เพลิงสวาทในรอยทราย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร ทั้งรู้ดีว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาภายหลัง แต่ความงามตรงหน้าก็ยากที่จะละสายตาให้ออกห่างจากเอวบางที่ยักย้ายส่ายพลิ้วไปพร้อมกับจังหวะกลอง
เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เขาเคยค่อนแคะ กำลังกลายร่างเป็นนางระบำทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใจของชายหนุ่มปั่นป่วน จนกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก
คุณธรรมและความถูกต้องกำลังดึงมูซาให้ออกห่างจากความเย้ายวนตรงหน้า ทว่า...
"ฮาน่า ไม่ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าเจ้ากำลังทำให้หัวใจของข้าแทบจะหยุดเต้น เจ้าจะไม่มีทางรอดพ้นอ้อมกอดของข้าในคืนนี้ไปได้"
เล่มนี้เป็นเรื่องราวของชายผู้หายสาบสูญในเรื่องเหลี่ยมรักบัลลังก์ทรายค่ะ ใครยังจำอดีตองค์รัชทายาทมูซาได้มั่งคะ ^^ พบกันหลังปิดต้นฉบับ หวานรักในลมหนาวนะคะ Coming Soon
เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เขาเคยค่อนแคะ กำลังกลายร่างเป็นนางระบำทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใจของชายหนุ่มปั่นป่วน จนกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก
คุณธรรมและความถูกต้องกำลังดึงมูซาให้ออกห่างจากความเย้ายวนตรงหน้า ทว่า...
"ฮาน่า ไม่ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าเจ้ากำลังทำให้หัวใจของข้าแทบจะหยุดเต้น เจ้าจะไม่มีทางรอดพ้นอ้อมกอดของข้าในคืนนี้ไปได้"
เล่มนี้เป็นเรื่องราวของชายผู้หายสาบสูญในเรื่องเหลี่ยมรักบัลลังก์ทรายค่ะ ใครยังจำอดีตองค์รัชทายาทมูซาได้มั่งคะ ^^ พบกันหลังปิดต้นฉบับ หวานรักในลมหนาวนะคะ Coming Soon
Tags: ทะเลทราย,มูซา
ตอน: บทที่ 9 พิศวาสไม่คาดฝัน (1)
บทที่ 9 พิศวาสไม่คาดฝัน (1)
ในบาร์เหล้าแห่งหนึ่งในตัวเมืองขณะที่เพลงสไตล์คันทรี่จังหวะสนุกสนานกำลังเริ่ม มุมหนึ่งของร้านที่ประกอบไปด้วยลูกค้าต่างถิ่นสามคนกำลังนั่งสุมหัวผ่อนคลายความเครียดด้วยน้ำสีเหลืองอำพันในมือ จากการตรากตรำแทบจะพลิกผืนทรายในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเขายังคงคว้าน้ำเหลว
“โว้ย นี่ถ้าพลิกผืนทรายขึ้นมาหาได้ฉันทำไปแล้วเนี่ย” แก้วเนื้อดีถูกกระแทกลงบนโต๊ะตามอารมณ์หงุดหงิดของคนถือ แม้จะมีเสียงดนตรีดังกลบแต่ความดังของก้นแก้วที่กระทบลงบนบาร์ก็ยังเรียกความสนใจจากคนนั่งใกล้เคียงให้กันมามอง แต่พอได้มองแล้วก็กลบสายตาหนีทันทีเมื่อเห็นท่าทีคุกคามของชายทั้งสาม
“เบาๆ สิวะ” คนที่สูงที่สุดเอ่ยปราม
“เราจะเอายังไงต่อดี ทะเลทรายมันกว้างไม่ต่างจากมหาสมุทรเลย พวกเราจะคว้านกาตัวไอ้หมอนั่นเจอได้ยังไง รู้อย่างนี้ไม่น่าปล่อยให้มันรอดไปได้เลย”
“พอทีเถอะ พูดไปพูดมาก็วกมาเรื่องเดิมอีก มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาพูดเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว มาหาทางคิดดีกว่าว่าเป้าหมายต่อไปเราจะไปทางไหนกัน” ก็ยังคงเป็นคำพูดของคนที่ตัวสูงที่สุดอยู่ดี
“เราขึ้นเหนือกันมาตลอดงั้นลองลงทางใต้กันดูบ้าง พรุ่งนี้เช้าหลังจากแวะเข้าไปที่ร้านเครื่องประดับในตัวเมืองร้านสุดท้ายตรงหัวมุมถนนก็ออกเดินทางได้เลย” คนที่ดูจะสุขุมที่สุดบอกแผนการ อีก 2 คนที่เหลือพยักหน้าตามเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อน
ขณะที่สามมือปืนกำลังวางแผนกำหนดเส้นทางเพื่อตามล่าชายหนุ่มที่หายไปพร้อมกับเพชรล้ำค่าของเจ้านายในบาร์ตรงตัวเมือง คนที่กำลังถูกหมายหัวกลับกำลังนอนมือก่ายหน้าผากใช้ความคิดอยู่ในห้องพักของโรงแรมเล็กๆ ที่ท้ายเมือง
คืนนี้มูซากำลังเผชิญกับศึกหนัก เขาต้องต่อสู้กับความต้องการดิบเถื่อนตามประสาผู้ชายของตนเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากคนหนุ่มแน่นอย่างเขาจะเกิดความรู้สึกกับหญิงสาววัยแรกรุ่น ตามธรรมชาติผู้ชายเองก็ถูกสร้างมาให้ตอบสนองความอยากโดยไม่มีเรื่องความรู้สึกมาเกี่ยวข้องได้เป็นปกติอยู่แล้ว แล้วนี่ไม่ใช่ใครอื่นเป็นคนที่เขามีสิทธิ์ได้ตามครองธรรมซ้ำตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกถูกตาต้องใจอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ลมหายใจหอบใหญ่ถูกพ่นออกมาอย่างหงุดหงิด
“ไม่น่าไปรับปากตาเฒ่าขี้หวงสองคนนั้นเลย”
ยิ่งได้ยินเสียงราดน้ำดังขึ้นมาจากห้องน้ำก็พอจะให้จินตนาการดำมืดทำงานเต็มประสิทธิภาพ โรงแรมนี่ก็กะไรทำไมถึงได้รู้อกรู้ใจเขาไปเสียหมด ห้องน้ำห่างจากเตียงเพียง 5 ก้าว ได้ยินแม้กระทั้งเสียงวักน้ำ แม้รู้ดีว่าการออกไปรอข้างนอกคือการแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ แต่เขาเป็นบุรุษที่ไม่สุภาพมาแต่ไหนแต่ไรไฉนเลยต้องอกไปยืนตากลมทะเลทรายยามค่ำคืนให้มันกรีดผิวกายด้วยเล่า พอเขาไม่อยากออกไปยืนให้เม็ดทรายกรีดผิวเลยต้องมาทนกับจินตนาการเพริดแพร้วของตัวเองแทน ยังดีที่หญิงสาวไม่ให้เวลาเขาในการใช้จินตนาการสร้างสรรค์นาน เธอจัดการตัวเองได้อย่างรวดเร็วเรียบร้อยและมิดชิดในชุดเดิม
“ข้าอาบเรียบร้อยแล้ว” หญิงสาวยืนกอดผ้าเช็ดตัวแนบอกก่อนจะเดินเลี่ยงเขาไปนั่งลงบนเตียงอีกเตียง
ฮาน่าเป่าลมหายใจออกมาจากปากด้วยความโล่งอกที่หนีพ้นภาวะอึดอัดที่ต้องทนมองเขาได้เสียที นับว่าโชคยังดีที่แม้จะนอนร่วมห้องกัน แต่ห้องที่ได้ก็เป็นเตียงคู่จึงไม่ต้องคิดให้ปวดหัวว่าใครจะนอนตรงไหนยังไง
ร่างสูงยืนบิดกายสองสามครั้งก่อนจะเหลือบมองแผ่นหลังบางที่จัดการพาตัวเองนอนหันหลังให้เขาแล้วคลุมโปงราวกับอากาศหนาวเสียเต็มประดา ริมฝีปากหยักยกยิ้มเล็กๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองให้เรียบร้อย
“เฮ้อ เข้าไปเสียทีตาบ้า” คนที่นอนหันหลังเมื่อครู่ชะโงกศีรษะขึ้นมองไปทางประตูห้องน้ำก่อนจะทิ้งศีรษะลงหมอนตามเดิมพยายามบังคับตัวเองให้หลับก่อนที่อีกฝ่ายจะออกมาจากห้องน้ำ
คืนแรกของการอยู่ร่วมห้องของหนุ่มสาวที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้วนั้นไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อยเมื่อต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในโลกส่วนตัวแต่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องของกันและกันอยู่
ฮาน่ากำลังคิดถึงอดีตของมูซา เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ หลายอย่างในตัวเขามันฟ้อง แม้ผากเขาจะบอกว่าเขาเป็นผู้ชายธรรมดา (แถมยังไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้านอีก คิดแล้วก็โมโห) แต่ความรู้ความสามารถของเขานั้นเรียกว่าดีกว่าเตมีที่ได้รับการฝึกฝนเรียนรู้เพื่อรับช่วงต่อหัวหน้าเผ่าคนต่อไปของนากาอยู่หลายส่วน อย่างไรเธอก็ไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนธรรมดาอย่างที่บอก
ด้านมูซาก็กำลังคิดทบทวนและพยายามย้ำเตือนตนเองถึงสัญญาที่ได้ให้ไว้กับผู้อาวุโสทั้งสอง ตอนนั้นเขาคิดว่าการเมินเฉยต่อหญิงสาวมันง่าย แต่ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะรักษาสัญญานั้นได้ครบหรือไม่ อย่างแรกเลยคือเขาเป็นผู้ชายที่มีความรู้สึกความต้องการที่เรียกว่ามากกว่าปกติยังได้ และคืนนี้คงเป็นคืนที่ลำบากสำหรับเขาอีกคืน
เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดและปิดลงก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่ความเงียบ ฮาน่าใจเต้นแปลกๆ เมื่อได้กลิ่นสะอาดๆ มาจากร่างแกร่ง ความยากในการข่มตาหลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงขยับกายของเขาบนที่เตียงข้างๆ
จริงอยู่ว่านอนกันคนละเตียง แต่ระยะห่างเพียง 1 ก้าวระหว่างกันนั้นดูเหมือนไม่ช่วยลดความตื่นเต้นได้เลย
ว่าแต่ทำไมต้องเป็นเธอตื่นเต้นอยู่ฝ่ายเดียวด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบางจึงพลิกกลับไปอีกด้าน
“อุ๊ย!” เสียงอุทานเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากบางเมื่อพบว่าอีกฝ่ายนอนเปลือยท่อนบนหันหน้ามาทางเธอ เสียงอุทานหายไปแล้วเหลือไว้เพียงแต่สายตาซอกซอนสำรวจตั้งแต่เค้าโครงหน้าไปจนถึงอกผายไหล่ผึงลามลงมาถึงหน้าท้องแกร่งขึ้นกล้ามนูนแน่น ไม่รู้ทำไมฮาน่าถึงได้รู้สึกว่าการจ้องมองรูปร่างของเขาเป็นเรื่องที่เพลิดเพลินเจริญตา
‘บ้าจริง นี่เรากำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย’
เมื่อเห็นร่างสูงที่นอนหลับตาทำท่าคล้ายจะรู้สึกตัวฮาน่ารีบพลิกตัวกลับทันที
“นอนไม่หลับรึไง” เสียงทุ้มถามขึ้นมาลอยๆ
เขายังไม่กลับรึนี่ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับอย่างที่คิดหัวใจก็เต้นกระหน่ำหนักขึ้นไปอีก หญิงสาวหลับตาปี๋พยายามบอกตัวเองว่าเมื่อครู่ชายหนุ่มคงไม่รู้หรอกว่าเธอแอบสำรวจร่างกายของเขาด้วยความพึงพอใจ?
