เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 5 (ต่อ)

“เชิญขึ้นรถครับ” ชินพัตต์บอกเสียงเรียบไม่บ่งอารมณ์ใดๆ

คราวนี้ไม่ใช่ดวงตาคู่กลมโตเอาเรื่องที่มองกลับมา แต่เป็นดวงตาคู่กลมโตที่เบิกกว้างบอกอาการอ้ำอึ้งขณะร่าง เล็กยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่มีทีท่าว่าจะขยับมาขึ้นรถตามคำเชิญ

“เชิญครับ” เจ้าของรถยนต์สีดำคันใหญ่จากค่ายกังหันสีฟ้าบอกซ้ำก่อนจะพยักหน้ากับตัวเอง “อ๋อ แค่พูดว่าเชิญอย่างเดียวมันยังไม่ครบสูตรที่สุภาพบุรุษพึงบริการสุภาพสตรีนี่นะ” เขาบอกก่อนจะเดินอ้อมรถเพื่อไปเปิดประตูอีกฝั่ง แต่เดินไปได้แค่บริเวณกระโปรงหน้ารถเท่านั้นก็ต้องชะงักเท้ากึก

“อ๊ายยย… ไม่ต้อง เรื่องแค่นี้ฉันทำเองได้ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียแขนสักหน่อย” คนที่เรียกร้องให้เขาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษร้องห้ามเสียงหลงก่อนจะก้าวพรวดพราดไปดึงประตูฝั่งข้างคนขับแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งในรถทันที

ชินพัตต์ได้แต่ส่ายศีรษะพลางนึกในใจว่าถ้าต้องประสบพบเจอกับสุภาพสตรี… คนนี้ เอ้ย! แบบนี้บ่อยๆ เขายอมถูกประณามว่าเป็นผู้ชายซังกะบ๊วยไร้น้ำใจเสียยังดีกว่าเป็นสุภาพบุรุษ แต่… ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ เขาก็ทำได้แค่คิดเพราะสุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากทำตามบัญชาคุณสุภาพสตรีเหมือนเช่นทุกครั้ง




“กรี๊ดดด… นี่นายจะทำอะไร จะพาฉันไปไหน จอดรถเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะลง! ”

คนที่เคลิ้มหลับไปตั้งแต่รถเคลื่อนที่ไปยังไม่ทันถึงครึ่งทางดีเพราะระหว่างทางที่ไปต้องเผชิญกับรถติดเนื่องจากมีอุบัติเหตุรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้นพอมองไปรอบตัวแล้วได้เห็นบรรยากาศที่ไม่คุ้นตาแม่เจ้าประคุณก็ร้องโวยวายเสียงดังเลยทันที

ชินพัตต์ถอนหายใจ ความจริงเขาก็เข้าใจอยู่หรอกว่าการนั่งรถไปกับคนที่ไม่สนิทสนมคุ้นเคยแล้วเผลอหลับ ครั้นพอลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นว่าสองข้างทางเต็มไปด้วยป่ารกชัฏมันไม่น่าไว้วางใจเท่าไร แต่อย่างน้อยๆ แค่เพียงหน่อยเดียวเท่านั้น ช่วยอ้าปากถามหรือไม่ก็ฟังเหตุผลกันก่อนได้ไหม ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ร้องโวยวายท่าเดียวแบบนี้

คนที่อดทนมานานจนเกินจะทนแล้วตอนนี้เบนรถเข้าข้างทางและเหยียบเบรกทันทีทำเอาคนที่นั่งข้างคนขับซึ่งตั้งตัวไม่ทันถึงกับหัวคะมำเกือบกระแทกเอากับคอนโซลหน้ารถ “เฮ้ย! ทำบ้าอะไรของนายเนี่ยถ้าเกิดหัวฉันแตกขึ้นมาจะทำยังไง” ปุณยวีร์แว้ดเสียงเขียว

