พรางรักวิวาห์ร้าย
การแต่งงานที่ถูกกำหนดขึ้นด้วยเงื่อนไข เป้นวิวาห์ร้ายๆที่หลายคนไม่พึงปรารถนา
ทว่า หากความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นหลังวิวาห์จะก่อตัวเป็นความรักภายหลังก็อาจเป็นไปได้
แต่ทั้งเขาและเธอคงได้แต่อำพรางมันเอาไว้ในใจ เพราะเงื้อนไขที่ตั้งเอาไว้ในวันแรกเริ่มอก่อนการวิวาห์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่29

29

ในห้องทำงานผู้บริหารที่มีบรรยากาศห้องเป็นส่วนตัว หรู ดูดี สมฐานะ เย็นฉ่ำด้วยการทำงานของเครื่องปรับอากาศเสริมอารมณ์ของเจ้าของห้องให้ดูมีความสุขเพิ่มจากข่าวดีที่เขากำลังได้รับจากคนสนิทที่เข้าเดินทางเข้ามารายงานด้วยตัวเอง

“ว่าไง...ดำเนินการตามแผนแล้วใช่ไหม หึหึหึ” น้ำเสียงบ่งบอกว่าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“ครับท่าน...ตอนนี้นายตรัยภูมิคงกำลังหัวปั่น ทั้งเรื่องคณะกรรมการจะตัดสิทธิ์การเข้าชิงตำแหน่งนายกสมาคมฯ ทั้งการฟ้องร้องของลูกค้า งานนี้บริษัทภูมิพิทักษ์คงโงหัวไม่ขึ้นอีกนาน”

“คุณทำยังไงทางคณะกรรมการถึงได้คิดจะตัดสิทธิ์การสมัครเข้าชิงตำแหน่ง”

“ผมก็แค่ทำให้มันเป็นข่าวใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยครับท่าน”

“ดี...ทำได้ดีมาก ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เราจะผงาดขึ้นเป็นหนึ่ง” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งด้วยความสะใจ “ว่าแต่คุณเดินทางมาพบผมแบบนี้ เจ้าเจตน์มันไม่สงสัยเหรอ”

“ตอนนี้คุณเจตน์คงไม่สนใจใครหรอกครับ” กษิศเอ่ย ทั้งมองสีหน้าคนฟังที่ฉายความสงสัยมาให้เห็นจนเขาต้องขยายความ “คุณเจตน์กำลังมีความสุขที่ได้เจอเพื่อนเก่า”

“เพื่อนเก่าเหรอ...ฉันเพิ่งรู้ว่าเจ้าเจตน์มีเพื่อนเก่าอาศัยอยู่ที่นั่น” คิ้วหนาขมวดม้วนเข้าหากัน

“จะว่าเพื่อนเก่าก็ไม่เชิง ผมว่าน่าจะเป็นแฟนเก่ามากกว่า...”

“ใครกัน...”

“คุณปัญลดาครับ เธอเป็นภรรยาของนายตรัยภูมิ เห็นประกาศว่าอย่างนั้น”

“ปัญลดา...ชื่อคุ้นๆนะ แต่จะใครก็ช่างเถอะ คุณต้องกันเขาสองคนให้ห่างกันเข้าไว้”จารึกเอ่ย ใบหน้าคลายความสุขเหลือไว้เพียงความเคร่งขรึม

“ขออภัยที่ถามนะครับท่าน แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องขัดขวาง มันน่าจะเป็นเรื่องดีนะครับ เพราะอย่างน้อยนี่ก็เป็นการสร้างความปั่นป่วนให้นายตรัยภูมิได้อีกทาง”

“ผมได้ข่าวว่านายเกษมมีลูกสาวคนหนึ่ง ทั้งสวย ทั้งการศึกษาดี จบจากนอกหมาดๆ”

“ครับ...” กษิศมองเจ้านายใหญ่ นึกเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย

“ผมต้องการเกี่ยวดองเป็นญาติกับตระกูลพงษ์พันธ์มากกว่า นั่นจะทำให้ฝ่ายเราแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น...ยังไงฝากคุณจัดการในตำแหน่งพ่อสื่ออีกตำแหน่ง ถ้าสำเร็จผมจะตบรางวัลให้อย่างงาม”

