวน้อยที่นั่งข้างเธอใช้สายตานิ่งเงียบกดดันผู้ใหญ่ต่างวัยให้จำต้องหยุดมื้ออาหารนี้

“เขียนก็ไม่รู้ค่ะ” เขียนจันทร์รวบช้อน ตอบอย่างจนปัญญา

“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวยายโทรเรียกชายหมอมาดีกว่านะ เขียนอุตส่าห์กลับมาทั้งที”

‘ชายหมอ’ ของหม่อมยายเป็นบุคคลที่ท่านเพียรพยายามให้หลานสาวสนิทสนมด้วยมานานหลายปี แต่ระยะเวลาที่พบกันปีหนึ่งไม่กี่วัน และเขียนจันทร์ไม่เคยติดต่อกลับมา หรือให้ช่องทางสำหรับหม่อมราชวงศ์บดินทร์ภัทรติดต่อได้เลย ทำให้ทุกอย่างไม่เคยพัฒนา มันเท่าเดิมคล้ายวันแรกที่รู้จักเป็นอย่างไร ปีต่อมาที่พบหน้ากันใหม่ก็ยังเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยน

เขียนจันทร์คร้านจะปฏิเสธ ปล่อยให้ผู้เป็นยายกระตือรือร้นในการติดต่อไปยังต่างวัง ส่วนเธอกลับมาสนใจเด็กน้อย พยายามไม่แสดงสีหน้าจนปัญญาไปให้กองพันรู้สึกแย่ เธอเลือกช้อนเด็กน้อยขึ้นอุ้ม พาเดินออกมาจากโต๊ะอาหาร ผ่านกลางบ้านที่เบื้องบนมีชันนาเลียใหญ่สวยห้อยระย้า ออกมายังหน้าตัวตึกของบ้าน ทั้งบ้านรวมพื้นที่มีอาณาบริเวณรวมแล้วถึงสองไร่เศษตั้งอยู่ใจกลางเมือง

หญิงสาวเดินไปยังสถานที่โปรด ลานน้ำพุ ที่มีสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ตัวสระกว้างจากฐานรูปปั้นกลางกว่าสองเมตรมีปลาคาร์พสีสันส้ม แดง ทอง เงิน หลายชนิดแหวกว่ายเวียนกันเกือบจะชนไปมา เธอวางร่างของกองพันลงบนที่นั่งริบขอบสระน้ำพุ สังเกตอาการเด็กชายว่าเป็นอย่างไรบ้าง เห็นนิ้วเล็กพยายามเอื้อมนิ้วเล็กแตะปลาในน้ำนั่นยิ่งทำให้เธอต้องเอียงคอมองอย่างสนใจ

“น้องขุนชอบเหรอครับ”

ความเงียบมีเพียงคำตอบ กองพันตั้งใจมองปลาที่แหวกว่าย หยุดมือที่วักน้ำ เขียนจันทร์ยิ้มเอ็นดู หากเด็กคนนี้รักในสิ่งที่เธอก็รัก เธอพอจะมีหนทางกระตุ้นให้เด็กชายทานข้าวได้

“อยากดูมากกว่านี้ไหมครับ อารู้จักสัตว์ทุกชนิดบนโลก” เขียนจันทร์เริ่มโม้ ส่งสัญญาณให้แม่บ้านยกข้าวจานเล็กที่มีข้าวโพด ถั่วลันเตา ไก่ผัดอยู่ในข้าว เป็นอาหารเด็กที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร หญิงสาวรับมาถือไว้ เริ่มใช้ดวงตาจริงจังขณะตักอาหารพูนช้อน “แต่หนึ่งเรื่องของอา ต้องแลกกับการกินอาหารหนึ่งคำนะครับ”
กองพันทำหน้าครุ่นคิด ดวงตาแลสบกับผู้ใหญ่ผลัดกับปลาสวยในสระ ก่อนจะตัดสินใจอ้าปากเล็กรับประทานอาหารเคี้ยวแก้มตุ่ย เสียงเฮของเหล่าแม่บ้านที่ลุ้นจนตัวโก่งทำให้คนป้อนยิ่งเป็นปลื้ม

“เอาล่ะ เรื่องแรกที่อาเขียนจะเล่าคือ...”


