เพลิงสวาทในรอยทราย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร ทั้งรู้ดีว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาภายหลัง แต่ความงามตรงหน้าก็ยากที่จะละสายตาให้ออกห่างจากเอวบางที่ยักย้ายส่ายพลิ้วไปพร้อมกับจังหวะกลอง

เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เขาเคยค่อนแคะ กำลังกลายร่างเป็นนางระบำทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใจของชายหนุ่มปั่นป่วน จนกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก

คุณธรรมและความถูกต้องกำลังดึงมูซาให้ออกห่างจากความเย้ายวนตรงหน้า ทว่า...

"ฮาน่า ไม่ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าเจ้ากำลังทำให้หัวใจของข้าแทบจะหยุดเต้น เจ้าจะไม่มีทางรอดพ้นอ้อมกอดของข้าในคืนนี้ไปได้"


เล่มนี้เป็นเรื่องราวของชายผู้หายสาบสูญในเรื่องเหลี่ยมรักบัลลังก์ทรายค่ะ ใครยังจำอดีตองค์รัชทายาทมูซาได้มั่งคะ ^^ พบกันหลังปิดต้นฉบับ หวานรักในลมหนาวนะคะ Coming Soon
Tags: ทะเลทราย,มูซา

ตอน: บทที่ 10 พิศวาสไม่คาดฝัน (2)

บทที่ 10 พิศวาสไม่คาดฝัน (2)



ในช่วงที่หนุ่มสาวทั้งคู่ค่อยๆ เผยความรู้สึกและแนบชิดสนิทสนมกันมากขึ้น ขณะเดียวกันอีกฝากหนึ่งของโลกก็มีสตรีอีกคนที่ดีใจจนเนื้อเต้นหลังจากได้ข่าวของมูซา อแมนด้าแทบจะจับตั๋วเครื่องบินไปหาชายหนุ่มทันทีที่ได้รับทราบข่าวจากสายสืบที่ตอนเองได้ส่งให้ปะกบติดคนของสามี

แม้จะยังไม่เจอตัวเขาแต่อย่างน้อยภาพถ่ายล่าสุดที่ได้มาก็ทำให้เธอน้ำตาแทบไหล่เมื่อพบว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ถูกสังหารตามที่สามีเธอกล่าวเอาไว้

“แมท รอฉันก่อนนะคะ รอให้ฉันจัดการทุกอย่างแล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันโดยที่ไม่มีใครมาวุ่นวายกับชีวิตของเราอีก” อแมนด้าพูดกับรูปถ่ายด้วยแววตารักใคร่เสียจนนักสืบเองเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาทำงานให้กับคนปกติดีอยู่หรือเปล่า

แม้จะตะขิดตะขวงใจกับความผิดปกติของลูกค้า แต่ค่าจ้างที่สูงลิบก็ทำให้เขามองข้ามมันไป อย่างไรเสียหน้าที่ของพวกเขาก็แค่ตามหาและแกะรอยผู้ชายในรูปให้เจอเท่านั้น รูปใบนี้ทางลูกน้องของเขาได้มาเมื่อพบเห็นผู้ชายในรูปเดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับแห่งหนึ่งในเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในแถบตะวันออกกลางก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมๆ กับลูกน้องของคอร์เทส วินน์

คนของนักสืบเอกชนได้สะกดรอยตามลูกน้องของเจ้าพ่อกาสิโนแห่งดาวน์ทาวน์มาเป็นเวลาเกือบเดือนเศษ แต่กลับพบแมทธิว ชายในรูปก่อนลูกน้องของวินน์ และหลังจากนั้นไม่นานมือปืนทั้งสามก็เจอตัวแมทธิวก่อนลูกน้องจะกลับมารายงานว่าพวกเขาทั้ง 4 ได้หายตัวออกจากเมืองไปพร้อมกัน แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการไล่ล่ากันเกิดขึ้นเนื่องจากจนตอนนี้ลูกน้องเขาก็ไม่ได้ส่งข่าวคราวอะไรมาอีก

“คุณผู้หญิงครับ บางทีเราอาจจำเป็นต้องเพิ่มคนมีฝีมือเชี่ยวชาญทางการรบช่วยออกตามหาคุณแมทธิว เพราะผมเองไม่แน่ใจว่าอาจมีการปะทะกันระหว่างคนของสามีคุณกับเขาก็ได้ คนของผมทำหน้าที่เพียงสืบหาร่องรอยเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตใคร”