แววตาของผู้รับคำสั่งไหววูบ แต่เป็นเพียงชั่วระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ...บางที การที่เราจะได้มาซึ่งที่หนึ่งสิ่งใดและยอมสูญเสียบางสิ่งไป คงต้องชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบ คนโง่เท่านั้นที่เก็บส่วนที่มีค่าน้อยกว่า หรือดึงดันรักษาไว้ทั้งสองสิ่ง

“ครับท่าน”

“เอาล่ะ...คุณกลับไปได้แล้ว ผมไม่อยากให้ไอ้เจ้าลูกชายมันผิดสังเกต” จารึกสั่งด้วยน้ำเสียงแม้ฟังดูเรียบเรียบแต่ก็แฝงด้วยอำนาจเจือปนอยู่ในนั้น

กษิศลุกจากก้าวอี้ เขาโค้งคำนับโดยไม่เอ่ยคำล่ำลาใดๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านประตูออกไปอย่างเงียบๆ ตามคำสั่ง ที่เขาต้องปฏิบัติตาม

พ้นร่างลูกน้องฝีมือฉกาจ จารึกก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้ในมือ เขามองมันอยู่ชั่วครู่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะกดหาหมายเลขที่ต้องการติดต่อ...

“เจตน์...นี่พ่อเองนะ...เป็นไงบ้าง แกเริ่มปรับตัวได้บ้างหรือยัง” เสียงแหบห้าวที่มักจะเอ่ยกับบุคคลอื่นอย่างมีอำนาจ ทว่าเมื่อต้องสนทนากับบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน น้ำเสียงนั้น แม้ไม่อ่อนหวาน แต่ก็ยังแฝงความอ่อนโยนเอาไว้ในที

“ที่โทรมาก็ไม่มีอะไรมากหรอก พ่อก็แค่เป็นห่วง กลัวแกจะยังไม่คุ้นชินกับความเป็นอยู่ของเมืองไทย ก็แกจากที่นี่ไปตั้งนาน” ความห่วงใยปนอยู่ในน้ำเสียงนั้นอย่างชัดเจน

“ก็ดี...แต่ไหนๆ แกก็รับปากจะช่วยพ่อแล้ว พ่ออยากจะให้แกช่วยให้ถึงที่สุด...พ่ออยากให้แกผูกสัมพันธ์กับบ้านพงษ์พันธ์เอาไว้ให้เหนียวแน่น เพื่อธุรกิจของเราจะมีความมั่นคงยิ่งขึ้น”

“...”

“พ่อได้ข่าวว่านายเกษมมีลูกสาวสวยมากคนนึง ถ้าเป็นไปได้พ่ออยากให้แก...”

“นี่พ่อคิดจะทำอะไร จะจับคลุมถุงชนกับผมเหรอ” เจตน์ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นถาม เมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมา แม้ไม่อธิบายรายละเอียดแต่เขาก็ไม่ได้โง่มากมายจนไม่รู้ถึงเจตนาของบิดา ว่าต้องการให้ทำอะไร

“ผมช่วยพ่อเรื่องธุรกิจก็ถือว่าผมให้ความร่วมมือมากพอแล้วนะครับ ได้โปรดอย่าเข้ามายุ่งกับชีวิตส่วนตัวของผม ขออิสระให้กันบ้าง ก็อย่างที่เคยบอก ผมไม่ชอบถูกจับคลุมถุงชน หากจะรักจะเลือกใครมาเป็นคู่ชีวิต ผมจะเลือกของผมเอง” เจตน์กรอกเสียงลงไปด้วยอารมณ์ที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน โดยไม่สนว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง

“แค่นี้นะครับพ่อ...ผมเหนื่อย อยากพักผ่อน” เจตน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงก่อนจะปิดสัญญาณโทรศัพท์แล้วโยนมันไปไว้บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียงผ้าใบที่เขากำลังนอนรับลมเย็นอยู่อย่างสงบ