รักษ์ชาติคิดไม่ถึงว่าทันทีที่เท้าแตะสนามบิน เขาจะได้พบวาดตะวันราวกับบังเอิญ ทั้งที่เฝ้าตามหามานานกว่าสามเดือน บทจะได้พบง่ายๆ นั้นก็ง่ายดายเกินไป วาดตะวันอยู่ในชุดโค้ทแบบบาง ทับชุดเดรสสั้น บนหน้ามีแว่นกันแดดอันโตบนดั้งสูง ศีรษะเชิดขึ้นขณะเดินมั่นคงตรงมาหา และไหว้เขาอย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะพี่เจ้าขุน”

“ทำไม?”

“แค่พี่ทำเรื่องมาอังกฤษ สายที่ไทยของฉันก็แจ้งเตือนมาแล้ว ตอนนี้ฉันขี้เกียจจะหนีอีก เลยมารับพี่ที่นี่ดีกว่า การที่พี่มาที่นี่คงไม่ได้มาเพื่อเจรจาธุรกิจ จริงไหมคะ”

อดีตทหารหนุ่มผ่อนลมหายใจด้วยความโกรธล้นอก เขาต้องควบคุมไม่ให้เดินไปบีบคอระหงสวยของอีกฝ่ายให้แหลกคามือ เธอรู้ทุกอย่าง รู้มาตลอดว่าเขารู้สึกอย่างไรกับกระทำของเธอ แต่เธอไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกผิดสักนิด

“ไม่จริงใช่ไหมที่วาดมีคนอื่น”

วาดตะวันยกมือขึ้นปิดปากแสร้งตกใจอย่างมีจริต ก่อนเสียงหวานจะหัวเราะน้อยๆ เชิงตลกเสียเต็มประดา “พี่ขุนอย่ามาโกหกเลยว่าไม่รู้ พี่ไม่อยากรู้ หรือพี่ไม่รับความจริง ฉันว่าพี่ขุนรู้อยู่แก่ใจ”

“ฉันไม่เคยรักพี่ขุน ที่ผ่านมาก็แค่ความรู้สึกหวือหวา ประเดี๋ยวประด๋าว มันไม่ตลอดไป ฉันรู้ว่าคำพูดของฉันอาจจะทำให้พี่ขุนเจ็บปวด แต่พี่ขุนตัดใจตั้งแต่ตอนนี้จะเป็นผลดีต่อพี่มากกว่านะคะ เราเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องกัน เหมือนที่พี่ขุนเคยเป็นมาในอดีต ฉันจะสนิทใจกว่า”

มือสากกำเข้าหากันแน่นอย่างอดกลั้น หัวใจเจ็บรอนๆ กับการวิ่งตามผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นค่าเขา แต่รักษ์ชาติอยากจะรู้ทุกเหตุผล อย่างน้อยๆ เขาจะได้สลัดคำว่าโง่ทิ้งไปจากชีวิตได้สักที


“ทำไม คนอย่างพี่ถึงทำให้วาดรักไม่ได้”

“เอาจริงอ่ะ” วาดตะวันถามกลับเสียงสูง ไม่ได้วางมาดราวนางพญา แต่แสดงเหมือนที่เธอเคยเป็น ระหว่างเธอกับรักษ์ชาติเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร “ไม่ใช่แค่ว่าเราโตมาด้วยกันหรอกนะคะ แต่พี่ขุนเป็นมนุษย์มิติเดียว โกรธก็โกรธ อ่านออกง่าย ไม่ลึกลับ ไม่น่าค้นหา ไม่มีเสน่ห์ แล้วก็วิ่งไล่ตามจนน่ารำคาญ”

คำวิจารณ์ตรงไปตรงมาทำคนฟังจุกอย่างกับโดนอัดกระหน่ำด้วยกำปั้นหมัดหนักไม่ยั้งมือ เล่นงานคนไร้เสน่ห์ให้หน้าหงายน็อกคายกแรก

“ขอบคุณที่พูดความจริง” รักษ์ชาติยังไม่หายมึน แต่ขาก็เริ่มจะเดินย้อนกลับไปเกทเพื่อไปให้พ้นจากสถานที่อันไม่น่าภิรมย์นี้

“จะกลับแล้วเหรอคะ อุตส่าห์นั่งมาตั้งหลายชั่วโมง นั่งพักให้หายเหนื่อยสักหน่อยก็ได้”

ชายหนุ่มมองค้อนคนออกความคิดเห็น ใจจริงเขาอยากจะโกรธ จะเกลียดผู้หญิงไร้หัวใจเบื้องหน้า แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงการเดินห่างออกมาจากเธอด้วยขาสองข้างของตัวเอง หากว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เมื่อเดือนก่อน ป่านนี้เขาคงต้องวิ่งวุ่นขอทำเรื่องเข้าอังกฤษวุ่นวาย ไม่ได้มาด่วนแบบปุบปับนี้

