ฝากรักไว้ที่ปลายรุ้ง โดย สลิลา (พิมพ์คำสำนักพิมพ์)
เมื่อนักเลงหัวไม้ริอยากขี่รุ้งงาม ความมุ่งมั่นและพยายามเท่านั้นที่เขาต้องกอดเอาไว้


"นิยายที่จะทำให้คุณลบคำว่า เป็นไปไม่ได้ ออกจากพจนานุกรมชีวิต!"


Tags: ภูผา,นักสู้,ทอรุ้ง,สลิลา,นักเลงหัวไม้

ตอน: บทที่ 3

บทที่ ๓

ศักดิ์สิทธิ์หวดไม้เรียวกระทบก้นของภูผาเสียงดังขวับ ใบหน้าแดงด้วยความโกรธ ส่วนภูผากอดอกแน่น พยายามข่มความเจ็บ ไม่มีน้ำตาสักหยดจากใบหน้าเล็กๆ ที่มีรอยฟกช้ำดำเขียวนั้น

“เป็นเด็กเป็นเล็กริเป็นนักเลง!” ศักดิ์สิทธิ์คำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวสลับกับหวดไม้ต่อเนื่อง “ส่งไปเรียนแต่ไปมีเรื่องต่อยตี เลี้ยงเสียข้าวสุก!”

“สิทธิ์ พอเถอะ ลูกมันเจ็บแย่แล้ว” นางสายน้ำตาอาบแก้ม ร้องห้ามเสียงหลง ทำท่าจะผวาเข้าไปยื้อแขนลูกชายไว้ แต่เดือนกับเวหารีบจับตัวเอาไว้ตามคำสั่งของหัวหน้าครอบครัว

“เจ็บสิดี จะได้หลาบจำ! ไม่ริทำตัวนอกคอกให้พ่อแม่อับอายอีก” พูดจบก็หวดอีกขวับ “ไอ้ตัวซวย! ไอ้ลูกเฮงซวย เรียนก็โง่แล้วยังเป็นนักเลง แบบนี้โตไปเอ็งจะไปทำมาหากินอะไรวะ หรือเอ็งอยากเป็นแค่นักเลงคุมบ่อนคุมซ่อง หา! ข้าจะได้ไปลาออกจากโรงเรียนให้”

“บอกพ่อสิลูกว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว เอ็งจะเรียนต่อ” ย่ารีบร้องบอกเมื่อเห็นหลานชายเอาแต่กัดปากข่มเสียงร้องอยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไรออกมาเสียที แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม ภูผายังคงปิดปากแน่น

“อวดดี จองหอง” ศักดิ์สิทธิ์ฟาดอีกขวับแล้วโยนไม้เรียวทิ้ง “พรุ่งนี้ข้าจะไปลาออกให้เอ็ง ออกมาอยู่บ้านช่วยข้ากับแม่เอ็งทำงานก็แล้วกัน เรียนไปก็เสียเวลาเปล่า”

นางสายสะบัดตัวจากเดือนกับเวหา วิ่งไปกอดร่างเก้งกางของหลานชายเอาไว้ ใจจะขาดรอนๆ อยู่ตรงนั้น ขณะที่เดือนมองลูกชายคนเล็กด้วยความสงสาร แต่ไหนแต่ไรมา เธอด่าว่าหาเรื่อง แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือสักครั้ง

“แม่โอ๋อยู่แบบนี้ไง มันถึงได้เป็นนักเลงโต...ดูไว้นะเวหา อย่าริทำตัวนักเลงเหลือขอให้พ่อแม่ต้องอับอายขายขี้หน้าคนอื่นแบบนี้ รับปากพ่อสิ” ศักดิ์สิทธิ์หันไปบอกลูกชายสุดที่รัก

“ครับพ่อ ครับแม่” เวหารับคำมั่นเหมาะ มองน้องชายด้วยสีหน้ารำคาญ ทุกวันหลังกลับจากโรงเรียน พ่อมักให้เขาดูการ์ตูนเรื่องโปรดก่อนทำอย่างอื่นเสมอ แต่วันนี้พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาจึงอดดูไปโดยปริยาย

“อย่าให้ภูผาออกจากโรงเรียนเลยนะสิทธิ์” นางสายอ้อนวอนเสียงเจือสะอื้น “ภูผาไม่ได้ผิดคนเดียวนะ ฝ่ายนั้นก็ผิดที่หาเรื่องคนของเราก่อน”