ชายหนุ่มเอนกายลงบนผืนผ้าใบพลางถอนหายใจเฮือกเมื่อนึกถึงคำขอของบิดาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา...ลูกสาวนายเกษม พงษ์พันธ์จะใช่ผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่านะ...หากใช่ก็ถือว่าสวรรค์เล่นตลกกับเขาอย่างเหลือเชื่อ แล้วถ้าเกิดใช่ เขาจะทำอย่างไรต่อไป จะเลือกใครดี

เจตน์คิดถึงสีหน้าแสดงความเสียอกเสียใจของปัญลดาหลังได้รับข่าวบางอย่างจากโทรศัพท์แล้วก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง ณ เวลานี้น้องน้อยของเขากำลังมีทุกข์ ถึงเธอจะไม่เอื้อนเอ่ยบอกกล่าวสิ่งใด บอกเพียงให้เขาพาไปส่งบ้าน ทว่าสีหน้าแบบนี้ใครๆก็ดูออก เพียงแต่เดาไม่ถูกเท่านั้นว่ามันเป็นเรื่องอะไร แต่ที่แน่ๆ มันคงไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน

กริ๊งงงง....

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งตัดความคิดให้หยุดชะงักลงชั่วขณะ ชายหนุ่มมองมันนิ่งก่อนจะคว้ามารับสายก่อนที่เสียงเรียกเข้าจะสิ้นสุด

“ว่าไงคุณกษิศ” คำถามกึ่งทักทายถูกกล่าวออกไปอย่างสั้นๆ

“ผมโทรมาเรียนคุณเจตน์ครับว่า ทางบ้านพงษ์พันธ์เชิญร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำวันนี้ครับ”

เจตน์รู้สึกโมโหขึ้นมาตงิดๆ กับสิ่งที่ลูกน้องคนโปรดของบิดาโทรมาแจ้งให้ทราบ มันช่างประจวบเหมาะกับเรื่องที่ทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นใจนัก แต่เขาก็พยายามช่มอารมณ์ที่กำลังเดือด...ไหนๆก็อยากจะรู้เรื่องราวบางอย่างอยู่แล้ว การเข้าถ้ำเสือซะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อย่างน้อยก็มีโอกาสได้ฉกลูกเสือมาไว้ดูเล่นสักตัวล่ะ

“โอเคครับ...แจ้งฝ่ายนั้นได้เลยว่าผมจะไป”


ณ คอนโดมิเนี่ยมหรูใจกลางกรุงอันเป็นสถานที่ที่ตรัยภูมิใช้เป็นที่ตั้งสำหรับการวางแผนแก้ไขสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญ โดยมี สมคิดและทนายสมชาติ นั่งร่วมระดมความคิดกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เราจะเอายังไงดีครับนาย ข้าศึกบุกตีตั้งหลายด้านอย่างนี้” สมคิดเอ่ยถาม สีหน้าของเขายังคงความกังวลไม่เปลี่ยน

“ว่าไงล่ะคุณสมชาติ เรื่องนี้เราควรกู้สถานการณ์กันยังไง” ตรัยภูมิหันไปถามความคิดเห็นกับนิติกรประจำบริษัท ผู้คร่ำหวอดในวงการคดีความมาอย่างโชกโชน

“อันดับแรกเราควรสกัดกั้นสิ่งที่จะทำให้บริษัทเสียหายซะก่อนครับ คดีฉ่อโกงเป็นคดีที่ลดความเชื่อถือของลูกค้าอย่างมาก หากข่าวยังคงแพร่ออกไป เราคงเสียลูกค้าเพิ่ม เราต้องทำควบคู่กับการเจรจากับลูกค้าผู้เสียหาย ชี้แจงให้เขาเข้าใจว่า นี่คือการกลั่นแกล้งทางธุรกิจ” ทนายสมชาติเสนอแนวทาง