“เชิญ” ชินพัตต์บอกเสียงเรียบ

ดวงหน้าใสออกอาการเอ๋อชั่วครู่ ครั้นพอระลึกได้ว่าเขา ‘เชิญ’ เรื่องอะไรเธอก็ร้องโวยวาย “อย่าบอกนะว่านายจะให้ฉันลงตรงนี้”
“มันเป็นความต้องการของคุณเองไม่ใช่เหรอ เชิญ”

คนถูกเชิญซ้ำถึงสองครั้งอ้าปากค้างขณะหันมองสองข้างทางนอกตัวรถที่มีแต่ต้นไม้เป็นแนวยาวปราศจากบ้านเรือนผู้คนหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ

‘นี่เขาจะปล่อยให้เธอลงตรงนี้จริงๆ เหรอ’ ปุณยวีร์ถามตัวเองในใจ จากปลายสายตาเธอเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงนั่งนิ่งๆ อยู่บนเบาะคนขับและมองตรงไปข้างหน้า ไม่มีเสียงเชิญให้เธอลงเป็นครั้งที่สาม หากเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้เหมือนกัน ‘ฮึ่ย! ไอ้เด็กเวร นิสัยเสีย ใจร้าย ใจดำ! คิดเหรอว่าคนอย่างฉันจะง้อนาย ฝันไปเถอะย่ะ คนอย่างปุณยวีร์ ฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้เด็ดขาด!’

คนหยิ่งในศักดิ์ศรีผลักประตูรถพาตัวเองออกมาก่อนจะปิดประตูดัง ‘ปัง!’ แทนคำขอบคุณคนไม่มีน้ำใจ? (เรื่องอื่นไม่สน สนแต่เรื่องสุดท้ายที่ถูกเขาเชิญลงจากรถ สรุปว่าอีกฝ่ายไม่มีน้ำใจนั่นแหละถูกต้องที่สุดแล้ว) นาทีนี้เธอต้องสะกดจิตตัวเองว่าความมืดเป็นเพียงมายาและผีไม่มีจริงในโลก หรือถึงจะมีจริงขึ้นมาเธอก็มีอาวุธเป็นกระเป๋าสะพายซึ่งภายในมี
แลปท็อปอยู่ ถ้าเกิดผีบ้าตนไหนคิดจะลองดีล่ะก็รับรองว่าถูกฟาดหัวแบะแน่!

แสงส่องเป็นลำจากไฟหน้ารถยนต์ที่ยังจอดนิ่งไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนช่วยส่องนำทางให้ปุณยวีร์เดินไปจนถึงทางแยก หญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อเริ่มเห็นแสงไฟเป็นจุดๆ อยู่ไม่ไกล เธอตัดสินใจเลี้ยวไปยังทิศทางนั้นทันที แต่ฉับพลันนั้นเอง! เงาร่างของอะไรสักอย่างก็หล่นวูบลงตรงหน้าก่อนจะลอยวูบขึ้นแล้วหายไปในพงหญ้าข้างทาง

คนที่เคยสะกดจิตตัวเองว่าผีไม่มีจริงสะดุดเท้ากึก! เริ่มลังเลกับการก้าวไปข้างหน้า หากท้ายที่สุดคำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ ก็ฉุดดึงให้เธอจำต้องก้าวไปพลางปลอบใจตัวเองไปพลางว่า ‘คงไม่หนีเสือปะจระเข้หรอกน่า’

‘ปึก!’ แค่คิด… ยังไม่ทันขาดคำ ก็มีอะไรสักอย่าง… จากข้างทางพุ่งเข้ามาชน วินาทีนี้ปุณยวีร์ไม่คิดอะไรทั้งนั้นนอกจากแหกปากร้องตะโกนอย่างเดียว “กรี๊…”