“ไปกร่างใส่เขาน่ะสิ เขาถึงหาเรื่องให้แบบนั้นน่ะ” ศักดิ์สิทธิ์แย้ง “เออ คราวนี้ข้าไม่ให้เอ็งออกก็ได้ แต่ถ้ามีคราวหน้าอีกละก็ เตรียมตัวช่วยขายของได้เลย”

ยื่นคำขาดแล้วพาเวลหาไปดูโทรทัศน์ ส่วนเดือนออกจากบ้านเพื่อไปหาเลขเด็ดตามเคย



นางสายพาหลานเข้าห้องนอนเพื่อทายาให้ ภูผานอนคว่ำ เอียงหน้าซบท่อนแขน ดวงตาปราศจากน้ำตา ทว่าความน้อยใจและความเจ็บช้ำฉายชัด นานๆ จะสูดปากเพราะความแสบจากฤทธิ์ยาทาจากมือย่าสักครั้ง

“ต่อไปต้องอดทนให้มากกว่านี้นะภูผา อย่ามีเรื่องอีก ไม่ใช่แค่พ่อจะให้ออกจากโรงเรียนนะ แต่ย่าไม่อยากให้หลานต้องเจ็บตัว”

เด็กชายยังคงเงียบและครุ่นคิด ครู่ต่อมาจึงเอ่ยถามเสียงแห้ง “ผมไม่ใช่ลูกพ่อเหรอครับย่า”

“ภูผา อย่าถามย่าแบบนี้อีกนะ” นางสายปรามด้วยความตกใจ “พ่อเป็นพ่อของเอ็ง”

“แล้วทำไมพ่อไม่รักผมล่ะครับ”

“พ่อรักเอ็ง ภูผา ถ้าไม่รัก พ่อเขาคงให้แม่เอาเอ็งออกตั้งแต่รู้ว่าท้องแล้วละ ถ้าไม่รัก พ่อเขาคงไม่ให้เอ็งเรียนหนังสือและเมื่อกี้ก็คงให้เอ็งออกจากโรงเรียนแล้ว เขาก็แค่โกรธที่เอ็งไปมีเรื่องชกต่อยแค่นั้น”

ภูผาเงียบ นางสายไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเชื่อคำพูดนางหรือไม่ แต่จากวันนั้นภูผาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย



จากวันที่มีเรื่องกัน สมคิดก็ตั้งตัวเป็นอริต่อภูผาอย่างชัดเจน ยิ่งพอรู้ว่าบ้านอยู่คนละฝั่งคลองด้วยแล้ว ก็ตั้งป้อมหนาขึ้นไปอีก ภายหลังเขาเริ่มมีลูกน้องเดินตามก็เลยยิ่งวางโต หาเรื่องเด็กคนอื่นไปทั่ว แต่คนที่เขายกให้เป็นคู่อริตัวฉกาจก็คือภูผา เรียกได้ว่าเจอกันตรงไหนก็พร้อมจะมีเรื่องได้ตลอดเวลา

แต่ภูผาถือคำย่าที่ว่าให้อดทน แม้จะโดนอีกฝ่ายยั่วยุว่ากระจอกบ้าง แหยบ้าง ก็ทำหูทวนลมเสีย เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้เป็นปีๆ จนเพื่อนหลายคนเริ่มเซ็งที่ภูผาไม่ตอบโต้เสียบ้าง

“เราไม่อยากให้แม่เสียใจ พวกนายก็เหมือนกัน ถ้ามีเรื่องต่อยตีกัน พ่อแม่พวกนายก็ต้องเสียใจ”

“แล้วจะปล่อยให้มันทำเราอยู่แบบนี้เหรอวะ” เพื่อนคนหนึ่งว่าอย่างหงุดหงิด “หรือจริงๆ นายก็แหยเหมือนที่มันว่า อุตส่าห์เข้ากลุ่มด้วยตั้งนาน เซ็งว่ะ” พูดจบเพื่อนคนนั้นก็ส่ายหน้าแล้วเดินหนีไป

ตอนนี้พวกเขามาจับกลุ่มเล่นกันที่เชิงสะพานเชื่อมคลอง เพราะถนนบริเวณนี้ค่อนข้างกว้าง เล่นฟุตบอลก็ได้ พวกเด็กผู้หญิงเล่นกระโดดยาง เล่นขายของอยู่ใกล้ๆ ทำให้ชุมชนคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