“แล้วจากนั้นล่ะ” สมคิดถามขึ้นบ้าง

“จากนั้น ผมก็จะพยายามหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ งานนี้คงต้องอาศัยทางตำรวจเข้าช่วย โชคดีหน่อยที่ผมพอจะมีเพื่อนนายตำรวจระดับสูงอยู่บ้าง...ไม่ใช่เล่นเส้นสายนะครับ แต่เราจะขอความร่วมมือให้เขาตามคดีให้รัดกุมและรวดเร็วที่สุด”

“อย่าลืมนะว่าเรามีเวลาเพียงเจ็ดวัน หากหาหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ไม่ได้ ฉันคงชวดที่จะได้ตำแหน่งนายกสมาคม ความฝันที่จะพัฒนาระบบส่งออกเครื่องปั้นดินเผาก็คงจะจบเห่ตาม” แม้สีหน้าจะดูเรียบเฉย ทว่าภายในใจของเขายังร้อนระอุด้วยปัญหาที่เกิดขึ้น

“ครับ เราจะพยายามอย่างเต็มที่ ขอแค่เจ้านายสั่งการมา”

“งั้น...คุณสมชาติ คุณสั่งคนไปจัดการระงับข่าวซะ ประกาศออกไปว่าเราจะฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่ทำข่าวเรื่องนี้ อ้อ...อย่าลืมนัดหมายกับทางลูกค้าผู้เสียหายด้วยว่าเราขอเข้าชี้แจงวันพรุ่งนี้ เวลาไหนก็ได้ตามแต่ทางนั้นจะสะดวก”

“แล้วผมละครับเจ้านาย” สมคิดถามขึ้น

“ส่วนนาย...ตามเรื่องกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ในร้านที่เกิดเหตุนะ เอาเทปบันทึกภาพทุกวันตั้งแต่เกิดเรื่องของหาในโกดังจนกระทั่งมันมาโผล่ในร้านสาขา ตรวจให้ละเอียด เพราะนั่นจะเป็นหลักฐานอย่างดีชี้ให้สังคมเข้าใจว่าเราบริสุทธิ์ อย่าลืมว่าเรามีเวลาแค่เจ็ดวัน” สั่งการทนายความแล้วสุดท้ายตรัยภูมิก็หันมาสั่งลูกน้องคนสนิท

“ครับผม” ทั้งสองขานรับคำสั่งพร้อมกัน ก่อนจะลุกขึ้นแยกย้ายกันออกไปปฎิบัติตามคำสั่ง

คล้อยหลังลูกน้อง ตรัยภูมิก็คว้าวิสกี้ในแก้วใสขึ้นจิบไปหน่อยเพื่อความเผื่อนของมันจะช่วยระงับอารมณ์ที่พลุกพล่าน ทั้งเดินออกรับลมเย็นที่ระเบียง มองการจราจรที่พลุกพล่านอยู่เบื้องล่าง ตรัยภูมิไม่คิดจะเหล้าเป็นทางออกของปัญหา เขาเพียงใช้มันกระตุ้นการตื่นตัวในระบบความคิดเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ไม่ได้มีประสิทธิ์ภาพพอที่จะช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

“ทั้งงานทั้งคน ปวดประสาทดีพิลึก” ชายหนุ่มหัวเราะให้กับความโรคร้ายของตัวเอง

เสียงโทรศัพท์ดังแว่วอยู่ภายในให้ชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้าไปหา วางแก้ววิสกี้เปลี่ยนมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดู ทว่า เบอร์ที่โชว์นั้นมันทำให้เขาอยากตัดสัญญาณซะมากกว่าที่จะตอบรับ แต่นั่นไม่ใช่วิสัยของเขา ผู้ก้าวสู้ทุกปัญหาอย่างสง่าผ่าเผย
“สวัสดีค่ะ” ปัญลดาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“โทรมาน่ะมีอะไร...หรือกลัวว่าผมจะคิดดอกเบี้ยเพิ่ม เอาล่ะไหนๆ ก็โทรมาแล้ว ให้เข้าใจกันตรงนี้ไปเลยว่า คุณกับผม เราหมดพันธะสัญญาต่อกันแล้ว คุณเป็นอิสระ ถ้าหากอยากจะกลับบ้านก็บอกคนขับรถที่บ้านขับไปส่งได้ เดี๋ยวฉันจะโทรบอกทางนั้นให้...แค่นี้นะผมกำลังยุ่ง” ตรัยภูมิเอ่ยซะยืดยาว ชนิดที่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายมีโอกาสตั้งตัว

