ฝากรักไว้ที่ปลายรุ้ง โดย สลิลา (พิมพ์คำสำนักพิมพ์)
เมื่อนักเลงหัวไม้ริอยากขี่รุ้งงาม ความมุ่งมั่นและพยายามเท่านั้นที่เขาต้องกอดเอาไว้


"นิยายที่จะทำให้คุณลบคำว่า เป็นไปไม่ได้ ออกจากพจนานุกรมชีวิต!"


Tags: ภูผา,นักสู้,ทอรุ้ง,สลิลา,นักเลงหัวไม้

ตอน: บทที่ 2

สิบสองปีต่อมา

ชุมชนริมน้ำเปลี่ยนแปลงไปมาก มีถนนลาดยางอย่างดีลาดมาถึงหน้าปากซอย ส่วนถนนภายในชุมชนก็เป็นคอนกรีตแทนถนนลูกรัง ความเจริญอื่นๆ จึงทยอยตามกันมา มีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือน ชาวบ้านใช้มอเตอร์ไซค์หรือจักรยานแทนการเดินภายในชุมชน เรือลดความสำคัญลงไปมากเพราะมีรถรับจ้างเข้าถึงปากซอยใหญ่ จากบ้านไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นบ้านปูน

แต่บ้านของศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นแบบดั้งเดิมเพราะนางสายขอไว้ คือเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ประตูไม้เป็นแบบพับ ตอนเช้าเปิดออกเพื่อยกโต๊ะออกมาวางของขายก่อนจะเก็บเข้าข้างในตอนค่ำ ข้างหลังซึ่งติดกับคลองเปิดโล่ง มีห้องนอนสามห้อง

ห้องใหญ่สุดเป็นของศักดิ์สิทธิ์กับเดือน ห้องเล็กๆ ติดกันเป็นของลูกชายทั้งสอง ส่วนห้องของนางสายอยู่ตรงข้ามซึ่งติดกับห้องครัว

ถัดห้องครัวไปเป็นห้องน้ำ ตรงลานว่างกลางบ้านนอกจากเป็นที่เก็บของแล้ว ยังเป็นที่ตั้งโต๊ะกินข้าวอีกด้วย ทีวีตั้งชิดผนังด้านหนึ่ง ตู้แช่น้ำแบบด้านบนเป็นบานกระจก ด้านล่างเป็นอะลูมิเนียมฝาเลื่อนเข้าออกวางอยู่มุมใกล้ประตู

สภาวะการเงินในครอบครัวของศักดิ์สิทธิ์ดีขึ้นมากหลังจากลุ่มๆ ดอนๆ อยู่หลายปี ร้านค้าที่เป็นร้านใหญ่ใกล้ๆ นั้นปิดกิจการลงเนื่องจากพนักงานขายโกงเงินเจ้าของร้าน เจ้าของร้านไล่ออก พนักงานขายแค้นจัดจึงพาพวกมายกเค้าไปจนหมด เจ้าของร้านซึ่งเป็นอาม่ากัดฟันลงทุนต่อ ไม่จ้างคนงาน ไม่จ้างใคร นางขายเอง แต่เนื่องจากเชื่องช้าด้วยวัย ซ้ำยังหลงๆ ลืมๆ จึงถูกเด็กๆ แถวบ้านขโมยของบ้าง โกงบ้างไม่รู้วันละกี่รอบจนทุนหายกำไรหด ลูกๆ ที่ไม่เห็นด้วยมาแต่ต้นได้ทีจึงปิดร้านให้เสียเลย จึงเป็นโอกาสทองของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ และเขาก็ไม่ได้ขายเฉพาะของแห้งเท่านั้น ยังมีพวกของสดด้วย


ตอนนี้ศักดิ์สิทธิ์ใช้หนี้เถ้าแก่เหลียงจนเกือบหมด และดาวน์มอเตอร์ไซค์คันใหม่ได้ แต่ไม่ได้ใช้เร่ขายของให้คนทั่วไปเหมือนเดิมแล้ว เขากลายเป็นพ่อค้าคนกลางไปซื้อของจากตลาดใหญ่เพื่อเอามาส่งให้ตามร้านค้าต่างๆ ทั้งในชุมชนริมคลองและตามรายทาง

