อ้อนรักเดิมพันหัวใจ (สนพ.กรีนมายด์)
เพราะการพบกันครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าประทับใจสำหรับ “ศันลิตา” หญิงสาวสวยน่ารักเจ้าของร้านหนังสือจึงทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้ “กฤตตะวัน” หนุ่มหล่อขี้เก๊กเจ้าแผนการ โดยไม่รู้ว่าเขาคือทายาทบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เพราะความจำเป็นทำให้กฤตตะวันต้องเข้ามาเป็นพนักงานขายในร้านหนังสือเพื่อแลกกับความช่วยเหลือบางอย่างจากศันลิตา เกมรักที่มีหัวใจเป็นเดิมพันจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความจริงซึ่งนำพาไปสู่อันตราย
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่กล้าเดิมพันกับผม เพราะกลัวว่าจะหลงรักผมใช่มั้ยล่ะ” กฤตตะวันถามพลางมองสบตาหญิงสาวอย่างท้าทาย
“อย่างฉันเนี่ยนะต้องกลัวหลงรักคุณ รู้จักศันลิตาน้อยไปซะแล้ว ตกลงฉันรับเดิมพันกับคุณแต่ถ้าครบกำหนดสามเดือนแล้วคุณไม่สามารถทำให้ฉันพูดว่ารักคุณได้ ต่อไปคุณห้ามมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีกนะ” ศันลิตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่กฤตตะวันคลี่ยิ้มอย่างสมหวังดวงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยับเมื่อโน้มใบหน้าคมเข้มลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูหญิงสาวอย่างใกล้ชิดว่า
“ตกลงตามนั้นและนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างเพื่อให้คุณหลงรักผมแล้วนะศันลิตา”
เดิมพันหัวใจครั้งนี้ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครเจ้าเล่ห์กว่าใครในเกมรัก เชิญร่วมลุ้นไปกับพวกเขาใน “อ้อนรักเดิมพันหัวใจ” ค่ะ

ขอแจ้งให้นักอ่านทราบล่วงหน้าว่านิยายเรื่องนี้จะลงเนื้อเรื่องเพียงแค่ 60% เท่านั้น ไรเตอร์จะทยอยอัพให้อ่านวันละตอนนะคะ เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้วจะวางแผงในเดือนมิถุนายน 2257 นี้ค่ะ ใครสนใจสั่งจองได้ที่เว็บกรีนมายด์เลยนะคะ

Tags: รัก, กุ๊กกิ๊ก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 1

อาคารสัตยาภิเบศร์...

ภายในห้องประชุมของบริษัท สัตยาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศ ขณะนี้คณะกรรมการผู้บริหารกำลังนั่งเรียงรายอยู่ในโต๊ะประชุมตัวยาวอย่างมีระเบียบท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อนข้างเคร่งเครียดอันเนื่องมาจากเกิดปัญหาในการเจรจาซื้อที่ดินซึ่งเจ้าของที่ได้เรียกราคาเพิ่มขึ้นจากที่เคยตกลงกันเอาไว้ ทำให้คณะกรรมการผู้บริหารต้องเข้าประชุมเพื่อปรึกษาหารือเรื่องนี้กันอย่างเร่งด่วน

บรรยากาศภายในห้องประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด คณะกรรมการผู้บริหารต่างก็มีความเห็นแตกต่างกันไปมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเรื่องที่บริษัทจะต้องจ่ายราคาที่ดินเพิ่มขึ้น กฤตตะวัน สัตยาภิเบศร์ ในชุดสูทสีเทาเข้มซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานกรรมการมีสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเรียวรีคมเฉียบของเขาจับจ้องอยู่ที่แฟ้มเอกสารในมือของตนเองอย่างใช้ความคิดในระหว่างที่นิ่งฟังคำปรึกษาหารือและโต้แย้งของทุกคนที่ร่วมประชุม

“คุณนทีเรียกราคาที่ดินเพิ่มสูงมากเกินไปนะครับคุณเกริก เพราะราคาที่เราเสนอไปก่อนหน้านั้นก็ถือว่าสูงมากอยู่แล้ว ตอนแรกคุณนทีก็ตอบตกลงขายที่ให้เราแล้วนี่ ผมไม่เข้าใจเลยว่าผ่านไปแค่สี่วันทำไมคุณนทีถึงได้เรียกราคาเพิ่มสูงขึ้นตั้งมากมายขนาดนี้” คุณศักดิ์ชายบุรุษวัยหกสิบเศษที่ปรึกษาอาวุโสของบริษัทถามขึ้น

“คุณนทีแจ้งมาว่าทาง ทรัพย์ทวี พร็อพเพอร์ตี้ คู่แข่งของเราเสนอว่าจะให้ราคาเพิ่มมากกว่าเราอีกสิบห้าล้านครับ แต่เขาเห็นว่าเราเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนก็เลยถามมาว่าเราจะให้ราคาเพิ่มเท่าฝ่ายนั้นได้มั้ย ถ้าได้เค้าก็จะตอบตกลงขายที่ให้กับเราทันที” คุณเกริกเกียรติบุรุษหนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐานวัยประมาณสี่สิบเศษ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการตอบ

“ถึงที่ดินตรงนั้นรัฐบาลจะมีนโยบายสร้างรถไฟฟ้าแต่คุณนทีก็เรียกราคาสูงเกินจริงนะครับ เราน่าจะรอให้ท่านประธานใหญ่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศก่อน แล้วค่อยประชุมลงมติเรื่องโครงการคอนโดมิเนียมจุดนี้กันใหม่” คุณพิภพบุรุษร่างท้วมวัยประมาณห้าสิบเศษหนึ่งในคณะกรรมการผู้บริหารออกความเห็น

“คงไม่มีเวลาประชุมลงมติกันใหม่แล้วล่ะครับคุณพิภพ เราต้องตัดสินใจให้ได้ภายในวันนี้ เพราะคุณนทีต้องการคำตอบในวันพรุ่งนี้ ผมถึงต้องตามกฤตให้รีบเดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดด่วนตั้งแต่เมื่อเช้า เพราะกฤตคือคนเดียวที่มีอำนาจตัดสินใจแทนท่านประธานใหญ่ได้” คุณเกริกเกียรติบอกเสียงขรึม

ในขณะที่คนอื่นต่างก็หันกลับไปปรึกษาหารือกันต่อด้วยสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียดก่อนจะหันมาถามชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานกรรมการว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร สายตาของกฤตตะวันจับแน่วนิ่งอยู่กับแฟ้มแบบแปลนคอนโดมิเนียมหรูในมือด้วยแววตาครุ่นคิด ครู่หนึ่งเขาจึงเงยหน้าขึ้นพลางคลี่ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วบอกกับคณะกรรมการทุกคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าเด็ดขาด

“เราจะไม่ยอมจ่ายค่าที่ดินเพิ่มให้คุณนทีครับ ถ้าคุณนทีไม่ขายที่ให้เราก็ไม่เป็นไรเราจะหาซื้อที่ดินแปลงใหม่ครับ ด้วยชื่อเสียงของบริษัทที่มีมานานหลายสิบปีผมเชื่อว่าไม่ว่าจะขึ้นโครงการที่ไหนเราก็สามารถขายได้อยู่แล้ว รบกวนคุณอาเกริกช่วยแจ้งให้คุณนทีทราบด้วยนะครับ”

คำตอบเด็ดขาดของกฤตตะวันทำให้คณะกรรมการทุกคนถึงกับหันมามองหน้าเขาอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ก่อนที่คุณเกริกเกียรติจะท้วงขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า

“แต่ท่านประธานใหญ่อยากจะได้ที่ตรงนั้นมากนะกฤต อาคิดว่าถ้าคุณนทีปฏิเสธขายที่ให้เราท่านอาจจะไม่ค่อยพอใจนักที่เราปล่อยให้ที่ดินแปลงนี้ตกเป็นของคู่แข่งทั้งที่เรามีโอกาสจะได้มาอยู่ในมือแล้ว”

“เรื่องนี้ผมรับผิดชอบเองครับคุณอา เดี๋ยวผมจะอธิบายกับคุณพ่อเอง” ชายหนุ่มบอกกับคุณเกริกเกียรติแล้วเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่ายังไงคุณนทีก็ไม่มีทางปฏิเสธที่จะขายที่ดินแปลงนี้ให้กับเราหรอกครับ”

คำพูดของกฤตตะวันสร้างความสงสัยให้คุณเกริกเกียรติกับคณะกรรมการทุกคนในห้องประชุมเป็นอันมาก ทุกคนต่างถามว่าอะไรทำให้เขามั่นใจมากมายขนาดนั้น ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะไขข้อข้องใจให้กับทุกคนในห้องประชุมโดยบอกว่าเขาได้ให้คนไปสืบประวัติของคุณนทีเจ้าของที่ดินก่อนที่คุณเกริกเกียรติจะเข้าไปเจรจาซื้อที่ดินแล้ว

จึงทำให้รู้ว่าเจ้าของที่กำลังมีปัญหาเรื่องเงินเพราะลูกชายเสียพนันฟุตบอลเป็นเงินจำนวนหลายล้านบาทซึ่งขณะนี้กำลังถูกตามทวงหนี้อยู่และเหมือนว่าจะครบกำหนดต้องชำระหนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้วด้วย ดังนั้นกฤตตะวันจึงไม่เชื่อเรื่องที่คุณนทีบอกว่าทรัพย์ทวี พร็อพเพอร์ตี้ จะยอมจ่ายค่าที่ดินให้สูงกว่าสัตยา เรียลเอทสเตทและคิดว่าอีกฝ่ายต้องการเรียกราคาเพิ่มเองมากกว่า เพราะถ้าหากทางทรัพย์ทวี พร็อพเพอร์ตี้ติดต่อมาจริงชายหนุ่มมั่นใจว่าคนร้อนเงินอย่างคุณนทีจะต้องตอบตกลงทันทีอย่างแน่นอน

เมื่อฟังกฤตตะวันพูดจบคณะกรรมการทุกคนต่างก็ชื่นชมในความเฉลียวฉลาดและรอบคอบของเขา ก่อนจะลงมติเห็นด้วยกับการตัดสินใจของชายหนุ่ม

“ยังไงผมต้องรบกวนคุณอาช่วยจัดการเรื่องคุณนทีด้วยนะครับ” กฤตตะวันบอกกับคุณเกริกเกียรติซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณอาแท้ๆ ของเขาในระหว่างที่ทั้งสองเดินออกมาจากห้องประชุมรั้งท้ายคณะกรรมการผู้บริหารคนอื่นหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง

“โอเค เดี๋ยวอาจัดการเองกฤตไม่ต้องเป็นห่วงนะ” คุณเกริกเกียรติบอกพลางยกมือขึ้นตบไหล่หลานชายเบาๆ ก่อนจะถามต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “แล้วเมื่อเช้าการเดินทางเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นคุณดนัยบอกว่าจองตั๋วชั้นเฟิร์สคลาสให้กฤตไม่ได้นี่ใช่มั้ยคุณดนัย”

ตอนท้ายประโยคคุณเกริกเกียรติหันไปถามชายหนุ่มหน้าตาคมสัน สวมแว่นสายตาหนาเตอะ รูปร่างสันทัดในชุดสูทสีกรมท่าซึ่งมีตำแหน่งเป็นเลขานุการส่วนตัวของกฤตตะวันที่หอบแฟ้มเอกสารจำนวนหนึ่งเดินอยู่ทางด้านหลังของคนทั้งสอง

“ใช่ครับคุณเกริก เพราะเที่ยวบินนี้เหลือที่นั่งชั้นประหยัดแค่ที่เดียวเท่านั้น ผมก็เลยจำเป็นต้องจองตั๋วชั้นประหยัดให้คุณกฤตนั่ง ถ้าทำให้คุณกฤตไม่สะดวกสบายในการเดินทางผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ” ดนัยชี้แจงและกล่าวคำขอโทษกฤตตะวันในตอนท้ายประโยคด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก

กฤตตะวันชะงักเล็กน้อยเมื่อฟังเลขาส่วนตัวพูดจบ ในขณะที่ภาพเหตุการณ์บนเครื่องบินเมื่อเกือบสองชั่วโมงที่ผ่านมาย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของเขาอีกครั้ง ภาพของผู้หญิงหน้าตาน่ารักแต่ท่าทางเปิ่นๆ เพราะเพิ่งจะเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก พอคิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็หัวเราะเบาๆ ในขณะที่ดวงตาเรียวรีเป็นประกายพราวระยับพลางพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน

“หึๆ ก็เป็นการเดินทางที่สนุกดีไม่เลวร้ายนักหรอกดนัย คุณอย่ากังวลไปเลยผมไม่ได้ลำบากอะไร”

ดนัยกับคุณเกริกเกียรติถึงกับมองสบตากันด้วยสีหน้างุนงงทันทีเมื่อได้ยินคำตอบและเห็นท่าทางขบขันของชายหนุ่มเพราะไม่ใช่เรื่องปกติวิสัยเลยที่จะได้เห็น กฤตตะวัน สัตยาภิเบศร์ ว่าที่ประธานใหญ่คนต่อไปของบริษัท สัตยาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีเครือข่ายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ทั่วประเทศหัวเราะออกมาแบบนี้ อย่างมากเขาก็แค่ยิ้มนิดหนึ่งตรงมุมปากถ้าหากมีเรื่องที่พึงพอใจซึ่งเป็นนิสัยประจำตัวที่คนใกล้ชิดต่างก็รู้กันดี ดังนั้นเมื่อเห็นกฤตตะวันหัวเราะออกมาแบบนี้จึงทำให้ทั้งสองคนออกอาการเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกกันเลยทีเดียว

“หืม...นี่หลานชายอาไปเจออะไรดีๆ บนเครื่องมารึเปล่าเนี่ย” คุณเกริกเกียรติกระเซ้ากฤตตะวันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่ชายหนุ่มยังคงอมยิ้มเมื่อตอบว่า

“ผมไปเจอเรื่องตลกมามากกว่าครับคุณอา” จากนั้นกฤตตะวันก็ชักชวนคุณเกริกเกียรติและดนัยให้ไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ร้าน “มุมสบาย บุ๊ค เซ็นเตอร์” เป็นร้านขายหนังสือที่ตั้งอยู่ภายในอาคารพาณิชย์สี่ชั้นไสตล์โมเดิร์นซึ่งตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีครีมทั้งหมด พื้นปูด้วยกระเบื้องลายไม้ ส่วนฝาผนังทุกด้านติดวอลเปเปอร์สีเขียวอ่อนมีลวดลายเป็นดอกเดซี่สีขาวขนาดเล็กแลดูน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มสบายตาสมกับชื่อร้าน ขณะนี้ศิริวรรณหญิงสาววัยสามสิบเศษ กำลังหัวเราะขบขันกับท่าทางหัวเสียของศันลิตาผู้เป็นน้องสาวซึ่งกำลังนั่งทำหน้ามุ่ยอยู่หลังจากที่เล่าเหตุการณ์อันไม่น่าประทับใจจากการเดินทางโดยสารเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิตให้ฟังทันทีที่เดินทางจากสนามบินมาถึงร้าน

“โธ่! พี่วรรณจะขำทำไมเนี่ย ต้าไม่ขำด้วยนะคะ น่าอายจะแย่มีแต่เรื่องขายหน้าทั้งนั้นเลย แถมยังถูกนายขี้เก๊กท่าทางกวนประสาทนั่นมองด้วยสายตาประมาณว่าเอือมระอาต้ามากด้วย” ศันลิตาบ่นพี่สาวด้วยท่าทางงอนๆ ที่อีกฝ่ายเอาแต่หัวเราะหลังจากฟังเรื่องเล่าบนเครื่องบินจบแทนที่จะช่วยเธอโมโหผู้ชายขี้เก๊กคนนั้น