“แล้วทำไมถึงไม่เตรียมการตั้งแต่แรก ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าค่าจ้างงานนี้ฉันทุ่มไม่อั้น ไปจัดการเสียให้เรียบร้อย หากแมทเป็นอะไรแม้แต่นิดเดียวฉันเอาพวกคุณตายแน่ จ้างคนที่ฝีมือดีที่สุดไว้คอยตามแกระรอยและช่วยเหลือเขา และจัดการคนของวินน์เสียให้เรียบร้อยอย่าให้มาทำร้ายอะไรแมทของฉันได้อีก” น้ำเสียงเหี้ยมลึกของหญิงสาวช่างขัดกับใบหน้างามลึกซึ้งมันฟังดูเหี้ยมโหดเสียจนขนฟังรู้สึกขนลุกขนพอง

“ได้ครับ”

“อย่าลืมว่าต้องทำให้เงียบที่สุด” อแมนด้ากำชับเสียงเย็นก่อนจะยกผ้าขึ้นคลุมศีรษะเดินจากไปในความมืดมิด



ขณะเดียวกันที่คฤหาสน์ของเจ้าพ่อกาสิโนรายใหญ่เพิ่งเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เหล่สาบรรดาคนใช้แทบขวัญผวาเมื่อมีเสียงดังกัมปนาถมาจากห้องทำงานของคุณผู้ชาย เสียงข้าวของแตกหักกระแทกผนังดังมาเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครกล้าเสนอหน้าขึ้นไปดูสักคน เพราะไม่แน่ใจว่าหากทะเล่อทะล่าขึ้นไปจะพบกับจุดจบแบบใดทุกคนล้วนรักชีวิตตัวเอง แม้ว่าเสียงทำลายข้าวของจะเงียบไปแล้วแต่เหล่าคนใช้ก็ยังไม่มีใครกล้าขึ้นไปเก็บกวด เอาแต่มองหน้าเกี่ยงกันไปมา

คอร์เทส วินน์รู้สึกเหมือนกำลังถูกลูบคมเมื่อได้รับข่าวจากลูกน้องที่ส่งให้ออกไปติดตามมือปืนทั้ง 3 คน ไม่ทันที่ลูกน้องชุดใหม่จะได้ข่าวอะไรวันนี้เขาก็ได้รู้สาเหตุที่พวกมันทั้งสามหายเงียบไป

“มันเป็นใครกันแน่” คิวเข้มขมวดแน่นใบหน้าเคร่งเครียด

ภาพถ่ายสามใบที่ถูกส่งมาถึงเขาโดยตรงถึงในห้องทำงานโดยไม่ผ่านไปรษณีย์ ไม่มีจ่าหน้าผู้ส่ง มีเพียงรูปลุกน้องของเขาที่ถูกมัดมือมัดเท้าปิดตาอยู่ในสถานที่ใดสักแห่ง พร้อมข้อความเตือนให้เขาเลิกยุ่งกับชายชู้ของเมียเขา แมทธิว ชื่อที่เขาเกลียดตั้งแต่รู้ว่ามันคือผู้ชายที่เมียเขารักนักรักหนา ได้ยินชื่อนี้ทีไรมันทำให้เขานึกอยากจะคว้าปืนออกมากราดยิงทุกคนที่ขวางหน้า ลำพังแค่ลุกน้องไร้ฝีมือทั้งสามที่ถูกจับไม่ได้ทำให้เขาเป็นเดือดเป็นร้อนหรอก ชีวิตไร้ค่าของคนพวกนี้ก็พร้อมจะตายได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว ที่เขาคลั่งอยู่ตอนนี้เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับไอ้สารเลวนั่นและคนของมันกำลังลูบคมเจ้าพ่อกาสิโนอย่างเขา

“กุต้องรู้ให้ได้ว่าคนที่ช่วยเหลือมึงคือใคร ไอ้แมทธิว!” มือหน้ากำภาพถ่ายของลูกน้องแน่นจนยับย่นก่อนจะสบถออกาอย่างหยาบคายอีกครั้งก่อนจะร้องเรียกให้คนใช้เอาโทรศัพท์เครื่องใหม่เข้ามาให้เนื่องจากของในห้องทำงานตอนนี้ไม่มีอะไรใช้การได้สักอย่าง



หลังจากสิ้นสุดอาหารมื้อเย็นก็ถึงเวลาเข้านอนตอลดช่วงเย็นที่ผ่านมาทั้งมูซาและฮาน่าต่างไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายอีกทำราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เพราหลังจากล้างหน้าล้างตาหญิงสาวก็พบว่าเขาเตรียมอาหารเอาไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้วก่อนจะขอตัวไปจัดการธุระส่วนตัวของตนเอง

มูซานั้นนับว่ายังมีท่าทีปกติกว่าหญิงสาวมาก เพราะฮาน่านั้นตั้งแต่บ่ายก็กลายเป็นคนพูดน้อยผิดปกติทั้งยังเอาแต่หลบเลี่ยงสายตาของเขา