แม้สภาวะการเงินจะดีขึ้น แต่ความเกลียดชังที่มีต่อลูกชายคนเล็กไม่ลดน้อยถอยลง ภูผากลายเป็นเด็กเงียบขรึม เก็บตัว วันไหนที่ย่าไม่อยู่บ้าน วันนั้นโลกทั้งใบของเด็กชายจะหม่นมัว เหมือนตกลงสู่ก้นเหวอย่างไรอย่างนั้น

เขาเหมือนเป็นส่วนเกินของบ้าน พ่อจะพูดคุยหัวเราะแต่กับเวหา ส่วนแม่ก็หายออกจากบ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อดั้นด้นหาเลขเด็ด พอกลับเข้าบ้านมาก็เริ่มต้นบ่นเขา และกลายเป็นด่าในที่สุด ด่าด้วยคำเดิมๆ ที่เขาจำได้ขึ้นใจ


‘มึงมันไอ้ตัวซวย ไอ้ภูผา มึงเกิดมาวันแรกบ้านก็ถูกไฟไหม้ ค้าขายอะไรก็ไม่ขึ้น มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง มึงเป็นคนสร้างหนี้ให้พ่อแม่ จำไว้ด้วย!’

ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องนั้นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ทั้งคู่มีเรื่องทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ถูกลงโทษก็คือคนน้อง ไม่ว่าใครจะเป็นคนผิดก็ตาม ภูผาจะได้เล่นของเล่นก็ต่อเมื่อเวหาเบื่อแล้วหรือชำรุดเล็กๆ น้อยๆ แล้ว ส่วนเสื้อผ้าไม่ต้องพูดถึง เขาแทบไม่เคยได้ของใหม่ ล้วนเป็นมรดกตกทอดจากพี่ทั้งสิ้น

ปีนี้เด็กชายผู้เงียบขรึมอายุครบสิบสองปี ร่างผอมเก้งก้าง หน้าตาเริ่มเห็นชัดถึงความคมคาย ทั้งสีผิวและรูปร่างแตกต่างจากเวหาผู้เป็นพี่ชายอย่างเห็นได้ชัด

เวหาผิวขาวเหมือนเดือน ค่อนข้างอวบ อาจเพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือหยิบจับทำอะไรเพราะพ่อสั่งห้ามไว้ด้วยอยากให้สนใจแต่การเรียน ซึ่งเวหาก็ทำให้พ่อชื่นใจได้จริงๆ เขาเรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งของห้องทุกปี

ขณะที่ผลการเรียนของภูผาอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง เนื่องจากเวลาท่องหนังสือไม่ค่อยมี เพราะต้องช่วยงานทุกอย่างเท่าที่กำลังของเด็กจะทำได้ นอกจากนี้ยังต้องเอาขนมไปขายที่โรงเรียนเพื่อหารายได้ช่วยพ่อกับแม่ตามที่ย่าแนะนำอีกด้วย

‘เก็บเล็กผสมน้อยไปลูก วันนี้มีหนึ่งบาท พรุ่งนี้ได้อีกบาทก็เป็นสองบาท หลายวันเข้าก็ได้หลายบาท’

‘แต่เงินน้อยจังเลยนะครับย่า ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้สิบบาทได้ร้อยบาท’ เด็กชายประท้วง ก้มลงมองเหรียญในมืออย่างท้อๆ ขนมหนึ่งถุงได้กำไรเพียงบาทเดียวเท่านั้น

‘อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา...ภูผาเคยได้ยินคำนี้ไหมลูก’ แทนการอธิบายต่อ ย่ากลับย้อนถามเขา

‘เคยได้ยินหลวงตาพูดตอนท่านไปเทศน์ที่โรงเรียนครับ แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่’

‘คนนอนตื่นสายน่ะ จะพลาดโอกาสในการเจอหรือทำเรื่องดีๆ คนอื่นเขาตื่นก่อน เขาก็ได้เจอก่อน คำว่าอย่าอายทำกินหมายความว่าไม่ให้เราเลือกงาน แม้ว่างานนั้นจะต่ำต้อยในสายตาคนอื่น ขอให้เป็นงานสุจริตก็พอ’

‘แล้วอย่าหมิ่นเงินน้อยล่ะครับ’