ชินพัตต์วางโทรศัพท์มือถือไว้ในช่องเล็กๆ ใกล้เกียร์ก่อนจะทิ้งตัวลงกับเบาะรถยนต์ สายตาคู่คมทอดมองตามร่าง เล็กที่สับเท้าก้าวไปข้างหน้าไม่ยั้ง แม้ใจนึงจะนึกหมั่นไส้คนอวดเก่งอยู่ไม่น้อย แต่ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ใจร้ายพอ ถึงจะทำ เหมือนไม่สนใจไยดีปล่อยให้อีกฝ่ายเดินไปคนเดียวมืดๆ แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่ประตูรถปิดลงเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. สั่งการให้เพื่อนสนิทที่กำลังรับประทานอาหารค่ำอยู่ที่ตลาดโต้รุ่งตรงแยกข้างหน้ารีบเดินออกมารับคนอวดเก่ง(แต่กลัวผี)

วิศวกรหนุ่มบอกตัวเองว่าไม่ใช่อะไรหรอก เขาก็แค่นึกเป็นห่วงผี หรือไม่ก็อะไรสักอย่างที่อาจจะเฟอะฟะมาขวางทางเจ้าหล่อนเข้า กลัวว่าเจ้าสิ่งนั้น…ซึ่งถ้าเป็นผีก็คงจะชะตาขาดอีกรอบเพราะถูกฟาดไม่ยั้งก็เท่านั้นเอง ไม่ได้นึก เป็นห่วงผู้หญิงอวดเก่งคนนั้นเลย สาบาน! (ถ้าไม่จริงขอให้มีแฟนเป็นผู้หญิงอวดเก่ง)

เฮ้อ… ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใดๆ เลย คิดเองเออเองตลอด เขารึอุตส่าห์เห็นใจ เห็นว่าเหนื่อยจาก การทำงานก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางพาไปหาอะไรรับประทานที่ตลาดโต้รุ่งก่อนแล้วค่อยขับรถไปส่งที่อพาร์ตเมนต์ มิบังอาจคิดร้ายใดๆ เลย จริงๆ แต่ที่ไม่ได้บอกก็เพราะเห็นว่าแม่เจ้าประคุณหลับอยู่เลยไม่อยากรบกวน ส่วนเส้นทางเปลี่ยว สายนี้ก็เป็นทางลัดที่คนส่วนใหญ่ที่ต้องการเดินทางไปยังตลาดโต้รุ่งนิยมใช้กัน และเขาก็ดันเป็นหนึ่งในจำนวนคนส่วนใหญ่นั้น ถ้าเพียงแต่… เธอจะให้โอกาสเขาได้บอกได้อธิบายบ้าง ป่านนี้ทั้งเขาและเธอคงได้นั่งอิ่มอร่อยอยู่กับอาหารตามสั่งเลิศรสที่มีให้เลือกรับประทานมากมายที่ตลาดโต้รุ่งกับเพื่อนร่วมงานหลายคนที่รออยู่ที่นั่นแล้ว




“กรี๊…”

“ปุ่น น้องปุ่นครับ นี่พี่เอง พี่ปุ้น ไม่ใช่ใครที่ไหน…”

คนที่ตั้งใจจะกรีดร้องจนสุดเสียงเอาให้ได้ยินไปสามบ้านแปดบ้านร้องออกมาได้แค่ครึ่งคำเท่านั้นแล้วก็ชะงักไป เพราะเสียงทุ้มเจือเค้าร้อนรนร้องเรียกเอาไว้ กระแสเสียงทุ้มและชื่อเสียงเรียงนามที่คุ้นเคยนั้นช่วยเรียกสติของเธอให้คืนกลับมา สองมือที่กอดกระเป๋าสะพายเอาไว้แน่นหวังใช้มันเป็นอาวุธคลายความเคร่งเครียดลงไป ขณะเปลือกตาทั้งสอง ข้างขยับเปิดออกเพื่อจะพบกับคนที่เธอหวัง…

“พี่ปุ้น…” ปุณยวีร์คราง แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงสลัวรางแต่เธอก็มั่นใจว่าเจ้าของเงาร่างตรงหน้านั้นเป็นเขา… วิศวกรหนุ่มรุ่นพี่ คนดีที่หนึ่ง ตั้งแต่แรกพบของเธอ