‘โอ้ ม่าย ไม่สิ เมื่อครู่เขาหลับอยู่นี่นาเขาจะรู้ได้ยังไงกัน’
ฮาน่าแสร้งทำเป็นหลับไม่รู้เรื่องคิดว่าอีกฝ่ายคงลามือไปเอง เพราะหากเธอขานรับเขาก็รู้กันพอดีสิว่าเธอยังไม่นอน!
ด้านมูซาที่นอนจ้องแผ่นหลังบางส่ายหน้ายิ้มๆ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับ แต่ที่เห็นคุมโปงอยู่นี่เพียงเพื่อต้องการจะหลบหน้าเท่านั้น คิ้วเข้มเลิกขึ้นพร้อมกับยกมุมปากขึ้นคล้ายกับนึกอะไรสนุกๆ ได้ ร่างแกร่งนอนหงายชะโงกศีรษะขึ้นมองเตียงข้างๆ อีกครั้งแล้วยิ้มกับตนเองในความมืด
ฮาน่ารู้สึกคันยุบยิบที่ริมฝีปากราวกับมีแมลงมารุมกัด พอเธอเม้มปากอาการมันก็หายไป แต่สักพักก็กลับมาคันยุบยิบอีก พอจะส่งเสียงประท้วงลำคอกลับแห้งผากคล้ายคนกระหายน้ำขณะเดียวกันร่างกายกับชื้นเหงื่อร้อนวูบวาบเป็นแห่งๆ หลายครั้งที่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาแต่ความเหนื่อยล้าที่ต้องเดินทางท่ามกลางไอแดดและความร้อนจากผืนทรายก็มีมากกว่า หญิงสาวได้แต่นอนโอดอยู่ในใจว่าเธอคงไม่สบายแน่แล้วถึงได้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ และคราวนี้คงจะไม่สบายหนักเอาการอยู่เหมือนกันเพราะรู้สึกร้อนแปลกๆ กว่าที่เคยบางครั้งก็รู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องแปลกๆ ในความมืดมิดและเงียบสงัดหูแว่วได้ยินเสียงหายใจหนักๆ ถี่ๆ กันเหมือนคนไม่สบายอีกด้วย
เอ...หรือว่ามูซาก็ป่วยเหมือนกัน
คิวเรียวขมวดน้อยๆ เมื่อใบหน้าต้องแสงสีขาวที่โผล่พ้นผ้าม่านเข้ามายังเตียงนอน ดวงตากลมโตๆ ค่อยๆขบัยเปิดขึ้นมองเช้าวันใหม่ด้วยความล้าแปลกๆ เมื่อคืนเธอคิดว่าตัวเองต้องตื่นมาพบกับอาการป่วยไข้แน่นอน แต่พอเอาเข้าจริงเธอแค่รู้สึกเพลียเล็กน้อยไม่ได้รู้สึกแย่อย่างที่คิด
พอตื่นเต็มตาสิ่งแรกที่ทำคือพลิกตัวขึ้นมามองหาร่างสูงที่นอนร่วมห้องกันมาทั้งคืน
“หายไปไหนแต่เช้ากัน” เมื่อเห็นประตูห้องน้ำเปิดอยู่ บนเตียงวางเปล่าหญิงสาวก็เริ่มตั้งคำถามกับตนเอง แต่พอคิดอีกทีก็ดีเหมือนกันเธอจะได้อาศัยจังหวะนี่จัดการธุระส่วนตัวได้อย่างไม่ต้องระแวง
หลังออกมาจากห้องน้ำฮาน่าก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นอาหารเช้าวางอยู่บนโต๊ะภายในห้อง แต่ไร้เงาของคนที่เอามาให้ มีเพียงโน้ตสั้นๆ ที่ทิ้งไว้พร้อมกับอาหารเพื่อยินยันว่าเป็นฝีมือของเขา
“ข้าจะเข้าไปรับยาที่ร้านแล้วจะกลับมารับเจ้าในอีกครึ่งชั่วโมง จัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วจะได้กลับบ้าน” หญิงสาวเผลอเบ้ปากใส่ข้อความของมูซาโดยไม่รู้ตัว
“ทำอย่างกับข้าเป็นเด็ก” แม้จะบ่นอย่างนั้นแต่หญิงสาวก็ทำตามคำสั่งของชายหนุ่มจนเสร็จเรียบร้อยก็ออกมานั่งนั่งรอเขาหน้าที่พัก
ขณะเดียวกันหลังจากได้ยาแล้วชายหนุ่มก็ขับรถมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายเครื่องประดับ มือหนาล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบเอาถึงใส่เพชรสีชมพูออกมา ชายหนุ่มกำลังยืนมองชื่อร้านเครื่องประดับสลับกับมองอัญมณีในมือ แรกเริ่มเดิมที่เขาก็ไม่คิดจะเก็บเอาของที่ไม่ใช่ของตัวเองไว้กับตัว แต่จะให้ส่งคืนในตอนนี้ก็คงลำบากเพราไม่แน่ใจว่าส่งแล้วจะถึงมือหรือไม่กอปรกับไม่ดีเท่าไหร่หากจะเป็นการให้เบาะแสอีกฝ่ายมาตามล่าเขาได้ ฉะนั้นการตัดสินใจขายน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
พอตัดสินใจได้ดังนั้นร่างสูงก็เดินเข้าร้านไปด้วยความมั่นใจ มูซาหายเข้าไปในร้านได้ไม่นานก็ออกมาพร้อมรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ หุบลงเมื่อมองเห็นชายฉกรรจ์ที่เขาไม่เคยลืมใบหน้าเลยอยู่ไกลออกไปแต่ดูเหมือนกำลังมุ่งหน้ามาที่ร้านนี้เหมือนกัน มือที่ถือห่อผ้าที่บรรจุของมีค่าอยู่ข้างในกำแน่นเท้าหันกลับเข้าไปในร้านหมายจะนำเพชรเมื่อครู่คืนต้องสะดุดลงทันทีเมื่อหนึ่งในสามคนนั้นมองเห็นเขา ชายหนุ่มเปลี่ยนใจไม่กลับเข้าไปในร้านแต่รีบกระโดดขึ้นรถและพุ่งออกไปทันทีก่อนที่มือปืนทั้งสามคนจะตามทัน
“เฮ้ย นั่นมันเจ้าหมอนั่นนี่ใช่ไหม” คนตาไวกว่าเพื่อนชี้ไปทางหน้าร้านเครื่องประดับลือชื่อในเมืองแห่งนี้ อีกสองคนที่เหลือพยายามมองหาแต่ด้วยจำนวนคนที่พลุ่กพล่านที่มาจับจ่ายตลาดในตอนเข้าทำให้พวกเขาเห็นเพียงแค่ด้านหลังไวๆ พอวิ่งตามไปอีกฝ่ายก็หายไปเสียแล้ว
“แกแน่ใจนะว่าใช่มันจริงๆ”
“ไม่ผิดแน่แม้จะเห็นแค่ด้านข้างแต่ฉันคิดว่าเป็นมันแน่ๆ” อีกฝ่ายบอกด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“ดีงั้นแกมากับฉันมันต้องอยู่ในเมืองนี้แน่ๆ ส่วนแกเข้าไปดูในร้านมันต้องเอาอะไรมาขายแน่นอน” คนตัวเล็กสุดรับคำสั่งวิ่งเข้าไปในร้านปล่อยให้ที่เหลืออีกสองคนวิ่งกลับเข้าไปในรถและเร่งเครื่องออกตามเป้าหมายที่บังเอิญมาเจอหลังจากที่ตามหาแทบจะพลิกแผ่นดิน พวกเขาตื่นตัวกระหายอยากการไล่ล่าชนิดที่ว่าหากมูซาไม่ตายพวกเขาก็ไม่มีทางรามือ
โทรศัพท์มือถือเครื่องยักษ์กรีดเสียงร้องอยู่เพียงครั้งเดียวมือใหญ่ก็รีบกดรับทันทีขณะสายตาก็สอดส่องมองหาตัวเจ้าหนุ่มคนนั้นไปด้วย
“ว่าไง”
“หมอนั่นเอาเพชรมาขาย ตอนนี้เพชรอยู่ในมือฉันแล้ว” รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี้ยมเกรียม
“ดี! ตอนนี้ฉันอยู่หน้าร้านขายยาตรงหัวเมือง รีบมาแล้วออกไล่ล่าเจ้าบ้านั่นกัน” เอ่ยจบก็กดตัดสายทันทีไม่ฟังเสียงทักท้วงของปลายสายที่ยังพูดไม่ทันจบ
“ได้เรื่องอะไรบ้าง”
“เราได้เพชรกลับคืนมาแล้ว”
ดวงตาเข้มเป็นประกายวาบเมื่อได้รับข่าวดี “งั้นก็ดีสิ เราไม่ต้องตามล่าเจ้านั่นอีกแล้วใช่ไหม”
คนที่สั่งการมาตั้งแต่ต้นตวัดมองเพื่อนร่วมงานตาขวาง “ใครบอก ต่อให้เจอเพชรแล้ว แต่ชีวิตเจ้าหมอนั่นก็ยังเป็นที่ต้องการของเจ้านายอยู่ดี อีกอย่างการที่มันยังมีชีวิตอยู่พวกเราเองก็ไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขหรอกในเมื่อมันจำหน้าเราได้ทุกคนเจ้าคิดเหรอว่ามันจะไม่เอาเรื่องของเราไปแจ้งตำรวจ”
แม้จะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักเพราะใจของเขาอายกจะกลับไปใช้ชีวิตบอดีการ์ดสบายๆ ที่ลาสเวกัสแล้ว แต่ที่เพื่อนคนนี้พูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน หากไม่กำจัดชายชู้ของนายหญิงมีหรือเจ้านายของเขาจะยอม อีกทั้งการเก็บงานให้เรียบร้อยก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
พอคิดได้ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก นั่งรอเพื่อนอีกคนมาสบทบอยู่ครู่หนึ่งทั้งสามก็พากันออกตามล่าเหยื่อที่ค่าหัวสูงที่สุดที่เจ้านายเคยจ้าง
เสียงเบรกรถอย่างกะทันหันส่งเสียงดังไปทั่วจนฮาน่าที่นั่งอยู่หน้าที่พักจนต้องหันหลังไปมองหมายจะสบถด่าในใจ แต่เมื่อมองเห็นว่าเป็นรถของเธอเองและคนขับก็ไม่ใช่ใครคือคนที่สั่งให้เธอรอเขามารับนั่นเอง
“รีบโดดขึ้นมาเร็ว!” ร่างสูงตะโกนสั่งด้วยท่าทีร้อนรน ฮาน่าไม่เสียเวลาเอ่ยปากถามรีบกระโดดเข้าไปในรถตามคำสั่งเขาทันที ประตูรถยังไม่ทันปิดดีเสียด้วยซ้ำเขาก็กระชากรถออกไปราวกับกำลังหนีอะไรสักอย่าง
พอขึ้นรถมาได้เธอก็เปิดปากถามสาเหตุความรีบเร่งในครั้งนี้ทันที
“เกิดอะไรขึ้น เจ้ากำลังหนีอะไร”
ร่างสูงคอยมองกระจกหลังและกระจกข้างอยู่เป็นระยะไม่มีวี่แววว่าจะสนใจตอบคำถามของหญิงสาวแม้แต่น้อย
“นี่เจ้าพาข้ามาร่วมหัวจมท้ายขนาดนี้ยังไม่คิดจะเล่าอะไรให้ข้ารับรู้บ้างเลยหรือ มูซา เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะว่าเจ้ากำลังหนีอะไร!” ฮาน่าตวาดใส่อย่างเหลืออด