“ต้าจะไปโมโหทำไมกันล่ะจ๊ะ โมโหไปก็เท่านั้นแหละอารมณ์เสียเปล่าๆ ถึงยังไงเราก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกับเค้าอีกหรอกน่าอย่าเก็บเอามาใส่ใจเลย” ศิริวรรณบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ในขณะที่ศันลิตาถึงกับถอนหายใจอย่างขัดใจเพราะพี่สาวของเธอนั้นเป็นคนอ่อนโยน ใจดี และมองโลกในแง่ดีเสมอ แตกต่างจากศันลิตาที่ค่อนข้างจะเป็นคนโผงผางพูดจาตรงไปตรงมา และโมโหง่าย

“แล้วพ่อกับแม่เป็นยังไงกันบ้างจ๊ะ สุขภาพแข็งแรงดีใช่มั้ย” ศิริวรรณเปลี่ยนเรื่องคุย

“ก็แข็งแรงดีทั้งสองคนแหละค่ะ พ่อยังถางหญ้า เดินกวาดเศษใบไม้ใบหญ้าได้ทั้งวันสบายๆ ส่วนแม่ก็ขยันทำแต่ของอร่อยๆ ให้ต้ากินทั้งวันเหมือนกัน” ศันลิตาเล่าเรื่องบิดามารดาให้พี่สาวฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขและลืมเหตุการณ์ที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวไปได้ทันที จากนั้นหญิงสาวก็รื้อของฝากที่มารดาทำมาฝากพี่สาวออกมาจากถุงแล้ววางเรียงรายลงบนโต๊ะ ซึ่งมีทั้งน้ำพริกปลาร้าสับ น้ำพริกปลาแห้งป่นและน้ำพริกมะขามอย่างละหนึ่งกระปุกใหญ่ รวมทั้งอาหารแห้งอีกหลายอย่าง เมื่อศิริวรรณเห็นของฝากจากมารดาก็ถึงกับทำตาโตพลางพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน

“โอ้โห้! แม่ทำมาให้ซะตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนี้สงสัยคงกินได้ทั้งปีแน่ๆ เลย”

“แล้วมีของฝากณาบ้างมั้ยคะคุณต้า” วีณาหญิงสาวร่างเล็กวัยเดียวกับศันลิตาในชุดฟอร์มพนักงานของร้านซึ่งก็คือเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีเขียวอ่อนกับกางเกงขายาวสีดำที่กำลังยืนจัดหนังสืออยู่ตรงชั้นวางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสองพี่น้องนักส่งเสียงถามมาอย่างร่าเริงเพราะขณะนี้ภายในร้านไม่มีลูกค้า

“มีสิจ๊ะทั้งแหนม หมูยอ ขนมตุ้บตั้บ แล้วก็ขนมอื่นอีกตั้งหลายอย่างเดี๋ยวต้าจะแบ่งให้ณากับพี่ชัยเอากลับไปที่บ้านนะ” ศันลิตาตอบอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ว้าว! ของฝากจากขอนแก่น ขอบคุณมากนะครับน้องต้า เย็นนี้พี่จะยำหมูยอกินซะเลย แบบว่าอิ่มจังแต่ตังค์อยู่ครบ” ชัยพรชายหนุ่มรูปร่างสันทัดผิวสีแทนวัยสามสิบห้าพนักงานอีกคนของร้านซึ่งอาวุโสมากกว่าทั้งสามสาวที่เพิ่งจะยกหนังสือเดินออกมาจากทางด้านหลังร้านเพื่อจัดเข้าชั้นพูดติดตลกด้วยน้ำเสียงร่าเริงซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี หลังจากพูดคุยกับทุกคนอยู่อีกครู่หนึ่งศันลิตาจึงขอตัวเอาข้าวของขึ้นไปเก็บบนห้องและเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนคนอื่นก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตนเองต่อ

หลังจากเอาข้าวของขึ้นไปเก็บบนห้องและล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อนเข้ารูปพับแขนขึ้นถึงข้อศอกกับกางเกงขายาวสีดำซึ่งเป็นชุดพนักงานขายของร้านเรียบร้อยแล้วศันลิตาก็ลงมาช่วยคนอื่นๆ ขายหนังสือ ในยามว่างที่ไม่มีลูกค้าหญิงสาวก็เดินไปจัดหนังสือตามชั้นวางให้เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข

ศันลิตาเป็นคนรักการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กแล้วโดยเฉพาะหนังสือนวนิยาย หนังสือประวัติศาสตร์และหนังสือเกี่ยวกับตำนานต่างๆ ดังนั้นความใฝ่ฝันของหญิงสาวก็คืออยากจะมีร้านขายหนังสือเป็นของตัวเองสักร้าน แต่เนื่องจากเธอเรียนจบปริญญาตรีสาขาการบัญชีดังนั้นศันลิตาจึงเข้าทำงานในธนาคารแห่งหนึ่งแล้วพยายามประหยัดและเก็บหอมรอมริบมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ทำงาน พร้อมทั้งมองหาทำเลดีๆ เพื่อเปิดร้านขายหนังสือทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง

ในที่สุดหญิงสาวก็ได้พบทำเลดีเป็นอาคารพาณิชย์สี่ชั้นสไตล์โมเดิร์นในโครงการทาวน์เลิฟแห่งนี้ซึ่งเหมาะกับการเปิดร้านขายหนังสือเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากอยู่ในย่านหมู่บ้านของคนมีฐานะซึ่งมีกำลังซื้ออย่างแน่นอน ศันลิตาจึงตัดสินใจลาออกจากงานมาผ่อนอาคารพาณิชย์แห่งนี้เปิดร้านขายหนังสือตามความฝัน โดยศิริวรรณพี่สาวของเธอซึ่งเคยเป็นคุณครูในโรงเรียนอนุบาลเอกชนแห่งหนึ่งได้ลาออกจากงานมาช่วยดูแลร้านหนังสือ “มุมสบาย บุ๊ค เซ็นเตอร์” แห่งนี้ด้วยกัน