“ครับ พี่เอง ตกใจมากรึเปล่า พี่ขอโทษ” ภควัตบอกเสียงอ่อน ร่างสูงโปร่งของเขายืนอยู่ตรงหน้าห่างออกไปไม่ถึง วา เธอจึงเห็นกระแสความห่วงใยจากดวงตาเรียวรีคู่นั้นได้ชัดเจน “ปุ่น ปุ่นครับ” และคงเพราะเธอเอาแต่ยืนอึ้งไม่พูดไม่ตอบอะไรกลับไปสักที เขาจึงขยับใกล้เข้ามาอีก มือทั้งสองข้างยื่นออกมาบีบหัวไหล่เบาๆ คล้ายเรียกสติ “โอเคไหม เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงถามบอกความห่วงใย

ปุณยวีร์ระบายลมหายใจออกยืดยาว โล่งอกโล่งใจเมื่อในที่สุดก็ไม่ได้หนีเสือปะจระเข้อย่างที่นึกกลัว แต่เป็นหนี ‘ไอ้เด็กเวร นิสัยเสีย’ ปะ ‘วิศวกรหนุ่มรุ่นพี่ ใจดีเป็นที่หนึ่ง’ เธอส่งยิ้มอ่อนกลับไปพลางสำทับประโยคให้เขาคลายกังวลว่า “ปุ่นโอเคค่ะ พี่ปุ้น”

ถึงคราวที่ภควัตถอนหายใจออกมายาวเหยียดบ้าง เขาดึงมือกลับไปและถอยห่างจากเธอเล็กน้อย “พี่ขอโทษ” เขาเอ่ยประโยคนี้ซ้ำเป็นครั้งที่สอง “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ปุ่นตกใจ พี่แค่จะเรียกให้ปุ่นรู้ตัวแต่ดันไปเหยียบอะไรเข้าก็ไม่รู้เลยสะดุดเสียหลักไปชนปุ่นเข้า ขอโทษจริงๆ นะครับที่ทำให้ตกใจ”

“สรุปแล้วมันคืออุบัติเหตุไม่ใช่ความผิดของพี่ปุ้น” ล่ามสาวพูดตัดบทก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวขอโทษเธอซ้ำสี่

วิศวกรหนุ่มรุ่นพี่ส่ายศีรษะพลางยิ้ม “โอเค ตามนั้น สรุปว่าปุ่นโอเคไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะ คนอื่นรอแย่แล้ว”

“หือ ใครรอใครกันคะ แล้วพี่ปุ้นจะพาปุ่นไปไหน” ถามน้ำเสียงแปลกใจหากก็ยินยอมเดิมตามอีกฝ่ายอยู่ดี

“อ้าว ยังไงกันครับเนี่ย ชินไม่ได้บอกปุ่นเหรอว่าพวกพี่รอทานข้าวอยู่ที่ตลาดโต้รุ่ง ทั้งพวกพี่กรณ์ พี่แป๋ม นายปืน น้องแก้วแล้วก็คนอื่นๆ ไม่รู้อาหารที่สั่งจะได้ครบหมดหรือยัง ป่านนี้คงหิวจนน้ำลายสอกันแล้วมั้ง”

“ตลาดโต้รุ่ง? ในที่รกๆ เปลี่ยวๆ นี่เหรอคะ” ปุณยวีร์ถามน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

ภควัตยิ้ม “ไม่ใช่ที่รกๆ เปลี่ยวๆ ตรงนี้ครับ แต่เป็นที่สว่างๆ คนเยอะๆ ข้างหน้าโน่น” เขาตอบกลับ ซึ่งก็พอดีกับที่เขาและเธอเลี้ยวพ้นมุมออกมา ดวงตาที่เพิ่งทำความคุ้นเคยกับแสงสลัวรางได้ไม่เท่าไรกะพริบปริบเพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่างข้างหน้า ทั้งจากเสาไฟข้างถนนและร้านค้ามากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถเข็นขายอาหาร มีโต๊ะเก้าอี้พลาสติกไว้ให้บริการสำหรับคนที่นั่งรับประทานที่ร้าน บรรยากาศภายในตลาดโต้รุ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตรเต็มไปด้วยความคึกคักผู้คนจำนวนมากเข้ามาจับจ่ายซื้อของ โดยส่วนหนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มสาวโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแห่งเดียวกันกับเธอ สังเกตได้จากแบบฟอร์มพนักงานที่ปกคลุมอยู่บนร่างกาย