“เจ้าเข้าไปนอนในรถแล้วกัน เดี๋ยวข้าจะนอนที่ท้ายรถเอง” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอเอาแต่นั่งมองกองไฟเล็กๆ ตรงหน้า นับว่ายังดีที่ในจำนวนยาที่มาซื้อคราวนี้มีพวกยากันแมลงกันยุงอยู่ด้วย ของที่จำเป็นและอุปกรณ์ดำรงชีพอย่างๆ มีติดอยู่ในรถพอดิบพอดี คงต้องยกความดีให้กับอัลนีดาที่รอบคอบติดข้าวของพวกนี้ไว้ในยามเดินทางไกล

ร่างบางยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน จนคนตัวโตหรี่ตามองขณะคิดว่าจะถามหญิงสาวว่าเป็นอะไร เสียงหวานก็เอ่ยถามเขาขึ้นมาเสียก่อน

“คนพวกนั้นทำไมถึงต้องตามล่าเจ้าขนาดนั้น เจ้าทำอะไรกับพวกเขาไว้มากกว่า เอ่อ กว่าเป็นชู้กับเมียคนอื่นรึเปล่า” ไม่ง่ายเลยที่ฮาน่าจะเอ่ยปากถามออกมาได้ แต่เรื่องนี้มันค้างคาอยู่ในใจของเธอ พอๆกับมีอีกหนึ่งคำถามที่ยังคงกัดกินใจเธออยู่จนกว่าจะได้ถามออกไป

“คิดว่าน่าจะเพราะเพชรที่เจ้าเคยเก็บไว้ให้ข้าเม็ดนั้นด้วย ส่วนที่ตามล่าข้าขนาดนี้ก็คงเพราะสามีของหล่อนโกรธแค้นละมั่ง” ฮาน่ามองค้อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดคุยเรื่องนี้อย่างเป็นปกติ

“ไง มีอะไรอยากจะถามอีก ถามออกมาให้หมด ข้าจะได้ตอบเจ้าทีเดียว” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเม้มปากแน่น

ใบหน้านวลที่ปราศจากคราบดำเงยช้อนสายตาขึ้นมามองชายหนุ่มเต็มตาอีกครั้ง กลั้นใจถามคำถามที่มันคอยรบกวนใจอยู่ตลอดตั้งแต่ได้ยินเรื่องราวในอดีตของเขากับผู้หญิงของคนอื่น

“เจ้ารักผู้หญิงคนนั้นรึเปล่า” ถามจบใบหน้าก็ร้อนฉ่าเธอเกลียดสายตาคล้ายรู้ทันของคนตรงหน้าที่ราวกับกำลังมองเธอทะลุปรุโปร่งเสียจริง มูซาได้ยินคำถามชัดเจนดีแต่ยังไม่ยอมตอบเอาแต่จ้องมองเธอจนอีกฝ่ายหน้าบึ้งคิดว่าการที่เขาไม่ตอบคือการยอมรับ ร่างเล็กผุดลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูรถแล้วพาตัวเองเข้าไปนอนคุดคู้อยู่ภายในเบาะหน้า

เสียงเปิดประตูรถดังขึ้นพร้อมกับแขนยาวๆ ของชายหนุ่มเอื้อมมาดึงเธอให้ลุกขึ้นมาฟังคำตอบจากปากเขา หากฮาน่าได้เห็นหน้าตัวเองในตอนนี้เชื่อว่าเธอคงจะเข้าใจว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกโกรธเขานักเมื่อคิดว่าเขารักผู้หญิงคนนั้น

“เจ้านี่นิสัยไม่ดีจริงๆ ถามคำถามทิ้งไว้แต่ไม่รอฟังคำตอบ เสียมารยาท”

พอถูกตำหนิซึ่งๆ หน้าจากที่โกรธขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็พาลน้อยใจขึ้นมาอีก

“ก็ข้ามันคนป่าไม่มีการศึกษาไม่ใช่สาวสังคมในเมืองอย่างที่เจ้าพบเจอนี่ จะเอาอะไรกับนิสัยของข้านักเล่า มันก็เป็นอย่างนี้แหละ” คิ้วหนาเลิกขึ้นมองใบหน้าบูดบึ้งของอีกฝ่ายที่เอ่ยวาจาประชดประชันเขาอย่างเอ็นดู แต่ก็ยังอยากยั่วอารมณ์อีกฝ่ายต่ออีกนิด

“ใช่เจ้ามันไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ข้าเคยพบ ทั้งปากร้าย นิสัยเสีย” ใบหน้างอง้ำหันมามองเขาเหมือนเห็นตัวประหลาด

“นี่เจ้า!”