มือกระชากเกียร์พร้อมเหยียบคันเร่งจนมิดสมองคิดหาทางเอาตัวรอด ไม่ได้คิดจะปิดบังเธอ เขาคิดจะเล่าเมื่อทุกอย่างมันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้มูซาไม่อยากให้หญิงสาวต้องตื่นตระหนก กลัวและเจออันตรายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมเอาแต่โวยวายจะรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนสุดท้ายเขาต้องยอมบอก
“ข้าเจอคนที่เคยทำร้ายข้าในตอนนั้น ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังตามล่าตัวข้าอยู่ได้รู้แล้วพอใจแล้วสินะ”
ริมฝีปากบางอ้าค้างด้วยความตกใจ ดวงตากลมโตมีร่องรอยความหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะอย่างนี้เขาถึงไม่อยากบอกเธอ
ชายหนุ่มมองถนนที่เหลืออีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะออกจากเขตเมืองแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลทองเหลือบมองกระจกหลังอีกครั้งลมหายใจถูกพ่นออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อไม่เห็นคนร้ายตามมา แต่แล้วกลับโล่งอกได้ไม่นานเมื่อจู่ๆ ตรงทางแยกข้างหน้าก็มีรถจี๊บล้อสูงพุ่งออกมาขวางจนเขาต้องหักหลบแล้วเร่งสปี๊ดเครื่องยนต์ให้เร็วขึ้นอีกเมื่อเห็นชัดถนัดตาว่าคนบนรถจี๊บคันนั้นคือคนร้ายทั้ง 3 ที่ตามล่าตัวเขาอยู่
“หมอบลงไป อย่าเงยหน้าขึ้นมาจนกว่าข้าจะสั่ง” ฮาน่าทำตามที่เขาบอกในทันทีแต่สายตาเหลือบมองเขาเป็นระยะ
“พวกมันจะตามทันไหม” น้ำเสียงที่ถามเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หญิงสาวไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องหนีการไล่ล่า
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรไปแน่ๆ” น้ำเสียงหนักแน่นที่ส่งต่อมายังมือหนาที่เลื่อนมาบีบกระชับในเสี้ยววินาทีทำให้จิตใจที่หวาดหวั่นรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย แม้จะไม่สามารถขจัดความกลัวออกไปได้หมด แต่ฮาน่าเชื่ออยู่อย่างว่าอยู่กับเขาเธอจะปลอดภัย
แต่แล้วเสียงปืนที่ดังขึ้นก็กระชากความเชื่อมั่นเธออีกครั้ง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายพยายามที่จะสังหารมูซาให้ได้ไม่ได้คิดจับเป็นอะไรเลย
เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด ฮาน่าพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลุดเสียงกรี๊ดให้มูซาเสียขวัญ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อแห่งความกลัวเงยขึ้นมองร่างสูงที่สีหน้าเคร่งเครียด หลายครั้งที่ร่างของเธอไหลไปกระแทกกับประตูรถเมื่อยามที่ชายหนุ่มบังคับรถหลบลูกกระสุนที่คนร้ายสาดมา และทุกครั้งที่มีเสียงอุทานด้วยความเจ็บเขาจะชำเลืองลงมามองเธอด้วยแววตาขอโทษ ก่อนจะหันไปสนใจหนทางข้างหน้าต่อ ในความหวาดกลัวฮาน่าบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจเมื่อเห็นแววตาแห่งความห่วงใยของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามี
มันไม่ถูกต้องเธอไม่ควรรู้สึกอะไรกับเขาเลยจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่ทันเสียแล้ว เธอถลำลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลทองที่ก้มลงมาสบตาเธอทุกครั้งที่เธอหลุดอุทานด้วยความเจ็บปวด
เหงื่อร้อนๆ ผุดขึ้นตามขมับของมูซายิ่งเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามกะเอาเขาถึงตายไล่ล่าอย่างไม่ลดละใจเขายิ่งกังวล มูซาไม่ใช่คนหนุ่มที่กลัวความตาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนต่อให้เขาต้องสู้กับคนร้ายทั้งสามและจบชีวิตลงเขาก็ไม่เสียใจ เพราะชีวิตเขาไม่มีอะไรต้องห่วง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว เขามีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องรับผิดชอบและเขาไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรเป็นอันขาด ต่อให้เขาต้องตายเธอก็ต้องรอด
นัยน์ตาคมเหลือบมองหน้าปัดคำนวณน้ำมันที่เหลือกับระยะทางกลับเผ่าแล้วหันไปมองร่างเล็กที่คู้กายอยู่ด้านล่าง
“ฮาน่า เดี๋ยวพอข้าให้สัญญาณเจ้ารีบเข้ามาประจำที่นั่งคนขับแทนข้า ส่วนข้าจะล่อพวกมันไปอีกทาง”
ฮาน่าเงยหน้ามองเขาสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“เราต้องแยกทางกัน พวกมันต้องการชีวิตข้าไม่ใช่เจ้า หากเรายังหนีไปด้วยกันเจ้าจะมีอันตราย”
“หมายความว่าเจ้าจะทิ้งข้างั้นเหรอ”
มูซาไม่ตอบแต่เร่งให้อีกฝ่ายเตรียมตัวแทน “เร็วเข้า เดี๋ยวข้าจะกระโดดลงข้างหน้านี้แล้ว”
“ไม่! ข้าไม่ทำ”
มูซามีสีหน้ายุ่งยากใจเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย
“นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะดื้อกับข้านะแม่เด็กน้อย”
“เจ้าจะทิ้งข้า ข้าไม่ยอมให้เจ้าทิ้งข้าหรอกนะ คนบ้า!” ฮาน่าตวาดเขาด้วยน้ำตานองหน้า บุรุษผู้นี้เขาคิดได้อย่างไรว่าจะให้นางเอาตัวรอดคนเดียว แล้วปล่อยให้คนร้ายอาวุธครบมือขนาดนั้นตามล่าเขาได้ยังไงกัน เขาจะให้นางเป็นม่ายตั้งแต่ยังไม่เข้าหอรึไง นางจะทำอย่างนั้นได้ยังไง
เมื่อไม่เห็นทีท่าคล้อยตามของหญิงสาวมูซาก็สบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อเห็นว่าคนร้ายเริ่มตามมาติดๆ ข้างหน้าอีกไม่ไกลนั้นจะเป็นเขตทางใต้ของอาซาลาหากเขาขับเข้าไปอาจพอมีทางรอด ไม่สิ รอดแน่ๆ อยู่แล้ว เพราะอาซาลาไม่ยอมปล่อยให้มีอาชญากรรมกลางเมืองแน่นอน อีกอย่างคิดว่าสามคนนั้นคงไม่กล้าก่อเรื่องในเขตชุมชนที่มีทหารรักษาการอยู่ทั่วทุกมุมเมืองเป็นแน่
เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นรถกระบะตอนเดียวของเขาจึงมุ่งหน้าเข้าเมืองในทันที แต่ก็ยังช้ากว่ากระสุนปืนขอคนร้ายที่เล็งเป้ามายังล้อรถทำให้รถของทั้งคู่เสียการควบคุม
“บ้าเอ๊ย!” หลังจากสูญเสียล้อไปหนึ่งข้างทำให้ความเร็วของรถลดลงทำให้คนร้ายตามไล่ล่าใกล้เข้ามาทุกทีขณะที่กำลังเพี้ยงพล้ำ เสียงกระแทกดังตูมดังมาจากทางด้านหลัง มุซาหันไปมองตามเสียงเห็นรถของคนร้ายถูกรถจี๊บล้อสูงคนหนึ่งชนท้ายเข้าอย่างจัง ภายในรถมีกลุ่มคนชุดขาวอยู่สองคน หนึ่งในสองคนในรถกันมาพยักหน้าส่งสัญาณให้เขาไปต่อ เห็นดังนั้นมูซาก็ไม่ขัดศรัทธารีบเร่งเครื่องเครื่องทิ้งห่างรถของง 3 คนร้ายทันที ภาพเบื้องหลังที่ชายหนุ่มเห็นผ่านกระจกคือรถจี๊บในลกษณะเดียวกันอีกสองคันวิ่งมาประกบคนร้ายทั้งสาม ก่อนจะล้อมเอาไว้โดยมีชายชุดขาวปิดหน้าปิดตาเข้ามาขวางก่อนจะยกอาวุธครบมือเล็งไปที่สามมือปืนเพื่อข่มขู่ให้ถอยทัพกลับไป
มูซามองผู้มาใหม่ด้วยความแปลกใจแต่ไม่มีเวลาสงสัยมากนักเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าผู้มาใหม่นี้ต้องการมาช่วยหรือต้องการมาเอาชีวิตเขาต่อจากสามคนนี้กันแน่ ฉะนั้นชายหนุ่มจึงอาศัยโอกาสนี้ขับรถมุ่งหน้าเข้าสู้เขตแดนประเทศอาซาลา ประเทศที่เขาไม่คิดจะกลับมาอีกตลอดชีวิต
แม้สภาพรถจะไม่เอื้ออำนวยต่อการวิ่งระยะไกลแล้วแต่ก็ยังสามารถพาเขาและฮาน่าเข้ามาถึงเขตเมืองของอาซาลาจนได้ก่อนจะใช้การไม่ได้ในอีกชั่วโมงต่อมาเนื่องจากน้ำมันหมดและล้อรถก็ไปต่อไม่ไหวแล้ว ทั้งคู่จึงได้แวะพักที่ชานเมืองเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแน่แล้ว แม้จะไม่รู้ว่าชะตากรรมของคนร้ายทั้งสามเป็นอย่างไรแต่ในเวลานี้เขาไม่คิดว่าสามคนนั้นจะตามพวกเขาทัน
เมื่อมาถึงแผ่นดินแม่อันเป็นสถานที่ที่คุ้นเคยชนิดที่หลับตาเดินก็ไม่มีทางหลงความรู้สึกอุ่นใจก็แผ่ล้อมอยู่รอบกายอย่างเงียบๆ มูวาเลือกที่จะพักตรงชานเมืองใกล้แหล่งน้ำมากกว่าจะเข้าไปหาที่พักในเมือง เขาไม่รู้ว่าคนของพี่ชายจะซุกซ่อนอยู่มุมใดบ้าง แน่นอนว่าหากเจอคนพวกนั้นเขาคงถูกจับเข้าวังเป็นแน่ คืนนี้เขาจึงตัดสินใจใช้รถต่างที่พักแรม ก่อนจะจัดเริ่มจัดการเปลี่ยนล้ออะไหล่ให้เสร็จแล้วคิดเอาไว้ว่าพรุ่งนี้จะปลอมตัวเข้าไปซื้อน้ำมันในเมืองมาเติมแล้วขับกลับเผ่านากา