“ดะ...เดี๋ยวสิ” ไม่ทันแล้ว เพราะอีกฝ่ายตัดสัญญาณทิ้งไปแล้ว

ไม่เป็นไร...ตัดทิ้งก็ต่อใหม่ ปัญลดาบอกตัวเอง ก่อนจะกดหมายเลขซ้ำอีกครั้ง ยังไงเธอก็จะพูดกับเขาให้รู้เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบริษัท เรื่องรุจิราท้อง หรือแม้แต่เรื่องอิสรภาพที่เธอเพิ่งจะได้ยินเมื่อครู่

“นี่คุณตรัย...อย่านะ อย่าวางสายใส่ฉันอีก ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” ปัญลดาพูดดักก่อนเอาไว้ก่อน

“มีอะไรก็ว่ามา” ตรัยภูมิเปิดโอกาส เขาขยับมานั่งเอนหลังบนโซฟาตัวนุ่มในส่วนของห้องนั่งเล่น

“ฉันอยากรู้เรื่องข่าวบริษัทของคุณ ที่ฉันเห็นเมื่อเช้า”

“ไม่เกี่ยวข้องกับคุณแล้วไม่ต้องใส่ใจ” ตรัยภูมิเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฮะ!... หมายความว่าไงที่บอกว่าไม่เกี่ยว”

“ก็อย่างที่บอก เธอเป็นอิสระ ไม่ต้องชดใช้อะไรแล้ว ก็ถือว่าเธอเป็นคนนอก ฉันคงไม่จำเป็นที่จะให้คนนอกมารับรู้ถึงปัญหาที่มี”

“คุณโกรธฉันเรื่องเมื่อเช้านี้เหรอ ถึงได้พูดแบบนี้”

“โกรธ...แต่เรื่องแค่นั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือสลักสำคัญอะไร...ยังไงก็ขอให้มีความสุขกับคนรักของเธอก็แล้วกัน” ตรัยภูมิเอ่ยเหมือนไม่แคร์ ทว่าหัวใจของเขามันกับรู้สึกเจ็บจี๊ดจนแบบจะทนไม่ไหว

“ฉันไม่เข้าใจ”

“อีกไม่นานเธอก็จะเข้าใจ...แค่นี้นะ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องโทรมาอีก” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะตัดสัญญาณทิ้งอีกรอบ ทว่าคราวนี้เขาดับเครื่องตัดขาดการติดต่อทุกอย่าง

ควรตัดใจตั้งแต่เดี๋ยวนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ตรัยภูมิบอกตัวเอง แต่...ในเมื่อเขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแล้วทำไมเขาจะต้องตัดใจ...ใช่แล้ว...การตัดใจที่ว่า เขาพูดเผื่อปัญลดาต่างหาก หากความใกล้ชิดจะแปรเปลี่ยนมาเป็นความรัก ถอยห่างซะเดี๋ยวนี้ เธอก็จะไม่ต้องได้รับความเจ็บปวด

ตรัยภูมิยกมือขึ้นกุมหน้าอก ทั้งลูบเบาๆ คล้ายจะนวดให้ความรู้สึกเจ็บปวดเบาบางลง ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญไปกว่าลูกหนี้ หรือเมียกำมะลอ แต่ทำไมเธอถึงได้มีอิทธิพลให้เขารู้สึกเจ็บปปวดรวดร้าวหัวใจได้มากมาย เพียงแค่คิดว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป เขาและเธอ จะเป็นเพียงแค่คนที่เคยรู้จักกันเท่านั้น


ตรัยภูมิไม่รู้สักนิดว่า คนที่เกิดอาการเจ็บแปล็บไปทั้งหัวใจใช่มีเพียงเขา แม้แต่ปัญลดาก็เจ็บไม่แม้กัน ดูเหมือนจะมากกว่าซะด้วยซ้ำ ถึงเขาจะบอกว่าเธอได้รับอิสระแล้ว ไม่ต้องชดใช้หนี้ แต่เธอกลับไม่มีความรู้สึกดีใจ กระโดดโลดเต้นอย่างที่ควรจะเป็น นั่นก็คงเพราะเธอยังไม่ได้รับความกระจ่าง