‘เหมือนที่ย่าบอกภูผาเมื่อกี้นี้ไง จากเงินหนึ่งบาทกลายเป็นร้อยบาทหมื่นบาทและล้านบาทได้ ส่วนคำว่าอย่าคอยวาสนานั้นก็หมายความว่าอย่านั่งรอวาสนาหรือโอกาสให้มันวิ่งมาหาเรา เราต้องเดินเข้าหามัน ทั้งหมดนั้นเป็นคาถาเศรษฐีเลยนะลูก ถ้าอยากรวยก็จำเอาไว้ให้แม่น’


ภูผาใกล้จบชั้นประถมศึกษาปีที่หกแล้ว แต่ยังไม่รู้อนาคตว่าจะไปทางไหน เนื่องจากศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้เรียนต่อ

“ผลการเรียนมันไม่ดี เรียนไปก็เสียเวลา เสียเงินเปล่าๆ” หนุ่มใหญ่เอ่ยกับแม่ ขณะที่เดือนนั่งนับเงินจากการขายของวันนี้อยู่ไม่ห่าง ภูผาออกไปเดินขายของ ส่วนเวหาท่องหนังสืออยู่ใกล้ๆ

“มันจะดีได้ยังไงล่ะ คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่เคยสอนการบ้านมันเลยนี่” นางย้อนอย่างเหลืออด

“จะพูดเรื่องนี้อีกทำไมเนี่ยแม่ หา! ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไปวิ่งส่งของก็เหนื่อยจะแย่ สอนเจ้าเวหาได้ก็บุญนักหนาแล้ว” เสียงของศักดิ์สิทธิ์ชักเข้มขึ้นเหมือนกัน

“ยังไงแม่ก็จะให้ภูผามันเรียนต่อ ตอนนี้ฐานะของเราก็ดีขึ้นมากแล้ว ส่งหลานเรียนอีกสักคนจะเป็นไรไป”

“ฐานะของเราที่ไหน ฐานะของฉันกับพี่สิทธิ์ต่างหากแม่” เดือนรีบรักษาสิทธิ์ของตนทันที ด้วยกลัวว่ารายได้จะถูกแบ่งออกไปอีก

นางสายพยายามไม่เก็บคำพูดนั้นมาใส่ใจ แล้วหันไปทางลูกชายของตน “ให้มันเรียนเถอะ สิทธิ์”

“แต่ค่าเรียนค่าเทอมเจ้าเวหาเองก็เยอะอยู่แล้วนาแม่ นี่เห็นมันบ่นว่าเพื่อนๆ ในห้องเขาเรียนพิเศษกันทั้งนั้น เราต้องกันเงินส่วนนี้ไว้ด้วย”

“เรียนพิเศษ? ตั้งแต่มอหนึ่งเนี่ยนะ” นางสายทำตาโต

“เขาก็ต้องเรียนเพิ่มเพื่อให้ความรู้มันแน่นไงล่ะ ใจจริงฉันอยากให้มันเรียนเพิ่มตั้งนานแล้ว อย่าลืมว่าเวหามันเรียนโรงเรียนวัดมาก่อน ความรู้ไม่แน่นเท่าเพื่อนๆ” ศักดิ์สิทธิ์มองไปเบื้องหน้าด้วยความหวัง “ฉันอยากให้ลูกคนนี้รับราชการ เป็นเจ้าคนนายคน เป็นที่เชิดหน้าชูตาของพ่อแม่แล้วก็ย่าด้วย”

เดือนเองก็วาดหวังเรื่องนี้เหมือนกัน “ถ้ามันเป็นจริงได้ก็ดีมากเลยนะพี่ ข้าราชการน่ะมั่นคง งานก็สบายด้วย”

“พี่ถึงให้มันสอบเข้าโรงเรียนเอกชนดีๆ ไงล่ะ ค่าเทอมแพงหน่อยก็ไม่เป็นไร...แล้วมันก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง สอบได้คะแนนดีเชียว ถึงยังไม่ใช่ที่หนึ่งของห้อง แต่ก็อยู่ในอันดับต้นๆ” น้ำเสียงภูมิใจชัดแจ้ง

