กลิ่นรัก...อบอวลหัวใจ
หญิงสาวผู้มาดมั่นเลือกการงานมากว่าเรื่องรักใคร่ๆหรือต้องมาข้องแวะเกี่ยวหัวใจให้ชายคนไหน
กับชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ไม่เคยคิดจะจริงจังพันใจกับผู้หญิงใดๆ ทั้งคู่จะมาบรรจบรักกันได้เช่นไร
โปรดคอยติดตามนะคะ

แนะนำตัวละคร

พระเอก
นายธารานนท์ เตชโชติ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ รวมทั้งเจ้าของโรงแรมรีสอร์ทในเครือมากมายล้นฟ้า แต่ไร้คู่ครองเคียงข้าง เมื่อไม่เคยเจอผู้หญิงที่จะทำให้อิ่มเอมทั้งชีวิตโดยไม่รู้สึกเบื่อ หญิงสาวคู่ครองสักคนของเขาคงจะไม่มีในโลกนี้ แต่เมื่อได้มาทำงานในต่างจังหวัดและพื้นที่อำเภอท้องถิ่นเล็กๆ แห่งหนึ่ง โดย ได้พบกับส.ส. นรินศาสาวมั่นแสนสวย แต่ไม่ไร้สมอง ทั้งเก่งเอาตัวรอดโดยไม่ต้องขอความช่วยจาก ใครๆก็ได้ ทำให้ชายหนุ่มเพลินเพลิดไปกับเธอ ไม่ว่าเธอจะมาพบเจอเขาด้วยอย่างความบังเอิญหรือในสถานที่ไม่คาดถึงก็ตามทุกครั้ง แต่หัวใจของเขากลับอบอุ่นร้อนทั้งโหยหา มีแต่ความคิดถึงให้เธอทั้งกลางวันและกลางคืนที่นอนหลับฝัน รวมทั้งยังเข้าไปเจออุปสรรคด้านการเมืองการทำของเธอ ซึ่งชายหนุ่มนั้น ทั้งแสนชิงชังอาชีพการเมืองของพ่อผู้ให้กำเนิดนัก

นิสัย : การพูดทั้งจริงจังอย่างมาก ทั้งพูดเล่นกับคนที่ถูกชะตา เจ้าชู้ไม่เคยจริงใจกับผู้หญิงคนไหนๆเลย แต่จริงๆแล้ว ส่วนมากผู้หญิงจะเป็นฝ่ายชอบวิ่งเข้าหา เขาจึงต้องตอบรับบรรดาผู้หญิงเหล่านั้น ในใจลึกๆ เขากำลังต้องการผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูก ไม่ใช่ชอบเขาเพียงแค่เงินตราอันมหาศาลของเขา ด้านการทำงานไม่มีที่ติและเขาต้องทำให้จนสำเร็จ แม้ว่า ฝ่ายตรงข้ามจะต้องล้มละลายเขาก็ไม่สนใจ

นางเอก
นางสาว นรินศา อัณณ์ศญา หญิงสาวผู้มีใจรักในบ้านเกิดของตนเองยิ่งชีวิต อยากให้บ้านเกิดของตนเองมีความสุข ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตามแบบประเพณีวิถีชีวิตดั่งเดิมในรัชสมัยๆที่ผ่านๆมา จึง ขอก้าวเข้ามาเป็นตัวแทนของราษฎร และประชาชน เพื่อนำความสุขมาสู่บ้านเกิดของตนเอง แต่อุปสรรค์มากมายทั้งภายในไม่ลงรอยกับนักการเมืองในพรรค ทั้งภายนอกด้านการมีเส้นสายที่คอยจะคดโกงกินแผ่นดิน กว่าจะเปลี่ยนความคิดให้รู้จัก คำว่า “สามัคคี” อีกครั้ง มันคงทำให้เธอใช้ความรู้และสามารถ ทั้งหัวใจยิ่งชีวิต บนเส้นทางวิถีดำเนินชีวิตปัจจุบันที่มีเล่ห์เหลี่ยมชักจูงหวาดล้อมมากมาย รวมทั้งบนเส้นทางแห่งความรักที่ก่อเกิดโดยไม่รู้ตัว เพราะความอวดดีอวดเก่งของชายหนุ่มเจ้าของรีสร์อทคนใหม่ ที่มีหัวใจแบบคนโกง เจ้าชู้ จนครบทุกรูปแบบเป็นผู้ชายที่หญิงสาวแสนเกลียดนัก และจะไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายพันธุ์นี้เด็ดขาด

นิสัย : สาวมั่น ผู้มีอุดมการณ์ของตนเองสูง การพูดจาจะนิ่งหนักแน่น จะอ่อนหวานเฉพาะคนเป็นพ่อกับแม่และเพื่อนสาวคนสนิทเท่านั้น

แล้วกลิ่นรักที่คุกรุ่นหมองหม่น ในใจของชายหนุ่มธารานนท์กับท่ามกลางธรรมชาติท้องทุ่งนาแสนอันจะใกล้กลับคืนมาให้สมบรูณ์อีกครั้ง...ด้วยหัวใจอันรักยิ่งแห่งบ้านเกิดของหญิงสาวนรินศานี้จะจบลงได้เช่น ไร ในเวลาไม่ช้านี้ ตะวันที่รอทอแสงรุ่งอรุณให้สดใสกำลังจะพิสูจน์ความรักของทั้งคู่...
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานแหวว,หวานน่ารัก,แนวรักสบายๆ

ตอน: บทที่ 12 หลงเสน่ห์ขวัญใจ...

รูปเฮือนชาวภูไท


ขอ...ขอบคุณภาพ จาก http://www.isangate.com/isan/paothai_phutai.html

บทที่ 12 หลงเสน่ห์ขวัญใจ

กว่าจะหาเส้นทางขึ้นมายังหมู่บ้านชาวภูไทบนภูเขาได้ ธรานนท์แทบถอนหายใจเฮือกโตเลยทีเดียว พอถึงที่หมายเรียบร้อย ท่านส.ส.สาวคนเก่งก็ก้าวลงจากรถ โดยไม่รอเขาสักนาที ชายหนุ่มจึงต้องรีบก้าวเดินไวๆ ตามหลังไปให้ทันเช่นกัน

หมู่บ้านเรือนไม้หลายหลัง ตั้งถิ่นฐานอยู่กันอย่างเป็นกลุ่มๆ ไม่ไกลตานัก ธารานนท์ มองวิถีชีวิตของชาวป่าบ้านภูเขาด้วยความสนอกสนใจ ระหว่างทางเดินเขาก็ยังส่งยิ้มให้กับชาวบ้านที่พบเห็น และการได้รับไมตรีด้วยกลับมานั้น ทำให้ชายหนุ่มเมืองกรุง ก้าวเท้าเดินอย่างไม่เคอะเขินสักเท่าไรนัก

“นั่นคำอ้อหรือเปล่า แม่เฒ่า อยู่ไหมจ๊ะ” เสียงแม่สาวร็อกเกอร์หน้าหวาน เรียกสติให้ธารานนท์กลับมาอยู่โลกความจริง เด็กสาวคำอ้อ อายุสิบสี่ย่างสิบห้าปี ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าทั้งสองคน

“สวัสดีค่ะ แม่เฒ่าพักผ่อนอยู่บนเฮือนแหละจ้า” คำอ้อบอกพร้อมยกไหว้แขกที่มาหาแม่เฒ่า พวกเขาเป็นใครกันนะ ทำไมถึงได้รู้จักชื่อของเธอด้วย

“พี่ชื่อรินจ๊ะ พี่ที่เคยมาหาแม่เฒ่ากับพี่กอหญ้าเมื่อปีก่อนน่ะ จำได้ไหมจ๊ะ” เด็กสาวคำอ้อ ถึงกับบางอ้อ เพราะได้ยินชื่อของกอหญ้า พี่สาวผู้เป็นขวัญของเธอ และแถมพวกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนพูดถึงกอหญ้าบ่อยๆ บวกกับเคยไปดูงานเกษตรที่บ้านไร่บ้านสวนของพี่กอหญ้าด้วย ทำให้คำอ้อชื่นชอบนัก