เมื่อเพื่อนคนนั้นเดินไป ภูผาก็ชวนเพื่อนที่เหลือเตะบอลต่อ แต่ปรากฏว่าเพื่อนอีกสองคนกลับเดินตามเพื่อนคนนั้นไป เป็นการบ่งบอกว่าไม่อยากอยู่กลุ่มเดียวกับเขาแล้ว

“เล่นกันต่อเถอะพวกเรา” ภูผาเรียกเพื่อนที่เหลือ

หลังจากเล่นกันจนถึงบ่าย ทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ภูผากับธนากรอยู่ทางเดียวกัน แต่จากสะพานจะถึงบ้านของธนากรก่อน ภูผาจึงเดินต่อไปคนเดียว

ระหว่างทาง เสียงเพลงฮิตที่ชื่อ “บูมเมอแรง” ของนักร้องชื่อดังอย่าง ธงไชย แมคอินไตย ดังออกมาจากหลายบ้าน ภูผาจำเนื้อเพลงนี้ได้เพราะเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของแม่ จะว่าไป แม่ก็ชอบทุกเพลงของนักร้องคนนี้อยู่แล้ว เปิดเทปฟังจนจะยืดไปทั้งม้วน เขาชอบเพลงของวงดนตรีร็อกอย่างไมโครมากกว่า ทุกจังหวะดนตรีที่เน้นหนัก เหมือนเข้าถึงจิตใจเขาได้เป็นอย่างดี

ภูผาชะงักเมื่อหันไปเห็นสมคิดวิ่งหน้าตั้ง ตาเหลือกออกมาจากตรอกเล็กๆ ตรงมายังจุดที่เขายืนอยู่ โดยมีเด็กหนุ่มวัยรุ่นสามคนวิ่งไล่ตาม ในมือมีไม้หน้าสามกันทุกคน

“อย่าหนีนะเว้ย ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!” หนึ่งในสามตะโกนสั่ง

ชาวบ้านแถบนั้นหันมามองอย่างสนใจ และเมื่อเห็นว่ามีการไล่ตีกันต่างก็ตกใจ รีบพาลูกหลานหลบเข้าข้างทางทันที

สมคิดวิ่งผ่านหน้าภูผาที่ยังยืนนิ่งคล้ายตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ครั้นสามคนที่ตามสมคิดวิ่งมาถึง เขาก็ยื่นขาผอมๆ ออกไปขวาง ผลก็คือทั้งสามคนล้มคะมำทับกันจนไม้หลุดจากมือกระเด็นไปคนละทาง

“เฮ้ย! พวกมึงลุกจากตัวกูเสียทีสิเว้ย” คนที่อยู่ล่างสุดร้องบอก อีกสองคนจึงตาลีตาเหลือกลุกขึ้น จากนั้นจึงหันมาทางคนที่ขัดขาพวกตน

“ไอ้น้อง เอ็งหาเรื่องพวกข้าเหรอวะ” คนตัวใหญ่ที่สุด ท่าทางเป็นหัวหน้าหยิบไม้หน้าสามขึ้นมาแล้วชี้มาทางภูผา

“เปล่าครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ภูผารีบปฏิเสธแล้วก็ทำท่าจะผละจากไป เพราะเห็นว่าตอนนี้สมคิดหายตัวไปแล้ว

“ข้าไม่เชื่อ เอ็งเป็นพวกเดียวกับไอ้คิดใช่ไหม” พวกนั้นเดินตามมาอย่างเอาเรื่อง

“ผมไม่รู้จักมัน”

“กูไม่เชื่อ เฮ้ย! พวกมึงจับตัวมันเอาไว้” หัวหน้าร้องสั่ง

ภูผาออกวิ่งทันที เขาไม่เคยเห็นหน้าพวกมัน แสดงว่าไม่ใช่คนแถวนี้ ฉะนั้นเขาน่าจะเจนเส้นทางมากกว่า...