“และข้าก็อยากให้ภูผามันสบายเหมือนกัน ข้าไม่อยากให้มันลำบากเหมือนพวกเรา กว่าจะเก็บออมได้แต่ละบาท เหนื่อยสายตัวแทบขาด ให้มันเรียนซะ เผื่อมันได้เป็นข้าราชการกับเขาบ้าง”

“กลัวแต่มันจะผลาญเงินไปเปล่าๆ น่ะซี เอางี้แม่ ให้มันเรียนก็ได้ แต่เป็นโรงเรียนเดิมก็แล้วกัน” ศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจ

“โธ่...ไอ้สิทธิ์ ไม่สงสารมันบ้าง มันจะคิดยังไง พี่ชายได้ข้ามไปเรียนโรงเรียนดีๆ แต่ตัวเองต้องเรียนโรงเรียนวัด” นางสายคราง

“จะเป็นไรไปเล่า แม่ก็” ศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจด้วยความรำคาญ “คนเรียนโรงเรียนวัดเยอะแยะไป บอกตรงๆ นะ ฉันสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหวหรอก...พอแล้ว แม่ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ถ้ามันไม่เรียนที่นี่ก็ไม่ต้องเรียน!”

เจอคำขาดแบบนั้น นางสายก็จำต้องหุบปากเงียบ นึกสงสารหลานชายคนเล็กจับใจ แต่ครั้นจะค้านออกไปอีก นอกจากจะโดนจิกกัดเหน็บแนมแล้ว ผลเสียอาจไปตกที่ภูผาก็ได้ว่าเป็นตัวซวยทำให้พ่อแม่และย่าต้องทะเลาะกัน

+ + + + + + + + + + + + + + + + + + +

“เรียนโรงเรียนเดิมก็ดีนะลูก จะได้เจอเพื่อนเก่าๆ ไง”

นางสายพูดกับหลานชายคนเล็กในเช้าวันต่อมา ซึ่งเป็นวันสอบไล่วันสุดท้ายของระดับประถม เด็กชายที่กำลังสวมรองเท้านักเรียนเก่าๆ ชะงักไปเล็กน้อย

“แต่ผมจะสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับพี่เวหานี่ครับ” เขามองไปทางพ่อที่กำลังสวมรองเท้าใหม่เอี่ยมให้เวหาอยู่ทางหนึ่ง ส่วนแม่ยังไม่ออกจากห้อง

“โรงเรียนนี้เขาคัดแต่หัวกะทิเข้าไปเรียน สมองอย่างแกสอบเข้าไม่ได้หรอก” คนเป็นพ่อตอบอย่างรำคาญ

“แต่ผมอ่านหนังสือเตรียมสอบแล้วนะครับ ผมแน่ใจว่าผมสอบได้แน่นอน” ภูผาเอ่ยอย่างมั่นใจ

“ไม่ได้! ข้าไม่มีเงินมากขนาดจะส่งลูกเรียนเอกชนถึงสองคนหรอกเว้ย แค่พี่ชายเอ็งคนเดียวก็อานแล้ว เอ็งเรียนที่เดิมน่ะดีแล้ว”

ภูผาหน้าหมองลง ความผิดหวังระคนน้อยใจครอบครองทั้งหัวใจ

ขณะนั้นเอง เดือนเดินออกมาจากห้องนอน จากท่าทางบอกว่าเพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน “วันนี้หนูติดเรือไปวัดด้วยคนนะแม่ จะไปหาหลวงพ่อท่านหน่อย”

“ขอเลขอีกสิ” นางสายดักคอเสียงเหนื่อยหน่าย ขณะเดินไปหยิบกล่องข้าวจากในครัวมาให้ภูผา ส่วนเวหานั้นไม่ห่อข้าวไป เด็กชายอ้างว่าเพื่อนๆ ที่โรงเรียนไม่มีใครห่อไปสักคน เขาอายเพื่อน ขอเป็นเงินไปซื้อข้าวที่โรงอาหารดีกว่า ซึ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ว่าอะไร

“ก็ใช่น่ะสิแม่ เผื่อได้เลขเด็ดถูกแจ็กพอตขึ้นมา รวยไม่รู้เรื่องเลยนะ” เดือนพูดอย่างมีความหวัง