กิจการร้านหนังสือของศันลิตาถือว่าเป็นไปด้วยดีพอสมควรหลังจากที่เปิดร้านมาหกเดือนเธอก็มีลูกค้าสมัครเป็นสมาชิกจำนวนมาก อีกทั้งลูกค้าขาจรที่แวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสายด้วย ศันลิตาจ้างพนักงานขายประจำร้านเพียงแค่สองคนเท่านั้นคือชัยพรกับวีณา แต่ในวันเสาร์กับวันอาทิตย์และในช่วงปิดเทอมจะมีนักศึกษาสาวที่ชื่อแพรมาทำงานพาร์ทไทม์เป็นพนักงานขายเพิ่มอีกหนึ่งคน

ศันลิตาไม่จ้างพนักงานประจำหลายคนเพื่อเป็นการประหยัด ถึงแม้ว่าคุณพจน์กับคุณศรีสุภางค์บิดามารดาของเธอจะบอกว่ายินดีช่วยซื้ออาคารพาณิชย์แห่งนี้ให้ในราคาเงินสด แต่หญิงสาวก็ไม่อยากจะรบกวนเงินที่ท่านทั้งสองอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเอาไว้ตั้งแต่เริ่มรับราชการครูจนกระทั่งเกษียณ ดังนั้นศันลิตาจึงบอกกับบิดามารดาว่าจะผ่อนค่างวดเองแต่ถ้าเดือนไหนเงินขาดมือก็จะรบกวนขอยืมพวกท่านตามสมควร

“สวัสดีค่าทุกคนเพทายคนงามแวะมาเยี่ยมเยียนค่ะ”

เสียงทักทายทุกคนในร้านดังขึ้นอย่างร่าเริงพร้อมๆ กับที่หญิงสาวร่างเล็กปราดเปรียว ไว้ผมซอยสั้น หน้าตาคมขำในชุดพนักงานธนาคารก้าวผ่านประตูร้านเข้ามาในช่วงบ่ายโมงเศษซึ่งไม่มีลูกค้า ศิริวรรณ วีณา และชัยพรพากันส่งยิ้มและทักทายตอบหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างคุ้นเคย ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาหยุดยืนกอดอกพิงผนังใกล้กับชั้นวางซึ่งศันลิตากำลังจัดหนังสือเรียงเข้าชั้นอยู่พลางถามเจ้าของร้านสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ไงจ๊ะเพื่อนรักกลับไปบ้านตั้งหลายวันมีอะไรมาฝากฉันบ้างล่ะ”

“ยัยเพทายจอมงกมาถึงก็ทวงของฝากเลยนะยะ” ศันลิตาว่าพลางมองค้อนเพื่อนรักอย่างหมั่นไส้ เธอกับเพทายเป็นเพื่อนรักกันมานานตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายอยู่ที่ต่างจังหวัด แม้กระทั่งเรียนต่อมหาวิทยาลัยสองสาวก็สอบเข้าเรียนที่เดียวกัน คณะเดียวกัน เมื่อเรียนจบก็มาสมัครทำงานที่ธนาคารแห่งเดียวกันอีก แต่ตอนนี้ศันลิตาลาออกมาเปิดร้านขายหนังสือแล้วในขณะที่เพทายยังคงทำงานอยู่ที่เดิมแต่ก็คอยแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเธอที่ร้านอย่างสม่ำเสมอ

“เอ้า! มันแน่อยู่แล้ว ของฟรีใครจะไม่อยากได้ล่ะ”เพทายพูดหน้าตาเฉย

“ตอนนี้มันเป็นเวลาทำงานไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอถึงออกมาเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกล่ะ” ศันลิตาถามด้วยความสงสัย

“ฉันขอลางานผู้จัดการมาเอารถที่อู่แป๊บนึงก็เลยถือโอกาสแวะมาหาอะไรกินฟรีแถวนี้ก่อนเดี๋ยวค่อยกลับไปทำงานต่อ”

“เธอจะสั่งส้มตำร้านโน้นอีกล่ะสิ” ศันลิตาถามเพื่อนรักพลางพยักเพยิดหน้าไปทางร้านส้มตำซึ่งตั้งอยู่ถัดจากร้านหนังสือของเธอไปโดยมีที่กลับรถกั้นกลางระหว่างกันเอาไว้

“แม่นแล้ว ก็ร้านตำระเบิดเค้าทำอร่อยแถมยังแซ่บถูกใจฉันนี่นา” เพทายตอบ

“ไอ้เรื่องความอร่อยฉันก็ยอมรับนะ แต่เวลามาส่งทีไรเมนูที่สั่งเพี้ยนประจำนี่สิทำเซ็ง” ศันลิตาบ่นพลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ

เพทายหันไปสบตากับศิริวรรณซึ่งนั่งอยู่ที่เคาเตอร์คิดเงินก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะอย่างขบขันเพราะพอจะรู้กันอยู่ว่าศันลิตากับหญิงสาวสวยรุ่นน้องเจ้าของร้านส้มตำไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่ ดังนั้นเพทายจึงเป็นฝ่ายรับอาสาเดินไปสั่งอาหารที่ร้านส้มตำด้วยตัวเองโดยยืนยันว่าวันนี้จะกำชับไม่ให้เมนูผิดพลาดเด็ดขาด ศันลิตาบอกกับเพื่อนรักว่าจะคอยดู ในขณะที่ศิริวรรณ วีณา กับชัยพรพากันหัวเราะอย่างขบขันเพราะเป็นที่รู้กันดีสำหรับคนแถวนี้ว่าร้านส้มตำข้างเคียงมักจะมีปัญหากับลูกค้าเรื่องเมนูผิดพลาดเป็นประจำ

และเมื่อพนักงานสาวจากร้านส้มตำนำอาหารมาส่งก็ปรากฎว่าเป็นไปตามความคาดหมายของศันลิตานั่นก็คือเมนูผิดพลาด ส่วนอาหารที่ถูกต้องตามคำสั่งของเพทายก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือส้มตำปูปลาร้า

“ฉันว่าแล้วเชียว ถ้าร้านยัยน้ำรินทำอาหารถูกต้องตามคำสั่งลูกค้าทุกจานสงสัยฝนต้องตกหนักแหงๆ” ศันลิตาบ่นทั้งฉุนทั้งขำก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะเพื่อรับประทานอาหารอีสานสุดโปรดร่วมกับเพื่อนรัก

“เอาเถอะ ยังไงรสชาติก็โอเคน่าเธออย่าซีเรียสเลย กินเถอะฉันหิวแล้วล่ะ” เพทายบอกอย่างอารมณ์ดีพลางเริ่มลงมือรับประทานอาหารตรงหน้า

ในระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารทั้งสองสาวก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันอย่างสนุกสนาน หลังจากเล่าเรื่องของบิดามารดาแล้วศันลิตาก็ไม่ลืมที่จะเล่าเหตุการณ์บนเครื่องบินเมื่อตอนเช้าให้เพทายฟังอย่างละเอียดลออ แล้วแถมท้ายด้วยการบ่นชายหนุ่มรูปหล่อขี้เก๊กจอมกวนซึ่งยังทำให้เธอรู้สึกขุ่นเคืองไม่หายจนกระทั่งถึงตอนนี้อีกยืดยาว

“ก็คนเพิ่งจะเคยนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิตมันก็ต้องทำอะไรผิดพลาดกันบ้าง แต่นายขี้เก๊กนั่นปรายตามองอย่างกับฉันทำความผิดร้ายแรง ฮึ่ย! ยิ่งพูดยิ่งโมโหวางมาด เก๊กซะ คงนึกว่าตัวเองหล่อตายล่ะ โธ่เอ้ย!!!”

เพทายหัวเราะอย่างขบขันเมื่อเห็นท่าทางโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงของศันลิตาก่อนแกล้งจะถามว่า

“แล้วผู้ชายคนนั้นหล่อรึเปล่า รูปร่างหน้าตาเค้าเป็นยังไงไหนเธอลองบรรยายให้ฉันฟังหน่อยสิ”

ศันลิตาชะงักนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนรัก เพราะถ้าจะให้ปฏิเสธว่าเขาไม่หล่อมันก็ไม่เป็นความจริง แต่ถ้าจะให้บอกว่าอีกฝ่ายหล่อมากเธอก็ไม่อยากยอมรับ ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจตอบเพื่อนรักแบบขอไปที

“ก็หน้าตาแบบพวกอาตี๋ทั่วไปนั่นแหละ ผิวขาว แล้วก็ตัวสูงมาก”

“แล้วสรุปว่าผู้ชายคนนั้นหล่อรึเปล่าล่ะ เธอตอบไม่ตรงคำถามนะต้า” เพทายยังไม่เลิกเซ้าซี้ถาม ศันลิตาเลยได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจกับความเจ้าปัญหาของเพื่อนรักก่อนจะถามอีกฝ่ายอย่างเหลืออด

“นี่! ยัยเพทาย เธอจะอยากรู้ไปทำไมว่าผู้ชายคนนั้นหล่อรึเปล่า”

“เอ้า! ก็ถ้าผู้ชายคนนั้นหล่อฉันว่าเธอไม่ควรโกรธเค้านะต้า”

“เพราะอะไร ทำไมฉันถึงไม่ควรโกรธผู้ชายคนนั้น” ศันลิตาถามอย่างไม่เข้าใจพลางขมวดคิ้วมุ่น

“เพราะว่าคนหล่อทำอะไรก็ไม่น่าโกรธไง” พูดจบเพทายก็หัวเราะเสียงใสทันทีก่อนจะตักอาหารขึ้นมารับประทานต่ออย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ศันลิตาได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจกับความขี้เล่นไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเพื่อนรัก หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยเพทายก็ขอตัวกลับทันทีเพราะต้องรีบกลับไปทำงานต่อ หญิงสาวเจ้าของร้านหนังสือจึงถือถุงของฝากเดินตามออกมาส่งเพื่อนรักที่หน้าร้านด้วย

“วันเสาร์นี้เธอว่างมั้ย” ศันลิตาถามขึ้นเมื่อทั้งสองสาวเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างรถยนต์สีขาวขนาดกะทัดรัดของเพทาย