เรื่องบริษัทยังไม่เท่าไหร่ เธอยอมรับว่าถึงรู้เรื่องราวโดยละเอียดก็ใช่ว่าจะช่วยเขาได้ เพราะเธอไม่ได้มีความถนัดในเรื่องการทำธุรกิจ แต่สิ่งที่ค้างคาใจอยู่ตอนนี้มากที่สุดเห็นจะเป็นสิ่งที่รุจิราบอกให้เธอออกไปจากชีวิตของตรัยภูมิ เพราะตรัยภูมิจะเป็นพ่อของลูกในท้องเธอ มันหมายความว่าอย่างไรกัน

“ต้องถามสมคิด...สมคิดต้องรู้เรื่องนี้”

ปัญลดาตัดสินใจโทรหาลูกน้องคนสนิทของตรัยภูมิ ด้วยเชื่อว่าสิ่งที่สงสัยต้องได้รับการชี้แจงจนกระจ่าง ทว่ายังไม่ทันค้นหาหมายเลขติดต่อเจอ ประตูห้องก็ถูกเคาะซะก่อน

“คุณปันคะ...มีแขกมารอพบค่ะ” เด็กรับใช้เปิดประตูเข้ามารายงาน หลังจากได้ยินหญิงสาวเจ้าของห้องเอ่ยอนุญาต

“ใครเหรอ...”

“ไม่ทราบค่ะ แขกของคุณปันรออยู่ที่ห้องรับแขกกับคุณท่าน” เด็กรับใช้บอก ก่อนจะถอยหลังออกจากประตูไปก่อนที่จะถูกซักไซ้เพิ่มเติม

“ใครกันนะ” ปัญลดาเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพราะไม่นานก็คงจะรู้เองว่า ใครกันที่มาขอพบเธอ

เบื้องหลังของชายรูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อสีฟ้าจางๆ ที่นั่งหันหลังให้นั้นช่างดูคุ้นตานัก แต่เมื่อปัณลดาเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ภายในห้องรับแขก เธอก็หมดโอกาสที่จะเดาว่าชายคนที่ต้องการพบนั้นคือใคร เมื่อบุคคลอีกหนึ่งที่อยู่ภายในห้องนั้นเอ่ยทักทายขึ้นมาก่อน

“มาแล้วเหรอหนูปัน ดูซิใครมาหาหนูที่นี่” มนตรีเอ่ยด้วยรอยยิ้มเกลื่อนเต็มหน้า

ปัญลดาค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ ชายคนนั้นยังไม่หันหน้ามามอง จนกระทั่งเธอนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกเรียบร้อย โดยสายตายังจับอยู่ที่ส่วนบนสุดของแขกผู้มาเยือน กระทั่งเขาหันมาสบตากับเธอ

“ยัยปัน...นี่พ่อเองนะลูก จำพ่อไม่ได้เหรอ” เสียงทุ้มๆเอ่ยถาม ทั้งส่งยิ้มให้ด้วยประกายตาวาววับด้วยความยินดีที่ได้เจอ

“คะ...คุณพ่อ...คุณพ่อจริงๆด้วย”

ความดีใจทำให้ร่างบางทรุดตัวคลุกเข่าลงกับพื้น เร่งคลานเข้ามากราบลงบนตัก ก่อนจะสวมกอดเอวหนานั้นน้ำตาคลอด้วยความยินดีไม่แพ้กัน “คุณพ่อจริงๆด้วย ปันไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ”

“พ่อจริงๆลูก พ่อกลับมาแล้ว มาชดใช้หนี้สิน และไถ่ถอนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเรากลับคืน” ไกรสรเอ่ย