การอยู่ที่อาซาลาหลายวันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาเส้นสายของพี่ชายเขามีเยอะมากตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเขาต้องย้ายที่อยู่ทุกๆ 3 เดือนก็เผื่อหนีการตามหาของพี่ชายนอกสายเลือดคนนี้ ฉะนั้นหากเรื่องที่เขาล่วงเข้ามาในอาซาลาถึงหูขององค์รัชทายาทคนปัจจุบันเชื่อว่าเขาคงถูกตามกลับเข้าวังเป็นแน่
“หิวรึยัง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังทำหารเปลี่ยนล้ออะไหล่เสร็จเรียบร้อย
นี่ก็ตัวปัญหาอีกคน ตังแต่เขาแวะจอดเพื่อบอกเธอว่าคืนนี้จะพักที่นี่อีกฝ่ายก็ไม่พูดกับเขา
ฮาน่ายังน้อยใจไม่หายที่ชายหนุ่มคิดจะทิ้งเธอให้กลับนากาคนเดียว เขาคิดได้ยังไงว่าจะเอาตัวเองล่อคนร้ายเพื่อให้เธอปลอดภัย เขาห่วงชีวิตเธอแต่ไม่ห่วงชีวิตตัวเองเลยงั้นหรือ
“นี่ เจ้าโกรธอะไรข้าเนี่ยฮาน่า” มือหนาที่เปื้อนคราบล้อยางบีบเข้าที่แก้มป่องๆ ของภรรยาตัวน้อยด้วยความมันเขี้ยว
“ปล่อยนะ ไม่ต้องมายุ่งกับข้าเลย” สะบัดเสียงใส่งอนๆ พยายามจะใช้มือเล็กๆ ของเธอแกะมือหนาที่บีบแก้มเธอเอาไว้จนปากยู่ นอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นอีกฝ่ายยังดูสนุกสนานกับการแกล้งเธออีกด้วย
พอได้แกล้งจนหนำใจ มือหนาก็คลายออกจากแก้มนุ่มที่ขมุกขมัวด่างดำอย่างง่ายๆ ฮาน่าค้อนใส่คนขี้แกล้งลืมเลยว่าเมื่อครู่กำลังโกรธเขาอยู่
มูซายกฝ่ามือขาวๆ ที่บัดนี้ดำไปทั้งฝ่ามือขึ้นอวดสายตาหญิงสาว คนเพิ่งรู้ตัวว่าถูกแกล้งอ้าปากค้างตาโตรีบวิ่งไปส่องกระจกรถสำรวจใบหน้าตัวเองทันที
ไม่ผิดไปจากที่คิด หน้าขาวเนียนของเธอเปื้อนเขม่าและคราบล้อยาง หญิงสาวหันมามองชายหนุ่มด้วยสายตาเอาเรื่องก่อนจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายแบบไม่ให้ตั้งตัวส่งผลให้ร่างหนาถลาล้มลงก้นจ้ำเบ้าโดยมีร่างบางนั่งคร่อมอยู่บนตักจัดการเอาแก้มเปื้อนๆ ของตัวเองถุกเข้ากับแก้มสากระคายของอีกฝ่ายอย่างโมโห อาการเอาคืนเล็กๆน้อยๆของหญิงสาวไม่ได้สร้างอารมณ์โกรธเคืองให้ร่างแกร่งแต่อย่างใด แต่กลับสร้างอารมณ์อื่นที่มันไมควรเกิดในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
“นี่แนะๆ แกล้งข้าดีนักใช่ไหม ต้องโดนอย่างนี้ นี่ๆ” เจ้าของร่างนุ่มนิ่มละเลงผลงานศิลปะด้วยแก้มนุ่มของตนเองจนพอใจแล้วก็เงยขึ้นมามองผลงานด้วยความสะใจ ทว่าน้ำเสียงหัวเราะเยาะอย่างพออกพอใจที่เอาคืนสำเร็จค่อยๆ แผ่วลงเมื่อรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคนใต้ร่าง แววตาสีน้ำตาลทองบัดนี้เข้มขึ้น การสบตาเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการเผาตัวเองฮาน่ารู้สึกร้อนไปทั้งหน้ากับสายตาเป็นประกาย ความร้อนจากเรือนกายแกร่งส่งต่อมาถึงร่างบอบบางของเธอ
ฮาน่าเริ่มไม่แน่ใจแล้ว่าคำถามที่เขาถามเมื่อครู่เขาถามเธอหรือถามตัวเอง
“หิวรึยัง”
เพราะในสายตาเธอตอนนี้คนที่หิวน่าจะเป็นเขามากกว่า
สายตาหิวกระหายของมูซาทำเอาร่างบางถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ใบหน้าเห่อร้อนแดงก่ำก้มงุดไม่อาจต้านทานสายตาร้อนแรงของเขา มือที่กำแน่นอยู่บนอกเสื้อของชายหนุ่มค่อยๆ คลายออกอย่างเงะงะ พอได้สติเธอถึงรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อขนาดไหนที่พบว่าตัวเองกำลังคร่อมร่างของผู้ชายอยู่
พอเห็นร่างนุ่มนิ่มตั้งท่าจะขยับลุกออกจากกาย มือหน้ารวบเอาเอวบางกลับเข้ามาพร้อมๆ กับลูบไล้แผ่นหลังบางกดลงมาหาตนเองช้าๆจนระดับใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ดวงตากลมโตไหวระริกสับสนเก้อเขิน เธอควรจะขัดขืนและผละห่างจากร่างกายร้อนรุ่มนี้ให้เร็วที่สุด แต่ทำไมพอมองเข้าไปในดวงตาสีทองของเขาเธอถึงไม่อาจถอนสายตาได้
ผู้ชายคนนี้เป็นปีศาจใช่ไหม หรือแท้จริงแล้วเป็นพ่อมด
นิ้วแกร่งค่อยๆ ไต่เลื่อนขึ้นไปลูบท้ายทอยหญิงสาวแผ่วเบาจนขนอ่อนลุกพรึ่บราวน้ำมันติดไฟ เสียงอุทานหวานหูหลุดออกมาเบาๆ ก่อนที่จะถูกริมฝีปากกระด้างของคนใต้ร่างประกบเพื่อทำการทักทาย คุ้นเคย หยอกเย้าไปพร้อมๆ กันจนได้ยินเสียงหอบครางของคนอ่อนประสบการณ์ยิ่งทำให้หัวใจเขาลิงโลดป้อนประสบการณ์ทุกอย่างใส่ร่างของสาวน้อยแบบไม่บันยะบันยัง ฮาน่าหัวหมุนราวกัลป์ถูกเหวี่ยงออกนอกโลก ริมฝีปากร้อนรุมตามเกาะติดเธอไม่ลดละ พอเธอทำท่าจะขาดอากาศเขาก็ถอนห่างให้เธอได้พักหายใจแต่ไม่ทันไรเขาก็กลับเข้ามาตามติดเธอไม่ต่างจากแม่เหล็กต่างขั้ว มันผิดตรงที่เธอเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำของเขา ทั้งคู่แลกจุมพิตกันราวกับเพิ่งค้นเจอแหล่งน้ำแห่งเดียวที่เหลืออยู่บนทะเลทรายแห้งแล้งหากไม่ดื่มกินเสียเดียวนี้จะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้พวกเขาได้ดื่มกินอีก
มูซาไม่คิดเลยว่าคนเหนือร่างจะให้รสชาติเรากับน้ำตาลสดหอมหวาน ยิ่งชิมยิ่งกระหายไม่รู้จบ กว่าเขาจะทำใจถอนริมฝีปากออกจาริมฝีปากแดงช้ำได้ก็ทำเอาคนตัวเล็กหมดเรี่ยวแรงต้องทิ้งน้ำหนักตัวลงบนร่างเขา ชายหนุ่มแนบหน้าผากกับหน้าผากโค้งมนของฮาน่าลมหายใจของทั้งคู่ยังคงหอบถี่ ชายหนุ่มนึกขำอยู่ในใจเมื่อพบว่าเขาจูบเธอทั้งๆ ที่แก้มเลอะมอมแมม ความเขินอายที่ส่งผ่านออกมาทางผิวบางที่ขึ้นสีเรื่อตามสันจมูกทำให้เขานึกเอ็นดูจนต้องเลื่อนริมฝีปากไปจุมพิตหน้าผากนวลที่เกลี้ยงเกลา
“ลุกเองไหวไหม” ริมฝีปากหยักเอ่ยถามข้างหู
ร่างเล็กยันตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลพอควรกว่าจะถอยออกมานั่งพับขาบนพื้นทรายด้วยความรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย ตอนนี้หูของเธอได้ยินเพียงเสียงของหัวใจที่เต้นรัวมือที่วางประสานกันไว้บนตักบีบแน่นจนแดงไปหมด
เมื่อครู่นั่นมันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับเธอทำไมถึงได้ไม่ขัดขืน หญิงสาวเม้มปากแน่นยังรู้สึกได้ถึงความฉ่ำชื้นที่ติดอยู่บนริมฝีปาก
‘แล้วข้าควรจะทำยังไงดี’ หญิงสาวเหลืบสายตาขึ้นมองร่างแกร่งที่ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งประจันหน้ากับเธอได้แวบเดียวก็เสมองไปทางอื่น ตอนนี้อย่าว่าแต่มองหน้าเขาเลย แค่ได้ยินเสียงขยับกายของเขาใจเธอก็เตลิดไปไกลแล้ว
นิ้วแกร่งไล้ผิวแก้มเปื้อนๆ ด้วยความหลงใหลปนเอ็นดู ยิ่งอีกฝ่ายสะดุ้งทำหน้าตาตื่นยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากเข้าหาเธออีกครั้ง เขาถอนหายใจออกมาอย่างแสนเสียดายพยายามรั้งความต้องการร่างน้อยเอาไว้
ไม่ดีแน่หากเขาคิดจะปล่อยให้สัญชาตญาณดิบออกล่าเหยื่อในค่ำคืนนี้ เพียงแค่จูบแม่คนตัวเล็กก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวแล้ว อีกอย่างเขายังติดพันธะสัญญาลูกผู้ชายกับสองผู้อาวุโสของเผ่านากาอยู่ด้วย
“ข ข้าหิวแล้ว” ฮาน่าโพล่งขึ้นมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะก้มหน้าลงมาหาเธออีก ดูสายตาเขาก็รู้ว่าเขาหิวยิ่งกว่าเธอ แต่ไม่ได้คราวนี้เธอไม่ยอมหรอก แค่เมื่อครู่หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอก็แทบวายแล้ว
เสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอของอีกฝ่ายทำเอาคิ้วเรียวย่นเข้าหากัน แต่ก็ยังไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ
“อื้ม งั้นเจ้าไปล้างหน้าที่หนองน้ำตรงโน้นก่อนแล้วกันเดี๋ยวข้าจาอะไรให้กิน” ร่างสูงยืนขึ้นแล้วส่งมือให้หญิงสาว
นัยน์ตาสีเทามองมือใหญ่ที่เปรอะเปื้อนไม่ต่างกันกับใบหน้าของเขาด้วยแววตาลังเล แต่มูซาก็ไม่ให้เธอได้ใช้ความคิดนาน มือหนาคว้ามือเล็กมากุมไว้แล้วฉุดให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะรุนหลังบางให้เดินไปข้างหน้าพร้อมบอกทางไปด้วย