ภูผาวิ่งไปตามเส้นทางที่ตนคิดเอาไว้ สักพักใหญ่ต่อมาก็หยุดยืนหอบในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งห่างจากบ้านตนสองตรอก ไม่มีเสียงฝีเท้าของทั้งสามดังตามมาอีก คิดว่าคงท้อที่จะตามแล้ว

อย่างไรก็ตาม ภูผาไม่ประมาท เขารออยู่ครู่ใหญ่จึงก้าวออกจากที่ซ่อน ยื่นหน้าออกไปสำรวจซ้ายขวา ครั้นแน่ใจว่าพวกนั้นไม่ได้ตามมาจริงๆ จึงรีบเดินเร็วๆ กลับบ้าน

เด็กชายชะงักเมื่อเห็นใครบางคนยืนรออยู่หน้าปากซอยเข้าบ้าน

สมคิดนั่นเอง!

เด็กชายร่างใหญ่เกินอายุเดินส่ายอาดๆ ตรงมาหา ภูผาชำเลืองมองหน้าร้านแวบหนึ่งอย่างหวั่นใจ กลัวพ่อกับแม่จะเห็นตอนที่เขากับสมคิดทะเลาะกัน...โดยเฉพาะพ่อ เพราะอาจเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ แต่โชคดีที่ตอนนี้หน้าร้านกำลังมีลูกค้าเยอะ พ่อกับแม่วุ่นวายกับการขายจนไม่สนใจสิ่งรอบตัวนัก

ภูผาหันกลับมามองเด็กชายคู่ปรับ ก็พบว่ามืออูมๆ ของฝ่ายนั้นยื่นมาตรงหน้าให้เขาจับ

มิตรภาพก่อเกิดจากวันนั้น และภูผาก็ได้รู้จักโลกใบใหม่ตั้งแต่วันนั้นเช่นกัน...
ไม่เพียงกลายเป็นเพื่อนสนิทเท่านั้น สมคิดยังยกย่องภูผาซึ่งอายุน้อยกว่าและตัวเล็กกว่าตนเป็น ‘ลูกพี่’ ด้วย เพราะเขาถือว่าถ้าภูผาไม่ช่วยขัดขาคู่อริของเขาในวันนั้น ป่านนี้เขาอาจเจ็บหนักหรือไม่ก็ตายไปแล้วก็ได้

“นายไปกวนตีนเขาก่อนละสิ เขาถึงไล่ตีเอาแบบนั้นน่ะ” ภูผาดักคอ

สมคิดหัวเราะแหะๆ อย่างยอมรับ “ก็พวกมันโกงฉันก่อนนี่ลูกพี่ ฉันก็เลยเอาคืนมัน”

เรื่องโกงที่ว่าคือโกงในบ่อนน้ำเต้าปูปลาที่เจ้าตัวไปเล่นมานั่นเอง

“นายยังไม่ชอบคนโกงเลย คนอื่นเขาก็ไม่ชอบเหมือนกันนั่นแหละ”

“เออ ต่อไปฉันจะพยายามไม่โกงใครก็แล้วกัน”

“ฉันหมายถึงนายไม่ควรเล่นการพนันอีกต่างหากล่ะ”

“ยาก มันติดอยู่ในสันดานแล้วว่ะ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเพื่อนบ้านเล่นแล้ว ตอนอยู่บ้านนอก มีแต่พ่อแม่ฉันที่ไม่เล่น เพื่อนบ้านเล่นกันหมดเลย แต่เวลาพ่อกับแม่ไปทำงาน ฉันก็ต้องไปอยู่บ้านข้างๆ นั่นแหละ ก็เลยติด” สมคิดตอบตามตรง “แต่จะพยายามเลิกละกัน”

การคบสมคิดเป็นเพื่อนสนิททำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิตของภูผา

อย่างแรกคือทำให้ธนากรเลิกสนิทกับเขา เพราะไม่ชอบสมคิดที่มีท่าทางเหมือนนักเลงโต พูดจาหยาบคาย ซึ่งพ่อแม่ของธนากรเคยสั่งห้ามไม่ให้คบตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว และดูเหมือนธนากรจะน้อยใจที่เขาสนิทกับสมคิดมากกว่าด้วย อีกอย่างคือภูผาถูกพ่อตีบ่อยขึ้น เพราะพ่อไม่ต้องการให้เขาคบกับสมคิด

‘ท่าทางเหมือนกุ๊ยข้างถนนแบบนั้น ออกมาให้ห่างเชียว ฉันกลัววันหนึ่งต้องไปประกันตัวแกจากคุก’