“อ้อๆ เพื่อนพี่กอหญ้านี่เอง” นรินศาได้พยักหน้ารับเล็กน้อย

“พาพี่ไปหา แม่เฒ่าหน่อย พี่ขอเวลารบกวนไม่นานหรอก”

“ได้ค่ะ” คำอ้อรับคำ ก่อนจะพาแขกผู้เป็นเพื่อนกับพี่กอหญ้า ไปหาแม่เฒ่านับหน้าถือตาประจำหมู่บ้าน โดยไม่คิดลังเลใดๆ

“บ้านที่นี่น่าอยู่ดีนะครับ ท่าน” ธารานนท์เอ่ยคุย เพราะอยากให้รู้ว่าไม่ใช่ส่วนเกิน

“ค่ะ”

“ตอบผมสั้นจัง ไม่คิดจะอธิบายความเป็นมาของหมู่บ้านแห่งนี้ ให้ผมฟังบ้างเหรอครับ” ธารานนท์พยายามหาเรื่องคุยกับเธอ นริศนายักไหล่ เพราะขี้เกียจอธิบายให้บรรดานักทุนจอมกินเลือด หัวสมองคิดแต่คำว่า ‘ธุรกิจ’ จะเข้าใจวิถีชีวิตของชาวป่าบ้านภูเขา ที่อยู่อย่างสงบๆ ได้อย่างไร

“หมู่บ้านที่นี่ มีผู้คนอาศัยอยู่ส่วนน้อยค่ะ ยิ่งประเพณีและวัฒนธรรมโบราณ ซึ่งจะเก็บให้ลูกหลานได้เชยชมกันนั้น ก็กำลังลดหายไปทุกวันๆ ทางจังหวัดจึงอยากจะจัดกิจกรรมส่งเสริมและรักษาเอาไว้ค่ะ” ธารานนท์ยิ้มได้ เมื่อฝ่ายหญิงคนเก่งเริ่มอธิบาย ตลอดเส้นทางที่เดินก้าวมาในหมู่บ้าน เขาเห็นเรือนบ้านไม้แปลกตา มันไม่เหมือนบ้านทรงโบราณทางเหนือเลย ความเป็นอีสานยังอยู่ครบในภูมิภาคของตนเองเช่นกัน

“บ้านเรือนที่เห็นอยู่นี้ มันเก่ามากค่ะ ทางสำนักจังหวัดที่คอยดูแล ยินดีซ่อมแซมให้ด้วย แต่...” นรินศาเว้นคำพูด เพราะเด็กสาวคำอ้อ พามาถึงเรือนที่พักของแม่เฒ่าแล้ว

“อิเบ๊ะเฒ่าพิลา...มีพวกเพิ่นมาพ้อเด้อ” คำอ้อร้องร้องบอกเสียงดัง ก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดเรือนบ้านทรงหลังคาเหลี่ยมดั้งสูง

“ใผ...รือ” ร่างหญิงชรามากหลังคร่อม พยายามก้าวย่างโผล่ออกมาอย่างเชื่องช้า เด็กสาวคำอ้อ รีบเข้าพยุงประคับประคอง พาออกมานั่งบริเวณเรือนหัวลอยของบ้าน ที่ยื่นเป็นกระดานพื้นไม้ออกมาระหว่างเรือนใหญ่

แขกผู้มาเยือนถอดรองเท้าและก้าวบันไดที่สูงเกือบสองเมตรขึ้นมายังตัวเรือนบ้าน นริศนาเดินนำทางให้ชายหนุ่มเมืองกรุง และพยายามนั่งพับเพียบลงพื้นกระดานไม้เรือนของแม่เฒ่าพิลา ก่อนที่ทั้งคู่จะทำการไหว้สวัสดีผู้หลักผู้ใหญ่ วัยชราอายุเลยแทบเกินครึ่งชีวิตของพวกเธอ

“นรินศาค่ะ แม่เฒ่าพิลา จำรินได้ไหมคะ”

แม่เฒ่าพิลาอยู่ในชุดเสื้อผ้าแขนระบอกคอจีนย้อมสีคราม กับกระโปร่งผ้าซิ่น ใบหน้าเหี่ยวย่นชราอย่างมาก พยายามเอ่ยถ้อยคำแหบๆ เบา จึงพากันได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก คนเป็นหลานสาวนั่งลงที่พื้นข้างๆ คนเป็นทวด ต้องทำตัวไม่ยืนค้ำหัวของแขกที่มาหาด้วย

“จำ...ได๋ยู่” แม่เฒ่าพูดเนิบๆ ช้าๆ แม้สายตาขุ่นมัว พยายามเพ่งพินิจใบหน้าของนรินศา เท่าที่จะจำได้ ก่อนเหลือบไปหาชายหนุ่มรูปหล่อตี๋ๆ หน้าขาว ที่ยิ้มแป้นอย่างเป็นมิตรส่งมาหาแม่เฒ่าให้เขินอายเล่นๆ

“โผ...เจ้าบ่”

นรินศาแทบเกือบจะสำลักน้ำลายตนเอง เพราะคำทักอันแรงกล้าของแม่เฒ่าพิลา “เอ่อ...ไม่ใช่ค่ะ”

“ซื่อหยังล่ะ” แม่เฒ่าพิลา พยายามถามไปทางชายหนุ่มรูปหล่อดูมีภูมิฐานทันสมัย

“ธารานนท์ ครับ ผมขับรถมาเป็นเพื่อนท่านนรินศา”

“โธ...เพื๋อนกั๋น...” แม่เฒ่าพิลา สรุป เมื่อธารานนท์พยายามอธิบายช่วยท่าน นรินศา

“แม่เฒ่าค่ะ วันนี้รินจะเชิญแม่เฒ่าไปร่วมงานรดน้ำดำหัวคนเฒ่าคนแก่ค่ะ งานเหมือนปีที่แล้ว แม่เฒ่าจำได้ไหมค่ะ”

“ง๋านคนหลายๆ แม่ก็เมื่อยเด้อ อิหล่า” ได้คำตอบจากแม่เฒ่าว่าท่านเหนื่อย กับกิจกรรมที่ทางจังหวัดจัดขึ้น เมื่อครั้งปีก่อน

"ซิไป๋ยู่ เมื่อลูกเต้าบ่มาพ้อ แม๋ซิลงไป๋เบิ่งงานพี้นำ คือเก่าแหละ" พอแม่เฒ่าบอก มันก็มีส่วนถูก การที่ครอบครัวทิ้งปู่ย่าตายายไว้ข้างหลัง ลูกหลานสมัยใหม่ก็ไม่คิดจะเยี่ยมพวกท่านบ้างเลย

"ขอบคุณค่ะ แม่เฒ่า นี่จดหมายเรียนเชิญค่ะ คำอ้อ อ่านให้แม่เฒ่าฟังด้วยนะ วันงานจะมีรถจากศูนย์วัฒนธรรมมารับ อย่าลืมชวนคนอื่นๆ ไปด้วยนะ" นรินศารีบพูด เพราะกลัวแม่เฒ่าพิลาเปลี่ยนใจ ถ้าเกิดคนเป็นยายย่าทวดดึงดันดื้อขึ้นมา งานนี้เธอพังลงด้วยเช่นกัน ปีที่แล้วยัยกอหญ้าทำตัวป่วนจนแม่เฒ่าพิลา ปวดหัวไปตามๆ กัน

"จ๊ะ พี่ริน" คำอ้อรับจดหมายเชิญจากนรินศา

"เจ้าไป๋ งานพี้นำบ่ บักหล้า" เมื่อแม่เฒ่าถาม นรินศาจึงช่วยแปลให้ชายหนุ่มฟังออก

"อ้อไปครับ ท่านนรินศา ไปไหน ผมตามอยู่ด้วยทุกที่แหละครับ" แม่เฒ่าหัวเราะคิกคักราวกับชอบใจนัก