ร่างเล็กเดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงักหันหลับมามองด้านหลังก็พบว่าเขายืนมองเธออยู่เช่นกัน ในตอนนี้ความรู้สึกภายในใจของฮาน่าได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทัศนคติที่มีต่อเขาก็ถูกแปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ใบหน้าขมุกขมัวยิ้มขัดเขินกับตัวเองก่อนจะเดินไปจัดการล้างหน้าล้างตาตามที่เขาบอก
+++ ตอนหน้าลงเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะคะ ต้นฉบับใกล้เสร็จแล้วค่ะ ถ้าส่งแล้วไม่มีปัญหาอะไรคิดว่าน่าจะเป็นเล่มไม่เกินเดือนก .ค. -ส.ค. นะคะ ไว้จะมาแจ้งอีกทีค่ะ ^^
ในบาร์เหล้าแห่งหนึ่งในตัวเมืองขณะที่เพลงสไตล์คันทรี่จังหวะสนุกสนานกำลังเริ่ม มุมหนึ่งของร้านที่ประกอบไปด้วยลูกค้าต่างถิ่นสามคนกำลังนั่งสุมหัวผ่อนคลายความเครียดด้วยน้ำสีเหลืองอำพันในมือ จากการตรากตรำแทบจะพลิกผืนทรายในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเขายังคงคว้าน้ำเหลว
“โว้ย นี่ถ้าพลิกผืนทรายขึ้นมาหาได้ฉันทำไปแล้วเนี่ย” แก้วเนื้อดีถูกกระแทกลงบนโต๊ะตามอารมณ์หงุดหงิดของคนถือ แม้จะมีเสียงดนตรีดังกลบแต่ความดังของก้นแก้วที่กระทบลงบนบาร์ก็ยังเรียกความสนใจจากคนนั่งใกล้เคียงให้กันมามอง แต่พอได้มองแล้วก็กลบสายตาหนีทันทีเมื่อเห็นท่าทีคุกคามของชายทั้งสาม
“เบาๆ สิวะ” คนที่สูงที่สุดเอ่ยปราม
“เราจะเอายังไงต่อดี ทะเลทรายมันกว้างไม่ต่างจากมหาสมุทรเลย พวกเราจะคว้านกาตัวไอ้หมอนั่นเจอได้ยังไง รู้อย่างนี้ไม่น่าปล่อยให้มันรอดไปได้เลย”
“พอทีเถอะ พูดไปพูดมาก็วกมาเรื่องเดิมอีก มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาพูดเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว มาหาทางคิดดีกว่าว่าเป้าหมายต่อไปเราจะไปทางไหนกัน” ก็ยังคงเป็นคำพูดของคนที่ตัวสูงที่สุดอยู่ดี
“เราขึ้นเหนือกันมาตลอดงั้นลองลงทางใต้กันดูบ้าง พรุ่งนี้เช้าหลังจากแวะเข้าไปที่ร้านเครื่องประดับในตัวเมืองร้านสุดท้ายตรงหัวมุมถนนก็ออกเดินทางได้เลย” คนที่ดูจะสุขุมที่สุดบอกแผนการ อีก 2 คนที่เหลือพยักหน้าตามเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อน
ขณะที่สามมือปืนกำลังวางแผนกำหนดเส้นทางเพื่อตามล่าชายหนุ่มที่หายไปพร้อมกับเพชรล้ำค่าของเจ้านายในบาร์ตรงตัวเมือง คนที่กำลังถูกหมายหัวกลับกำลังนอนมือก่ายหน้าผากใช้ความคิดอยู่ในห้องพักของโรงแรมเล็กๆ ที่ท้ายเมือง
คืนนี้มูซากำลังเผชิญกับศึกหนัก เขาต้องต่อสู้กับความต้องการดิบเถื่อนตามประสาผู้ชายของตนเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากคนหนุ่มแน่นอย่างเขาจะเกิดความรู้สึกกับหญิงสาววัยแรกรุ่น ตามธรรมชาติผู้ชายเองก็ถูกสร้างมาให้ตอบสนองความอยากโดยไม่มีเรื่องความรู้สึกมาเกี่ยวข้องได้เป็นปกติอยู่แล้ว แล้วนี่ไม่ใช่ใครอื่นเป็นคนที่เขามีสิทธิ์ได้ตามครองธรรมซ้ำตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกถูกตาต้องใจอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ลมหายใจหอบใหญ่ถูกพ่นออกมาอย่างหงุดหงิด
“ไม่น่าไปรับปากตาเฒ่าขี้หวงสองคนนั้นเลย”
ยิ่งได้ยินเสียงราดน้ำดังขึ้นมาจากห้องน้ำก็พอจะให้จินตนาการดำมืดทำงานเต็มประสิทธิภาพ โรงแรมนี่ก็กะไรทำไมถึงได้รู้อกรู้ใจเขาไปเสียหมด ห้องน้ำห่างจากเตียงเพียง 5 ก้าว ได้ยินแม้กระทั้งเสียงวักน้ำ แม้รู้ดีว่าการออกไปรอข้างนอกคือการแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ แต่เขาเป็นบุรุษที่ไม่สุภาพมาแต่ไหนแต่ไรไฉนเลยต้องอกไปยืนตากลมทะเลทรายยามค่ำคืนให้มันกรีดผิวกายด้วยเล่า พอเขาไม่อยากออกไปยืนให้เม็ดทรายกรีดผิวเลยต้องมาทนกับจินตนาการเพริดแพร้วของตัวเองแทน ยังดีที่หญิงสาวไม่ให้เวลาเขาในการใช้จินตนาการสร้างสรรค์นาน เธอจัดการตัวเองได้อย่างรวดเร็วเรียบร้อยและมิดชิดในชุดเดิม
“ข้าอาบเรียบร้อยแล้ว” หญิงสาวยืนกอดผ้าเช็ดตัวแนบอกก่อนจะเดินเลี่ยงเขาไปนั่งลงบนเตียงอีกเตียง
ฮาน่าเป่าลมหายใจออกมาจากปากด้วยความโล่งอกที่หนีพ้นภาวะอึดอัดที่ต้องทนมองเขาได้เสียที นับว่าโชคยังดีที่แม้จะนอนร่วมห้องกัน แต่ห้องที่ได้ก็เป็นเตียงคู่จึงไม่ต้องคิดให้ปวดหัวว่าใครจะนอนตรงไหนยังไง
ร่างสูงยืนบิดกายสองสามครั้งก่อนจะเหลือบมองแผ่นหลังบางที่จัดการพาตัวเองนอนหันหลังให้เขาแล้วคลุมโปงราวกับอากาศหนาวเสียเต็มประดา ริมฝีปากหยักยกยิ้มเล็กๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองให้เรียบร้อย
“เฮ้อ เข้าไปเสียทีตาบ้า” คนที่นอนหันหลังเมื่อครู่ชะโงกศีรษะขึ้นมองไปทางประตูห้องน้ำก่อนจะทิ้งศีรษะลงหมอนตามเดิมพยายามบังคับตัวเองให้หลับก่อนที่อีกฝ่ายจะออกมาจากห้องน้ำ
คืนแรกของการอยู่ร่วมห้องของหนุ่มสาวที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้วนั้นไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อยเมื่อต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในโลกส่วนตัวแต่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องของกันและกันอยู่
ฮาน่ากำลังคิดถึงอดีตของมูซา เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ หลายอย่างในตัวเขามันฟ้อง แม้ผากเขาจะบอกว่าเขาเป็นผู้ชายธรรมดา (แถมยังไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้านอีก คิดแล้วก็โมโห) แต่ความรู้ความสามารถของเขานั้นเรียกว่าดีกว่าเตมีที่ได้รับการฝึกฝนเรียนรู้เพื่อรับช่วงต่อหัวหน้าเผ่าคนต่อไปของนากาอยู่หลายส่วน อย่างไรเธอก็ไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนธรรมดาอย่างที่บอก
ด้านมูซาก็กำลังคิดทบทวนและพยายามย้ำเตือนตนเองถึงสัญญาที่ได้ให้ไว้กับผู้อาวุโสทั้งสอง ตอนนั้นเขาคิดว่าการเมินเฉยต่อหญิงสาวมันง่าย แต่ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะรักษาสัญญานั้นได้ครบหรือไม่ อย่างแรกเลยคือเขาเป็นผู้ชายที่มีความรู้สึกความต้องการที่เรียกว่ามากกว่าปกติยังได้ และคืนนี้คงเป็นคืนที่ลำบากสำหรับเขาอีกคืน
เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดและปิดลงก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่ความเงียบ ฮาน่าใจเต้นแปลกๆ เมื่อได้กลิ่นสะอาดๆ มาจากร่างแกร่ง ความยากในการข่มตาหลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงขยับกายของเขาบนที่เตียงข้างๆ
จริงอยู่ว่านอนกันคนละเตียง แต่ระยะห่างเพียง 1 ก้าวระหว่างกันนั้นดูเหมือนไม่ช่วยลดความตื่นเต้นได้เลย
ว่าแต่ทำไมต้องเป็นเธอตื่นเต้นอยู่ฝ่ายเดียวด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบางจึงพลิกกลับไปอีกด้าน
“อุ๊ย!” เสียงอุทานเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากบางเมื่อพบว่าอีกฝ่ายนอนเปลือยท่อนบนหันหน้ามาทางเธอ เสียงอุทานหายไปแล้วเหลือไว้เพียงแต่สายตาซอกซอนสำรวจตั้งแต่เค้าโครงหน้าไปจนถึงอกผายไหล่ผึงลามลงมาถึงหน้าท้องแกร่งขึ้นกล้ามนูนแน่น ไม่รู้ทำไมฮาน่าถึงได้รู้สึกว่าการจ้องมองรูปร่างของเขาเป็นเรื่องที่เพลิดเพลินเจริญตา
‘บ้าจริง นี่เรากำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย’
เมื่อเห็นร่างสูงที่นอนหลับตาทำท่าคล้ายจะรู้สึกตัวฮาน่ารีบพลิกตัวกลับทันที
“นอนไม่หลับรึไง” เสียงทุ้มถามขึ้นมาลอยๆ
เขายังไม่กลับรึนี่ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับอย่างที่คิดหัวใจก็เต้นกระหน่ำหนักขึ้นไปอีก หญิงสาวหลับตาปี๋พยายามบอกตัวเองว่าเมื่อครู่ชายหนุ่มคงไม่รู้หรอกว่าเธอแอบสำรวจร่างกายของเขาด้วยความพึงพอใจ?
‘โอ้ ม่าย ไม่สิ เมื่อครู่เขาหลับอยู่นี่นาเขาจะรู้ได้ยังไงกัน’
ฮาน่าแสร้งทำเป็นหลับไม่รู้เรื่องคิดว่าอีกฝ่ายคงลามือไปเอง เพราะหากเธอขานรับเขาก็รู้กันพอดีสิว่าเธอยังไม่นอน!