“ใช่ ที่เจ้าพูดมาก็ถูก ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ข้าพบเจอล้วนแต่น่ารักน่าเสียดายที่ข้าไม่เคยติดจะจำพวกนางสักคน ส่วนเจ้าตรงหันข้ามกับพวกนางแต่ไม่รู้ทำไมข้าถึงไม่นึกเกลียดเจ้าสักนิด หากให้เทียบระหว่างผู้หญิงที่ข้าเคยเจอมาทั้งหมด เจ้าคือคนที่ข้านึกอยากจะจำ”

มือหน้าเอ่ยจบก็เชยคางเรียวให้แหงนขึ้นสบตากับเขา แววตาแคลงใจของหญิงสาวมันนึกให้มูซาอยากประทับตรายืนยันให้อีกฝ่ายเปลี่ยนมาเป็นเชื่อมั่น ริมฝีปากที่ได้ลิ้มลองความนุ่มมาแล้วล่อตาล่อใจเขาเหลือเกิน

ฮาน่าจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขาเพื่อค้นหาความหมายของคำตอบที่ได้รับแต่สิ่งที่พบกลับทำให้เธอต้องหลบสายตาพร้อมเบือนหน้าไปอีกทาง

อันตราย เขาตั้งท่าจะกินริมฝีปากเธออีกแล้ว แววตาแบบนี้ที่เธอเห็นเป็นครั้งที่สองในรอบวัน

“ข้าจะนอนแล้ว ข้าง่วง” มือยางออกแรงผลักเขาออกห่างก่อนจะดึงประตูเข้ามาปิดกั้นระหว่างเขากับเธอให้ห่างกันแล้วล้มตัวลงนอนด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ส่วนมูซาแม้จะเสียดายบ้างแต่ก็ไม่ใช่ว่าอดไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายตั้งการ์ดเสียขนาดนั้นเขาก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจ

จะว่าไปรสชาติเมื่อบ่ายก็ยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้นอยู่ละนะ



เกือบรุ่งสางมูซาได้ยินแว่วเสียงข้อความช่วยเหลือดังมาจากทางทิศเหนือ ชายหนุ่มเด้งตัวขึ้นมองหาที่มาของเสียง ทางทิศเหนือเขามองเห็นเงาดำวิ่งใกล้เข้ามาทางนี้แม้จะเห็นลักษณะใบหน้าไม่ชัดเจนแต่จากเสียงเขามั่นใจว่าเป็นชาย น้ำเสียงร้อนรนตะโกนขอความช่วยเหลือใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มูซาไม่ได้วางใจเสียทีเดียว ชายหนุ่มหยิบเอาอาวุธมีดสั้นที่เหน็บไว้ข้างกายขึ้นมา

ในที่ห่างไกลผู้คนขนาดนี้ซ้ำยังในช่วงเวลากลางคืนไม่ควรไว้ใจอะไรหรือใครทั้งสิ้น

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”

เพราะแสงสว่างจากกองไฟเล็กๆ ทำให้ชายผู้นี้วิ่งฝ่าต้นหมากสิบกว่าต้นเข้ามายังจุดที่พวกเขาปักหลักอยู่ชั่วคราวในค่ำคืนนี้

“เกิดอะไรขึ้น” เสียงเล็กๆ ของฮาน่าเอ่ยถามพร้อมกับยื่นหน้าออกมานอกรถมองหาต้นเสียงในอาการที่เรียกได้ว่ายังตื่นไม่เต็มตา

“ชู่” มูซายกนิ้วชี้ขึ้นป้องปากให้หญิงสาวเงียบเสียงก่อนจะทำสัญญาณมือให้เธอก้มหัวลง

“มีใครอยู่ตรงนั้นบ้าง ข้ากำลังเดือดร้อนอยากจะขอความช่วยเหลือ ช่วยข้าด้วยเถอะ”

ชายหนุ่มวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามาหามูซาสีหน้าวิตกกังวลร้อนรน ดูจากสภาพผ้าชุ่มเหงื่อแล้วคิดว่าเขาคงรีบร้อนวิ่งออกมาขอความช่วยเหลือจริงๆ

“เมียข้าปวดท้องจะคลอดแต่ไม่ว่าจะเบ่งเท่าไหร่ก็เบ่งไม่ออก หมอตำแยบอกว่าเด็กไม่ยอมกลับหัว ข้า ข้าไม่รู้จะทำยังไง ข้าอยากเข้าเมืองไปตามหมอแต่ข้าไม่มีรถ” สายตาสิ้นหวังของชายแปลกหน้ามองไปที่รถของมูซาแล้วหันมองเขาด้วยความหวัง