“ถ้าวาดว่างก็ซื้อกระเป๋า ซื้อเครื่องสำอางด้วยแล้วกัน เขียนเขาบอกว่าถ้าพี่ไม่เจอวาด กลัวมาเสียเที่ยวก็ให้ซื้อให้หน่อย ตอนนี้พี่เจอวาดแล้ว ก็ฝากวาดซื้อแล้วเอาไปให้เขียนด้วย”

“เขียนเขาคงพูดเล่นหรอกค่ะ อย่าบอกว่าแค่นี้พี่ขุนคิดเองไม่ได้”

วาจาไม่รักษาน้ำใจ แทบจะตบหัวด้วยคำพูดทำคนฟังต้องกลอกตา ทั้งขุ่นเคือง และอยากจับวาดตะวันมาฟาดก้นสักทีสองที “ทำๆ ไปเถอะ ชดใช้ที่พี่โง่เสียเวลาวิ่งตามวาดมาตั้งนาน เขียนเขาฝากมาบอกด้วยว่าคิดถึง”

วาดตะวันปิดปากหัวเราะคิกคัก ไม่ได้เศร้าสร้อยกับท่าทีอกหักของอีกฝ่าย เมื่อหัวเราะจนพอใจวาดตะวันจึงปรับมาเป็นหน้านิ่ง กล่าวอย่างเป็นทางการ

“ไม่ใช่แค่ฉันหรอกที่ไม่รักพี่ขุน พี่ขุนเองก็ควรคิดให้ดีๆ ว่าที่ผ่านมาพี่ขุนรักวาดจริงเหรอ ไม่ใช่ว่าเราสองคนเหมือนเพื่อนแต่เด็ก โตขึ้นมาก็ทำตามที่คำเด็กๆ พูดไว้ว่าเราจะแต่งงานกัน มันไม่ใช่โลกสมมติ โลกนิทานนะคะ นี่คือโลกแห่งความจริง ฉันไม่อยากเห็นพี่ขุนต้องจมปลักกับรักเก๊ๆ ของพี่นาน มันเสียเวลา”

“ถ้ากอดลา พี่อาจจะให้อภัยโทษวาดกึ่งหนึ่ง”

นางแบบสาวยิ้มเต็มแก้ม เดินเข้ามากอดเพื่อนในวัยเด็กด้วยความปรารถนา และหวังดี หญิงสาวเองก็จะพูดตรงๆ คิดอะไรก็พูดอย่างนั้นเสมอ แต่ที่ผ่านมาเธอกลัวว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ในวัยเด็กหายไป ถ้าเกิดว่ารักษ์ชาติไม่ยอมรับความจริงง่ายๆ หากเธอต้องตบหน้าเขาสักสองสามทีเพื่อให้ตื่น และยอมรับในวันนี้ เธอก็เตรียมมือเพื่อจะทำ


แต่เขาเองก็ยอมรับ และพร้อมถอยให้เธอ คงไม่มีอะไรให้มือเธอต้องออกกำลังกายอีก

“กลับไปเป็นเหมือนสมัยก่อน ตอนที่เรายังไม่เป็นแฟนเก๊ๆ กันนะคะ”

“สำหรับพี่ วาดเป็นน้องสาวที่ดีที่สุดเสมอ”

วาดตะวันถอดแว่น เปิดดวงตายิ้มจนตาหยี มีความสุขคล้ายได้ปลดบ่วงบางอย่างออกไป เธอคลายอ้อมกอดคล้ายลาสถานะเดิม กลับสู่สถานะที่เก่ากว่า แต่มั่นคงยิ่งกว่า

“ถ้าไม่มีเขียน พี่ขุนจะฉลาดขึ้นวันไหนก็ไม่รู้”

“นี่! เลิกพูดถึงผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นให้พี่ได้ยิน ยังไงน้องสาวเราก็ต้องรับผิดชอบโทษฐานทำให้พี่รู้ความจริง” ท่าทีเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจเริ่มกลับเข้ามาครอบงำรักษ์ชาติ นิสัยพี่ชายใจดีปลิดปลิวหายเมื่อมีชื่อบุคคลที่สามเข้ามา