"แม่ซิท่าเบิ่งเด้อ" วันนี้แม่เฒ่าพิลาอารมณ์ดีเป็นกรณีพิเศษ เพราะนานๆ ทีจะเจอแขกพ่อหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพิสมัย เพราะท่านอยากเจอลูกหลานฝ่ายชายบ้างเหมือนกัน ทิ้งให้ท่านอยู่กับนางคำบัว ซึ่งเป็นแม่ของคำอ้อ ทั้งที่เป็นเพียงหลานเหลนโลน ห่างๆ เท่านั้น ด้วยความที่ยังรักบ้านเกิดเมืองนอน เลยอาศัยอยู่ที่นี่ตลอด

คำบัวขี่มอเตอร์ไซด์กึ่งคันเก่าๆ ไปจ่ายตลาดและหาของป่า เพื่อกลับมาทำอาหารที่เฮือน พอเจอแขกสองรายมาเยี่ยมยายทวด ก็ต้องแปลกใจเป็นธรรมดา แขกผู้มาเยือนยกไหว้ หญิงวัยกลางคนอายุรุ่นราวคราวแม่ของพวกเขา ก่อนแนะนำตัวเล็กน้อย

"โอ๊ะ ท่าน ส.ส. อิหลีติ" คำบัวเพิ่งจะทราบ เมื่อได้อ่านจดหมายเรียนเชิญจบ ก่อนทำตัวไม่ถูกเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอ ขวัญใจประจำจังหวัด เนื่องจากปีที่แล้ว มาพร้อมกับเพื่อนสาวแห่งไร่สินพสุธร พอเห็นชายหนุ่มรูปหล่อคนเมืองกรุง นางคำบัวจึงคิดว่าเป็นแขกมาจากที่อื่นๆ

"ค่ะ วันนี้รินเอาหนังสือเชิญมาส่งแม่เฒ่าค่ะ คุณคำบัวช่วยให้แม่เฒ่าเซ็นประทับตอบรับด้วยนะคะ"

"อิเบ๊ะเฒ่า ตกลงไปร่วมงานแล้วหรือ" คำบัวเผลอถามกลับ เพราะแปลกใจที่แม่เฒ่าตอบช่วยงานง่ายๆ ปีที่แล้วนางจำได้ว่ากว่าจะกล่อมสำเร็จได้ ใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมง นรินศาตอบรับว่าตกลงเรียบร้อยแล้ว

"มักบ่ อิเบ๊ะเฒ่า บ่ย่านหมดแฮงบ่" คำบัว หันไปถามแม่เฒ่าพิลา ซึ่งได้คำตอบว่าอยากไปเห็นงานแสงสีสันบันเทิง สวยงามบ้าง และมันคงจะม่วนดี

"งั้น ข้อยสิตัดชุดงาม ใหม่ๆ ให้เด้อล่ะ" แม่เฒ่าพิลายิ้มปากบานฟันหลอ เมื่อหลานสาวตามใจตนแก่วัยชราภาพ มีอายุร่วมถึงร้อยหนึ่งปี ทว่าท่านยังแข็งแรงอยู่เต็มกำลัง

จากนั้น นางคำบัวจึงไปหาตราประทับประจำตัวของแม่เฒ่า มาให้แม่เฒ่าเซ็นรับ ซึ่งกว่าจะหาเจอนะ ธารานนท์แทบนั่งจนเหน็บชา ตะคริวกินขาไปเป็นเรียบร้อย

ด้านแม่เฒ่าพยายามชวนคุยอีกหน เขาพอจะฟังได้บางคำ แต่กลับชอบประโยคสุดท้าย เมื่อแม่เฒ่ากล่าวบอกก่อนลาจากกัน ชายหนุ่มถึงขั้นยิ้มเขินๆ ชอบใจอย่างมากเลย

"ฮักกั๋นหลายๆ เด้อ บักหล้า อย่าทิ้มกันไป๋ไส ทั้งคู่คือกั๋นแล้ว" คำอวยพรน้อยๆ ก่อนจะประทับตราจดหมายเชิญเสร็จส่งคืนเรียบร้อย

หลังขับรถออกมาทางไหล่เขาได้สักพัก ใบหน้านวลหวานลุกซ์แนวร็อกเกอร์ยังหงิกจนนิ่งเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตหน้ารถของธารานนท์ มองแล้วช่างอยากถอนหายใจเป็นร้อยๆ รอบ

"แม่เฒ่าน่ารักดีนะครับ" ธารานนท์ชวนคุย

"ค่ะ ถ้ามีลูกหลานให้ความสำคัญบ้าง คงจะดีกว่านี้ อายุแม่เฒ่าก็มากแล้วด้วย" นรินศาบอก เพราะยังนึกภาพคนวัยชราที่จากกันมา

"ข้อนี้ ผมเพิ่งเข้าใจนะ...ว่านักการเมืองนั้น มีจิตใจช่วยเหลือสังคมอย่างจริงจัง" เวรล่ะ ปากพาเสียเรื่องจนได้ ไอ้ธารานนท์ เมื่อนรินศาได้คำเหน็บแนมจากใบหน้าที่หงิกอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มอยากจะเอาเรื่องคนตรงหน้า

"มันอยู่ที่ความใส่ใจมากกว่าค่ะ ฉันรู้นะว่าคุณ...มองอาชีพงานสายนี้ในแง่ไม่ดี"

ธารานนท์ยักไหล่ เพราะเขามีพ่อจอมอุดมการณ์ทางกการเมือง เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ค่อนไปทางประชดประชันอยู่เมืองหลวงโน้น จู่ๆ เท้าธารานนท์เหยียบเบรกรถกะทันหัน เนื่องจากมีมอเตอร์ไซด์แต่งคนหนึ่ง ขับแล่นมาตัดหน้ารถยนต์อย่างจงใจ

"เฮ้ยๆ ขับรถอย่างไงวะ" ธารานนท์กำลังจะออกจากรถไปเจรจา แต่ว่ากลับถูกมือเล็กๆ รั้งเอาไว้

"อย่าไป" ชายหนุ่มหลงคิดว่า ท่าน ส.ส. สาวคนเก่งเป็นห่วงตน

"ขับรถ ออกไปจากตรงนี้ค่ะ! เดี๋ยวนี้ด้วย!" นรินศาเอ่ยขึ้นเสียงดัง ธารานนท์รีบทำตามโดยที่สมองยังไม่ได้คิดทบทวนใดๆ เพียงแค่รถยนต์ของธารานนท์วิ่งแล่นต่อ พวกเจ้ากลุ่มเด็กแว้นเกือบสิบคนก็โผล่หางออกมา บิดมอเตอร์ไซด์ดังกระหึ่มก้องกัมปนาทไปทั่วผืนป่าภูเขา

"เกิดอะไรขึ้นครับ" ธารานนท์ร้องถาม กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งดูเหมือนพวกเขากำลังถูกไล่ล่า

"นายน่ะตั้งสติดีๆ แล้วขับรถไปเลย ที่เหลือเดี๋ยวฉันจะจัดการเอง" เจอคำสั่งจากผู้หญิงร็อกเกอร์หน้าหวานอีกจนได้ ชายหนุ่มสบถคิดในใจ

"หมายความว่าไงครับ พวกนั้นเป็นใคร ท่านรู้หรือเปล่า" ธารานนท์รีบถามอย่างว่องไว

“พอจะรู้นะ แถวนี้ ถูกผู้คนเรียกว่า เด็กแว้นเสือภูเขาน่ะ” ก่อนจะตะลึงกับคำตอบของฝ่ายหญิงคนเก่ง

"ห๊า...บทถนนในเมืองมีเด็กแว้นแล้ว บนถูเขาก็มีด้วยหรือครับ"