คำพูดของบิดาทำเอาปัญลดาถึงกับพูดอะไรไม่ออก นี่กระมังอิสรภาพที่ตรัยภูมิพูดถึง เพราะพ่อของเธอกลับมาพร้อมความต้องการรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่าง สัญญาที่ผูกพันต่อกันจริงมีอันจบลง

“ใจฉันไม่อยากให้นายมาชดใช้หนี้สินอะไรพวกนี้หรอกนะ...ถ้าหากต้องเสียปัญลดาไป” มนตรีเอ่ย

“อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ หนี้ก็ส่วนหนี้ ถึงผมจะทำสัญญาที่ดูเหมือนคนเห็นแก่ตัวอยู่สักหน่อย แต่ที่ทำลงไปก็เพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาว่าหนีหนีเท่านั้น ตอนนั้นผมอาจเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอก แต่เดี๋ยวนี้ผมพร้อมที่จะชดใช้ทุกอย่างแล้ว”

“เรามีเงินใช้หนี้แล้วเหรอคะ” ปัญลดาเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง ขณะลุกขึ้นนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิม

“แน่นอนลูก...สวรรค์ไม่ได้ใจร้ายกับเราเสมอไปหรอก”

“ระยะเวลาแค่ยังไม่ถึงปีเลยนะคะ พ่อไปหาเงินมาจากไหนตั้งมากมาย...คงไม่ใช่...” ยิ่งถามก็ยิ่งสงสัย

“พ่อไม่ได้ไปทำเรื่องผิดกฎหมายหรอกน่า”

“แล้ว?”

“เรื่องมันยาว ไว้ว่างๆพ่อจะเล่าให้ฟัง เอาเป็นว่าวันนี้พ่อมารับลูกแล้วก็มาใช้หนี้ให้ครบ” ไกรสรเอ่ยกับบุตรสาวก่อนจะเหลือบตามอง อดีตนายจ้างที่เคยเป็นสหายักกันมาก่อน

“ก็ดี...ใช้หนี้กันให้หมดสิ้นไปซะ แล้วก็พาลูกสาวของแกไปให้พ้นบ้านฉันซะที ออกไปจากชีวิตลูกชายฉันซะวันนี้เลยยิ่งดีใหญ่” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตู

“คุณแพรวพรรณ!” มนตรีเอ็ดเสียงห้วน ทั้งมองภรรยาที่เดินเข้ามานั่งข้างๆเขาด้วยความระอา

“ก็มันจริงนี่คะ...ผู้หญิงดีๆที่ไหนจะตามผู้ชายมาอยู่ในบ้าน มาอ้างตัวว่าเป็นเมีย แบบนี้ยังไงดิฉันก็ไม่ปลื้ม”

“หมายความว่ายังไงครับ อ้างตัวว่าเป็นเมีย...ก็ในสัญญาผมระบุเอาไว้ว่าห้าม...” ไกรสรถามขึ้นด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

“สัญญาอะไร...ไม่เห็นจะรู้เรื่อง” แพรวพรรณเอ่ย

“ก็สัญญา...”

“คุณพ่อคะ...เรื่องนี้เดี๋ยวปันจะเล่าให้ฟังทีหลังเองค่ะ” ปัญลดารีบขัดขึ้นก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะวุ่นวายมากไปกว่านี้

“ก็ดี มีอะไรก็ค่อยไปคุยกันเอง เอาเป็นว่ารีบใช้หนี้มาซะให้เรียบร้อย แล้วฉันจะนัดวันให้ลูกสาวของแกมาเซ็นใบหย่ากับลูกชายของฉัน”

“แปดล้านใช่ไหม จะรับเป็นเช็คหรือเงินสดดีล่ะคุณนาย”

“ฉันขอเป็นเงินสดก็แล้วกัน กลัวเช็คเด้ง” แพรวพรรณเอ่ยทั้งเชิดหน้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาดูถูก

“เอาล่ะๆ ผมว่าเรื่องหนี้สินอย่าเพิ่งมาพูดกันวันนี้เลยครับ จะว่ากันไปตามจริงแล้ว ฉันกับเมียก็ไม่ใช่เจ้าหนี้ของนาย คนที่เป็นเจ้าหนี้คือนายตรัยต่างหาก ถ้ายังไงไว้เขากลับมาค่อยนัดเจรจากันอีกที” มนตรีตัดบท

“เอ๊ะคุณ!” ใบหน้าที่ได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม บูดบึ้งขึ้นทันตามเห็น

“แต่...”