คนฟังหยิบแว่นมาสวมปิดถอยออกมามองคนตัวโตที่กำลังทำหน้ายักษ์บูดบึ้งพลางส่ายหน้าขำ “พี่ขุนยังไร้เหตุผลกับเขียนเหมือนเดิม รู้ไหมฉันสงสารน้องนะ โดนแกล้งมาแต่เกิด อยากให้ฉันบอกเขียนไหมล่ะ ว่าจูบแรกของเขาถูกเด็กผู้ชายลูกเจ้านายพ่อขโมยไปตั้งแต่อายุไม่ถึงสี่ขวบดี”

“มันเป็นอุบัติเหตุ วาดก็เห็น” รักษ์ชาติร้องหาความเป็นธรรมให้ตัวเอง ตอนนั้นเขา วาดตะวัน และเขียนจันทร์เล่นวิ่งไล่จับกัน แต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นที่เขากับเด็กหญิงเขียนจันทร์ชน ร่างเล็กล้มทับบนตัวเขา และปากก็บังเอิญมาวางแปะบนริมฝีปากเขา ต่อหน้าวาดตะวันวัยหกขวบที่เป็นพยานให้โดยไม่รู้ตัว

“เอาเถอะ ไม่พูดดีกว่า ของแบบนี้รู้ๆ กันอยู่ เขียนกลับมาแบบนี้พี่ขุนก็คงหาเรื่องไปจองเวรจองกรรมสิคะ อย่าให้มากนัก ระวังจะโดนเอาคืนไม่รู้ตัว เขียนหลานโปรดหม่อมยาย อีกสักพักก็คงมีองครักษ์หน้าหยกที่ไหนสักคนที่หม่อมยายหามาให้ตามติด พี่น่ะเข้าไม่ถึงหรอก”

“โอย...พี่ก็ไม่ได้พิศวาสอะไรน้องสาววาดนักหรอก เราเคลียร์กันจบพี่ก็กลับแล้ว เสียเวลาจีบสาวคนอื่นจริงๆ”

วาดตะวันเบะปากหมั่นไส้ ท่าทีเป็นต่อนั้นน่ะทำไปเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอ่อนแอของตัวเองทั้งนั้น “ขอโทษนะคะ ที่ทำให้เสียเวลา” พูดจบนางแบบสาวก็สะบัดหน้าพรืดไปหาแฟนหนุ่มร่างสูง หุ่นบาง เกี่ยวแขนกันออกไปจากสนามบิน ทิ้งให้รักษ์ชาติยืนคว้างอยู่คนเดียว

“ผู้หญิงสมัยนี้ใจร้ายทุกคน”

หมดธุระกับเรื่องของวาดตะวัน คนที่ไม่ได้อยากมาให้เสียเที่ยวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อต่อสายทันที

“เออ เดี๋ยวฉันไปหา”


ขนตางอนยาวของเด็กชายกองพัน กับแก้มยุ้ยที่กำลังมองตอบเขียนจันทร์มานิ่ง แน่วแน่ ทำให้คนอาวุโสกว่าเผลอกะพริบตายอมก่อนทุกครั้งไป

“คุณเขียนแพ้อีกแล้ว” แจง เด็กในบ้านที่อายุไม่ถึงยี่สิบปรบมือชื่นชมเด็กชายหน้าเดียว “เก่งมากเลยค่ะน้องขุน”

เขียนจันทร์เบะปาก รับสภาพกับสีผสมอาหารหลายสีที่ข้นคลั่กเพราะผสมแป้งในถ้วยใบเล็กถูกมือป้อมจุ่มนิ้วลงไป ก่อนเอามาละเลงศิลปะบนหน้าเธอ ตอนแรกก็วาดจุดวงกลมไว้บนสองแก้ม วาดดาวไว้บนหน้าผาก วาดเป็นตาแพนดาให้เธอรอบๆ ขอบตา คราวนี้ระบายสีตรงคางเธอด้วยสีเหลือง หญิงสาวที่ต้องมาเลี้ยงเด็กถึงกับยิ้มก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ออก ได้แต่เม้มปากไม่เผยอออกมา เกรงว่าจะได้ลิ้มรสชาติสีผสมอาหารไป

เกมจ้องตาแบบนี้เธอแค่คิดขึ้นมาเพราะว่ากองพันเอาแต่เหม่อ ถึงต้องหาทางเรียกสมาธิเด็กชาย เล่นมาห้าเกม เธอก็แพ้ไปสี่ และเวลาที่กองพันแพ้เธอไม่ได้แกล้งด้วยการทาสีบนหน้า แต่บังคับให้ทานผลไม้อย่างกล้วยสุก เล่นมาตาต่อๆ มาเธอจึงแพ้รวด

เด็กน้อยคงไม่ชอบรสชาติกล้วยสุกเท่าไหร่...