"ใช่มั้ง ขับรถไปเถอะน่า อย่าถามมากได้ไหม ถ้าเผลอจอดรถเมื่อไหร่ พวกมันพากันเล่นงานเราแน่ๆ"

"เป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นสุดๆ" ธารานนท์พึมพำหน้าเครียด และนึกหนังบู๊สักเรื่อง ก่อนจะได้เห็นอะไรที่เหมือนในหนังบู๊ ปะทะเข้าลูกกะตาเต็มๆ

"ปะ...ปืน ท่านพกมันใส่กระเป๋ามาด้วยเหรอคร้าบ" ดวงตาของชายหนุ่มเมืองกรุง เบิกโต อย่างไม่อยากเชื่อเลย เมื่อลูกจระเข้ของพ่อศาสตราแผงฤทธิ์เข้าให้แล้วสินะ ธารานนท์เริ่มอยากจะหัวใจวายตายตรงนี้แหละ

"นายคิดว่า ทำงานสายนี้ มันจะต้องเดินทอดน่องใส่ชุดสวยๆ เหมือนเดินอยู่บนห้างหรือไง" นริศนาเอ่ยจิกจัด พ่อหนุ่มมองโลกในแง่สวยงาม

"ไอ้พวกข้างนอกศัตรูของท่านเหรอ!" ธารานนท์สรุปถาม อาชีพสายนี้มีความเสี่ยงจริงๆ ให้ตายสิ ผู้หญิงหน้าหวานคนนี้ถือว่ามีความเก่งและความสามารถอย่างยิ่ง

"ศัตรูนายมากกว่ามั้ง" นรินศาตอบกลับด้วย ความไวไม่ต้องคิดอะไร

"อ้าว มาโยนให้ผม ทำไม" ธารานนท์ไม่เชื่อคำพูด ของเธอ เขาเพิ่งมาอยู่ที่นี่เองนะ จะไปสร้างศัตรูที่ไหน อ้อๆ มีอยู่คนหนึ่ง ก็ผู้หญิงคนเก่งข้างๆ เขานี่ไวล่ะ แต่เป็นศัตรูหัวใจ

"ไม่มีใครรู้ว่า ฉันมากับนาย และรถฉันไม่ได้ขับคันนี้ไปทำงาน เข้าใจชัดเจนไหมคะ คุณชาย" นรินศาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงประชดประชัน พร้อมสมองของเธอตอนนี้ ซึ่งกำลังประมวลแผนการเอาไว้อยู่ในใจ

"ผม จะไปมีศัตรูที่ไหนกัน ผมเพิ่งมาอยู่ที่จังหวัดนี้ไม่นานนะ" ชายหนุ่มแย้ง

"หึๆ" นรินศาถึงกับหัวเราะในลำคอ เพราะข่าวกรองที่ยัยกอหญ้าบอกมาลอยๆ สงสัยมันเป็นเรื่องจริง เนื่องจากว่า มีการสะกดรอยตามตัวนายธารานนท์ชัวร์แน่ๆ

"หักรถเข้า ชานไหล่เขาตรงนั้น!" เสียงหวานสั่ง ราวกับเตรียมแผนการสู้รบ

ธารานนท์ทำตามอย่างสีหน้าซีด มันรวดเร็วจนรถของเขา แทบจะพาพลิกคว่ำ

เปรี้ยง! เสียงภัยอันตรายแรกดังสนั่นขึ้น ทั่วผืนป่าภูเขาแสนสงบนิ่ง นกป่าตัวเล็กๆ หลายสิบตัวตื่นตระหนกรีบบินหนีทะยานสู่ท้องฟ้าอันมีแดดสาดส่องตอนกลางวันแสดๆ



บริเวณถัดห่างออกไปไม่ถึงไมล์กิโล มีรถกระบะสีดำจากไร่สินพสุธร กำลังแล่นข้ามภูเขาลูกนี้มาเรื่อยๆ และตุ๊กตาหญิงสาวที่นั่งข้างๆ คนขับ เวลานี้ทำตัวราวงอนๆ ราวกับเหมือนไม่พอใจ

‘จะงอนไปถึงไหนนะ กอหญ้าคนดีของพี่’ นายพิริยะขับรถไปและบ่นในใจคนเดียว แค่จะไปซื้อปุ๋ยมาใส่แปลงดินในไร่ กอหญ้าของเขายังไม่คิดอยากจะมาเป็นเพื่อนด้วย ถ้าแม่นายไม่พูดหรือบังคับให้มาด้วยกันนะ มีหวังนายพิริยะคนนี้คงจะซื้อปุ๋ยผิดสูตรกลับไร่อย่างแน่นอน

เปรี้ยง! จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งกระทบประสาทรับรู้ของปณยาทันควัน สาวร่างทะมัดทะแมงคนขยัน และเป็นลูกคนเล็กจากบ้านสินพสุธร รีบหันซ้ายหันขวา

‘เสียงอะไรน่ะ’ แถมยังหูผึ่งดีกว่าใครๆ ด้วย ยิ่งมีภัยอันตรายใกล้ๆ เกิดขึ้น รางสังหรณ์ของปณยามักจะตื่นตัวเสมอๆ

"คุณพาย ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ บ้างไหม"

"มะ...ไม่ได้ยินอะไรเลยครับ มีอะไรหรือเปล่า กอหญ้า" พิริยะเกิดตกใจ เมื่อ จู่ๆ หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นมาดื้อๆ

"ช่วยขับเลี้ยวไปทางนั้นหน่อย"

"เอ๊ะ มันไม่ใช่ทางไปซื้อปุ๋ยนะ พี่จำได้" พิริยะทักท้วงอย่างขัดๆ

"บอกให้ขับไป...ก็ขับไปเถอะน่า!" ปณยาเผลอตวาดใส่ ด้วยอารมณ์ที่ครุ่นคิด เหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่รู้ บริเวณแถวนั้น

"ครับๆ" พิริยะ ต้องทำตาม เล่นทำเสียงขู่ขวัญแบบนี้ เขาก็ใจเสียนะ ผู้หญิงอะไรดุฉิบหาย

เมื่อรถของพิริยะแล่น เข้ามาใกล้ๆ ปณยาเริ่มมองเห็นเงากลุ่มคนพวกหนึ่ง และดูท่าทางจะไม่ดีด้วย เธอจึงค้นหาของบางอย่างในรถ อย่างละหวั่นพันมือ พิริยะร้องถามว่าหาอะไร และคำตอบที่ได้ คือ เมื่อเห็นสิ่งที่ถูกซ่อนเก็บเอาไว้ในเบาะนั่งหลัง

“ไม้คมแฝก ถนัดมือด้วย หึๆ” ปณยาพึมพำราวกับเตรียมพร้อมลุยกับเหตุการณ์ที่จะมีขึ้นข้างหน้า

“คิดจะทำอะไรน่ะ กอหญ้า มันอันตรายนะ” พิริยะเอ่ยถามและก็เตือนๆ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัย อีกทั้งมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นที่ไร่ มันยังพอใช่ไหมเนี่ย พอออกมาข้างนอกไร่ สาวใจแกร่งก็ทำตัวเหมือนอยากจะสร้างศัตรูเพิ่ม

“เป็นพลเมืองดี ช่วยเหลือผู้อื่น เคยได้ยินไหมคะ คุณพาย”

“เคย แต่นี่มันอันตรายเกินไปนะ เหมือนกลุ่มนั้นเขากำลังมีเรื่องกันใหญ่โตเลย” พิริยะ ไม่อยากให้ปณยา หญิงสาวผู้กุมหัวใจของเขา เข้าไปยุ่งกับเรื่องเดือดร้อนของคนอื่นๆ

“เราถึงต้องเข้าไปดูเหตุการณ์ไว้ไง คุณพาย บางทีอาจจะมีคนถูกทำร้ายก็ได้นะ” ปณยาพยายามแย้ง