“ตอนนี้พวกพี่แป๋มรอเราอยู่ที่ร้านข้าวต้มกุ๊ย แต่ถ้าปุ่นอยากทานเมนูอื่นก็ได้นะ เดี๋ยวสั่งให้เขาเอาไปเสิร์ฟๆที่ร้านข้าวต้มกุ๊ยก็ได้”

ปุณยวีร์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะแม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมากแค่ไหน แต่เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เพิ่งเผชิญมาก็ทำให้สมองของเธอมึนงงเกินกว่าจะรู้สึกหิว

“ปุ่น… ปุ่นครับ” คงเพราะเธอเอาแต่เงียบผิดวิสัยคนช่างพูด คนที่เดินอยู่ข้างๆ กันจึงหยุดเดินก่อนจะเรียกชื่อและถามท่าทางเป็นห่วง “เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”

ได้ยินเสียงเป็นกังวลของอีกฝ่ายคนที่เงียบผิดปกติจึงฉีกยิ้มกว้างแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้สดใสว่า “กินข้าวต้มกุ๊ยกันเหรอคะ ดีเลย ปุ่นชอบ ไม่รู้มียำไข่เค็มด้วยหรือเปล่า ปุ่นชอบกินข้าวต้มกุ๊ยกับยำไข่เค็มที่สุดเลย”

“มีครับ นายปืนน่าจะสั่งแล้วล่ะ หมอนั่นก็ชอบเหมือนกัน”

ปุณยวีร์ย่นจมูก “ว้า อย่างงี้พี่ปืนก็ต้องแย่งปุ่นกินหมดสิ พี่ปืนยิ่งชอบแกล้งปุ่นอยู่ด้วย”

ภควัตหัวเราะ “ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่จะบอกให้แก้วจัดการให้ รับรองว่าหมอนั่นไม่กล้าหือ”

คนถูกแกล้งบ่อยๆ พยักหน้า “อ๋อ แบบนี้นี่เอง งั้นพี่ปุ้นไม่ต้องค่ะเดี๋ยวปุ่นจัดเอง ตอนนี้ปุ่นซี้กับแก้วแล้วจะยุให้แก้วจัดหนักเลยคอยดู” ว่าท่าทางเข่นเขี้ยวเพราะถูกฝ่ายนั้นแกล้งเอาไว้เยอะ “แล้วพี่ปุ้นแวะมาหาอะไรกินที่นี่บ่อยเหรอคะ” หันมาถามข้อมูลของคนใกล้ตัวบ้าง

“ก็บ่อยครับ สัปดาห์ละสองสามครั้งได้ อาหารอร่อยราคาก็ไม่แพง หิวดึกแค่ไหนก็แวะมาได้”

“เอ่อ แล้วพี่ปุ้นขับรถมาเส้นไหนคะ อย่าบอกนะว่าเส้นเปลี่ยวๆ ที่เราเจอกันเมื่อกี้”

“ก็ต้องเส้นเมื่อกี้สิครับ เพราะมันเป็นทางลัดช่วงที่เปลี่ยวก็แค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้นเอง พอเลี้ยวพ้นมุมมาก็ไม่เปลี่ยวแล้ว ปุ่นก็เห็น”
“ทางลัดเมื่อกี้คงไม่ค่อยมีคนใช้ใช่ไหมคะ ปุ่นไม่เห็นมีรถคันไหนผ่านมาเลย” พูดไปแล้วปุณยวีร์ก็ภาวนาให้อีกฝ่ายตอบรับกลับมา ทว่า