“เอาน่า...ยังไงสัญญาต่างๆที่นายทำไว้ก็อยู่กับเจ้าตรัย ถึงนายจะวางเงินไว้ตรงนี้เดี๋ยวนี้ยังไงเรื่องมันก็ยังไม่จบอยู่ดี” มนตรีชี้แจง

“อืม...มันก็จริง...อย่างนั้นก็ได้...นี่นามบัตรของฉัน ลูกชายของคุณพร้อมเมื่อไหร่นัดวันมาได้เลย ผมพร้อมจ่ายทั้งต้นและดอกให้ครบ...ส่วนวันนี้ก็ถือโอกาสพาลูกสาวกลับไปพร้อมกันเลย หวังว่าคงไม่ขัดข้อง”

“รีบๆพาไปเลย เราไม่คิดเสียดายสักนิด” แพรวพรรณเอ่ยปากกึ่งไล่

ไกรสรเหลือบตามองผู้หญิงที่ไม่ว่าจะเนิ่นนานแค่ไหน นิสัยปากคอเลาะร้ายของนางก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปแม้สักนิดเดียว...คร้านจะต่อปากต่อคำ เขาจึงหันไปทางบุตรสาวที่กำลังนั่งเงียบ ทว่าใบหน้ากลับซีดเผือด

“ไปเถอะลูกไปเก็บของ ของของเราเอามาให้หมดอย่าให้เหลือ คนบ้านนี้บางคนยิ่งเป็นคนตาต่ำ ใจบอดอยู่ด้วย เดี๋ยวจะหาว่าเราทิ้งเสนียดเอาไว้ให้ดูต่างหน้า ทั้งๆที่ในบ้านมีแต่ตัวเสนียดยั๊วเยี๊ยเต็มไปหมด”

“นายไกรสร!” ใบหน้าแดงก่ำแทบแปรเปลี่ยนเป็นเขียว

“รีบไปเถอะหนู...ก่อนที่ห้องนี้จะลุกเป็นไฟ...ไว้เรื่องเจ้าตรัยลุงจะโทรบอกมันเอง” มนตรีเอ่ย

ปัญลดาลุกขึ้นมองคนโน้นทีคนนั้นทีด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะเดินเลี่ยงขึ้นไปเก็บของตามคำสั่งของบิดา ด้วยความไม่เข้าใจทั้งคนรอบข้าง หรือแม้แต่ใจของตนเอง





ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มิ.ย. 2557, 17:01:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มิ.ย. 2557, 12:27:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 2455





<< ตอนที่ 5   ตอนพิเศษ >>
Zephyr 15 มิ.ย. 2557, 19:28:18 น.
แม่ตรัยนี่ น่าเกลียด
รอเถอะ ได้ลูกสะใภ้เหลวแหลก ท้องกะใครสักคน คงสำนึก


แว่นใส 15 มิ.ย. 2557, 19:36:05 น.
เรื่องเยอะเนอะ


กาซะลองพลัดถิ่น 15 มิ.ย. 2557, 20:45:37 น.
แพรวพรรณต้องเจอลูกสะใภ้ที่สมน้ำสมเนื้อ แบบว่าเหยียบหัวแม่สามีเลยนั้นแหละดี
ถือว่ารวยแล้วจะดูถูกใครก็ได้ มีเงินแต่ไม่มีสมองก็หมดความเป็นคนแล้วละ ....(อินจัด )
ตรัยนายต้องรู้ใจนายให้เร็ว ๆ นะ เดี๋ยวจะสายเกินไปซะก่อน ม ค ป ด ก็อดกัน


nasa 16 มิ.ย. 2557, 22:40:41 น.
คุณแม่ขา อยากได้ลุกสะใภ้มีตำหนิ แถมทำตัวแย่ๆ เหรอ รักกันจั๊ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account