“บ้านเจ้าอยู่ที่ไหนกัน” เสียงเล็กแทรกขึ้นมาพร้อมกับการโผล่ศีรษะขึ้นมาถามด้วยความร้อนรน ชายที่กำลังจะเป็นพ่อคนไม่คิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ภายในรถพอหญิงสาวโผล่ออกมากะทันกันก็ตกใจจนเผลอถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะได้สติรีบตอบคำถามของฮาน่า

พอได้เห็นอีกฝ่ายชัดๆ ชายคนนี้อายุอานามไม่ได้มากไปกว่าฮาน่าสักเท่าไหร่นัก

“บ้านข้าอยู่ตรงท้ายสวนหมากตรงโน้น”

“มูซาเจ้ามัวมายินทำอะไรอยู่เล่า เตรียมของสิ” ฮาน่าจัดเสื้อผ้าตัวเองเรียบร้อยแล้วก็เปิดประตูรถลงมาเดินไปหยิบฉวยเอาของที่ท้ายรถโดยมีมูซาเดินตามมาติดๆ ด้วยใบหน้างุนงง

“เจ้าจะทำอะไรน่ะฮาน่า”

หญิงสาวขมวดคิ้วกันกลับมามองเขาเหมือนมองคนแปลกหน้าก่อนเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเราต้องทำอะไร มูซาเราต้องไปช่วยเมียของเจ้าหนุ่มคนนี้ก่อนที่นางจะตาย”

“นั่นไม่ใช่ธุระของข้า อย่างมากเราก็ช่วยพาเขาเข้าไปในเมืองเท่านั้น”

“ไม่ได้ กว่าจะเข้าเมืองไปตามหมอ เมียของเขาอาจจะทนไม่ไหว” ฮาน่าส่ายหน้าไม่เห็นด้วย ในมือก็รวบเอาของจำเป็นไปด้วย

เสียงถอนหายใจของร่างสูงทำให้ฮาน่าชะงักมือ “เจ้าไม่คิดจะช่วยพวกเขารึ งั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ไปคนเดียวแล้วกัน ข้าจะไปเอง”

“แล้วเจ้าเคยทำคลอดรึไง”

ฮาน่าเม้มปาก จริงๆ แล้วนางก็ไม่เคยทำคลอดหรอกอย่างมาก็ช่วยเป็นลูกมือให้กับแม่หมอและยืนดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น ท่านตาของเธอก็ไม่เคยสอนการทำคลอด เพราะท่านเองก็ไม่เคยทำคลอดสตรีมีครรภ์คนไหน มันเป็นธรรมเนียมของเผ่าที่เมื่อเวลาคลอดจะต้องเรียกแม่หมอมาทำพิธีรับขวัญสวนมนต์ให้คลอดง่ายๆ ขณะเดียวกันก็เป็นคนทำคลอดแทนหมอผู้ชายด้วย

“ถึงข้าจะไม่เคยลงมือแต่ก็พอจะเคยเห็นอยู่บ้าง หากเจ้าไม่ช่วย ข้าก็จะช่วยพวกเขาแม่ลูกเอง” หญิงสาวนึกตำหนิเขาในใจอย่างผิดหวัง ไม่คิดว่าเขาจะไร้น้ำใจถึงเพียงนี้

อีกครั้งที่ได้ฟังคำตอบของหญิงสาวแล้วมูซาต้องผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกับคลึงนิ้วที่ขมับ ฮาน่าทำปากยื่นใส่ท่าทีของเขาที่มีต่อคำตอบของเธอ หญิงสาวไม่รีรออะไรอีกทำท่าจะเดินตามชายหนุ่มคนนั้นไป แต่ข้อมือของนางกับถูกเหนี่ยวรั้งเอาไว้ด้วยข้อมือแข็งแรงของใครอีกคน

“พวกเจ้าจะเดินให้เสียเวลาอีกทำไม ขึ้นรถ” มูสาสั่งเสียงเรียบพร้อมกันนั้นก็สอดแขนเข้าที่รักแร้ยกตัวฮาน่าขึ้นไปบนท้ายรถ แย่งห่อของในมือเล็กส่งให้ชายผู้มาขอความช่วยเหลือแล้วบุ้ยใบ้บอกให้อีกฝ่ายขึ้นรถ

ฮาน่าแอบอมยิ้มกับห่อผ้าเมื่อชายหนุ่มไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเข้าใจก่อนจะหงายหลังตึงเมื่อชายหนุ่มออกรถด้วยความเร็ว