แต่เขาไม่ทำตาม เพราะสำหรับเขา สมคิดไม่ใช่คนเลวโดยนิสัย แต่เพราะฐานะที่ต้องปากกัดตีนถีบจึงเป็นคนสู้ชีวิต ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาจุนเจือครอบครัว เขาจะต้องไม่อ่อนแอ ขี้แพ้ ต้องเก่ง ต้องแกร่งเพื่อความอยู่รอด

ตอนนี้ภูผากลายเป็นคนด้านไม้เรียว ด้านคำด่าของพ่อกับแม่ไปเสียแล้ว คนเพียงคนเดียวที่เขายังรับฟังอยู่บ้างก็คือย่า แต่สิ่งที่พ่อทำล้วนผลักเขาให้ออกจากบ้าน เสียงเรียกของย่าจึงเบาลงทุกที...ทุกที...


นอกจากยิงนกตกปลาตามประสาเด็กผู้ชายแล้ว สมคิดยังพาภูผาไปรู้จักโต๊ะสนุกเกอร์ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งบ้านของสมคิดและอยู่ท้ายชุมชนอีกด้วย ภูผาติดใจกีฬาชนิดนี้มาก ถึงขั้นต้องไปเล่นทุกเสาร์-อาทิตย์ และเมื่อพ่อรู้ เขาก็โดนเฆี่ยนหนักไปตามระเบียบ

“ฉันขอสั่งเด็ดขาดไม่ให้แกคบไอ้กุ๊ยนั่น ถ้าแกยังดื้อด้านละก็ ฉันจะให้แกไปอยู่บ้านมัน!”

“ไปตอนนี้เลยก็ดีนะ อยู่ก็รังแต่จะทำให้พ่อแม่อับอาย” เดือนไม่รอช้า รีบเสริมซ้ำทันทีด้วยความหงุดหงิดรำคาญ “นี่แค่มอสองมันยังเลวขนาดนี้ โตกว่านี้มันไม่ไปฉกชิงวิ่งราวหรือปล้นจี้ฆ่าใครเหรอ ออกไปเลย บ้านนี้ไม่ต้อนรับไอ้ลูกนอกคอกอย่างมึง!”

“อย่าให้ถึงขนาดนั้น สิทธิ์ หลานมันยังเด็ก แยกแยะอะไรยังไม่เป็น”

“เลิกให้ท้ายมันเสียทีได้ไหมแม่!” ศักดิ์สิทธิ์หันมาตะคอกจนคนเป็นแม่สะดุ้งเฮือก “เพราะให้ท้ายมันอยู่แบบนี้ไง มันถึงได้ดื้อด้านขึ้นทุกวัน แล้วอะไรนะ แม่อ้างว่าหลานรักของแม่ยังเป็นเด็กเหรอ นี่ไง เวหาอายุมากกว่าแค่ปีเดียว แต่เคยทำอะไรให้พ่อแม่อับอายบ้างไหม ตรงข้าม...ทำแต่เรื่องดีๆ ให้ชื่นใจ”

“ก็ถ้าเอ็งรักภูผามันสักครึ่งของที่รักเวหา มันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก รู้ตัวซะบ้างสิว่าตัวเองเป็นคนทำให้มันเป็นแบบนี้!” นางสายย้อนอย่างเหลืออด

“แม่อย่าโยนโทษให้ฉันแบบนี้สิ เลี้ยงดูก็ส่วนหนึ่ง แต่เพราะสันดานมันเองก็ส่วนหนึ่ง...” ศักดิ์สิทธิ์เว้นช่วงแล้วหันไปทางภูผา “เอาเป็นว่าต่อไปเอ็งก็ทำตัวให้มันดีกว่านี้ก็แล้วกันไอ้ภูผา ถ้าข้าจับได้ว่าเอ็งแอบไปเล่นสนุ้กอีกละก็ ข้าจะเฆี่ยนเอ็งให้ตายคามือเลยคอยดู” พูดจบเขาก็เดินตึงตังไปทางหลังบ้าน

ขณะที่ภูผามองตามพ่อด้วยความน้อยใจ เวหาก็เงยหน้ามองย่าด้วยความน้อยใจเช่นกัน ที่ผ่านมาย่าแสดงออกว่ารักน้องมากกว่าเขาเสมอ ปกป้องมันเสมอ ทั้งที่เขาดีกว่ามันทุกอย่าง แต่น้อยครั้งนักที่ย่าจะสนใจเขา!