“เพลาๆ ลงหน่อยก็ดีนะเดือน ค่าใช้จ่ายเราเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วนะ” ศักดิ์สิทธิ์ช่วยแม่ปรามเมีย เขาไม่ค่อยชอบอบายมุขชนิดนี้นัก เขาเล่นบ้างพอเป็นกระสายเท่านั้น ไม่ติดงอมแงมเหมือนอีกฝ่าย

“ฉันไม่ได้เล่นเยอะสักหน่อย ร้อยสองร้อยเอง จะอะไรกันนักหนาล่ะ” เดือนค้อนสามีขวับๆ

“ร้อยสองร้อย เดือนละสองครั้งก็เป็นเงินสี่ร้อยบาท ปีหนึ่งก็หมดเกือบครึ่งหมื่น”

“วุ้ย! เบื่อเว้ย เสียฤกษ์หมดแล้วเนี่ย ทำให้อารมณ์เสียตั้งแต่เช้าเลย เฮ้อ...” หญิงสาวว่าพลางเดินกระฟัดกระเฟียดไปลงเรือ

“อ้าว...พูดขนาดนี้ยังจะไปอีกเรอะ” นางสายถามด้วยความระอา

“ไปสิแม่ เดี๋ยวคนอื่นได้ฉันไม่ได้ เสียดายแย่เลย เฮ้อ...แต่เสียอย่างเดียว ต้องนั่งเรือไปกับไอ้ตัวซวย เลยมองไม่ค่อยเห็นเลขเหมือนคนอื่นเขา”

“งั้นเอ็งจะไปทำไม ไปก็มองไม่เห็นเลขน่ะ”

“เอ๊ะ! แม่นี่ ก็หนูจะไปน่ะ หนูขออาศัยเรือไปแค่นี้มีปัญหาหรือไง เงินที่ต่อเรือนี่ก็เงินหนูเหมือนกันนะ” เดือนแว้ดใส่แม่สามีอย่างไม่เกรงใจ

“เบาๆ หน่อยน่า เดือนก็...ไป แยกย้ายกันเถอะ ไป...เวหา เดี๋ยวสายลูก” แล้วศักดิ์สิทธิ์ก็จูงมือลูกชายคนโตเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ริมถนนหน้าบ้าน

ภูผามองตาม ความน้อยใจตีตื้นขึ้นเต็มเปี่ยม นางสายน้ำตารื้น เดินไปแตะไหล่หลานชายคนเล็กอย่างให้กำลังใจ

“ไปเถอะลูก เดี๋ยวเข้าสอบไม่ทัน”

หลังจากล็อกหน้าบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองย่าหลานก็เดินตามกันออกไปทางหลังบ้านซึ่งเป็นคลองสายเล็กๆ

โรงเรียนของภูผาอยู่อีกฟากฝั่งคลอง ต้องอาศัยเรือในการเดินทาง เนื่องจากสะพานเชื่อมสองฝั่งนั้นอยู่ไกล

ตลอดทางที่นั่งเรือไป เดือนร้องทักทายและเชิญชวนขาหวยให้ไปขอเลขเด็ดที่วัดด้วยกัน และเมื่อไปถึงท่าเรือของวัดและโรงเรียน แล้วเห็นชาวบ้านมากันแล้วเป็นจำนวนมาก เธอก็เร่งคนพายซึ่งก็คือนางสายกับภูผาให้พายเรือเทียบท่าโดยเร็ว เมื่อเรือจอดก็ก้าวขึ้นอย่างว่องไวแล้วเดินฉับๆ นำไปก่อน

นางสายมองตามลูกสะใภ้แล้วส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยความเหนื่อยหน่าย

“ดูแม่เราเอาไว้นะภูผา เล่นหวยมาตั้งแต่วัยรุ่น ย่าไม่เห็นว่ามันจะรวยสักที นี่ถ้าเก็บเงินที่เล่นหวยทุกเดือนๆ เอาไว้ ย่าว่าแทบจะส่งเราเรียนจบปริญญาโน่นแหละ...จำไว้นะลูก การพนันไม่เคยทำให้ใครรวย” ได้โอกาส คนเป็นย่าไม่รอช้าที่จะสอนหลาน

“ผมจะจำไว้ครับย่า” เด็กชายรับคำเป็นมั่นเหมาะ

“ตั้งใจสอบให้ได้คะแนนดีๆ นะลูก แล้วก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องโรงเรียนล่ะ เรียนที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ คนเรียนโรงเรียนวัดแล้วได้ดี ได้เป็นครูเป็นปลัดกันถมไป ขอให้ตั้งใจเสียอย่าง”