“อูย...เจ้าบ้านั่น ขับรถดีๆ ไม่เป็นรึไง” ฮาน่าลูบคลำเนื้อตัวด้วยความฉุนเฉียว ถ้าไม่ติดว่าเป็นเรื่องด่วนนางคงคิดว่าเขาตั้งใจแกล้งตนเองแน่ๆ

มูซาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านของชายที่แนะนำตัวเองว่า โยบี เขายังบอกเพิ่มอีกว่าเขาเป็นทหารยามนอกเมืองที่ถูกเรียกประจำการเมื่อห้าเดือนที่แล้วในช่วงที่ภรรยากำลังท้องอ่อนๆ และกำลังจะหมดผลัดในเดือนหน้า

จากการพูดคุยมาตลอดทางทำให้มูซาได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่าภรรายาของโยบีนั้นเพิ่งจะอายุ 18 และเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนดในอายุครรภ์เพียง 7 เดือนเท่านั้น

พอรู้ดังนั้นคนที่ไม่เคยทำคลอดคนมาก่อน มีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำคลอดอย่างมากก็ทำคลอดม้าเท่านั้น แม้ว่าเขาจะได้เล่าเรียนวิชาการแพทย์ทหารเบื้องต้นมาก่อนเมื่อครั้งยังรั้งตำแหน่งองค์รัชทายาทของอาซาลา แต่ก็ยังไม่เคยทำคลอดให้ทหารนะ

สีหน้าคมแกร่งเครียดขึ้นทันที ชายหนุ่มผู้ทระนงและมีความมั่นใจในตัวเองมาตลอดกำลังพบแรงกดดันมหาศาลในการแบกรับชีวิตสองชีวิตที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

ทันทีที่รถเข้ามาถึงหน้าบ้านโยบีแทบจะไม่รอให้อีกฝ่ายจอดรถสนิทเขาก็ทะลึ่งเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับวิ่งเข้าไปดูอาการของภรรยาด้วยความห่วงใย ก่อนจะรีบบอกบรรดาญาติๆ ให้หลีกทางหมอหนุ่มที่ไปพบเจอระหว่างทาง

ขนาดยังไม่ทันได้ลงจากรถมุซาและฮาน่ายังได้ยินเสียงร้องครางแห่งความเจ็บปวดของคนที่ยู่ด้านใน หนุ่มสาวยืนมองหน้ากันคล้ายกับไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

“เราต้องช่วยเขามูซา ส่วนผลจะออกมาเป็นยังไงแค่เราทำสุดความสามารถข้าคิดว่าเขาและครอบครัวต้องเข้าใจ” ฮาน่าเอ่ยปลอบทั้งคนตรงหน้าและปลอบตัวเองในคราวเดียว แต่ลึกๆ ก็อดหวั่นไม่ได้ หากมันไม่เป็นอย่างที่ที่เธอคิด จะมีญาติคนเจ็บสักกี่คนที่จะเข้าใจว่าพวกหมอทำดีที่สุดแล้ว หารติดตามท่านตาทำให้เธอพบเห็นคนมานักต่อนัก บางคนทำใจรับได้ บางคนไม่ได้ก็เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของหมอที่ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้

“ทุกคนถอยออกไปก่อน ข้าพาท่านหมอมาแล้ว” ญาติพี่น้องราว 4-5 คนแหวกทางออกให้คนที่โยบีเอ่ยแนะนำว่าเป็นหมดเข้าไปดูอาการของคนท้องที่ได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

ข้างๆ ร่างอวบท้องโตมีหญิงสูงวัยที่คาดว่าน่าจะเป็นหมอตำแยกำลังช่วยบีบนวดหน้าท้องที่นูนป่องอยู่ แต่พอเขามาถึงหมอตำแหยก็หลีกทางให้แต่โดยดี พร้อมบอกเล่าอาการของหญิงสาวที่นอนหน้าซีดใบหน้าพร่างไปด้วยหยาดเหงื่อด้วยน้ำเสียงวิตก

“นางเจ็บท้องมากว่า 3 ชั่วโมงแล้วช่องคลอดของนางขยายพร้อมแล้ว แต่ติดที่หัวเด็กไม่ยอมออกมา” สีหน้าเศร้าหมองเหมือนจนปัญญาของหมอตำแยทำให้คนเป็นสามีถึงกับใบหน้าขาวซีดกุมมือภรรยาตัวน้อยของเขาแน่น

ฮาน่าเห็นความรักความห่วยใยปานใจจะขาดของโยบีแล้วก็ได้แต่เวทนาสงสาร หญิงสาวเองก็ไม่กล้าบอกว่าจะช่วยให้เมียและลูกของเขารอดพ้นอันตรายได้หรือไม่