“เล่นอะไรกันคะ ดูน่าสนุกเชียว” เสียงทักจากประตูหน้าทำให้เขียนจันทร์ที่นั่งหันหลังให้ประตูต้องหันตัวกลับไปมอง ผู้ชายตัวสูง สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเรียบร้อย ยิ้มตาเป็นประกายขำยามสบตากับเธอ “ท่าทางจะสนุกจริงๆ”

บดินทร์ภัทรกลั้นหัวเราะกับใบหน้าหลานสาวของหม่อมวงเดือน เขาพอรู้ปัญหาเลาๆ ของการเป็นพี่เลี้ยงเด็กมาจากหม่อมวงเดือนบ้างแล้ว

“เล่นเกมล่อน้องขุนให้กินกล้วยสุกค่ะ คุณชาย” แจงออกปากตอบแทนผู้เป็นนาย

คนหน้าเปื้อนเป็นสัตว์ประหลาดสาธิตวิธีการเล่นให้ดู เธอยื่นหน้าไปจ้องตาเด็กชาย และคราวนี้เธอเล่นแบบไม่ให้กองพันตั้งตัว อีกฝ่ายจึงเผลอกะพริบตาจนได้

“อ้ำๆ เลยนะครับน้องขุน ตามกติกาของเรา” คนชนะเป็นครั้งที่สองตักกล้วยบดพูนช้อน ยื่นมาตรงหน้าเด็กน้อย ซึ่งคราวนี้ทำหน้าแขยงออกมาชัดเจน ทั้งที่ปกติไม่แสดงสีหน้าใดๆ ก่อนจะยอมอ้าปากรับกล้วยบดเข้าไปเต็มปาก จนแก้มตุ่ย อมไว้ไม่ยอมกลืน

“ถ้าเอาแต่อมไว้ในปาก ระวังฟันผุ อย่าหาว่าหมอไม่เตือนนะคะ” คุณหมอยื่นมือเข้าช่วย มีรอยยิ้มใจดีบนหน้าทั้งที่วาจาออกจะขู่เหมือนพวกผู้ใหญ่ชอบหยิบยกเรื่องผีมาขู่เด็ก แต่มันก็ยังมีประโยชน์เพราะทำให้กองพันยอมกลืนกล้วยบดลงคอจนหมด

“กินต่อด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นอดฟังเรื่องเล่าก่อนนอนนะครับ วันนี้อาเขียนจะขึ้นไปเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฟังก่อนนอน แต่ต้องกินกล้วยอีกสองคำ” เขียนจันทร์เห็นท่าทางลังเลของเด็กชายจึงรีบเสริมต่อ “คราวนี้เป็นเรื่องช้าง ตัวเบ้อเริ่มเทิ่มเลยนะครับ”

อีกครั้งที่เธอหลอกล่อเด็กน้อยได้เป็นที่สำเร็จ ถึงจะเหนื่อย และลงทุนทางใบหน้าพอสมควร



..............................................................................

คุณ ร้อยวจี อ่านๆ ไปอาจเกลียดพระเอกแทนนะคะ ฮา
คุณอัศวินนภา เย้ๆ ดีใจที่ยังไม่ลืมกันค่า ^^
ขอบคุณคอมเมนต์ คนกดไลค์ และคนที่เข้ามาอ่านทุกท่านนะคะ
ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ ดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ :)



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ค. 2557, 05:32:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ค. 2557, 09:27:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 2146





<< บทที่ 1 : กลับบ้าน   บทที่ 3 : จากผู้ไม่หวังดี >>
อัศวินนภา 21 พ.ค. 2557, 07:47:00 น.
ร๊ากกกกกเด็กอ่ะ ลูกขุนกับพ่อขุน


ร้อยวจี 21 พ.ค. 2557, 08:05:17 น.
ยังไม่เริ่มก็รู้สึกแล้วค่ะ น่าจะเป็นประเภทปากไม่ตรงกับใจด้วย พระเอกเรา (ใช่เปล่า)


ariesleo 21 พ.ค. 2557, 13:40:47 น.
ลุ้นกับน้องขุนค่ะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 21 พ.ค. 2557, 20:57:54 น.
อร๊ายยยยย
พระเอก ซุกลูกอ๊ะ
น่าร้ากกก จิงๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account