“ว่างสิ มีอะไรเหรอต้า” เพทายตอบแล้วย้อนถามกลับมาในประโยคเดียวกัน

“ฉันว่าจะชวนเธอไปหาซื้อของขวัญให้พี่วรรณหน่อย เพราะสิ้นเดือนนี้ก็จะถึงวันเกิดพี่วรรณแล้ว”

เมื่อได้รู้จุดประสงค์ของศันลิตาเพทายก็ตอบตกลงทันทีเพราะทั้งสองสาวไม่ได้ไปเดินช้อปปิ้งด้วยกันนานแล้ว เพทายนัดแนะว่าจะมารับศันลิตาในวันเสาร์ตอนเก้าโมงครึ่งก่อนจะขับรถออกไป

ศันลิตายืนมองจนกระทั่งรถของเพื่อนรักแล่นผ่านป้อมยามออกไปแล้วก็ทำท่าจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในร้าน แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรถบีเอ็มดับบลิวมินิสีแดงเพลิงรุ่นใหม่ล่าสุดของธัญรดาคุณหนูลูกสาวร้านทองตั้งสกลรัตน์ซึ่งอยู่ติดกันแล่นปราดเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว ศันลิตาจำเป็นต้องหยุดยืนดูให้แน่ใจว่าวันนี้หญิงสาวรุ่นน้องคนนั้นจะจอดรถล้ำเส้นเข้ามาทางฝั่งร้านของเธออีกหรือเปล่า เพราะธัญรดามักจะทำแบบนั้นเสมอโดยไม่สนใจว่าลูกค้าของเธอจะมีที่จอดรถหรือไม่ เมื่อศันลิตาไปพูดจาตักเตือนดีๆ ยัยคุณหนูจอมเอาแต่ใจนั่นก็ทำท่าทางไม่พอใจจนเป็นสาเหตุให้สองสาวต่างวัยไม่ค่อยจะกินเส้นกันนัก

ครู่หนึ่งธัญรดาก็ก้าวลงมาจากรถ ศันลิตาเห็นอีกฝ่ายชะงักและมองมาทางเธอ สองสาวมองสบตากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ธัญรดาจะเป็นฝ่ายเดินเชิดหน้าเข้าไปในร้านของอีกฝ่ายก่อน หญิงสาวเลยได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้านของตนเองบ้าง

บ้านสัตยาภิเบศร์

กฤตตะวันยิ้มกว้างทันทีเมื่อก้าวเข้าไปภายในห้องนั่งเล่นของบ้านในตอนค่ำหลังจากเดินทางกลับมาจากบริษัทแล้วพบว่าหญิงสาวหน้าตาสวยเฉี่ยว ไว้ผมดัดเป็นลอนขนาดใหญ่ยาวสยายถึงกลางหลัง ในชุดเดรสรัดรูปแขนกุดสั้นเหนือเข่าสีน้ำเงินสดกำลังนั่งไขว้ห้างจิบชาร้อนพลางดูรายการโทรทัศน์อยู่อย่างสบายอารมณ์เธอคือเกศวรางค์พี่สาวคนเดียวของเขานั่นเอง

“พี่เกศจะกลับบ้านทำไมไม่โทร.มาบอกล่วงหน้าล่ะครับ ผมจะได้ให้ลุงธงไปรอรับพี่ที่สนามบิน” ชายหนุ่มถามพลางทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาที่ยังว่างอยู่

“ก็พี่อยากจะเซอร์ไพรส์คุณกฤตตะวันท่านประธานกรรมการของสัตยาเรียลเอทสเตทไงจ๊ะ” เกศวรางค์บอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางวางแก้วชาร้อนลงบนโต๊ะ กฤตตะวันส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะถามถึงไมเคิลพี่เขยของเขาซึ่งเป็นนักธุรกิจหนุ่มชาวอเมริกันว่าสบายดีหรือเปล่า เกศวรางค์ย่นจมูกเล็กน้อยพลางทำหน้ามุ่ยค้อนลมค้อนแล้งก่อนจะตอบน้องชายว่าสามีของตนเองสบายดีแต่กำลังยุ่งอยู่กับการขยายกิจการจิวเวลรี่จนแทบไม่มีเวลาพาภรรยาไปดินเนอร์มานานร่วมเดือนแล้ว

กฤตตะวันหัวเราะอย่างขบขันเมื่อเห็นอาการของพี่สาวพลางปลอบอีกฝ่ายว่าไม่ควรงอนสามี เพราะพี่เขยของเขากำลังเมคมันนี่ไว้ให้ภรรยาช้อปปิ้ง ก่อนจะถามถึงบิดามารดาซึ่งเดินทางไปพักผ่อนและเยี่ยมเยียนเกศวรางค์ที่อเมริกาตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าทำไมท่านทั้งสองจึงไม่เดินทางกลับมาบ้านพร้อมกับเกศวรางค์ ซึ่งเกศวรางค์ก็ตอบว่าขณะนี้บิดามารดาของทั้งสองกำลังไปทัวร์ยุโรปกับบิดามารดาของไมเคิล

“เฮ้อ! พี่สาวก็ทิ้งไปแต่งงานกับหนุ่มต่างชาติเดือนสองเดือนถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักที แถมคุณพ่อคุณแม่ก็ยังหนีไปทัวร์ยุโรปกันอีก ทิ้งบริษัทให้ผมรับผิดชอบแก้ปัญหาอยู่คนเดียวน่าเบื่อจะแย่” กฤตตะวันแกล้งบ่นด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก คราวนี้เกศวรางค์จึงเป็นฝ่ายหัวเราะบ้างพลางมองดูใบหน้าหล่อเหลาของน้องชายแล้วแกล้งพูดแหย่อีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดี

“ถ้าเบื่อนักก็รีบหาว่าที่น้องสะใภ้ให้พี่ แล้วก็ว่าที่ลูกสะใภ้ให้คุณพ่อคุณแม่ซะทีสิ อายุนายก็จะสามสิบเอ็ดแล้วยังไม่เห็นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเค้าซะที พวกเพื่อนๆ นายเค้ามีแฟนแต่งงานกันจนจะหมดแล้วนะ หรือจะให้พี่ช่วยหาแฟนให้ดีล่ะ พี่มีสาวสวยหลายคนมานำเสนอนายนะ”

“ถ้าเป็นน้องสาวของเพื่อนๆ พี่เกศผมขอบายเลยนะครับ เพราะแต่ละคนน่ารำคาญที่สุด” กฤตตะวันปฏิเสธพี่สาวเสียงแข็งพลางทำหน้าตาสุดแสนเซ็งเมื่อนึกถึงบรรดาน้องสาวเพื่อนพ้องของเกศวรางค์แต่ละคนที่เขาเคยพบเจอมา เพราะพวกคุณเธอทั้งหลายเอาแต่แต่งตัวเฉิดฉายไปเดินช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็ไปงานปาร์ตี้แล้วก็จับกลุ่มพูดคุยเจื้อยแจ้วน่ารำคาญแทบทุกคน

“นายนี่พิลึกคนจริงบ่นรำคาญผู้หญิงนี่นะ” เกศวรางค์บ่นแล้วก็ชะงักเล็กน้อยเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบถามกฤตตะวันด้วยสีหน้าระแวงว่า “เอ๊ะ! หรือว่านายไม่ชอบผู้หญิง นายชอบผู้ชายใช่มั้ยกฤต”

“โห! ปรักปรำผมด้วยข้อหาเบี่ยงเบนทางเพศเลยเหรอพี่เกศ ผมชอบผู้หญิงครับหยุดคิดอะไรแบบนั้นเลยนะพี่สาว” กฤตตะวันบ่นพลางส่ายหน้าทั้งฉุนทั้งขำในความคิดของพี่สาวซึ่งสนิทสนมกันมาก และเป็นคนเดียวที่กล้าพูดจากระเซ้าเย้าแหย่อีกทั้งสามารถทำให้เขายิ้มหรือหัวเราะเสียงดังได้เสมอเวลาที่พูดคุยกัน

“โอเค นายชอบผู้หญิง แล้วยังไงล่ะ นายยังไม่เจอคนที่ชอบ คนที่ใช่ คนที่ถูกใจ หรือว่ายังหาเนื้อคู่ไม่เจอจ๊ะพ่อน้องชาย”

“ไม่รู้สิครับ เนื้อคู่ของผมอาจจะยังไม่มาเกิดก็ได้มั้ง” กฤตตะวันพูดพลางยกไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก

“ไม่จริงหรอก พี่เชื่อว่าเราทุกคนเกิดขึ้นมาพร้อมกับเนื้อคู่ของเราอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะได้เจอกันช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แล้วพี่ก็เชื่อด้วยว่าน้องชายสุดหล่อของพี่ไม่มีทางไร้คู่อย่างแน่นอน ลองมองดูรอบตัวสิไม่แน่ว่านายอาจจะได้เจอกับเนื้อคู่ของนายแล้วก็ได้นะ เดี๋ยวว่างๆ พี่จะช่วยหาคู่ให้นายก็แล้วกันเพราะกลับมาบ้านเที่ยวนี้พี่ตั้งใจจะอยู่ยาวสักเดือนสองเดือน” เกศวรางค์เว้นช่วงนิดหนึ่งพลางยกมือขึ้นปิดปากหาวด้วยท่าทางง่วงจัดก่อนจะพูดว่า “ง่วงชะมัดเลย สงสัยยังปรับตัวกับเวลาเมืองไทยไม่ได้พี่ขอตัวไปนอนก่อนล่ะ ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะ จุ๊บ!!!”

พูดจบเกศวรางค์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวลงจูบแก้มกฤตตะวันรวดเร็ว ทำเอาชายหนุ่มถึงกับร้องโวยวายเสียงดังลั่นอย่างตกใจ ใบหน้าหล่อเหลาขาวใสแดงก่ำเพราะความเขินที่อยู่ดีๆ ก็ถูกพี่สาวจูบแก้มดื้อๆ

“พี่เกศ!!! อย่าเอาธรรมเนียมฝรั่งมาใช้กับผมสิครับ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“ถึงยังไงนายก็เป็นน้องชายของพี่อยู่ดี แล้วที่สำคัญก็คือพี่ต้องรีบหอมแก้มนายก่อนเพราะอีกหน่อยถ้านายเจอเนื้อคู่ของนาย นายก็คงจะไม่ยอมให้พี่หอมแก้มนายแล้วล่ะ” ว่าแล้วเกศวรางค์ก็เดินหัวเราะออกไปจากห้องนั่งเล่นทันที
“เนื้อคู่นี่นะ...” กฤตตะวันพึมพำตามพี่สาวพลางส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างขบขันในความคิดของอีกฝ่าย



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มิ.ย. 2557, 21:24:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 มิ.ย. 2557, 21:24:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1216





<< บทนำ   ตอนที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account