พ่อห้ามเขาเล่นสนุกเกอร์ สมคิดก็หาอะไรใหม่ๆ มาให้เขาเล่นเพื่อลืมความทุกข์ที่บ้านได้ สิ่งนั้นคือกีตาร์ ซึ่งเป็นของลูกน้องคนหนึ่งของพ่อสมคิด

เพลงแรกๆ ที่ภูผาหัดเล่นคือเพลงของวงดนตรีร็อกอย่างวงไมโคร และเพลงที่เขาชอบที่สุด ฟังแล้วบาดอารมณ์ของเขามากที่สุดคือเพลง “อยากจะบอกใครสักคน”

หนใดที่ใจเหงา ทุกคราวที่เราท้อ ขอเพียงแต่มีแค่ใครคนหนึ่ง
ทุกข์จนสุดทนไหว ร้อนรนขึ้นยามใด...อยากจะบอกใครสักคน
ถึงใครต่อใครเขาเห็นเราหมดความหมาย ขอเพียงแต่มีแค่ใครคนหนึ่ง
ถึงวันที่สับสนทุกข์ทนอยู่ในใจ...อยากจะบอกใครสักคน
สักคนที่จะรู้ สักคนจะได้ไหม...สักคน
ถึงคราวที่สดใส ครั้งใดที่สุขสม ขอคนชื่นชม...แค่เพียงคนหนึ่ง
ถึงวันที่มองฟ้าคว้าดาวได้ดังใจ...อยากจะบอกใครสักคน
ใจเรามันเป็นเพียงแต่เนื้อแค่ก้อนหนึ่ง มันจึงมีเวลาจะอ่อนแอ
เพียงตัวเราลำพังอ้างว้าง ไร้ทางแก้จึงจำใจยอมทนเก็บไว้
แต่อยากจะบอกใครสักคน




วิรัตต์ยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มิ.ย. 2557, 07:06:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มิ.ย. 2557, 07:06:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 2850





<< บทที่ 2    
วิรัตต์ยา 26 มิ.ย. 2557, 07:11:48 น.
อ้อม ...งานเข้าอย่างแรงจ้ะ

คุณอัศวินนภา...5555 รับสมัครอย่างด่วนเลยค่ะ มาเป็นแม่ยกภูผากันนะๆ

โอ๋...ให้ไวๆๆ

คุณzephyr...ไม่นานไม่ช้าอาจมีวันนั้นค่ะ

คุณ nasa...หนักกว่าโจเลยค่ะ บอกเลย อิอิ



ตุ๊งแช่ 26 มิ.ย. 2557, 09:04:44 น.
ทำไมชีวิตมันรันทดขนาดนนั้น โตเร็วๆนะจะได้หายรันทด


ดังปัณณ์ 26 มิ.ย. 2557, 09:21:29 น.
ภูผาของเจ๊ น่าสงสารอะไรเยี่ยงนี้ กุซิกๆๆๆๆ พี่แก้วค้าาาาาาาาาาาาาาา พ่อแม่ภูผานี่...แหม๊! คอยดูเวหา จะรอสมน้ำหน้า ชริๆๆๆ


yimyum 26 มิ.ย. 2557, 20:13:04 น.
สงสารภูผาาา~


อัศวินนภา 26 มิ.ย. 2557, 21:45:44 น.
โอ้ยๆๆๆๆมันจะอะไรขนาดนั้น เด็กนะนั่น เจ็บไหมภูผา สงสารจริงๆ เป็นคนดีนะ อย่าไปสนใจสิ่งไม่ดี เรียนรู้ได้ แต่อย่าทำ ภูผาสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆ


Zephyr 26 มิ.ย. 2557, 23:45:31 น.
ภูผา ชื่อนายบอกอยู่แล้วว่าแข็งแกร่ง
ใช้ชีวิตคุ้มค่ากว่าพี่นายเยอะเลย
เวหา ดูแค่ชื่อก็รู้ว่าล่องลอย ไม่มั่นคง อิสระเกินไป
รันทดให้ขีดสุด ตกต่ำให้ที่สุด ถึงวันนึง นายก้าวมาจากจุดนั้นได้ ทีบะก้าวจนถึงจุดสูงสุดมันจะน่าภูมิใจมาก
ค่อยหันไปสมน้ำหน้า พวกคนที่เยียบย่ำนายให่จมดิน
สิบปียี่สิบปีค่อยแก้แค้นกะได้ 5555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account