สีหน้าที่เศร้าอยู่แล้วของเด็กชายยิ่งเศร้าลงไปอีก “แต่ผมอยากซ้อนมอเตอร์ไซค์พ่อไปเรียนบ้างนี่ครับย่า”

เป็นอีกครั้งที่นางสายน้ำตาตก...ตั้งแต่เกิดมา หากไม่นับเวลาพาไปหาหมอแล้ว ศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยให้ภูผาแตะมอเตอร์ไซค์ ไม่เคยพานั่งซ้อนไปไหนเหมือนเวหา เพราะกลัวว่าตัวซวยอย่างภูผาจะทำให้รถซึ่งใช้ขนของซื้อของขายด้วยจะพลอยขายของไม่ได้

“แล้วไม่อยากนั่งเรือที่ย่าพายแล้วเหรอจ๊ะ” นางรีบกรีดน้ำตาทิ้งแล้วย้อนถามไม่จริงจัง

“อยากสิครับ แต่ผมก็อยากซ้อนมอเตอร์ไซค์พ่อไปเที่ยวเหมือนพี่เวหาบ้าง”

“ถ้างั้นภูผาก็ต้องตั้งใจเรียนให้เก่งๆ พอจบมอสามจะได้ไปเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่เวหาไง ไปเถอะลูก เดี๋ยวสาย”

เด็กชายยกมือไหว้ย่า แล้วจึงลุกขึ้นก้าวขึ้นจากเรือไป นางสายมองตามร่างเก้งก้างนั้นด้วยความสงสารสุดหัวใจ

+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + +


ในที่สุดภูผาก็ต้องเรียนต่อชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเดิมตามที่ศักดิ์สิทธิ์ต้องการ หากไม่นับเรื่องความน้อยใจพ่อและอิจฉาพี่ชายแล้ว เด็กชายก็ชอบโรงเรียนแห่งนี้มาก เพราะได้เจอเพื่อนเก่าที่กอดคอกันมาตั้งแต่ประถม นอกจากย่าแล้ว เพื่อนๆ นี่ละที่ทำให้เขาลืมความทุกข์ใจลงไปได้บ้าง

ด้วยบุคลิกที่เงียบขรึม นิสัยดี ทำอะไรก็ทำจริงจัง ทำให้ภูผาได้เป็นหัวหน้าห้อง นางสายภูมิใจในตัวหลานชายมาก แต่ศักดิ์สิทธิ์กับเดือนนั้นนอกจากไม่ภูมิใจ ไม่ชื่นชมใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว ยังมีคำเหน็บกลายๆ อีกต่างหาก

“เป็นหัวหน้าห้องนะเว้ย ไม่ใช่ผู้แทน จะดีใจอะไรนักหนา แล้วเป็นหัวหน้าห้องมันดีตรงไหน ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เดี๋ยวก็เสียเวลาอ่านหนังสือกันพอดี จำไว้นะ ถ้าเอ็งสอบได้คะแนนน้อย ข้าจะให้เอ็งออกจากโรงเรียนมาเป็นกุลี!”

คนที่เพิ่งได้เป็นหัวหน้าจึงได้แต่ฝังความน้อยใจลงในหัวใจอีกครั้ง...

วันนี้เมื่อไปถึงโรงเรียนด้วยการเดิน เนื่องจากสะพานข้ามคลองสร้างเสร็จแล้ว เด็กชายก็พบว่ามีบางอย่างแปลกไป เด็กนักเรียนชายหญิงกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเป็นกลุ่ม แล้วเดินตามใครบางคนไปพลางก็คุยกันเจี๊ยวจ๊าวทีเดียว

“ภูผา ภูผา” เด็กชายร่างผอมแกร็นคนหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มนั้นหันมาเห็นเขาจึงวิ่งตรงมาหา

“มีอะไร เอ็กซ์” ภูผาย้อนถามธนากร เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขา

“มีนักเรียนใหม่เพิ่งย้ายเข้ามา ไปดูกันเร้ว”

ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวลากแขนเขาวิ่งไปด้วย ภูผายอมตามไปง่ายๆ เพราะอยากเห็นนักเรียนใหม่เหมือนกัน