ด้านมูซาที่นอนจ้องแผ่นหลังบางส่ายหน้ายิ้มๆ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับ แต่ที่เห็นคุมโปงอยู่นี่เพียงเพื่อต้องการจะหลบหน้าเท่านั้น คิ้วเข้มเลิกขึ้นพร้อมกับยกมุมปากขึ้นคล้ายกับนึกอะไรสนุกๆ ได้ ร่างแกร่งนอนหงายชะโงกศีรษะขึ้นมองเตียงข้างๆ อีกครั้งแล้วยิ้มกับตนเองในความมืด
ฮาน่ารู้สึกคันยุบยิบที่ริมฝีปากราวกับมีแมลงมารุมกัด พอเธอเม้มปากอาการมันก็หายไป แต่สักพักก็กลับมาคันยุบยิบอีก พอจะส่งเสียงประท้วงลำคอกลับแห้งผากคล้ายคนกระหายน้ำขณะเดียวกันร่างกายกับชื้นเหงื่อร้อนวูบวาบเป็นแห่งๆ หลายครั้งที่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาแต่ความเหนื่อยล้าที่ต้องเดินทางท่ามกลางไอแดดและความร้อนจากผืนทรายก็มีมากกว่า หญิงสาวได้แต่นอนโอดอยู่ในใจว่าเธอคงไม่สบายแน่แล้วถึงได้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ และคราวนี้คงจะไม่สบายหนักเอาการอยู่เหมือนกันเพราะรู้สึกร้อนแปลกๆ กว่าที่เคยบางครั้งก็รู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องแปลกๆ ในความมืดมิดและเงียบสงัดหูแว่วได้ยินเสียงหายใจหนักๆ ถี่ๆ กันเหมือนคนไม่สบายอีกด้วย
เอ...หรือว่ามูซาก็ป่วยเหมือนกัน
คิวเรียวขมวดน้อยๆ เมื่อใบหน้าต้องแสงสีขาวที่โผล่พ้นผ้าม่านเข้ามายังเตียงนอน ดวงตากลมโตๆ ค่อยๆขบัยเปิดขึ้นมองเช้าวันใหม่ด้วยความล้าแปลกๆ เมื่อคืนเธอคิดว่าตัวเองต้องตื่นมาพบกับอาการป่วยไข้แน่นอน แต่พอเอาเข้าจริงเธอแค่รู้สึกเพลียเล็กน้อยไม่ได้รู้สึกแย่อย่างที่คิด
พอตื่นเต็มตาสิ่งแรกที่ทำคือพลิกตัวขึ้นมามองหาร่างสูงที่นอนร่วมห้องกันมาทั้งคืน
“หายไปไหนแต่เช้ากัน” เมื่อเห็นประตูห้องน้ำเปิดอยู่ บนเตียงวางเปล่าหญิงสาวก็เริ่มตั้งคำถามกับตนเอง แต่พอคิดอีกทีก็ดีเหมือนกันเธอจะได้อาศัยจังหวะนี่จัดการธุระส่วนตัวได้อย่างไม่ต้องระแวง
หลังออกมาจากห้องน้ำฮาน่าก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นอาหารเช้าวางอยู่บนโต๊ะภายในห้อง แต่ไร้เงาของคนที่เอามาให้ มีเพียงโน้ตสั้นๆ ที่ทิ้งไว้พร้อมกับอาหารเพื่อยินยันว่าเป็นฝีมือของเขา
“ข้าจะเข้าไปรับยาที่ร้านแล้วจะกลับมารับเจ้าในอีกครึ่งชั่วโมง จัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วจะได้กลับบ้าน” หญิงสาวเผลอเบ้ปากใส่ข้อความของมูซาโดยไม่รู้ตัว
“ทำอย่างกับข้าเป็นเด็ก” แม้จะบ่นอย่างนั้นแต่หญิงสาวก็ทำตามคำสั่งของชายหนุ่มจนเสร็จเรียบร้อยก็ออกมานั่งนั่งรอเขาหน้าที่พัก
ขณะเดียวกันหลังจากได้ยาแล้วชายหนุ่มก็ขับรถมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายเครื่องประดับ มือหนาล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบเอาถึงใส่เพชรสีชมพูออกมา ชายหนุ่มกำลังยืนมองชื่อร้านเครื่องประดับสลับกับมองอัญมณีในมือ แรกเริ่มเดิมที่เขาก็ไม่คิดจะเก็บเอาของที่ไม่ใช่ของตัวเองไว้กับตัว แต่จะให้ส่งคืนในตอนนี้ก็คงลำบากเพราไม่แน่ใจว่าส่งแล้วจะถึงมือหรือไม่กอปรกับไม่ดีเท่าไหร่หากจะเป็นการให้เบาะแสอีกฝ่ายมาตามล่าเขาได้ ฉะนั้นการตัดสินใจขายน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
พอตัดสินใจได้ดังนั้นร่างสูงก็เดินเข้าร้านไปด้วยความมั่นใจ มูซาหายเข้าไปในร้านได้ไม่นานก็ออกมาพร้อมรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ หุบลงเมื่อมองเห็นชายฉกรรจ์ที่เขาไม่เคยลืมใบหน้าเลยอยู่ไกลออกไปแต่ดูเหมือนกำลังมุ่งหน้ามาที่ร้านนี้เหมือนกัน มือที่ถือห่อผ้าที่บรรจุของมีค่าอยู่ข้างในกำแน่นเท้าหันกลับเข้าไปในร้านหมายจะนำเพชรเมื่อครู่คืนต้องสะดุดลงทันทีเมื่อหนึ่งในสามคนนั้นมองเห็นเขา ชายหนุ่มเปลี่ยนใจไม่กลับเข้าไปในร้านแต่รีบกระโดดขึ้นรถและพุ่งออกไปทันทีก่อนที่มือปืนทั้งสามคนจะตามทัน
“เฮ้ย นั่นมันเจ้าหมอนั่นนี่ใช่ไหม” คนตาไวกว่าเพื่อนชี้ไปทางหน้าร้านเครื่องประดับลือชื่อในเมืองแห่งนี้ อีกสองคนที่เหลือพยายามมองหาแต่ด้วยจำนวนคนที่พลุ่กพล่านที่มาจับจ่ายตลาดในตอนเข้าทำให้พวกเขาเห็นเพียงแค่ด้านหลังไวๆ พอวิ่งตามไปอีกฝ่ายก็หายไปเสียแล้ว
“แกแน่ใจนะว่าใช่มันจริงๆ”
“ไม่ผิดแน่แม้จะเห็นแค่ด้านข้างแต่ฉันคิดว่าเป็นมันแน่ๆ” อีกฝ่ายบอกด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“ดีงั้นแกมากับฉันมันต้องอยู่ในเมืองนี้แน่ๆ ส่วนแกเข้าไปดูในร้านมันต้องเอาอะไรมาขายแน่นอน” คนตัวเล็กสุดรับคำสั่งวิ่งเข้าไปในร้านปล่อยให้ที่เหลืออีกสองคนวิ่งกลับเข้าไปในรถและเร่งเครื่องออกตามเป้าหมายที่บังเอิญมาเจอหลังจากที่ตามหาแทบจะพลิกแผ่นดิน พวกเขาตื่นตัวกระหายอยากการไล่ล่าชนิดที่ว่าหากมูซาไม่ตายพวกเขาก็ไม่มีทางรามือ
โทรศัพท์มือถือเครื่องยักษ์กรีดเสียงร้องอยู่เพียงครั้งเดียวมือใหญ่ก็รีบกดรับทันทีขณะสายตาก็สอดส่องมองหาตัวเจ้าหนุ่มคนนั้นไปด้วย
“ว่าไง”
“หมอนั่นเอาเพชรมาขาย ตอนนี้เพชรอยู่ในมือฉันแล้ว” รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี้ยมเกรียม
“ดี! ตอนนี้ฉันอยู่หน้าร้านขายยาตรงหัวเมือง รีบมาแล้วออกไล่ล่าเจ้าบ้านั่นกัน” เอ่ยจบก็กดตัดสายทันทีไม่ฟังเสียงทักท้วงของปลายสายที่ยังพูดไม่ทันจบ
“ได้เรื่องอะไรบ้าง”
“เราได้เพชรกลับคืนมาแล้ว”
ดวงตาเข้มเป็นประกายวาบเมื่อได้รับข่าวดี “งั้นก็ดีสิ เราไม่ต้องตามล่าเจ้านั่นอีกแล้วใช่ไหม”
คนที่สั่งการมาตั้งแต่ต้นตวัดมองเพื่อนร่วมงานตาขวาง “ใครบอก ต่อให้เจอเพชรแล้ว แต่ชีวิตเจ้าหมอนั่นก็ยังเป็นที่ต้องการของเจ้านายอยู่ดี อีกอย่างการที่มันยังมีชีวิตอยู่พวกเราเองก็ไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขหรอกในเมื่อมันจำหน้าเราได้ทุกคนเจ้าคิดเหรอว่ามันจะไม่เอาเรื่องของเราไปแจ้งตำรวจ”
แม้จะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักเพราะใจของเขาอายกจะกลับไปใช้ชีวิตบอดีการ์ดสบายๆ ที่ลาสเวกัสแล้ว แต่ที่เพื่อนคนนี้พูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน หากไม่กำจัดชายชู้ของนายหญิงมีหรือเจ้านายของเขาจะยอม อีกทั้งการเก็บงานให้เรียบร้อยก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
พอคิดได้ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก นั่งรอเพื่อนอีกคนมาสบทบอยู่ครู่หนึ่งทั้งสามก็พากันออกตามล่าเหยื่อที่ค่าหัวสูงที่สุดที่เจ้านายเคยจ้าง
เสียงเบรกรถอย่างกะทันหันส่งเสียงดังไปทั่วจนฮาน่าที่นั่งอยู่หน้าที่พักจนต้องหันหลังไปมองหมายจะสบถด่าในใจ แต่เมื่อมองเห็นว่าเป็นรถของเธอเองและคนขับก็ไม่ใช่ใครคือคนที่สั่งให้เธอรอเขามารับนั่นเอง
“รีบโดดขึ้นมาเร็ว!” ร่างสูงตะโกนสั่งด้วยท่าทีร้อนรน ฮาน่าไม่เสียเวลาเอ่ยปากถามรีบกระโดดเข้าไปในรถตามคำสั่งเขาทันที ประตูรถยังไม่ทันปิดดีเสียด้วยซ้ำเขาก็กระชากรถออกไปราวกับกำลังหนีอะไรสักอย่าง
พอขึ้นรถมาได้เธอก็เปิดปากถามสาเหตุความรีบเร่งในครั้งนี้ทันที
“เกิดอะไรขึ้น เจ้ากำลังหนีอะไร”
ร่างสูงคอยมองกระจกหลังและกระจกข้างอยู่เป็นระยะไม่มีวี่แววว่าจะสนใจตอบคำถามของหญิงสาวแม้แต่น้อย
“นี่เจ้าพาข้ามาร่วมหัวจมท้ายขนาดนี้ยังไม่คิดจะเล่าอะไรให้ข้ารับรู้บ้างเลยหรือ มูซา เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะว่าเจ้ากำลังหนีอะไร!” ฮาน่าตวาดใส่อย่างเหลืออด
มือกระชากเกียร์พร้อมเหยียบคันเร่งจนมิดสมองคิดหาทางเอาตัวรอด ไม่ได้คิดจะปิดบังเธอ เขาคิดจะเล่าเมื่อทุกอย่างมันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้มูซาไม่อยากให้หญิงสาวต้องตื่นตระหนก กลัวและเจออันตรายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมเอาแต่โวยวายจะรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนสุดท้ายเขาต้องยอมบอก
“ข้าเจอคนที่เคยทำร้ายข้าในตอนนั้น ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังตามล่าตัวข้าอยู่ได้รู้แล้วพอใจแล้วสินะ”