“จิตใจอันหวังดีของเธอ อาจจะกลับมาทำร้ายตัวเธอเองก็ได้นะ อย่าไปเลย พี่ว่าพวกเราแจ้งตำรวจดีกว่า” พิริยะเองก็ไม่อยากเสี่ยงอันตรายเช่นกัน

“เดี๋ยวแจ้งน่า ขอดูสถานการณ์ก่อนได้ไหมคะ พ่อหนุ่มใจเปราะบาง” เจอเธอต่อว่า พิริยะถึงทำเสียงฮึดฮัดในลำคอไม่ชอบใจ ก่อนจะรีบออกจากรถและวิ่งตามหลังแม่สาวใจแกร่ง ผู้เห็นคนอื่นตกอยู่ในภัยอันตรายไม่ได้เด็ดขาด ปณยาจะไปจัดการคนเหล่านั้นอย่างไรกัน พิริยะแทบหายใจไม่ทั่วท้องไส้เอาเสียเลย ให้ตายสิ



ทั้งๆ ที่นรินศาบอกว่าห้ามจอดรถ แต่เธอกลับสั่งให้ธารานนท์จอดเทียบท่าระหว่างไหล่เขาข้างทาง และเสียงแรกก็เกิดขึ้น จากเด็กแว้นแก๊งค์นี้ มันเอาไม้หน้าสามฟาดที่กระจกหลังรถยนต์ ทำให้ธารานนท์รีบออกรถก่อนทันที เพราะถ้าพวกมันต้องการเล่นงานเขาจริงๆ แค่วิ่งหนีออกไปให้ห่างๆ หญิงสาวไว้ รับรองเธอต้องปล่อยภัยแน่ๆ

และแล้วความคิดของธารานนท์ถูกต้องจริงๆ พวกมันไม่ได้สนใจเธอ เป้าหมายของมันชัดเจนมาก คือ ตัวเขานั่นแหละ สิงห์มอเตอร์ไซด์แต่งเครื่องยนต์หลายคันไล่จี้ตามเจ้าของรีสอร์ทแมกไม้กอหญ้า หวังทำร้ายขู่ขวัญให้หวาดกลัว

เปรี้ยง! แต่เสียงปืนที่ดังสนั่น ทำให้พวกมันต้องหันกลับมามองยังรถของธารานนท์ และต่างพากันตาโต เมื่อเจอบอดี้การ์ดสาวร็อกเกอร์หน้าหวาน ฉายปรากฏตัวให้เห็นเต็มๆ

“มึงมีบอดี้การ์ดด้วยหรือฟะ” พวกมันคนหนึ่งร้องถาม ใบหน้าเด็กแว้นพวกนี้ปกปิดด้วยหมวกกันน็อกเต็มใบหน้า ซึ่งไม่อาจจะมองเห็นรูปหน้าตาที่แท้จริงของพวกมันได้เลย

“เฮ้ยๆ พวกมึงไปจัดการนังนั่น กูจะเล่นงานบักหมอนี่เอง” คนเป็นลูกพี่สั่ง

“อย่าไปนะ อย่าทำร้ายเธอนะ” ธารานนท์ตระโกนบอกลั่น หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้น

“มึงก็ไม่รอดเหมือนกัน ฮ่าๆ” ไอ้ตัวลูกพี่บอกเสียงคำรามหัวเราะ ก่อนบิดมอเตอร์ไซด์ให้ดังกระหึ่มข่มขู่กระทกหัวใจธารานนท์

เปรี้ยง! เปรี้ยง! นัดที่สองและสามครั้งที่ดังขึ้น ทำให้ไอ้คนเป็นลูกพี่หัวโจกตาโต กลืนน้ำลายตัวเองลงคออย่างฝืดๆ มอเตอร์ไซด์แว้นสามคันถึงกับจอดหยุดซะงัก ปืนนะใครๆ ก็กลัวนะ แม้ผู้หญิงถือและใช้มันเป็นด้วยก็เถอะ

นรินศาทำเสียงชิชะ เบื่อผู้ชายคิดจะทำตัวเป็นฮีโร่ ทั้งๆ ตัวเองจะตายก่อนโดยไม่รู้ตัว เธอรู้ว่าเหตุใด ธารานนท์ถึงวิ่งออกไปไกลห่างจากเธอ รู้ว่าอยากช่วยให้ตัวเธอปลอดภัย แต่เอาตัวเองไปเสี่ยงกับเด็กนักเลงหลายคนพันธ์นี้ มันจะคุ้มไหมล่ะ เท้าเล็กๆ ของหญิงสาวก้าววิ่งไปอีกทางเช่นกันล่ะ เธอต้องการล่อพวกมันให้เหลือน้อยลง

“ตามไปสิวะ ไอ้พวกโง่” ลูกพี่ใหญ่ตะคอกสั่งสุดแสบคอ

“ไม่นะ” ธารานนท์ร้องลั่น ทว่ามันกลับสายไปแล้ว เมื่อเด็กแว้นอีกสองคนกระโดดลงจากรถมอเตอร์ไซด์เพื่อน วิ่งเข้ามารุมทำร้ายอย่างรวดเร็ว

“อุ๊บ!” เจอต่อยเข้าที่ท้องหลายหมัดแทบจุก แล้วร่างชายหนุ่มก็คุกเข่าลงไปกองกับพื้นดิน

“จับมันไว้ก่อน กูสิเชือดผู้หญิง หึๆ ให้มันดู” ธารานนท์ใจหล่นไปถึงตาตุ่ม เมื่อเจอคำพูดของหัวหน้าแก๊งมอเตอร์ไซด์ กลางวันแสดๆ เชียวนะ มันคิดทำอะไรผู้หญิง...ธารานนท์ไม่อยากคิดภาพในหัวต่อเลย

“อย่านะ ไอ้พวกระยำ นั่นท่าน ส.ส. นรินศา เชียวนะ พวกแก กล้าคิดทำร้ายเธอหรือไง” ธารานนท์เอ่ยขู่ด้วยชื่อเสียงอาชีพของเธอ แต่ทว่ากลับลืมสนิท...เพราะไม่รู้ว่าเธอมีเครือข่ายบารมีหรือไม่

“โอ๊ะๆ นั่นท่าน ส.ส. ขวัญใจพ่อแม่พี่น้องหรือเนี่ย ฮ่าๆ เสร็จกูล่ะ” ธารานนท์ตาโตตื่นๆ วิตกกังวล เพราะพวกมันไม่เกรงกลัวเธอเลยแม้นิดเดียว เสียงมอเตอร์ไซด์ไอ้เป็นลูกพี่ใหญ่เลี้ยวหักไปยังทิศทางของหญิงสาวขวัญใจประชาชน พวกลูกน้องสองคนที่เข้ามากระทืบทำร้ายร่างกายของธารานนท์ พยายามจับข่มตัวชายหนุ่มกองกับพื้นดินเอาไว้ เพื่อต้องการให้ดูฉากเชือดผู้หญิงจากของลูกพี่ของเขา แล้วพวกมันยังก่อกวนส่งเสียงคำรามหัวเราะเยาะสะใจใส่ธารานนท์ เนื่องจากต้องการทำทุกวิถีทางให้เจ้าของรีสอร์ทแมกไม้กอหญ้าหวาดกลัว จนหนีกลับกรุงเทพฯ ไปโล้น

ตุบ! หมัดปริศนาหนึ่งชกต่อยเข้าไอ้หนุ่มแว้นตัวผอมแห้งฝั่งซ้าย ธารานนท์สะบัดมือของอีกไอ้คนหนึ่งฝั่งขวาหลุดได้ การตะลุมบอนจึงเกิดขึ้น ทว่าหัวใจพ่อหนุ่มเมืองกรุงนั้นบินไปหาท่าน ส.ส. ขวัญใจอยู่โน้นแล้ว เด็กแว้นสองคนดิ้นสู้สุดกำลัง ใช้เท้าถีบหนุ่มวัยอายุมากกว่าจนพ้นตัว และวิ่งพล่านกระเจิ่นหนีไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนๆ

“อย่าเพิ่งไปครับ คุณๆ” มือของชายปริศนาที่มาช่วยธารานนท์ไว้ ร้องบอก

“ขอบคุณครับที่ช่วยผม แต่ผมต้องรีบไปช่วยแฟน ผมเป็นห่วงเธอ” ธารานนท์แอบอ้างเป็นคนรักท่านส.ส.หญิงคนเก่งเสร็จสรรพ เพราะสมองมันบอกให้เอ่ยออกมาแบบนี้

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ มีคนช่วยเหลือแล้วล่ะ” พิริยะเองก็ไม่อยากเชื่อ เมื่อทำการแบ่งกลุ่มคอยมาช่วยผู้ที่ถูกปะทุร้าย เขาก็หัวเสียเช่นกัน ปณยาบอกให้เขามาช่วยผู้ชายคนนี้ ส่วนตัวเธอนั้นจะไปช่วยเพื่อนสาวคนสำคัญ พิริยะและปณยาจอดรถซ่อนไว้ไกลๆ และวิ่งมาจากอีกทางหนึ่ง เมื่อเห็นว่ากำลังมีคนถูกทำร้ายจากกลุ่มเด็กแว้น พอใบหน้าแม่สาวถือปืนสั้นที่ออกมาจากรถยนต์ซีอาร์วี ปณยาแทบร้องตกใจและไม่อยากเชื่อ ผู้หญิงคนนั้น คือ นรินศา เพื่อนสนิทของเธอเอง

“อะไรนะครับ” ธารานนท์ร้องถาม แม้ริมฝีปากหนาตนจะเจ็บปวดเลือดไหลกระซิกๆ หลังจากถูกไอ้เด็กแว้นปล่อยหมัดใส่เข้าหน้าตนไปหลายที



ผัวะ! เสียงกระแทกแรงๆ ราวกับไม้หัก พร้อมมอเตอร์ไซด์คันหนึ่ง ล้มลงระนาบกับพื้นดิน ไอ้เด็กแว้นที่กระเด็นลอยออกจากรถตัวเอง ร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด กระดูกแข้งขาคงจะหักไปสักท่อนล่ะมั้ง

“เฮ้ย ใผวะ” เห็นเพื่อนตัวลอยออกจากรถแว้น นึกว่าเจอผีตอนกลางวันแดดแรงกล้า

“ข้าเอง” ตุบตับ ผัวะ พร้อมใช้ไม้คมแฝกตีใส่บ่ากลังอีกคน เพราะมันหยุดรถดูเพื่อนที่ลอยไปกองกับพื้นดินกลางป่า

“เสร็จไปสอง คิกๆ” ปณยาโผล่ออกจากต้นไม้ใหญ่ที่ซ่อนตัว ก่อนที่ไอ้รถเด็กแว้นจะแล่นแทรกเข้ามายังป่าทึบๆ

มีคนมาช่วยพวกมัน...ไอ้หัวหน้าแก๊งค์ หันไปมองรอบๆ เนื่องจากลูกน้องของเขาหายไปที่ละคนสองคน และทำให้เขาคาดสายตาจากท่าน ส.ส. ขวัญใจ จนได้

“บัดซบเอ้ย ใผวะ” ไอ้หัวหน้าแก๊งค์หักหัวรถกลับไปช่วยลูกน้อง และอยากหน้าไอ้คนที่กล้าอัดลูกน้องตนเอง แล้วก็ตาโตเมื่อเห็นร่างอันเพรียวบาง แม้ว่าจะมีส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเซ็นต์

กอหญ้าเตะสอยมวยไทยอัดเด็กแว้นไปแล้วสองราย แต่ก็ยังเหลืออีกสามนักบิดสุดยอดทั้งนั้น เวลาไม่กี่วินาทีหญิงสาวจอมนักสู้ได้ตกเป็นเป้าตรงกลางวงล้อมใหญ่ ด้วยสิงห์นักบิดอันธพาล พวกมันแผ่เสียงโห้ร้องเยาะหยันราวกับสะใจโคตรๆ เมื่อหญิงสาวจนมุม

เปรี้ยง! เสียงปืนดังขึ้นร้องความสนใจอีกครั้ง และออกมาจากที่ซ่อน เมื่อมองเห็นว่าใครมาช่วยเหลือ ช่างเป็นเรื่องโชคดีที่สุด เมื่อเพื่อนซี้คู่หูโผล่มาตรงเวลาเหมาะสมเป๊ะเวอร์ โดยที่นรินศายังไม่ได้เอ่ยขอร้องให้ใครมาช่วยใดๆ พวกเด็กนักบิดเสือภูเขากู้ร้องคำรามกลับอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน ก่อนตะโกนบอก...

“ท่าน ส.ส. คนสวย ไม่กล้ายิงพวกผมหรอก จริงไหมครับ ฮ่าๆ” เหมือนพวกมันจะรู้ว่า นรินศาเป็นใครด้วย ทำให้การยิงขู่ของเธอจบลง อย่างจำนง เพราะตำแหน่งหน้าที่การงานของเธอก็คล้ำคอเอาไว้อยู่เช่นกัน

“ถ้าท่าน อยากช่วยแม่สาวนักสู้จอมพลัง ก็ยิงพวกเราเลยสิครับ ฮ่าๆ” พวกมันยังท้าด้วยคำพูดอย่างสุภาพ สีหน้าของนรินศานิ่งเฉย และไม่คิดจะทำตามเกมของพวกมันหรอกนะ ริมฝีปากบางเล็กหญิงร็อกเกอร์หน้าหวาน เริ่มขยับร้องบอกเสียง

“กอหญ้า วิ่งเดี๋ยวนี้!”

“ห๊า เอ่อ...ได้ๆ” กอหญ้าแม้จะมึนงุนงัน แต่ก็ทำตามที่เพื่อนบอก เริ่มจากขอตัววิ่งสี่คูณร้อยเมตร

“เฮ้ยๆ ให้มันหนีไม่ได้ ตามนังแรงบ้านั่นไปสิเว้ย” พวกเด็กแว้นไม่สนปืนกระบอกเล็กๆ ในมือนรินศาแม้แต่น้อย

“หึๆ เสียใจด้วยนะ เด็กน้อย เกมไล่ล่าจบแล้ว” นรินศาบอกอย่างเสียงเย็นๆ

ปณยาวิ่งหนีไปอย่างสุดชีวิต เพราะไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อนสาวนักแม่นปืนคนนี้อย่างสุดหัวใจ กระสุนอีกสี่นัดสุดท้ายลั่นเหนี่ยวไกออกมาจากปืนพกสั้นเบเร็ตต้า 21a คู่ใจของนรินศา ปัง ปัง ปัง ปัง! ปิดฉาก...

สิงห์นักบิดเสือภูเขาที่ขับมอเตอร์ไซด์ไล่ตามปณยา อย่างไม่สนใจเสียงปืนอันดังกระหึ่มไปทั่วผืนป่า เพราะรู้ว่าท่าน ส.ส. คนเก่งไม่กล้ายิงประชาชนแน่นอน

พรึ่บบบ!