นักเรียนใหม่ที่ว่ามีสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน เด็กชายเป็นพี่ เรียนชั้นมัธยมปีที่สองชื่อสมคิด ส่วนคนน้องเรียนชั้นเดียวกับภูผา ชื่อสมฤทัย หรือต้อยติ่ง สองพี่น้องแตกต่างกันมาก สมคิดตัวใหญ่ที่สุดในโรงเรียนตอนนี้ ผิวคล้ำ ท่าทางกร่าง ส่วนสมฤทัยผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู ท่าทางเรียบร้อย

พอถึงเวลาพักกลางวัน เด็กหญิงสมฤทัยก็ไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนผู้หญิงในห้อง ซึ่งดูจะเข้ากันได้ดี ส่วนสมคิดไม่มีใครเห็นว่าไปกินข้าวที่ไหน เห็นอีกทีก็วิ่งตามลูกบอลในสนามกับเพื่อนๆ แล้ว แต่การเล่นของเจ้าตัวก็เหมือนท่าทางนั่นละ เล่นแบบนักเลง ไม่สนใจใคร ถ้าได้ลูกไม่แบ่งบอลให้ใคร ถ้าเพื่อนร่วมทีมคนไหนทำผิดพลาดก็จะก่นด่าด้วยคำหยาบคาย กับฝ่ายตรงข้ามเขาก็เล่นแรงเกินเหตุ จนหวิดมีเรื่องชกต่อยกันหลายครั้ง

“นายเล่นตามกติกาสิ สมคิด” ภูผาเข้าไปเตือนหลังจากเห็นฝ่ายนั้นตั้งใจเตะข้อพับทีมของเขา จนเพื่อนล้มลงร้องโอดโอย

สมคิดหันขวับมามองด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาท จากนั้นก็กวาดตามองเขาขึ้นลงครั้งหนึ่งเชิงดูถูก

“กูเล่นผิดกติกาตรงไหน กูจะเตะลูก แต่บังเอิญไปโดนข้อพับไอ้นั่นเอง กูไม่ได้ตั้งใจเว้ย”

“แต่เราเห็นว่านายตั้งใจเตะ นักกีฬาน่ะ เขาไม่ทำร้ายเพื่อนหรอกนะ” ภูผาเตือนเสียงขรึม

“แต่พ่อกูบอกว่าในสนามไม่มีคำว่าเพื่อนเว้ย มีแต่ศัตรู” เด็กชายผู้มาใหม่ตอบกร่างๆ ไหล่ทั้งสองข้างยกขึ้นอย่างจองหอง

“แต่ศัตรูที่นายว่าเขาไม่ได้ทำร้ายนายสักหน่อย ทำไมพ่อนายสอนแบบนี้ล่ะ”

“พ่อกูจะสอนแบบไหนก็เรื่องของพ่อกู!” สมคิดตะคอกพลางกรากเข้ามากระชากคอเสื้อภูผาเพื่อยกขึ้น ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนๆ ตอนนี้ทั้งคนในสนามและนอกสนามกำลังล้อมวงกันเข้ามา

ภูผายังใจเย็น เขาพยายามแกะมือฝ่ายนั้นออก แต่ก็ไม่สำเร็จเนื่องจากอีกฝ่ายตัวโตกว่า ทันใดนั้นเอง มืออีกข้างหนึ่งของสมคิดก็ต่อยโครมเข้าที่ใบหน้าของภูผา ท่ามกลางเสียงร้องของเพื่อนๆ และเสียงวี้ดว้ายของนักเรียนหญิง

“มึงต่อยภูผาทำไม!” ธนากรร้องถามด้วยความโกรธ

“ก็มันด่าพ่อกู!”