“ใครบอกล่ะครับ คนนิยมใช้มากต่างหาก นี่ถ้าปุ่นกับชินมาเร็วกว่านี้สักครึ่งชั่วโมงก็จะมีเพื่อนร่วมถนนหลายคันเลยล่ะ” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มบอกเล่าให้ฟังก่อนจะหัวเราะน้อยๆ “อ้อ นอกจากเพื่อนร่วมถนนแล้วยังมีเจ้าถิ่นกระโดดลงจากต้นไม้มาทักทายด้วยนะ ไอ้เจ้านี่แหละที่เป็นปัญหาสำหรับพวกขาจรที่ไม่เคยผ่านเส้นนี้มาก่อน ถ้าจู่ๆ โดนทักขึ้นมาก็อาจจะช็อกได้”

“พี่ปุ้นพูดแบบนี้ อย่าบอกนะคะว่าโดนเอ่อ… ทักจนชินแล้ว”

“ก็ใช่น่ะสิครับ” ภควัตตอบรับหน้าตาเฉยราวกับว่าไอ้เจ้าอะไรสักอย่าง… ที่จู่ๆ ก็โผล่มาทักเขาเป็นสิ่งสามัญธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป ใครๆ เห็นแล้วก็ไม่รู้สึกหวาดผวา “อ้าว ทำไมมองหน้าพี่อย่างนี้ละครับ มีเขาโผล่ขึ้นมาบนหัวพี่หรือไง” เขาถามกลั้วเสียงหัวเราะเมื่อหันมาเห็นสีหน้าอึ้งตะลึงของเธอก่อนจะชะงักไปคล้ายเพิ่งคิดอะไรออก “เดี๋ยวนะ ปุ่นคิดว่า เจ้าถิ่นที่ชอบกระโดดจากต้นไม้ลงมาทักทายรถที่ผ่านไปผ่านมาคืออะไร อย่าบอกนะว่าเป็นผี…”

ปุณยวีร์กระโดดกอดแขนคนจุดประเด็นทันที “พี่ปุ้นอะ รู้แล้วก็เงียบไว้สิคะ จะพูดขึ้นมาทำไม ปุ่นไม่ชิลเหมือนพี่ปุ้นหรอกนะ” บอกพลางหันมองรอบตัวท่าทางหวาดผวา

วิศวกรหนุ่มรุ่นพี่หลุดหัวเราะเสียงดังครั้นพอถูกเธอค้อนเขาก็พยายามระงับอาการบอกเสียงสั่นๆ ว่า “เจ้าถิ่นที่พี่ว่าไม่ใช่ผีสักหน่อย ปุ่นคิดไปเองทั้งนั้น” เขาเคาะนิ้วกับปลายคางเบาๆ “ถ้าให้พี่เดา… ก่อนหน้าที่เราจะเจอกัน ปุ่นถูกเจ้าถิ่นทักเข้าแล้วใช่ไหมถึงได้ขวัญอ่อนถูกพี่ชนแค่หน่อยเดียวก็กรี๊ดเสียจนหูพี่แทบแตก” เขาล้อยิ้มๆ ก่อนจะชี้ที่ริมฝีปากตัวเองแล้วบอกว่า “ปุ่นดูปากพี่นะครับ เจ้าถิ่นที่พี่พูดถึงคือ กระแต” เน้นคำชัดเจน “ไม่ใช่ผี”

“กระแต!” ปุณยวีร์ร้องเสียงสูงก่อนจะส่ายศีรษะ “ปุ่นไม่เชื่อ”

“กระแตจริงๆ” ภควัตยืนยัน “สองข้างทางช่วงที่ปุ่นว่าเป็นป่ารกๆ นั่นจริงๆ แล้วมันเป็นสวนผลไม้ก็เลยมีกระแตมาอาศัยอยู่หลายตัว ถ้าปุ่นยังไม่เชื่อพรุ่งนี้เป็นวันหยุดเรามาพิสูจน์กันดูไหม ตื่นกี่โมงล่ะเราพี่จะได้ไปรับ เช้าๆ นี่มันวิ่งกันขวักไขว่เลยล่ะ”