“อ๊ากก” ไอ้เด็กแว้นคันแรกร้องเสียงลั่นก่อนเพื่อน คันหลังที่ชะล้าใจ ไหลกลิ้งไลด์ล้มคุกคานต่อกันเป็นแถวๆ เมื่อเจอกิ่งไม้ยาวๆ หักโคนใส่หัวเต็มๆ

“แฮ่กๆ” ปณยาหายใจหอบอย่างเหนื่อยหมดแรงกับการออกวิ่งสี่คูณร้อยเมตร ก่อนจะยืนหัวเราะเยาะตามทีหลังและมันก็ดังกว่าเสียด้วยสิ

“ฮ่าๆ เยี่ยมยอดมากเลย คุณเพื่อนเลิฟ” แถมยังยกนิ้วชมเพื่อนสาวนักแม่นปืน ปิดเกมเหนือชัยชนะครั้งนี้

นรินศายิ้มออก แม้ว่าจะยิงหัวใครไม่ได้ก็จริง แต่ถ้าให้ทำการสกัดกั้นเล็กๆ น้อยๆ และสามรถจับเป็นคนร้ายได้ มันก็ถือว่า เป็นการใช้ปืนเป็นเหมือนกันนะ

สองหนุ่มแห่งเมืองกรุง ที่วิ่งพล่านสุดชีวิต เพราะได้ยินเสียงปืนดังต่อเนืองไม่หยุด แล้วก็ต้องหยุดยืนดูภาพ การจัดการพวกเด็กแว้นจนอยู่หมัด ด้วยฝีมือของสองสาวบ้านนาท้องทุ่ง

“สุดยอดไปเลย” ธารานนท์เอ่ยชมแบบอึ้งๆ ดวงตาเป็นประกาย กับหญิงสาวพากันเล่นฉากบู๊ได้ใจมาก ความปลื้มในตัวหญิงสาวขวัญใจที่มีอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ด้านนายพิริยะกลับสรุปไปอีกแบบว่า ช่างเป็นคู่หูรู้ถึงใจกันเสียจริงๆ แม้แต่ในยามออกศึก ก่อนจะสลัดส่ายหน้าไปมาว่ามันไม่ใช่หรอก พิริยะหลงคิดไปไกลเกินความจริงมากกว่า

พวกเด็กแว้นที่เหลือสองสามคนวิ่งตะกายมาช่วยเพื่อนและลูกพี่ใหญ่ กลายเป็นว่าพวกเขาถูกเล่นงานกลับซะยับเยิน คนเป็นลูกพี่ใหญ่ฮึดสู้ ลุกขึ้นไปคว้าประคองรถมอเตอร์ไซด์ตนเองอีกครั้ง และบิดสตาร์ทขู่อย่างเคืองแค้นคับใจ เป้าหมาย คือ คนที่ใกล้ที่สุด อย่างท่านส.ส. ขวัญใจประชาชน

“ท่านนริน ระวัง!” ธารานนท์ใจวิ่งอยากเข้าไปช่วยหญิงสาวที่ปองหัวใจ แต่ทว่าไม่ทันการณ์แน่ๆ ด้านปณยาเตรียมวิ่งกลับมาช่วยเพื่อนสาวเช่นกัน ดันถูกพวกลูกน้องแก๊งค์นี้ ลุกขึ้นยืนตั้งหลักได้หลายคน พร้อมตั้งท่าขัดขวาง เพลงหมัดมวยฝ่ายหญิงจึงต้องเริ่มอีกรอบ นายพิริยะร้องห้ามไม่ทัน แต่เท้าก็วิ่งตามหลังธารานนท์เหมือนกัน แล้วสองหนุ่มก็ต้องหยุดชะงักแทบชนกัน เมื่อมีสิ่งหนึ่งผุดมาขัดขวางทางเอาไว้ แถมไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน

“พรรคพวกที่ไหนอีกล่ะเนี่ย” ธารานนท์สบถร้อง แม้ใจจะเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ เพราะเห็นนรินศา กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างใกล้ๆ



ฮู้ซู่! ฮู้ซู่! ฮู้ซู่! พวกกลุ่มที่มาใหม่ส่งเสียงร้องอย่างประหลาด และมันยังดังก้องขึ้นกลบผืนป่าเรื่อยๆ พอลองมองไปรอบๆ แท้จริงเหมือนถูกล้อมไว้ในวงนักล่าเมืองป่าใหญ่เสียมากกว่า

ไอ้ลูกพี่แก๊งแว้นบนถนนเมือง แทบขนลุกซู่เรียงรายหน้าตั้ง ดวงตาเบิกโตอย่างตื่นกลัวที่สุด ผืนป่าเวลานี้เหมือนโดนสะกดเข้าไปในความมืด ด้วยเสียงที่ขู่ขวัญดังกระหึ่มก้องไกลไม่หยุด

“พวก...สะ...เสือดำ” ลูกน้องคนหนึ่งตะโกนบอก ก่อนจะค่อยๆ มองเห็นนักปั่นจักรยานเสือภูเขาในชุดดำเต็มยศเป็นขบวน ใบหน้ากลุ่มใหม่นี้ทั้งหมด จะถูกปกปิดด้วยหมวกกันน๊อกและคลุมปิดปาก ปิดจมูกด้วยผ้าบัฟหลากสีเพลิง เป็นสัญลักษณ์ บ่งบอกว่า กลุ่มเหล่านี้ คือ ของจริง! เด็กแว้นเสือภูเขา!

“เจอของจริง เข้าแล้วกู!” พวกลูกน้องอีกคนร้องอย่างตื่นตระหนกหวั่นๆ ถึงขั้นกลัวจนหัวหดเลยทีเดียว

“ลูกพี่น้อย....หนี หนี” ไอ้ลูกน้องขี้ขลาด ตะโกนบอกผู้เป็นลูกพี่ พากันจับมอเตอร์ไซด์ตนเองได้ ก็แห่กันหนีท่าเดียว ต้องการออกจากภูเขาลูกนี้ให้ทัน แต่จะฝ่าออกไปได้หรือไม่ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

มือที่สวมถุงมือสีขาวข้างหนึ่งจากเด็กแว้นเสือภูเขาของจริง ตรงหน้านายธารานนท์และนายพิริยะ ยกขึ้นบอกส่งสัญญาณ บอกว่าให้จัดการพวกมัน ทีมแรกพุ่งออกมาจากโพรงป่า ทำเสียงคำรามขู่ เด็กแว้นเสือภูเขาจอมปลอม อยู่ๆ เสียงบิดรถมอเตอร์ไซด์วิบากสีดำดังกัมปนาททะยานแล่นยกล้อโผล่บินเข้ามา ตัดกลางวงล้อม เป้าหมาย คือ เล่นงานหัวโจกแว้นจากถนนในตัวเมือง

“ซวยแล้ว กู ดันเจอไอ้เสือดำตัวเป็นๆ” ไอ้น้อยที่เป็นหัวหน้าแก๊งค์รับคำสั่ง เพื่อมาจัดการนายธารานนท์ต้องใจหดเล็กจิ๋ว เมื่อเจอเจ้าของถิ่นโผล่มาเล่นงาน ชื่ออันร่ำลือของพวกเสือดำภูเขา น่ากลัวที่สุด ไปต่อกรกับพวกมัน รับลองมีศพจบไม่สวยแน่นอน เผ่นล่ะ...ไอ้เจ้าที่เจ้าถิ่นแถวนี้มันแรงโพ้ดเว้ย ไอ้น้อยตัดสินใจรักษาชีวิตตัวเองก่อนเพื่อน ด้วยการหันรถวนหนีไปอีกทาง พวกลิ่วล้อแห่ทำตามเป็นขบวน เสียงแสดงความชัยชนะเฮร้องลั่นกระหึ่มอย่างสะใจ

“นึกว่าแน่ ไอ้พวกใจเสาะเอ้ย! ฮ่าๆ” พิริยะคุ้นหูกับไอ้คนเป็นหัวหน้าจักรยานเสือภูเขา และเสือดำเจ้าของรถมอเตอร์ไซด์วิบากคันแกร่งส่งสัญญาณมือบอกให้บรรดาจักรยานเสือหมอบทั้งหลาย สลายตัวและกลับไปยังฐานลับ

“เอกรินทร์!” พิริยะร้องขึ้น เพราะตกใจ ไอ้เด็กหนุ่มที่ดึงผ้าบัฟลายสีเพลิงปกปิดจมูกลงมาไว้ที่ต้นคอ จักรยานเสือภูเขาคันอื่นๆ หายไปหมดแล้ว