ริมฝีปากบางอ้าค้างด้วยความตกใจ ดวงตากลมโตมีร่องรอยความหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะอย่างนี้เขาถึงไม่อยากบอกเธอ
ชายหนุ่มมองถนนที่เหลืออีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะออกจากเขตเมืองแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลทองเหลือบมองกระจกหลังอีกครั้งลมหายใจถูกพ่นออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อไม่เห็นคนร้ายตามมา แต่แล้วกลับโล่งอกได้ไม่นานเมื่อจู่ๆ ตรงทางแยกข้างหน้าก็มีรถจี๊บล้อสูงพุ่งออกมาขวางจนเขาต้องหักหลบแล้วเร่งสปี๊ดเครื่องยนต์ให้เร็วขึ้นอีกเมื่อเห็นชัดถนัดตาว่าคนบนรถจี๊บคันนั้นคือคนร้ายทั้ง 3 ที่ตามล่าตัวเขาอยู่
“หมอบลงไป อย่าเงยหน้าขึ้นมาจนกว่าข้าจะสั่ง” ฮาน่าทำตามที่เขาบอกในทันทีแต่สายตาเหลือบมองเขาเป็นระยะ
“พวกมันจะตามทันไหม” น้ำเสียงที่ถามเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หญิงสาวไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องหนีการไล่ล่า
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรไปแน่ๆ” น้ำเสียงหนักแน่นที่ส่งต่อมายังมือหนาที่เลื่อนมาบีบกระชับในเสี้ยววินาทีทำให้จิตใจที่หวาดหวั่นรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย แม้จะไม่สามารถขจัดความกลัวออกไปได้หมด แต่ฮาน่าเชื่ออยู่อย่างว่าอยู่กับเขาเธอจะปลอดภัย
แต่แล้วเสียงปืนที่ดังขึ้นก็กระชากความเชื่อมั่นเธออีกครั้ง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายพยายามที่จะสังหารมูซาให้ได้ไม่ได้คิดจับเป็นอะไรเลย
เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด ฮาน่าพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลุดเสียงกรี๊ดให้มูซาเสียขวัญ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อแห่งความกลัวเงยขึ้นมองร่างสูงที่สีหน้าเคร่งเครียด หลายครั้งที่ร่างของเธอไหลไปกระแทกกับประตูรถเมื่อยามที่ชายหนุ่มบังคับรถหลบลูกกระสุนที่คนร้ายสาดมา และทุกครั้งที่มีเสียงอุทานด้วยความเจ็บเขาจะชำเลืองลงมามองเธอด้วยแววตาขอโทษ ก่อนจะหันไปสนใจหนทางข้างหน้าต่อ ในความหวาดกลัวฮาน่าบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจเมื่อเห็นแววตาแห่งความห่วงใยของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามี
มันไม่ถูกต้องเธอไม่ควรรู้สึกอะไรกับเขาเลยจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่ทันเสียแล้ว เธอถลำลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลทองที่ก้มลงมาสบตาเธอทุกครั้งที่เธอหลุดอุทานด้วยความเจ็บปวด
เหงื่อร้อนๆ ผุดขึ้นตามขมับของมูซายิ่งเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามกะเอาเขาถึงตายไล่ล่าอย่างไม่ลดละใจเขายิ่งกังวล มูซาไม่ใช่คนหนุ่มที่กลัวความตาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนต่อให้เขาต้องสู้กับคนร้ายทั้งสามและจบชีวิตลงเขาก็ไม่เสียใจ เพราะชีวิตเขาไม่มีอะไรต้องห่วง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว เขามีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องรับผิดชอบและเขาไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรเป็นอันขาด ต่อให้เขาต้องตายเธอก็ต้องรอด
นัยน์ตาคมเหลือบมองหน้าปัดคำนวณน้ำมันที่เหลือกับระยะทางกลับเผ่าแล้วหันไปมองร่างเล็กที่คู้กายอยู่ด้านล่าง
“ฮาน่า เดี๋ยวพอข้าให้สัญญาณเจ้ารีบเข้ามาประจำที่นั่งคนขับแทนข้า ส่วนข้าจะล่อพวกมันไปอีกทาง”
ฮาน่าเงยหน้ามองเขาสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“เราต้องแยกทางกัน พวกมันต้องการชีวิตข้าไม่ใช่เจ้า หากเรายังหนีไปด้วยกันเจ้าจะมีอันตราย”
“หมายความว่าเจ้าจะทิ้งข้างั้นเหรอ”
มูซาไม่ตอบแต่เร่งให้อีกฝ่ายเตรียมตัวแทน “เร็วเข้า เดี๋ยวข้าจะกระโดดลงข้างหน้านี้แล้ว”
“ไม่! ข้าไม่ทำ”
มูซามีสีหน้ายุ่งยากใจเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย
“นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะดื้อกับข้านะแม่เด็กน้อย”
“เจ้าจะทิ้งข้า ข้าไม่ยอมให้เจ้าทิ้งข้าหรอกนะ คนบ้า!” ฮาน่าตวาดเขาด้วยน้ำตานองหน้า บุรุษผู้นี้เขาคิดได้อย่างไรว่าจะให้นางเอาตัวรอดคนเดียว แล้วปล่อยให้คนร้ายอาวุธครบมือขนาดนั้นตามล่าเขาได้ยังไงกัน เขาจะให้นางเป็นม่ายตั้งแต่ยังไม่เข้าหอรึไง นางจะทำอย่างนั้นได้ยังไง
เมื่อไม่เห็นทีท่าคล้อยตามของหญิงสาวมูซาก็สบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อเห็นว่าคนร้ายเริ่มตามมาติดๆ ข้างหน้าอีกไม่ไกลนั้นจะเป็นเขตทางใต้ของอาซาลาหากเขาขับเข้าไปอาจพอมีทางรอด ไม่สิ รอดแน่ๆ อยู่แล้ว เพราะอาซาลาไม่ยอมปล่อยให้มีอาชญากรรมกลางเมืองแน่นอน อีกอย่างคิดว่าสามคนนั้นคงไม่กล้าก่อเรื่องในเขตชุมชนที่มีทหารรักษาการอยู่ทั่วทุกมุมเมืองเป็นแน่
เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นรถกระบะตอนเดียวของเขาจึงมุ่งหน้าเข้าเมืองในทันที แต่ก็ยังช้ากว่ากระสุนปืนขอคนร้ายที่เล็งเป้ามายังล้อรถทำให้รถของทั้งคู่เสียการควบคุม
“บ้าเอ๊ย!” หลังจากสูญเสียล้อไปหนึ่งข้างทำให้ความเร็วของรถลดลงทำให้คนร้ายตามไล่ล่าใกล้เข้ามาทุกทีขณะที่กำลังเพี้ยงพล้ำ เสียงกระแทกดังตูมดังมาจากทางด้านหลัง มุซาหันไปมองตามเสียงเห็นรถของคนร้ายถูกรถจี๊บล้อสูงคนหนึ่งชนท้ายเข้าอย่างจัง ภายในรถมีกลุ่มคนชุดขาวอยู่สองคน หนึ่งในสองคนในรถกันมาพยักหน้าส่งสัญาณให้เขาไปต่อ เห็นดังนั้นมูซาก็ไม่ขัดศรัทธารีบเร่งเครื่องเครื่องทิ้งห่างรถของง 3 คนร้ายทันที ภาพเบื้องหลังที่ชายหนุ่มเห็นผ่านกระจกคือรถจี๊บในลกษณะเดียวกันอีกสองคันวิ่งมาประกบคนร้ายทั้งสาม ก่อนจะล้อมเอาไว้โดยมีชายชุดขาวปิดหน้าปิดตาเข้ามาขวางก่อนจะยกอาวุธครบมือเล็งไปที่สามมือปืนเพื่อข่มขู่ให้ถอยทัพกลับไป
มูซามองผู้มาใหม่ด้วยความแปลกใจแต่ไม่มีเวลาสงสัยมากนักเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าผู้มาใหม่นี้ต้องการมาช่วยหรือต้องการมาเอาชีวิตเขาต่อจากสามคนนี้กันแน่ ฉะนั้นชายหนุ่มจึงอาศัยโอกาสนี้ขับรถมุ่งหน้าเข้าสู้เขตแดนประเทศอาซาลา ประเทศที่เขาไม่คิดจะกลับมาอีกตลอดชีวิต
แม้สภาพรถจะไม่เอื้ออำนวยต่อการวิ่งระยะไกลแล้วแต่ก็ยังสามารถพาเขาและฮาน่าเข้ามาถึงเขตเมืองของอาซาลาจนได้ก่อนจะใช้การไม่ได้ในอีกชั่วโมงต่อมาเนื่องจากน้ำมันหมดและล้อรถก็ไปต่อไม่ไหวแล้ว ทั้งคู่จึงได้แวะพักที่ชานเมืองเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแน่แล้ว แม้จะไม่รู้ว่าชะตากรรมของคนร้ายทั้งสามเป็นอย่างไรแต่ในเวลานี้เขาไม่คิดว่าสามคนนั้นจะตามพวกเขาทัน
เมื่อมาถึงแผ่นดินแม่อันเป็นสถานที่ที่คุ้นเคยชนิดที่หลับตาเดินก็ไม่มีทางหลงความรู้สึกอุ่นใจก็แผ่ล้อมอยู่รอบกายอย่างเงียบๆ มูวาเลือกที่จะพักตรงชานเมืองใกล้แหล่งน้ำมากกว่าจะเข้าไปหาที่พักในเมือง เขาไม่รู้ว่าคนของพี่ชายจะซุกซ่อนอยู่มุมใดบ้าง แน่นอนว่าหากเจอคนพวกนั้นเขาคงถูกจับเข้าวังเป็นแน่ คืนนี้เขาจึงตัดสินใจใช้รถต่างที่พักแรม ก่อนจะจัดเริ่มจัดการเปลี่ยนล้ออะไหล่ให้เสร็จแล้วคิดเอาไว้ว่าพรุ่งนี้จะปลอมตัวเข้าไปซื้อน้ำมันในเมืองมาเติมแล้วขับกลับเผ่านากา
การอยู่ที่อาซาลาหลายวันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาเส้นสายของพี่ชายเขามีเยอะมากตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเขาต้องย้ายที่อยู่ทุกๆ 3 เดือนก็เผื่อหนีการตามหาของพี่ชายนอกสายเลือดคนนี้ ฉะนั้นหากเรื่องที่เขาล่วงเข้ามาในอาซาลาถึงหูขององค์รัชทายาทคนปัจจุบันเชื่อว่าเขาคงถูกตามกลับเข้าวังเป็นแน่
“หิวรึยัง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังทำหารเปลี่ยนล้ออะไหล่เสร็จเรียบร้อย
นี่ก็ตัวปัญหาอีกคน ตังแต่เขาแวะจอดเพื่อบอกเธอว่าคืนนี้จะพักที่นี่อีกฝ่ายก็ไม่พูดกับเขา