ภูผาเจ็บร้าวไปทั้งหน้า พยายามสะกดอารมณ์เอาไว้แล้วหันไปบอกเพื่อนๆ “แยกย้ายกันเถอะพวกเรา”

ซึ่งเพื่อนๆ ก็ทำตามคำสั่งของเขาอย่างง่ายดาย จุดความไม่พอใจให้นักเรียนใหม่

“เฮ้ย! หยุดเล่นทำไมวะ พวกมึงแพ้แล้วคิดจะหยุดเหรอ” เขาตะโกนเรียกทุกคนพลางตรงเข้าไปดึงมือเพื่อนคนหนึ่งเอาไว้

“พวกเราไม่อยากเล่นกับคนอย่างนายหรอก” ธนากรที่เดินอยู่ข้างๆ ภูผาหันมาตะโกนกลับ

“ไอ้พวกกระจอก” สมคิดตามมายั่วยุ เขาจงใจเลือกภูผาเพราะเห็นว่าสั่งเพื่อนได้

ภูผากระตุกมือธนากรไว้ไม่ให้ตอบโต้ ซึ่งสมคิดเห็นจึงยิ่งหมั่นไส้ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจเขาด้วยแล้ว ความหมั่นไส้ก็ยิ่งทบทวี จึงตรงเข้าไปผลักหลังจนร่างเก้งกางนั้นคะมำไปข้างหน้า

ความอดทนของภูผาหมดลงตอนนั้นเอง เด็กชายหันกลับไปตอบโต้ทั้งที่ตัวเองเตี้ยและผอมกว่า

จากนั้นก็เกิดการฟัดกันนัวเนียอย่างที่ไม่มีใครยอมใคร ธนากรพยายามห้ามและเข้าไปจะแยกทั้งคู่จากกัน แต่ไม่เป็นผล เขาถูกผลักกระเด็นออกมา ส่วนเด็กชายคนอื่นๆ ร้องเชียร์ด้วยความสนุกสนาน จนกระทั่งเสียงนกหวีดจากครูดังขึ้น

(จบบทที่ 2)

รักภูผา สงสารภูผา ก็กดไลค์ให้ภูผาเยอะๆนะคร้าบ

คุยกันค่ะ

อ้อม...คิดว่าไม่นะ อิอิ

โอ๋...เอาไปเลี้ยงทีไป๊ 5555

ป้าเดล...กดเยอะๆ มีสิทธิ์ลุ้นเยอะจ้ะ อิอิ

คุณอัศวินนภา...555555 ขอบคุณที่อินนะคะ ว่าไปก็สงสารภูผามากเนอะ

คุณจ๊ะจ๋า...ใช่ค่ะ ให้พระเอกเริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์เลย คนเขียนชอบผู้ชายขยัน อิอิ เกี่ยวมั้ย 55555

คุณ Zephyr...บางทีพวกผู้ใหญ่ก็อีโก้เกินกว่าจะยอมรับความจริงนะคะ ต้องหาแพะรับบาปเพื่อให้ความรู้สึกผิด หรือสิ่งไม่ดีที่ตัวเองทำเนี่ย มันเบาบางลง บอกเลยว่าสงสารภูผามาก

คุณ sukhumvit66...รักภูผา สงสารภูผาไปนานๆนะคะ





วิรัตต์ยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2557, 10:32:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2557, 10:32:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1673





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
ตุ๊งแช่ 20 มิ.ย. 2557, 11:03:57 น.
เอาแล้วไง งานเข้า ภูผาแน่ๆเลย


อัศวินนภา 20 มิ.ย. 2557, 22:02:03 น.
เอาให้รวย ให้เก่ง ให้กล้า และเป็นคนดีนะลูก
อิฉันจะเป็นแม่ยกให้ 555 (ภูผาfc)


ดังปัณณ์ 21 มิ.ย. 2557, 16:01:14 น.
โหยยยยยยยยยยยยยยยย พ่อแม่รังแกฉัน จะคอยดู๊ เวหาโตขึ้นมาไม่แคล้วเหมอืนพ่อแม่ จิกหัวพ่อแม่เหมือนที่พ่อแม่ทำกับย่าแหงๆๆๆ

โอ๋ๆๆๆๆ โยนมาเลยค่ะพี่แก้ว รอรับยุ เอ๊ะ ไม่ใช่ คนนะไม่ใช่ลูกบอก กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก


Zephyr 22 มิ.ย. 2557, 00:23:22 น.
งานเข้า มีเรื่อง จะโดนไล่ออกมั้ยนะ
พ่อกะแท่ด่าซ้ำแน่เลย เฮ้อออออ


nasa 23 มิ.ย. 2557, 00:51:34 น.
ยังกะโจตัวซวยเลย แต่นี่รันทดแทน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account