“สวัสดีครับ พี่พาย” เอกรินทร์ยิ้มแป้น เมื่อพี่ชายที่มาอาศัยที่บ้านชั่วคราวตกใจ ที่ได้เห็นตน ในสภาพนักแข่งจักรยานเสือภูเขา

“โอ๊ยๆ เจ็บนะพี่กอหญ้า” เจอมือฝ่ายพี่สาว ปัดตบลูบหัวใส่แรงๆ หลังจากก้าวฉับๆ กึ่งวิ่งมาถึงไอ้น้องชายตัวดี

“หมั่นไสวะ บังอาจแย่งซีนฉัน ไอ้น้องเวร” โธ่เอ้ย นึกว่าจะโกรธเพราะอะไร เอกรินทร์ยิ้มแห้งๆ

“เอ่อ...” ธารานนท์กำลังอึ้งกับเหตุการณ์ตรงหน้า ที่จู่ๆ ก็พลิกจากร้ายกลายเป็นดี ตามมาด้วยนรินศาที่เดินดิ่งมาหาเพื่อนสาว พร้อมสวมกอดกันราวกับปลอบขวัญ ปลอบใจ

“ปลอดภัยแล้วนะ ยัยรินทร์”

“ขอบใจมากนะ กอหญ้า ฉันรักเธอที่สุดเลย”

แหวกๆ จะอ้วก พิริยะทำสีหน้าระเอือม ทำไมจ้องมาหวานใส่กันต่อหน้าเขาแบบนี้ด้วยวะเนี่ย มีเพียงธารานนท์ที่มองอย่างมึนสมองอยู่ฝ่ายเดียว

“เอ๊ะ นั่นใช่คุณธารานนท์หรือเปล่า” หลังจากปลอบใจกันจบ ปณยาก็หันมาหาฝ่ายชายที่มากับนรินศา

“ครับใช่ครับ คุณ...”

“กอหญ้าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก อ้อๆ ไอ้เด็กก่อกวนนี่ ชื่อเอกรินทร์ น้องชายหญ้าเอง ส่วนนั่น...”

“พิริยะ ครับ เป็นฟอ...(แฟน)”

“เป็นคนงานชั่วคราวที่ไร่ของหญ้าเองค่ะ” กอหญ้าดักทางพิริยะ ซึ่งดูเหมือนจะเอ่ยแนะนำฐานะเกี่ยวดองกับเธอ ต้องหน้าคุณธารานนท์ เอกรินทร์หัวเราะคิกคักเบาๆ ให้กับพี่ชายที่ฝันอยากเป็นแฟนพี่สาวตน แต่ดันไม่เป็นจริงสักที

“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ ผมต้องขอบคุณที่ช่วยเหลือผมและท่านนรินศา จนปลอดภัย”

“บังเอิญมากกว่าค่ะ ที่พวกเราผ่านมาแถวนี้ค่ะ เดี๋ยวๆ นะ ยกเว้นไอ้เอกจอมซนค่ะ แกมาที่นี่ได้ไง” กอหญ้าหันเล่นงานน้องชาย

“โธ่ พี่หญ้าครับ เสียงปืนของพี่รินทร์ดังทะลุคับทุ่งป่าภูเขา ใครจะไม่ได้ยินล่ะ” เอกรินทร์พยายามแย้ง นรินศาได้แต่ยิ้มน้อยๆ เพราะความผิดมันอยู่ที่เธอมีส่วนด้วย แน่นอนทำให้พวกเสือดำผู้เฝ้าภูเขาตื่นขึ้นมาจนได้

“ใช่ๆ พี่ยังสงสัยด้วย นายเอกมาสร้างแก๊งค์เด็กแว้นบนป่าเหรอ” พิริยะสมทบ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมามันฟ้องชัดเจน

“ไม่ใช่นะ พี่พาย เอกน่ะเด็กดีจะตาย ไม่เชื่อถามโค้ชดูก็ได้นะ”

“โค้ชเหรอ?” พิริยะเอ่ยทวนคำพูดของเด็กชาย เสียงบิดเครื่องยนต์กระหึ่มดังขึ้น เรียกความสนใจทุกคน เพียงกะพริบตาครั้งสองครั้ง มอเตอร์ไซด์วิบากก็แล่นมาจอดเทียบท่าตรงหน้ากลุ่มของนรินศา

“พี่กิตดา!” คราวนี้เป็นเสียงของธารานนท์ที่ร้องอย่างประหลาดใจ เมื่อเจ้าของมอเตอร์ไซด์วิบากถอดหมวกกันน็อกออกเผยในเห็นดวงใบหน้าเต็มๆ

“สวัสดีครับ เจ้านาย” นายกิตดาทักเจ้านายหนุ่ม ที่ทำหน้าอึ้งๆ เมื่อตนเองอยู่คราบสิงห์ทมิฬนักซิ่งวิบาก

“พี่ทำให้ผม ประหลาดใจมากจริงๆ นอกจากเป็นผู้จัดการที่รีสร์อท” ธารานนท์เอ่ยบอกปลื้มๆ เขามีผู้ช่วยพระเอกคนเก่งอยู่ใกล้มือนิดเดียวเอง กิตดาคุยกับธารานนท์สองสามคำกับการมาเป็นโค้ชให้กับนักแข่งกีฬาเสือภูเขารุ่นเยาวชน แล้วจึงหันมาแนะนำตัวกับพิริยะให้รู้จักกันเอาไว้ และนรินศาจึงได้ขอสรุปว่าชื่อเสียงอันร่ำลือของเด็กแว้นเสือภูเขานั้น มีอยู่จริงๆ ด้วยสินะ

ถึงเวลาเก็บกวาดร่องรอย ปณยาโทรแจ้งข่าวไปยังสถานีตำรวจถึงพี่ชายสารวัตรที่รู้จักกัน และธารานนท์ต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาล เนื่องจากจะบาดเจ็บมากกว่าเพื่อน ใบหน้าอันหล่อมีรอบฟกซ้ำจนบวมเป็นย่อยๆ ริมฝีปาทหนาแตกเลือดอาบอย่างแสบๆ พี่กิตดาจึงอาสาไปขับเจ้าวิบากคันโปรดตนเอง พาเจ้านายตนเองไปยังที่โรงพยาบาลจังหวัด ทำให้ธารานนท์ตีหน้าเศร้าเล็กน้อย เมื่อปณยาและพิริยะจะต้องขับรถกระบะไปส่งนรินศาที่บ้าน โดยมีนายเอกรินทร์หอบอุ้มจักรยานคันเก่งตนเองขึ้นนั่งท้ายหลังกระบะ เพราะคำสั่งของพี่สาวอยากให้กลับไปพร้อมกันด้วยเลย ส่วนรถของธารานนท์ต้องให้ทางตำรวจมาช่วยเหลือเคลียร์พื้นที่เสียก่อน



โปรดติดตามตอนต่อไป

บทที่ 13 เปรมใจทั่วหล้า


ไรเตอร์ไม่ถนัดเขียนบู๊สักเท่าไหร่ และกว่าจะเขียนได้ ใช้เวลานานโคตรๆ TOT
ส่วนประโยคพูดที่มีภาษาอีสาน บางคำปนมาด้วย ต้อง ขอ อภัย ณ ตรงนี้ ถ้าเขียนผิดๆ ถูกๆ
แม้ไรเตอร์จะเกิดในดินแดนอีสานก็เถอะนะ ยอมรับว่ายังพูดไม่ค่อยได้เลย TOT
ปล. ไรเตอร์ ไม่คิดจะลงข้อมูลของชาวภูไท เยอะนะคะ แค่เป็นบทเสริมเล็กๆ น้อยๆ
ต้อง ขอ อภัย อีกครั้งค่ะ
ถ้าข้อมูลที่อ้างอิง...ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ควร(ไรเตอร์ศึกษามาน้อยเองTT)




Aricha
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2557, 11:08:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2557, 11:08:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1319





<< บทที่ 11 มนต์กลิ่นรัก...   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account