คนไม่เชื่อส่ายหน้าหวือ “ไม่เอาหรอกค่ะ ทำงานมาทั้งสัปดาห์เหนื่อยจะแย่ปุ่นไม่ยอมตื่นแต่เช้าไปทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด”

“ถ้างั้นก็รีบไปกันได้แล้วครับ ขืนยังชักช้ายำไข่เค็มหมดขึ้นมาใครก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ” วิศวกรหนุ่มรุ่นพี่ว่าก่อนจะก้าวนำไป

ปุณยวีร์ก้าวตามไปพลางหันมองข้างหลังไปพลาง ใช่ว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะไม่น่าเชื่อถือ หากเพราะคำบอกเล่าของเขาทำให้เธอนึกถึงใครบางคน… ขึ้นมา หมายความว่าหมอนั่นไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอย่างที่เธอคิดใช่ไหม โอย… นี่เธอทำอะไรลงไป ทุกอย่างเป็นเพราะเธอคิดไปเองฝ่ายเดียวอย่างนั้นเหรอ

“มีอะไรหรือเปล่าปุ่น หันไปมองข้างหลังบ่อยๆ หรือว่าเป็นห่วงชิน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกพี่โทรไปถามแล้วเห็นว่าจัดการได้เรียบร้อยอีกเดี๋ยวก็คงตามมา หมอนั่นมันเก่งอยู่แล้วล่ะ”

“จัดการเรียบร้อย? อะไรเหรอคะ”

“อ้าว ก็จัดการรถที่ขับมาดีๆ แต่จู่ๆ มันก็ดับจนปุ่นต้องลงจากรถล่วงหน้ามาก่อนเพราะอยากเข้าห้องน้ำมากจนทนไม่ไหวไงครับ เอ่อ… แล้วปุ่น เอ่อ… เรียบร้อยแล้ว?” เขาถามเสียงสูงสีหน้าดูเก้อกระดาก “ไม่ต้องเข้าห้องน้ำแล้วเหรอครับ”

“พี่ปุ้น!” ปุณยวีร์เรียกเสียงดังจนอีกฝ่ายสะดุ้ง “ปุ่นไม่ได้เรียบร้อยอะไรทั้งนั้น แถวนี้มันมีแต่ป่าทั้งนั้นเลยนะ”

“อ้าว งั้นก็รีบเดินสิครับจะได้ไปเข้าห้องน้ำ”

“ปุ่นไม่เข้าแล้วค่ะ!” คนที่ถูกใส่ความว่าอยากเข้าห้องน้ำจนทนไม่ไหวตุปัดตุป่องจ้ำอ้าวนำหน้าไปก่อน วิศวกรหนุ่มรุ่นพี่ได้แต่ส่ายหน้างงๆ ก่อนจะรีบก้าวยาวๆ ตามไป

‘ฮึ่ย! ไอ้เด็กนิสัยไม่ดี เกือบแล้ว… เธอเกือบรู้สึกผิดกับการกระทำหลายๆ อย่างของตัวเองแล้ว เหอะ! นอกจากจะไม่เตือนกันล่วงหน้าเรื่องเจ้าถิ่นที่อาจจะกระโดดลงมาทักทาย ยังจะกล่าวหาเธอได้ว่าปวดหนักปวดเบาจนรุ่นพี่หนุ่มสุดกรี๊ดมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ อีก ฮึ่ม! ชาตินี้อย่าหวังว่าจะญาติดีด้วยเลย ไอ้เด็กเวร!’

TBC





พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2557, 11:42:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2557, 11:42:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1442





<< บทนำ - ตอนที่ 5   ตอนที่ 6 >>
Zephyr 2 ธ.ค. 2557, 12:06:24 น.
นางยังไม่สำนึกนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account