ฮาน่ายังน้อยใจไม่หายที่ชายหนุ่มคิดจะทิ้งเธอให้กลับนากาคนเดียว เขาคิดได้ยังไงว่าจะเอาตัวเองล่อคนร้ายเพื่อให้เธอปลอดภัย เขาห่วงชีวิตเธอแต่ไม่ห่วงชีวิตตัวเองเลยงั้นหรือ
“นี่ เจ้าโกรธอะไรข้าเนี่ยฮาน่า” มือหนาที่เปื้อนคราบล้อยางบีบเข้าที่แก้มป่องๆ ของภรรยาตัวน้อยด้วยความมันเขี้ยว
“ปล่อยนะ ไม่ต้องมายุ่งกับข้าเลย” สะบัดเสียงใส่งอนๆ พยายามจะใช้มือเล็กๆ ของเธอแกะมือหนาที่บีบแก้มเธอเอาไว้จนปากยู่ นอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นอีกฝ่ายยังดูสนุกสนานกับการแกล้งเธออีกด้วย
พอได้แกล้งจนหนำใจ มือหนาก็คลายออกจากแก้มนุ่มที่ขมุกขมัวด่างดำอย่างง่ายๆ ฮาน่าค้อนใส่คนขี้แกล้งลืมเลยว่าเมื่อครู่กำลังโกรธเขาอยู่
มูซายกฝ่ามือขาวๆ ที่บัดนี้ดำไปทั้งฝ่ามือขึ้นอวดสายตาหญิงสาว คนเพิ่งรู้ตัวว่าถูกแกล้งอ้าปากค้างตาโตรีบวิ่งไปส่องกระจกรถสำรวจใบหน้าตัวเองทันที
ไม่ผิดไปจากที่คิด หน้าขาวเนียนของเธอเปื้อนเขม่าและคราบล้อยาง หญิงสาวหันมามองชายหนุ่มด้วยสายตาเอาเรื่องก่อนจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายแบบไม่ให้ตั้งตัวส่งผลให้ร่างหนาถลาล้มลงก้นจ้ำเบ้าโดยมีร่างบางนั่งคร่อมอยู่บนตักจัดการเอาแก้มเปื้อนๆ ของตัวเองถุกเข้ากับแก้มสากระคายของอีกฝ่ายอย่างโมโห อาการเอาคืนเล็กๆน้อยๆของหญิงสาวไม่ได้สร้างอารมณ์โกรธเคืองให้ร่างแกร่งแต่อย่างใด แต่กลับสร้างอารมณ์อื่นที่มันไมควรเกิดในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
“นี่แนะๆ แกล้งข้าดีนักใช่ไหม ต้องโดนอย่างนี้ นี่ๆ” เจ้าของร่างนุ่มนิ่มละเลงผลงานศิลปะด้วยแก้มนุ่มของตนเองจนพอใจแล้วก็เงยขึ้นมามองผลงานด้วยความสะใจ ทว่าน้ำเสียงหัวเราะเยาะอย่างพออกพอใจที่เอาคืนสำเร็จค่อยๆ แผ่วลงเมื่อรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคนใต้ร่าง แววตาสีน้ำตาลทองบัดนี้เข้มขึ้น การสบตาเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการเผาตัวเองฮาน่ารู้สึกร้อนไปทั้งหน้ากับสายตาเป็นประกาย ความร้อนจากเรือนกายแกร่งส่งต่อมาถึงร่างบอบบางของเธอ
ฮาน่าเริ่มไม่แน่ใจแล้ว่าคำถามที่เขาถามเมื่อครู่เขาถามเธอหรือถามตัวเอง
“หิวรึยัง”
เพราะในสายตาเธอตอนนี้คนที่หิวน่าจะเป็นเขามากกว่า
สายตาหิวกระหายของมูซาทำเอาร่างบางถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ใบหน้าเห่อร้อนแดงก่ำก้มงุดไม่อาจต้านทานสายตาร้อนแรงของเขา มือที่กำแน่นอยู่บนอกเสื้อของชายหนุ่มค่อยๆ คลายออกอย่างเงะงะ พอได้สติเธอถึงรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อขนาดไหนที่พบว่าตัวเองกำลังคร่อมร่างของผู้ชายอยู่
พอเห็นร่างนุ่มนิ่มตั้งท่าจะขยับลุกออกจากกาย มือหน้ารวบเอาเอวบางกลับเข้ามาพร้อมๆ กับลูบไล้แผ่นหลังบางกดลงมาหาตนเองช้าๆจนระดับใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ดวงตากลมโตไหวระริกสับสนเก้อเขิน เธอควรจะขัดขืนและผละห่างจากร่างกายร้อนรุ่มนี้ให้เร็วที่สุด แต่ทำไมพอมองเข้าไปในดวงตาสีทองของเขาเธอถึงไม่อาจถอนสายตาได้
ผู้ชายคนนี้เป็นปีศาจใช่ไหม หรือแท้จริงแล้วเป็นพ่อมด
นิ้วแกร่งค่อยๆ ไต่เลื่อนขึ้นไปลูบท้ายทอยหญิงสาวแผ่วเบาจนขนอ่อนลุกพรึ่บราวน้ำมันติดไฟ เสียงอุทานหวานหูหลุดออกมาเบาๆ ก่อนที่จะถูกริมฝีปากกระด้างของคนใต้ร่างประกบเพื่อทำการทักทาย คุ้นเคย หยอกเย้าไปพร้อมๆ กันจนได้ยินเสียงหอบครางของคนอ่อนประสบการณ์ยิ่งทำให้หัวใจเขาลิงโลดป้อนประสบการณ์ทุกอย่างใส่ร่างของสาวน้อยแบบไม่บันยะบันยัง ฮาน่าหัวหมุนราวกัลป์ถูกเหวี่ยงออกนอกโลก ริมฝีปากร้อนรุมตามเกาะติดเธอไม่ลดละ พอเธอทำท่าจะขาดอากาศเขาก็ถอนห่างให้เธอได้พักหายใจแต่ไม่ทันไรเขาก็กลับเข้ามาตามติดเธอไม่ต่างจากแม่เหล็กต่างขั้ว มันผิดตรงที่เธอเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำของเขา ทั้งคู่แลกจุมพิตกันราวกับเพิ่งค้นเจอแหล่งน้ำแห่งเดียวที่เหลืออยู่บนทะเลทรายแห้งแล้งหากไม่ดื่มกินเสียเดียวนี้จะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้พวกเขาได้ดื่มกินอีก
มูซาไม่คิดเลยว่าคนเหนือร่างจะให้รสชาติเรากับน้ำตาลสดหอมหวาน ยิ่งชิมยิ่งกระหายไม่รู้จบ กว่าเขาจะทำใจถอนริมฝีปากออกจาริมฝีปากแดงช้ำได้ก็ทำเอาคนตัวเล็กหมดเรี่ยวแรงต้องทิ้งน้ำหนักตัวลงบนร่างเขา ชายหนุ่มแนบหน้าผากกับหน้าผากโค้งมนของฮาน่าลมหายใจของทั้งคู่ยังคงหอบถี่ ชายหนุ่มนึกขำอยู่ในใจเมื่อพบว่าเขาจูบเธอทั้งๆ ที่แก้มเลอะมอมแมม ความเขินอายที่ส่งผ่านออกมาทางผิวบางที่ขึ้นสีเรื่อตามสันจมูกทำให้เขานึกเอ็นดูจนต้องเลื่อนริมฝีปากไปจุมพิตหน้าผากนวลที่เกลี้ยงเกลา
“ลุกเองไหวไหม” ริมฝีปากหยักเอ่ยถามข้างหู
ร่างเล็กยันตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลพอควรกว่าจะถอยออกมานั่งพับขาบนพื้นทรายด้วยความรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย ตอนนี้หูของเธอได้ยินเพียงเสียงของหัวใจที่เต้นรัวมือที่วางประสานกันไว้บนตักบีบแน่นจนแดงไปหมด
เมื่อครู่นั่นมันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับเธอทำไมถึงได้ไม่ขัดขืน หญิงสาวเม้มปากแน่นยังรู้สึกได้ถึงความฉ่ำชื้นที่ติดอยู่บนริมฝีปาก
‘แล้วข้าควรจะทำยังไงดี’ หญิงสาวเหลืบสายตาขึ้นมองร่างแกร่งที่ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งประจันหน้ากับเธอได้แวบเดียวก็เสมองไปทางอื่น ตอนนี้อย่าว่าแต่มองหน้าเขาเลย แค่ได้ยินเสียงขยับกายของเขาใจเธอก็เตลิดไปไกลแล้ว
นิ้วแกร่งไล้ผิวแก้มเปื้อนๆ ด้วยความหลงใหลปนเอ็นดู ยิ่งอีกฝ่ายสะดุ้งทำหน้าตาตื่นยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากเข้าหาเธออีกครั้ง เขาถอนหายใจออกมาอย่างแสนเสียดายพยายามรั้งความต้องการร่างน้อยเอาไว้
ไม่ดีแน่หากเขาคิดจะปล่อยให้สัญชาตญาณดิบออกล่าเหยื่อในค่ำคืนนี้ เพียงแค่จูบแม่คนตัวเล็กก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวแล้ว อีกอย่างเขายังติดพันธะสัญญาลูกผู้ชายกับสองผู้อาวุโสของเผ่านากาอยู่ด้วย
“ข ข้าหิวแล้ว” ฮาน่าโพล่งขึ้นมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะก้มหน้าลงมาหาเธออีก ดูสายตาเขาก็รู้ว่าเขาหิวยิ่งกว่าเธอ แต่ไม่ได้คราวนี้เธอไม่ยอมหรอก แค่เมื่อครู่หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอก็แทบวายแล้ว
เสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอของอีกฝ่ายทำเอาคิ้วเรียวย่นเข้าหากัน แต่ก็ยังไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ
“อื้ม งั้นเจ้าไปล้างหน้าที่หนองน้ำตรงโน้นก่อนแล้วกันเดี๋ยวข้าจาอะไรให้กิน” ร่างสูงยืนขึ้นแล้วส่งมือให้หญิงสาว
นัยน์ตาสีเทามองมือใหญ่ที่เปรอะเปื้อนไม่ต่างกันกับใบหน้าของเขาด้วยแววตาลังเล แต่มูซาก็ไม่ให้เธอได้ใช้ความคิดนาน มือหนาคว้ามือเล็กมากุมไว้แล้วฉุดให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะรุนหลังบางให้เดินไปข้างหน้าพร้อมบอกทางไปด้วย
ร่างเล็กเดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงักหันหลับมามองด้านหลังก็พบว่าเขายืนมองเธออยู่เช่นกัน ในตอนนี้ความรู้สึกภายในใจของฮาน่าได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทัศนคติที่มีต่อเขาก็ถูกแปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ใบหน้าขมุกขมัวยิ้มขัดเขินกับตัวเองก่อนจะเดินไปจัดการล้างหน้าล้างตาตามที่เขาบอก
+++ ตอนหน้าลงเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะคะ ต้นฉบับใกล้เสร็จแล้วค่ะ ถ้าส่งแล้วไม่มีปัญหาอะไรคิดว่าน่าจะเป็นเล่มไม่เกินเดือนก .ค. -ส.ค. นะคะ ไว้จะมาแจ้งอีกทีค่ะ ^^
ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2557, 12:30:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มิ.ย. 2557, 12:30:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 1419
<< บทที่ 8 เราจะไม่รักกัน 100% | บทที่ 10 พิศวาสไม่คาดฝัน (2) >> |