“วางกระเป่าลงหยิบอุปกรณ์จำเป็นทั้งหมดออกมาฮาน่า” มูซาสั่งเสียงเรียบ “เจ้าคงต้องใช้ความอดทนมากสักหน่อยนะ หากเจ้าทนได้ทั้งเจ้าและลูกอาจมีสิทธิ์รอด” มูซาหันไปส่งยิ้มอ่อนโยนให้คนท้องที่พยักหน้ารับคำของเขา

นับเป็นครั้งแรกที่ฮาน่าได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนจากใบหน้าคมคาย มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนเจ็บสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้

“โยบี เจ้าไม่ต้องไปไหน สั่งให้คนเอาผ้าชุบน้ำเย็นเข้ามา แล้วคอยซับหน้าเมียของเจ้าและจับมือนางเอาไว้แน่นๆ เท่านั้นก็พอ ข้าขอโทษที่ไม่อาจรับปากได้ว่าจะช่วยให้เจ้าสองคนแม่ลูกรอด แต่ข้ากับฮาน่าจะทำสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตเจ้าสองคนแม่ลูก”

ถ้อยคำที่เด็ดเดี่ยวของหมอหนุ่มคนนี้ทำให้โยบีไม่กล้าแม้แต่จะขุ่นเคืองให้กับคำพูดของเขา แววตาจริงใจและน้ำเสียงมุ่งมั่นทำให้เขาต้องน้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยดุษฎี

ฮาน่าจัดการวางแผ่นอุปกรณ์เตรียมพร้อมเพื่อยื่นส่งและคอยช่วยเหลือชายหนุ่มอยู่ใกล้ๆ ในคราแรกที่เขาบอกเธอก่อนจะเข้ามาในห้องนี้ถึงวิธีช่วยเหลือแม่ลูกคู่นี้เธอตกใจคาดไม่ถึง ไม่เคยพบว่าการช่วยเหลือในแบบนี้จะทำให้รอดชีวิตกันทั้งคู่ อย่างดีที่สุดเด็กอาจรอดแต่คนเป็นแม่อาจทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว

วิธีที่เขาบอกเธอก็คือ ผ่าท้อง ใช่ เขาบอกเธอว่าจะผ่าท้องเอาเด็กออกมา

มุซาสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอกก่อนจะหลับตาทำสมาธิอธิฐานถึงสิ่งสักสิทธิ์ทั้งหลายที่ตนนับถือและนึกถึงคำสอนของเหล่าอาจารย์แพทย์ทุกท่าน ภายนาให้การผ่าตัดครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี

เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นฉายแววมั่นอกมั่นใจและพลังใจเต็มเปี่ยม เมื่อเขาเริ่มลงมือทุกๆอย่างก็ดูจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า เขาฉีกยาชาให้กับคนท้องแล้วหันไปสบดวงตาสีเทาเข้มที่คอยมองมาอย่างให้กำลังใจ ชายหนุ่มมองใบหน้าคุณแม่ยังสาวแล้วตั้งสติก่อนจะทำการกรีดคมมีดลงบนหนังท้องขาวตึง ฮาน่ามองทุกขั้นตอนด้วยความระทึก ในยามที่ใบหน้าของเขาเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาตามขมับและจอนผม ฮาน่าก็จะใช้แขนเสื้อของเธอคอยซับให้อยู่เป็นระยะๆ ทุกวินาทีผ่านไปด้วยความอึดอัดปนระทึกใจ จนในที่สุดความพยายามและกำลังใจอันล้นปรี้ของทั้งผู้ช่วยและผู้ถูกช่วยก็ประสบผลสำเร็จ

ฮาน่ารับเด็กทารกเพศชายตัวจ่อยเอาไว้ด้วยผ้าขาวสะอาดก่อนจะทำการตบก้นเด็กสองสามครั้งเพื่อให้เด็กร้องตามคำบอกกล่าวของหมอตำแยที่ยืนลุ้นอยู่ด้านหลัง

ครั้งแรกผ่านไป...เงียบ มีเพียงเสียงสูดลมหายใจของคนในห้อง ภายใต้ท่าทีที่ไม่สนใจของมูซาฮาน่าเห็นมีที่กำลังเย็บแผลสั่นนิดๆ หญิงสาวกลั้นหายใจประทับฝ่ามือลงไปบนแก้มก้นเล็กๆ อีกครั้ง

ครั้งที่สอง...เด็กยังคงเงียบ ฮาน่าเริ่มมือไม้สั่นน้ำตาเริ่มคลอ เงยหน้าสบตาคนที่เนื้อตัวเปรอกเปื้อนไปด้วยเลือดด้วยแววตาสั่นไหว หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะมองไปทางพ่อและแม่ของเด็ก โดยเฉพาะแม่ของเด็กที่นอนหายใจรวยรินอย่างรอคอย

ครั้งที่สามฮาน่าตัดสินใจฟาดเพี้ยเข้าเต็มแรง ซึ่งครั้งนี้ทำเอาน้ำตาหญิงสาวร่วงพรูพร้อมๆ กับเสียงโฮร้องของคนในห้องเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของทารกเพศชายตัวน้อย

หมอตำแยไม่รอช้ารีบรับเด็กทารกเข้ามาแล้วอุ้มอกไปทำความสะอาดภายนอกที่ได้จัดเตรียมน้ำอุ่นเอาไว้ ในขณะที่มุซาเองก็กำลังเย็บแผลปิดปากท้องของผู้เป็นแม่ ที่ข่มกลั้นความเจ็บปวดและดีใจเอาไว้แต่แสดงออกมาในรูปแบบของน้ำตา วินาทีที่โยบีก้มลงจูบซับน้ำตาภรรยาและใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยดน้ำตาให้อย่างแสนรักมันทำให้ฮาน่าอดชื่นชมกับภาพความรักของหนุ่มสาวตรงหน้าไม่ได้

“ขอบคุณท่านหมอกับภรรยามากๆ ที่ช่วยลูกและเมียของข้า” โยบีก้มหัวจนแทบจะติดพื้นหลังจากที่ปล่อยให้ภรรยาพักผ่อนโดยมีญาติพี่น้องของเขาคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

คำกล่าวของคุณของโยบีทำให้ทั้งคู่ระลึกได้ว่าพวกเขานั้นเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามประเพณีจริงๆ

แม้โยบีจะพยายามรบเร้าและขอร้องให้ทั้งคู่อยู่ต่อเพื่อต้องการเลี้ยงตอบแทนบุญคุณ เมื่อยามที่ฟ้าสางพระอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบฟ้าแล้ว แต่มูซากลับปฏิเสธและขอรับเอาไว้เพียงคำขอบคุณและอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“น่าเสียดายจริงๆ ที่ท่านทั้งสองไม่อาจอยู่ให้ข้าได้ตอบแทนบุญคุณ อย่างนั้นข้าก็คงทำได้เพียงอวยพรให้พวกท่านมีลูกชายไว้สิบสกุล มีลูกสาวไว้ให้เอ็นดู หากต้องการความช่วยเหลืออะไรขอให้บอกข้าได้ทันที ข้าจะช่วยอย่างไม่คิดชีวิต ชีวิตสองชีวิตที่ท่านได้ช่วยเหลือเอาไว้นั้นชาตินี้ข้าก็คงตอบแทนไม่หมด ดังนั้นหากมีอะไรให้ข้าช่วยบอกได้เลย นี่คือที่อยู่บ้านของข้า” โยบียื่นกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือมูซาก่อนจะคำนับเป็นการขอบคุณและอำลาอีกครั้ง

“สิ่งที่ข้าอยากให้เจ้าช่วยคงไม่มี แต่ถ้าเจ้าคิดว่ามันคือบุญคุณ ข้าก็ขอให้เจ้าตอบแทนบุญคุณของข้าด้วยการจงรักภักดีต่อราชวงศ์ของประเทศเจ้าเถอะ” กล่าวจบร่างสูงก็เปิดประตูรถแทรกกายเข้าไปด้านในแล้วติดเครื่องยนต์ทันที ก่อนจะเอ่ยเร่งหญิงสาวที่ยืนสีหน้างุนงงให้รีบตามขึ้นมา

คำขอของมูซาไม่เพียงแต่สร้างความแปลกใจให้โยบีแต่งยังสร้างความแปลกใจให้กับผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาอีกด้วย เหตุใดเขาถึงได้เอ่ยถึงราชวงศ์ของอาซาลาราวกับรู้เรื่องราวของที่นี่นัก ขนาดเธอเองแม้จะได้ยินมาบ้างแต่ก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจเรื่องของคนอื่น หรือว่าบางทีแล้วมูซาจะเคยเป็นคนของอาซาลา ไม่ได้มาจากฝั่งตะวันตกอย่างที่เธอเข้าใจ

+++++++++

ที่เหลือติดตามอ่านได้ในแบบรูปเล่มนะคะ ไว้ได้วันแน่ชัดจะเอาปกมาให้ดูเน้อ ฝากติดตามกันในแบบรูปเล่มด้วยนะคะ ราคาเบาๆ เหมือนเคยเพียง 99 บาทเท่าน้านนน ^^



ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ค. 2557, 22:04:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ค. 2557, 22:04:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1327





<< บทที่ 9 พิศวาสไม่คาดฝัน (1)   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account